วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 20:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2014, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ท่านเช่นนั้น นั่นมันตัวหนังสือ คืออโศกยกศัพท์ซึ่งบัญญัติใช้ทางธรรมขึ้นพูดขึ้นพรรณนา เอาของจริงเน่ี่ี่ย จะแก้ยังไง :b1: สองตัวอย่างนี้

อ้างคำพูด:
เรื่องมีอยู่ว่า หนูนั่งไปแล้วเกิดเห็นร่างตัวเองเสียอย่างนั้น คือยืนมองตัวเองอยู่ ทีนี้พอเล่าให้แม่ฟัง ท่านก้เกิดกลัวขึ้นมา ว่าหนูจะไม่กลับมาอีก หนูเองก็ไม่ได้กลัวการที่จะตายหรอกนะคะ แต่สงสารท่านเหมือนกัน

หนูจึงขอเรียนถามว่า มีสิทธิ์เกิดอันตรายจากภาวะนี้ไหม หนูจะเอาไปตอบคำถามแม่ค่ะ



อ้างคำพูด:
ผมนั่งสมาธิแล้วประสบกับสภาวะดังนี้ครับ

นั่งสมาธิไป จนลมหายใจแผ่วลงๆ มากจนลมหายใจเบามาก ในขณะเกือบไม่มีลมหายใจนั้น กลับมีสภาวะฟุ้งซ่านเกิดขึ้น เพราะเหมือนกับจิตไม่สามารถเกาะลมหายใจไว้ได้อีกแล้ว เพราะมันลมมันแผ่วมาก แผ่นวเหมือนไม่เกิดการหายใจ

เอาจิตไปจับคำภาวนาก็ไม่ได้เพราะจับแปปเดียวมันก็ปล่อยอีก

แล้วแบบนี้พอลมหายใจผมหายไป ผมควรจะเอาจิตไปจับกับอะไรครับ



โงกง่วง อโศกว่าไปแล้ว คือบอกให้ไปนอนไปทำอะไรให้หายง่วงก่อน แล้วมาเพียรพยายามใหม่ นั่นออกทะเล เลยเกาะสีชังไปแล้ว คิกๆๆ


ดอกประดู่เนี่ย :b9:

http://www.youtube.com/watch?v=rsHwzN7f89k

อโสกะบอกว่านั่งหลับก็ไปนอนแล้วค่อยลองมานั่งสมาธิใหม่ถ้ามันยังเกิดนิวรณ์อยู่อีกก็ควรหาทางแก้ แล้วกรัชกายถามวิธีปฏิบัติของคนอื่นแล้ว วิธีตัวเองแก้ไงถ้าง่วง หรือกำหนดรู้ตามที่มันเป็นกร๊ากกๆๆ ง่วงขนาดนั้นให้กำหนดยังไงดีหรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2014, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




b6d5f10e8777aa0ae60f2c3b03bfa69c.gif
b6d5f10e8777aa0ae60f2c3b03bfa69c.gif [ 4.35 KiB | เปิดดู 2793 ครั้ง ]
nongkong เขียน:

อโสกะบอกว่านั่งหลับก็ไปนอนแล้วค่อยลองมานั่งสมาธิใหม่ถ้ามันยังเกิดนิวรณ์อยู่อีกก็ควรหาทางแก้ แล้วกรัชกายถามวิธีปฏิบัติของคนอื่นแล้ว วิธีตัวเองแก้ไงถ้าง่วง หรือกำหนดรู้ตามที่มันเป็นกร๊ากกๆๆ ง่วงขนาดนั้นให้กำหนดยังไงดีหรอ


