วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 03:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 139 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 14:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cry cry cry cry


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2014, 18:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
cry cry cry cry

:b16:
น้ำตาไหลเพราะปีติ ก็เป็น 1 อารมณ์ที่จะต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตเขาต่อไปจนอารมณ์ปีตินั้นดับไปต่อหน้าต่อตา คงอาจต้องน้ำตาไหลเพราะปีติไปอีกหลายครั้ง แต่รู้ทัน (สติ)แล้ว นิ่งรู้นิ่งสังเกต(ปัญญา)อยู่เฉยๆ จนเขาดับไปต่อหน้าต่อตาอีกไม่เกิน 3 - 5 ครั้ัง เราจะไม่หวั่นไหวเพราะปีติอย่างนี้อีกเลย
:b4: :b4: :b4:
ของฝากเพื่อพิจารณาครับ

งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกต
ปัจจุบันอารมณ์
จนละความเห็นผิดว่า
กาย ใจ นี้ เป็นอัตตาตัวกู ของกู
พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่ากาย ใจ นี้
เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู ทุกวัน เวลา นาที วินาที
ที่ระลึกได้และมีโอกาส

หัวใจวิปัสสนาภาวนา

ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ
มิยอมถอย ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย
กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2014, 09:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สองใจ เขียน:
cry cry cry cry

:b16:
น้ำตาไหลเพราะปีติ ก็เป็น 1 อารมณ์ที่จะต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตเขาต่อไปจนอารมณ์ปีตินั้นดับไปต่อหน้าต่อตา คงอาจต้องน้ำตาไหลเพราะปีติไปอีกหลายครั้ง แต่รู้ทัน (สติ)แล้ว นิ่งรู้นิ่งสังเกต(ปัญญา)อยู่เฉยๆ จนเขาดับไปต่อหน้าต่อตาอีกไม่เกิน 3 - 5 ครั้ัง เราจะไม่หวั่นไหวเพราะปีติอย่างนี้อีกเลย
:b4: :b4: :b4:
ของฝากเพื่อพิจารณาครับ

งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกต
ปัจจุบันอารมณ์
จนละความเห็นผิดว่า
กาย ใจ นี้ เป็นอัตตาตัวกู ของกู
พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่ากาย ใจ นี้
เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู ทุกวัน เวลา นาที วินาที
ที่ระลึกได้และมีโอกาส

หัวใจวิปัสสนาภาวนา

ใจปัญญาอย่ายอมใจเป็นกู นิ่งดู นิ่งสังเกต พิจารณา ด้วยวิริยะ อุตสาหะ ตบะ ขันติ
มิยอมถอย ถ้าสู้ได้ ทนได้ ไม่ตะบอย
กู จะถอยหรือตายดับ ไปจากใจ
:b36:


ไม่ได้ปิติหลอกค่ะคุณอโศกะ แค่ไม่รู้จะใช้ตัวการ์ตูนอะไรเท่านั้นเอง s005
พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต (เคยได้ยิน)
อย่างที่ท่านสุทธิญาณได้กรุณาชี้แจงไว้นั้น นั่นเป็นที่สุดแห่งทางสายนี้แล้วหล่ะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2014, 10:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การปรับตัวรู้ให้สอดคล้องกับความละเอียดของธรรม จากการที่ผู้ปฏ้บัติแยกสิ่งรู้กับสิ่งถูกรู้แล้ว สิ่งถูกรู้ยังเป็นสิงถูกรู้อย่างหยาบ จึงมีสภาพรูปลักษณ์ที่ชัดเจนไม่ว่าส่วนของรูปและนาม ผู้ปฏิบัติจึงชินต่อการรู้สภาพรูปหยาบและเครื่องมือที่ใ้ช้รู้คือสติ ต่อเมื่อการเจริญสติได้พัฒนา รูปหยาบทั้งส่วนของรูปและนามเริ่มจางคลายเป็นรูปละเอียด ลักษณะของรูปจะไม่ชัดเจน หากพิจารณาความสัมพันธ์ของรูปหยาบที่จางคลายเป็นรูปละเอียด อาจสรุปว่ารูปหยาบเป็นผลรูปละเอียดเป็นเหตุ เช่น ความนึก คิดเป็นรูปหยาบ เป็นผล มาจากการจับกลุ่มของธรรมารมณ์ที่มีรูปไม่ชัดเจนซึ่งจัดเป็นเหตุนั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2014, 11:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
การปรับตัวรู้ให้สอดคล้องกับความละเอียดของธรรม จากการที่ผู้ปฏ้บัติแยกสิ่งรู้กับสิ่งถูกรู้แล้ว สิ่งถูกรู้ยังเป็นสิงถูกรู้อย่างหยาบ จึงมีสภาพรูปลักษณ์ที่ชัดเจนไม่ว่าส่วนของรูปและนาม ผู้ปฏิบัติจึงชินต่อการรู้สภาพรูปหยาบและเครื่องมือที่ใ้ช้รู้คือสติ ต่อเมื่อการเจริญสติได้พัฒนา รูปหยาบทั้งส่วนของรูปและนามเริ่มจางคลายเป็นรูปละเอียด ลักษณะของรูปจะไม่ชัดเจน หากพิจารณาความสัมพันธ์ของรูปหยาบที่จางคลายเป็นรูปละเอียด อาจสรุปว่ารูปหยาบเป็นผลรูปละเอียดเป็นเหตุ เช่น ความนึก คิดเป็นรูปหยาบ เป็นผล มาจากการจับกลุ่มของธรรมารมณ์ที่มีรูปไม่ชัดเจนซึ่งจัดเป็นเหตุนั่นเอง



ดิฉัน ไม่เคยเรียนรูปนามในภาษาของหนังสืออ่ะคะ เอาแต่ตามรู้ตามดูเกิดดับของจริงมาโดยตลอดไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทีเ่กิดดับเขาเรียกว่าอะไรกัน นามหรืออารมณ์ เรียกได้ว่า ดูเกิดดับแบบชาวบ้านแล้วกัน

เลยไม่ทราบว่า ความคิดเป็นรูป ธรรมารมณ์เป็นรูป

s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2014, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
suttiyan เขียน:
การปรับตัวรู้ให้สอดคล้องกับความละเอียดของธรรม จากการที่ผู้ปฏ้บัติแยกสิ่งรู้กับสิ่งถูกรู้แล้ว สิ่งถูกรู้ยังเป็นสิงถูกรู้อย่างหยาบ จึงมีสภาพรูปลักษณ์ที่ชัดเจนไม่ว่าส่วนของรูปและนาม ผู้ปฏิบัติจึงชินต่อการรู้สภาพรูปหยาบและเครื่องมือที่ใ้ช้รู้คือสติ ต่อเมื่อการเจริญสติได้พัฒนา รูปหยาบทั้งส่วนของรูปและนามเริ่มจางคลายเป็นรูปละเอียด ลักษณะของรูปจะไม่ชัดเจน หากพิจารณาความสัมพันธ์ของรูปหยาบที่จางคลายเป็นรูปละเอียด อาจสรุปว่ารูปหยาบเป็นผลรูปละเอียดเป็นเหตุ เช่น ความนึก คิดเป็นรูปหยาบ เป็นผล มาจากการจับกลุ่มของธรรมารมณ์ที่มีรูปไม่ชัดเจนซึ่งจัดเป็นเหตุนั่นเอง



ดิฉัน ไม่เคยเรียนรูปนามในภาษาของหนังสืออ่ะคะ เอาแต่ตามรู้ตามดูเกิดดับของจริงมาโดยตลอดไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทีเ่กิดดับเขาเรียกว่าอะไรกัน นามหรืออารมณ์ เรียกได้ว่า ดูเกิดดับแบบชาวบ้านแล้วกัน