การปฏิบัติทางจิตเนี่ย ควรเริ่มต้นให้ถูกถ้วน ขั้นสานต่อจะง่ายต่อการแนะนำ แต่เท่าที่สังเกตๆดูแล้ว ที่นี้ไม่มีเลยนะ จะมีก็ทำนองๆอโศกนี่แหละ ง่วงก็ไปนอนสะให้อิ่ม แล้วค่อยพยายามต่อ หิวก็ไปกินสะให้อิ่ม อิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาหย่อนก็ไปนอนสะก่อน แล้วค่อยมาเพียรต่อ ไม่ได้ดังใจก็ลืมตานับหนึ่งใหม่ ฯลฯ กิเลสก็พูดว่าขอบคุณครับนาย คิกๆๆๆ

อ้างคำพูด:
คือนั่งสมาธิได้แค่แป๊ปเดียว ใจมันสั่งว่าเบื่อแล้ว เลิกๆ ลืมตาๆ เราเลยถามตัวเองว่าเลิกแล้วจะทำอะไร มันก็ตอบไม่ได้ หนังสือก็ไม่ได้อยากอ่าน นอนก็ไม่หลับ ไม่รู้ถ้าเลิกจะทำอะไร แล้วจะเลิกไปทำไม คิดงี้ก็นั่งต่อได้อีกสักพัก มันก็มาใหม่
เลยกำหนดว่า อยากเลิกหนอ อยากเลิกหนอ ก็ช่วยได้นิดนึง สักพักมาใหม่



ถึงแนะนำว่า ไม่ไหวก็ทำวัตร สวดมนต์ ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ให้อาหารปลา ฯลฯ เอาจะดีกว่า :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2014, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:

อโสกะบอกว่านั่งหลับก็ไปนอนแล้วค่อยลองมานั่งสมาธิใหม่ถ้ามันยังเกิดนิวรณ์อยู่อีกก็ควรหาทางแก้ แล้วกรัชกายถามวิธีปฏิบัติของคนอื่นแล้ว วิธีตัวเองแก้ไงถ้าง่วง หรือกำหนดรู้ตามที่มันเป็นกร๊ากกๆๆ ง่วงขนาดนั้นให้กำหนดยังไงดีหรอ


อ้างคำพูด:
การปฏิบัติทางจิตเนี่ย ควรเริ่มต้นให้ถูกถ้วน ขั้นสานต่อจะง่ายต่อการแนะนำ แต่เท่าที่สังเกตๆดูแล้ว ที่นี้ไม่มีเลยนะ จะมีก็ทำนองๆอโศกนี่แหละ ง่วงก็ไปนอนสะให้อิ่ม แล้วค่อยพยายามต่อ หิวก็ไปกินสะให้อิ่ม อิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาหย่อนก็ไปนอนสะก่อน แล้วค่อยมาเพียรต่อ ไม่ได้ดังใจก็ลืมตานับหนึ่งใหม่ ฯลฯ กิเลสก็พูดว่าขอบคุณครับนาย คิกๆๆๆ

พี่กรัชกายเอาคลิปเณรทำสมาธิมาให้อโสกดู แล้วอโสกก็ดูจากผลว่า ทำไมเณรนั่งสมาธิแล้วสับปะหงกสับไปสับมา เณรอาจจะง่วงจริงๆ ถึงได้บอกว่าให้ไปนอน เป็นเด็กสภาพร่างกายยังไม่เอื้ออำนวยแก่การปฏิบัติ เด็กกำลังกินกำลังนอน ต้องมาบวชเค้าก็อาจจะมีง่วงบ้างผิดตรงไหน ก็เด็กนี่แถมบวชเณรไม่ได้นอนตื่นสายได้นิ กรัชกายดูเหตุดูผลตามความเป็นจริงบ้างเถอะ ถ้าเด็กคนนั้นได้นอนเต็มอิ่มแล้วยังง่วงอยู่นั่นก็คือนิวรณ์ ส่วนเวลาหิว มีใครบ้างหิวข้าวแล้วไม่กินให้อิ่ม ไปถามเจ้าชายสิทธัตถะก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสิ พระองค์ก็เป้นตัวอย่างแนวทางปฏิบัติว่า อดข้าวนั่งสมาธิได้หรอ มันหลุดพ้นจากทุกข์หรอ หิวก็ต้องกิน ปวดขี้ก็ต้องขี้ ง่วงนอนก็ต้องนอน มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ มันบังคับมันฝืนได้หรอ ธรรมมะมันก็เรื่องของคน มันยากเย็นตรงไหน :b6:
อ้างคำพูด:
คือนั่งสมาธิได้แค่แป๊ปเดียว ใจมันสั่งว่าเบื่อแล้ว เลิกๆ ลืมตาๆ เราเลยถามตัวเองว่าเลิกแล้วจะทำอะไร มันก็ตอบไม่ได้ หนังสือก็ไม่ได้อยากอ่าน นอนก็ไม่หลับ ไม่รู้ถ้าเลิกจะทำอะไร แล้วจะเลิกไปทำไม คิดงี้ก็นั่งต่อได้อีกสักพัก มันก็มาใหม่
เลยกำหนดว่า อยากเลิกหนอ อยากเลิกหนอ ก็ช่วยได้นิดนึง สักพักมาใหม่