เลยไม่ทราบว่า ความคิดเป็นรูป ธรรมารมณ์เป็นรูป

s006



หาก จขกท.ต้องการจะรู้เห็นตามเป็นจริง (เห็นชีวิตตามเป็นจริง) อย่างเดียว มีนิดเดียวครับ คือ รู้เห็นตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น แ่ค่นี้เองครับ

ถ้าไปคิดเกิดนั่นดับนี่ คิดโยงไปหาชื่อธรรมตัวนั่นตัวนี้ คิดเคลื่อนไปจุดนั่นลากมาจุดนี้...แบบนี้อย่างนี้เรียกว่า รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น :b1: พอเข้าใจมั้ยครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2014, 15:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่จริงแล้วความคิด ความนึกจัดเป็นนาม แต่ที่กล่าวว่าเป็นรูปนั้น หมายถึงรูปของความคิด หรือที่แสดงเป็นเรื่องราว ซึ่งต่างจากธรรมารมณ์ เช่น อาการความรู้สึกคลุกคลิกที่คุณได้สัมผัส นั่นแหละธรรมารมณ์ ไม่มีรูปชัดเจนแต่รับรู้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2014, 19:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การพัฒนาตัวรู้จึงสอดคล้องกับความละเอียดของสภาพธรรม ทั้งสติและสัมปชัญญะเป็นสภาพรู้ทั้งคู่ต่างกันที่ความหยาบและความละเอียดของสภาพรู้

สติ คือการระลึกได้ หมายถึงตัวรู้นี้เกิดขึ้นภายหลังจากการหลงขาดการรู้ไประยะเวลาหนึ่ง ลักษณะของการรู้หากเป็นการรู้ความเปลี่ยนของร่างกาย จะเป็นการรู้สภาพธรรมภายในร่างกายเป็นจุดๆ
สัมปชัญญะ คือ การรู้ตัวทั่วพร้อม ลักษณะของการรู้หากเป็นการรู้ความเปลี่ยนของร่างกาย จะเป็นการรู้สภาพธรรมภายในร่างกายกระจายทั่วทั้งร่าง เกิดการเปลี่ยนแปลงพร้อมกันมากกว่า 1 จุด

ดังนั้นจึงเคยมีผู้ปฏิบัติถามว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพธรรมภายในร่างกายมากกว่า 1 จุด จะทำอย่างไร

การเปลี่ยนลักษณะการรู้ เป็นการรู้รวมๆ ไม่มั่นหมายจุดใดจุดหนึ่ง รู้แค่ใหนก็รู้แค่นั้น รู้เหมือนไม่รู้ ลักษณะของรู้เหมือนไม่รู้คือ รู้ว่าสภาพธรรมมีการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่รู้ว่าอะไรเปลี่ยนแปลง
เปรียบเสมือนการยืนดูสิ่งของจำนวนมากที่ลอยอยู่ในบนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก หากเพ่งเล็งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มองรวมๆ นั่นหมายถึงการใส่ใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นการมองเห็นสิ่งของที่ผ่านไปแล้ว สิ่งของใหม่ที่ลอยมาอยู่ตรงหน้าที่เป็นความจริง ณ ปัจจุบันขณะ ก็จะไม่ทันได้มองเห็น จึงเป็นการมองอดีตอยู่ร่ำไป จึงเป็นการรู้ความจริงที่ไม่รอบด้าน เมื่อรู้ความจริงไม่รอบด้าน การคลายออกสภาพธรรมที่สะสมไว้ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าไม่ทันรอบการสร้างแรงร้อยรัดของตัณหา การสร้างภพจึงมากกว่าการทำลาย จึงต้องมีการเกิดอยู่ร่ำไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2014, 08:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
การพัฒนาตัวรู้จึงสอดคล้องกับความละเอียดของสภาพธรรม ทั้งสติและสัมปชัญญะเป็นสภาพรู้ทั้งคู่ต่างกันที่ความหยาบและความละเอียดของสภาพรู้

สติ คือการระลึกได้ หมายถึงตัวรู้นี้เกิดขึ้นภายหลังจากการหลงขาดการรู้ไประยะเวลาหนึ่ง ลักษณะของการรู้หากเป็นการรู้ความเปลี่ยนของร่างกาย จะเป็นการรู้สภาพธรรมภายในร่างกายเป็นจุดๆ
สัมปชัญญะ คือ การรู้ตัวทั่วพร้อม ลักษณะของการรู้หากเป็นการรู้ความเปลี่ยนของร่างกาย จะเป็นการรู้สภาพธรรมภายในร่างกายกระจายทั่วทั้งร่าง เกิดการเปลี่ยนแปลงพร้อมกันมากกว่า 1 จุด

ดังนั้นจึงเคยมีผู้ปฏิบัติถามว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพธรรมภายในร่างกายมากกว่า 1 จุด จะทำอย่างไร

การเปลี่ยนลักษณะการรู้ เป็นการรู้รวมๆ ไม่มั่นหมายจุดใดจุดหนึ่ง รู้แค่ใหนก็รู้แค่นั้น รู้เหมือนไม่รู้ ลักษณะของรู้เหมือนไม่รู้คือ รู้ว่าสภาพธรรมมีการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่รู้ว่าอะไรเปลี่ยนแปลง
[color=#000000]เปรียบเสมือนการยืนดูสิ่งของจำนวนมากที่ลอยอยู่ในบนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก หากเพ่งเล็งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มองรวมๆ นั่นหมายถึงการใส่ใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะเป็นการมองเห็นสิ่งของที่ผ่านไปแล้ว สิ่งของใหม่ที่ลอยมาอยู่ตรงหน้าที่เป็นความจริง ณ ปัจจุบันขณะ ก็จะไม่ทันได้มองเห็น จึงเป็นการมองอดีตอยู่ร่ำไป จึงเป็นการรู้ความจริงที่ไม่รอบด้าน เมื่อรู้ความจริงไม่รอบด้าน การคลายออกสภาพธรรมที่สะสมไว้ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าไม่ทันรอบการสร้างแรงร้อยรัดของตัณหา การสร้างภพจึงมากกว่าการทำลาย จึงต้องมีการเกิดอยู่ร่ำไป[/color]



สาธุ....
อยู่แบบนี้หล่ะ อยู่กับปัจจุบันด้วยความเป็นกลาง
มีอะไรเข้ามาก็รู้ ก็ดู ด้วยความไม่มีอคติ
จะดีเข้ามาก็รู้ จะชั่วเข้ามาก็รู้
จะสุขก็รู้ จะทุกข์ก็รู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2014, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


หาก จขกท.ต้องการจะรู้เห็นตามเป็นจริง (เห็นชีวิตตามเป็นจริง) อย่างเดียว มีนิดเดียวครับ คือ รู้เห็นตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น แ่ค่นี้เองครับ

ถ้าไปคิดเกิดนั่นดับนี่ คิดโยงไปหาชื่อธรรมตัวนั่นตัวนี้ คิดเคลื่อนไปจุดนั่นลากมาจุดนี้...แบบนี้อย่างนี้เรียกว่า รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น :b1: พอเข้าใจมั้ยครับ



:b8: กรัชกายขอให้คุณสองใจช่วยวิจารณ์ คห. นี้หน่อย ไม่ต้องเกรงใจนะครับ คิดอย่างไรก็เอาตามนั้นเลยครับ :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2014, 11:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:


หาก จขกท.ต้องการจะรู้เห็นตามเป็นจริง (เห็นชีวิตตามเป็นจริง) อย่างเดียว มีนิดเดียวครับ คือ รู้เห็นตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น แ่ค่นี้เองครับ

ถ้าไปคิดเกิดนั่นดับนี่ คิดโยงไปหาชื่อธรรมตัวนั่นตัวนี้ คิดเคลื่อนไปจุดนั่นลากมาจุดนี้...แบบนี้อย่างนี้เรียกว่า รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น :b1: พอเข้าใจมั้ยครับ