ถึงแนะนำว่า ไม่ไหวก็ทำวัตร สวดมนต์ ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ให้อาหารปลา ฯลฯ เอาจะดีกว่า :b13:

กรัชกายทำไมไม่บอกตัวเองสั่งตัวเองว่า บอกคนอื่นอย่างงู้นอย่างงี้ หัดชะโงกดูกิเลศตนเองบ้างเน้อ เข้าใจหรอกน่ะว่าเหงาไม่มีเพื่อนเล่น เพราะพี่โฮฮับมะอยู่ ถึงได้เที่ยวตอดเล็กตอดน้อยอโสกะ คิดว่าคุนน้องดูไม่ออกหรอ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2014, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:

อโสกะบอกว่านั่งหลับก็ไปนอนแล้วค่อยลองมานั่งสมาธิใหม่ถ้ามันยังเกิดนิวรณ์อยู่อีกก็ควรหาทางแก้ แล้วกรัชกายถามวิธีปฏิบัติของคนอื่นแล้ว วิธีตัวเองแก้ไงถ้าง่วง หรือกำหนดรู้ตามที่มันเป็นกร๊ากกๆๆ ง่วงขนาดนั้นให้กำหนดยังไงดีหรอ


อ้างคำพูด:
การปฏิบัติทางจิตเนี่ย ควรเริ่มต้นให้ถูกถ้วน ขั้นสานต่อจะง่ายต่อการแนะนำ แต่เท่าที่สังเกตๆดูแล้ว ที่นี้ไม่มีเลยนะ จะมีก็ทำนองๆอโศกนี่แหละ ง่วงก็ไปนอนสะให้อิ่ม แล้วค่อยพยายามต่อ หิวก็ไปกินสะให้อิ่ม อิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาหย่อนก็ไปนอนสะก่อน แล้วค่อยมาเพียรต่อ ไม่ได้ดังใจก็ลืมตานับหนึ่งใหม่ ฯลฯ กิเลสก็พูดว่าขอบคุณครับนาย คิกๆๆๆ

พี่กรัชกายเอาคลิปเณรทำสมาธิมาให้อโสกดู แล้วอโสกก็ดูจากผลว่า ทำไมเณรนั่งสมาธิแล้วสับปะหงกสับไปสับมา เณรอาจจะง่วงจริงๆ ถึงได้บอกว่าให้ไปนอน เป็นเด็กสภาพร่างกายยังไม่เอื้ออำนวยแก่การปฏิบัติ เด็กกำลังกินกำลังนอน ต้องมาบวชเค้าก็อาจจะมีง่วงบ้างผิดตรงไหน ก็เด็กนี่แถมบวชเณรไม่ได้นอนตื่นสายได้นิ กรัชกายดูเหตุดูผลตามความเป็นจริงบ้างเถอะ ถ้าเด็กคนนั้นได้นอนเต็มอิ่มแล้วยังง่วงอยู่นั่นก็คือนิวรณ์ ส่วนเวลาหิว มีใครบ้างหิวข้าวแล้วไม่กินให้อิ่ม ไปถามเจ้าชายสิทธัตถะก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสิ พระองค์ก็เป้นตัวอย่างแนวทางปฏิบัติว่า อดข้าวนั่งสมาธิได้หรอ มันหลุดพ้นจากทุกข์หรอ หิวก็ต้องกิน ปวดขี้ก็ต้องขี้ ง่วงนอนก็ต้องนอน มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ มันบังคับมันฝืนได้หรอ ธรรมมะมันก็เรื่องของคน มันยากเย็นตรงไหน :b6:


อ้างคำพูด:
คือนั่งสมาธิได้แค่แป๊ปเดียว ใจมันสั่งว่าเบื่อแล้ว เลิกๆ ลืมตาๆ เราเลยถามตัวเองว่าเลิกแล้วจะทำอะไร มันก็ตอบไม่ได้ หนังสือก็ไม่ได้อยากอ่าน นอนก็ไม่หลับ ไม่รู้ถ้าเลิกจะทำอะไร แล้วจะเลิกไปทำไม คิดงี้ก็นั่งต่อได้อีกสักพัก มันก็มาใหม่
เลยกำหนดว่า อยากเลิกหนอ อยากเลิกหนอ ก็ช่วยได้นิดนึง สักพักมาใหม่



ถึงแนะนำว่า ไม่ไหวก็ทำวัตร สวดมนต์ ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ให้อาหารปลา ฯลฯ เอาจะดีกว่า :b13:

กรัชกายทำไมไม่บอกตัวเองสั่งตัวเองว่า บอกคนอื่นอย่างงู้นอย่างงี้ หัดชะโงกดูกิเลศตนเองบ้างเน้อ เข้าใจหรอกน่ะว่าเหงาไม่มีเพื่อนเล่น เพราะพี่โฮฮับมะอยู่ ถึงได้เที่ยวตอดเล็กตอดน้อยอโสกะ คิดว่าคุนน้องดูไม่ออกหรอ :b13:


อย่าโวยวาย ต้องอดทนนะ คิกๆๆๆ

เรื่องกิเลสหรือความคิด นำตัวอย่างมาวางใกล้ๆให้ดูแล้วยังดูไม่ออก :b13:

อ้างคำพูด:
คือนั่งสมาธิได้แค่แป๊ปเดียว ใจมันสั่งว่าเบื่อแล้ว เลิกๆ ลืมตาๆ เราเลยถามตัวเองว่าเลิกแล้วจะทำอะไร มันก็ตอบไม่ได้ หนังสือก็ไม่ได้อยากอ่าน นอนก็ไม่หลับ ไม่รู้ถ้าเลิกจะทำอะไร แล้วจะเลิกไปทำไม คิดงี้ก็นั่งต่อได้อีกสักพัก มันก็มาใหม่
เลยกำหนดว่า อยากเลิกหนอ อยากเลิกหนอ ก็ช่วยได้นิดนึง สักพักมาใหม่


มันไม่ง่ายหรอกคุณน้องที่รัก (ของคนอื่น) คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2014, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:

:b8:
ธัมวิจัยสัมโพชงค์ วิมังสาธิบดีอันเป็นอิทธิบาทธรรม คือการพิจารณาและใคร่ครวญธรรม เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบแล้วแต่จริต นิสัย วาสนา บารมี ของผู้ปฏิบัติแต่ละคนแต่ละท่าน
เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือบรรลุธรรม

บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ

เจริญต่อไปตามทางที่เราถนัดแลฟ้าประทานมาให้นี้แหละ Nongkong เมื่อถึงที่สุดเราจะรู้ชัดด้วยตัวเราเอง
:b27:

เรามาต่อกันดีกว่าเจ้าค่ะ ในฐานะกัลยามิตรเกื้อหนุนทางธรรม เพื่อว่าคนที่ปฏิบัติแล้วเกิดสภาวะเดียวกันเช่นคุนน้อง จะได้ปฏิบัติต่อไปให้ถูก เป็นธรรมทานแก่สหายธรรม จะได้รู้ทันกิเลศที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะที่เราเกิดตัวสภาวะที่เรียกว่าธรรมผุดในขณะนั่งสมาธิ ที่เป็นปัจจัตตัง
ถ้าตอนนั่งสมาธิแล้วคุนน้องเกิดตัวรู้ที่มาแสดงธรรมเกิดขึ้น แล้วในขณะนั้นจะเป็นไปได้ไหมที่เราอาจจะคิดว่าเราบรรลุแล้ว เพราะสภาวะนี้ส่วนใหญ่คนมักจะคิดว่าตนบรรลุหรือเป็นอริยะเจ้า แบบนี้ก็ติดแหงกก้าวข้ามไม่พ้นวิปัสนูปกิเลสได้ ทำให้ติดขัดต่อการปฏิบัติด้วยความที่เกิดปัญญาตัวรู้ขึ้นในขณะนั่งมันจะแสดงสภาวะธรรมให้เราเห็นให้เราเข้าไปรู้อาจจะเป็นเหตุให้เรารู้แล้วยึด เป็นเหตุให้หลง จนกลายเป็นผู้รู้ที่ยึดติดในตัวสภาวะตัวปัญญาที่เป็นสังขาร เกิดดับ ทุกๆขณะจิต จนมองไม่เห็นธรรมชาติของจิตมันก็เกิดดับตามธรรมดาของมัน แล้วจะเป็นไปได้อีกรึเปล่าที่เราจะเกิดอาการหลงตัวหลงตนว่าตนเองเหนือผู้อื่นมีอัตตาทิฏฐิมานะเข้มขึ้น เพราะเข้าไปรู้ในธรรมรสหรือสภาวะที่ปรากฏแก่กายใจเขาขณะนั้นแล้วเกิดติดอกติดใจในรสพระธรรมจนมิยอมวางลง มิอาจคลายลง อยากจะพูดอยากจะเอ่ย อยากจะประกาศให้คนอื่นรู้ ถ้าไม่พูดไม่เอ่ยก็รู้สึกขัดอกขัดใจตน อิอิ เพราะฉะนั้นต้องกำหนดรู้ทัน รู้เท่าทันตนเองว่านั่นไม่ใช่เรา เป็นแค่ธรรมชาติ สังขาร เกิดดับตามธรรมดาของมัน :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2014, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดได้ เพราะยังไม่ประสบกับตนเอง นั่นนี่ว่าไป อนิจจัง ทุกขััง อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ฯลฯ
แต่เมื่อตนเองประสบการณ์ในขณะจิตนั้นๆด้วยตนแล้วจะทำนองนี้ :b1:


อ้างคำพูด:
คือ ฝึกทำเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอนค่ะ หนูฝึกดูจิตมาประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ แรกๆก็เห็นจิตฟุ้งซ่านมากช่วงหลังๆ จิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก แต่เริ่มเห็นจิต เฉยๆบ้าง สุขบ้าง บางครั้งรู้สึกหดหู่ เป็นทุกข์ เบื่อโลกมากๆเลยค่ะ มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ ได้แต่ตามดูเฉยๆ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเรา เหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ บางครั้งก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆแล้วเหมือนว่าตัวเองจะเคลิ้มๆไป แต่ยังมีสติ รู้สึกตัวค่ะ อยู่ดีๆ จิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วย บังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ รู้สึกเริ่มกลัว ก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด และรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ


ดังนั้น ผู้ปฏิบัติภาวนา ควรเริ่มต้นให้ถูกหลักครบถ้วน จะได้ช่วยตนเองได้ แก้ไขได้เองในขณะนั้นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2014, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พูดได้ เพราะยังไม่ประสบกับตนเอง นั่นนี่ว่าไป อนิจจัง ทุกขััง อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ฯลฯ
แต่เมื่อตนเองประสบการณ์ในขณะจิตนั้นๆด้วยตนแล้วจะทำนองนี้ :b1:


อ้างคำพูด:
คือ ฝึกทำเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอนค่ะ หนูฝึกดูจิตมาประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ แรกๆก็เห็นจิตฟุ้งซ่านมากช่วงหลังๆ จิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก แต่เริ่มเห็นจิต เฉยๆบ้าง สุขบ้าง บางครั้งรู้สึกหดหู่ เป็นทุกข์ เบื่อโลกมากๆเลยค่ะ มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ ได้แต่ตามดูเฉยๆ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเรา เหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ บางครั้งก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆแล้วเหมือนว่าตัวเองจะเคลิ้มๆไป แต่ยังมีสติ รู้สึกตัวค่ะ อยู่ดีๆ จิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วย บังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ รู้สึกเริ่มกลัว ก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด และรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ


ดังนั้น ผู้ปฏิบัติภาวนา ควรเริ่มต้นให้ถูกหลักครบถ้วน จะได้ช่วยตนเองได้ แก้ไขได้เองในขณะนั้นๆ

พี่กรัชกายประสบกับตนเองว่านั่นว่านี่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บ้างหรือยังเจ้าค่ะ ในฐานะที่เป็นนักภาวนาปฏิบัติจริง ลงมือทำจริง จากประสบการณ์ตนที่ปรากฏขึ้นกายใจตน มาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทานมั่งดิ อยากเห็นสภาวะที่ประสบ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของพี่กรัชกายกรัชกาย อนุโมทนาล่วงหน้าเจ้าค่ะ ถ้าพี่กรัชกายกล้าที่จะบอกกล้าแสดงธรรมที่ประสบอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของตน แสดงว่า เป็นผู้มีใจเป็นกุศลอยากจะให้ธรรมทานแก่ผู้อื่นอย่างบริสุธิ์ใจ
ปล.แล้วนักภาวนาที่ยกมาให้พิจารณาคนนั้น เค้าเกิดอยากลั้นใจตาย แต่กลัวตายจนสูดลมหายใจเข้าปอด เค้าประสบสภาวะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วใช่หรือ ถ้าประสบจริงๆ จะดิ้นให้หลุดทำไม จะกลัวทำไมแค่ตาย ทำไมต้องรีบพยายามสูดลมหายใจเข้าปอด ก็ตนเองกลั้นใจตายทำไม จิตมันสั่งให้ทำไรก็ทำหรอ เอ่อ ถ้ามันสั่งให้ลองเอามีดปาดคอตนเองดิ ก็คงหยิบมีดปาดคอตนเองรึเปล่า :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่แม่น้องก้อง นำมาถาม


nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:




สิ่งที่กรัชกายนำมาตอบ แบบอุปมาอุปมัย ทำนองว่า สภาวะที่คุณน้องเจอ ไม่แตกต่างกับสภาวะที่คนนี้ คิดพิจรณาอยู่

อ้างคำพูด:
คือ ฝึกทำเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอนค่ะ หนูฝึกดูจิตมาประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ แรกๆก็เห็นจิตฟุ้งซ่านมากช่วงหลังๆ จิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก แต่เริ่มเห็นจิต เฉยๆบ้าง สุขบ้าง บางครั้งรู้สึกหดหู่ เป็นทุกข์ เบื่อโลกมากๆเลยค่ะ มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ ได้แต่ตามดูเฉยๆ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเรา เหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ บางครั้งก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆแล้วเหมือนว่าตัวเองจะเคลิ้มๆไป แต่ยังมีสติ รู้สึกตัวค่ะ



แต่พอเจอสภาวะจริงๆเข้า กลับเป็นแบบนี้

อ้างคำพูด:
อยู่ดีๆ จิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วย [/color] บังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ รู้สึกเริ่มกลัว ก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด และรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ




ที่คุณน้องถามมา

อ้างคำพูด:
ปล.แล้วนักภาวนาที่ยกมาให้พิจารณาคนนั้น เค้าเกิดอยากลั้นใจตาย แต่กลัวตายจนสูดลมหายใจเข้าปอด เค้าประสบสภาวะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วใช่หรือ ถ้าประสบจริงๆ จะดิ้นให้หลุดทำไม จะกลัวทำไมแค่ตาย ทำไมต้องรีบพยายามสูดลมหายใจเข้าปอด ก็ตนเองกลั้นใจตายทำไม จิตมันสั่งให้ทำไรก็ทำหรอ เอ่อ ถ้ามันสั่งให้ลองเอามีดปาดคอตนเองดิ ก็คงหยิบมีดปาดคอตนเองรึเปล่า :b14:




ขอให้ย้อนกลับไปอ่านด้านบน

พอจะเข้าใจบ้างไหมคะ? คือ เป็นเพียงความนึกคิด เป็นเพียงสภาวะสัญญา

อ้างคำพูด:
มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ ได้แต่ตามดูเฉยๆ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเรา เหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ



แต่พอเจอสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

อ้างคำพูด:
อยู่ดีๆ จิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วย [/color] บังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ รู้สึกเริ่มกลัว ก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด และรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ



เมื่อขาดสติ สิ่งที่เคยคิดพิจรณาไว้ ลืมหมด

อ้างคำพูด:
มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ ได้แต่ตามดูเฉยๆ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเรา เหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ


หากเขาเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เขาจะแค่รู้ ปล่อยให้สภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

แล้วสภาพธรรมอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ย่อมเกิดขึ้นเอง ตามความเป็นจริง
ย่อมเป็นเหตุให้เกิดสภาวะจิตปล่อยวาง จากสภาวะที่เป็นอยู่

เมื่อพบเจอสภาวะแบบนี้อีก สภาวะนี้ย่อมทำอะไรเขาไม่ได้
เขาจะพบเจอสภาวะใหม่(แบบฝึกหัด) และสภาวะเก่า ที่คิดว่าหายไปแล้ว จะย้อนกลับมาทดสอบอีก

เป็นการฝึกของจิต ให้เกิดการปล่อยวางจากสภาวะที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง
ไม่ใช่เกิดจาก การน้อมเอา คิดเอา พอเจอของจริงเข้า ก็มีสภาพไม่แตกต่างจากตัวอย่างที่ถูกหยอบยกมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:

:b8:
ธัมวิจัยสัมโพชงค์ วิมังสาธิบดีอันเป็นอิทธิบาทธรรม คือการพิจารณาและใคร่ครวญธรรม เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบแล้วแต่จริต นิสัย วาสนา บารมี ของผู้ปฏิบัติแต่ละคนแต่ละท่าน
เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือบรรลุธรรม

บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ

เจริญต่อไปตามทางที่เราถนัดแลฟ้าประทานมาให้นี้แหละ Nongkong เมื่อถึงที่สุดเราจะรู้ชัดด้วยตัวเราเอง
:b27:

อนุโมทนากับอโสกะที่ตอบตัวสภาวะในทางปริยัติให้คุนน้องได้เข้าใจ เห็นกระทู้นี้พูดเรื่องอานาปานสติ ส่วนอีกสองคนขนาดจุดธูปเรียกชื่อยังไม่ยอมมา นึกว่าจะเป็นสัตบุรุษกัลยามิตรทางธรรม เหมือนอโสกะที่คอยชี้แนะสหายธรรมในลานสุดท้ายก็เป็นแค่ สัตว์บุรุษอดได้เป็นสัตบุรุษ555 สรุปผู้อาวุโสในลานธรรมคงมีแต่ อโสกะเท่านั้นหรอถึงเหมาะสมกะตำแหน่ง คิคิ