:b8: กรัชกายขอให้คุณสองใจช่วยวิจารณ์ คห. นี้หน่อย ไม่ต้องเกรงใจนะครับ คิดอย่างไรก็เอาตามนั้นเลยครับ :b8:



สองใจ ไม่ได้มีความรู้พอที่จะวิจารณ์ความเห็นของคุณกรัชกายได้ค่ะ ต้องขออภัยด้วย
หากแค่คุณกรัชกายมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมก็สามารถทำได้ค่ะ
ไม่มีผิดหรือถูก ผู้อ่านหรือผู้รับสาร สามารถเห็นได้ด้วยจิตของผู้นั้นเอง ว่าสิ่งใดเป็นทาง สิ่งใดไม่ใช่ทาง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2014, 15:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขออนุญาติให้คุณกรัชกาย อธิบายถึงประโยคที่ว่า " รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น"
คือมีลักษณะการรู้แบบใด อาการแบบใด ขอให้แสดงธรรมยกตัวอย่างโดยละเีอียด เพื่อเป็นธรรมทานแก่ดิฉันด้วยค่ะ

:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2014, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
ดิฉันขออนุญาติให้คุณกรัชกาย อธิบายถึงประโยคที่ว่า " รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น"
คือมีลักษณะการรู้แบบใด อาการแบบใด ขอให้แสดงธรรมยกตัวอย่างโดยละเีอียด เพื่อเป็นธรรมทานแก่ดิฉันด้วยค่ะ



อ้างคำพูด:
รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น


นำประโยคที่พูดมาไม่หมด :b13: (ตัดตัวสำคัญออกสะด้วย) ดูอีกครั้งแล้วนำทั้งประโยคมาถามใหม่ครับ :b1: เพื่ออธิบายให้ละเอียดเป็นธรรมทานครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 19:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สองใจ เขียน:
ดิฉันขออนุญาติให้คุณกรัชกาย อธิบายถึงประโยคที่ว่า " รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น"
คือมีลักษณะการรู้แบบใด อาการแบบใด ขอให้แสดงธรรมยกตัวอย่างโดยละเีอียด เพื่อเป็นธรรมทานแก่ดิฉันด้วยค่ะ



อ้างคำพูด:
รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น


นำประโยคที่พูดมาไม่หมด :b13: (ตัดตัวสำคัญออกสะด้วย) ดูอีกครั้งแล้วนำทั้งประโยคมาถามใหม่ครับ :b1: เพื่ออธิบายให้ละเอียดเป็นธรรมทานครับ :b1:

:b16:
กรุณาเมตตาตอบตามที่น้องเขาอยากรู้ด้วย ผมก็อยากรู้เช่นกันครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สองใจ เขียน:
ดิฉันขออนุญาติให้คุณกรัชกาย อธิบายถึงประโยคที่ว่า " รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น"
คือมีลักษณะการรู้แบบใด อาการแบบใด ขอให้แสดงธรรมยกตัวอย่างโดยละเีอียด เพื่อเป็นธรรมทานแก่ดิฉันด้วยค่ะ



อ้างคำพูด:
รู้เห็นตามที่เราอยากให้มันเป็น


นำประโยคที่พูดมาไม่หมด :b13: (ตัดตัวสำคัญออกสะด้วย) ดูอีกครั้งแล้วนำทั้งประโยคมาถามใหม่ครับ :b1: เพื่ออธิบายให้ละเอียดเป็นธรรมทานครับ :b1:

:b16:
กรุณาเมตตาตอบตามที่น้องเขาอยากรู้ด้วย ผมก็อยากรู้เช่นกันครับ
:b8:


ก็บอกให้นำมาให้หมด ถึงจะตอบให้ ก็รออยู่เนี่ย เพื่ออะไร? เพื่อจะดูการแยกแยะปัญหาด้วย :b1:

คุณอโศก็ทำนองเีดียวกัน คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 139 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร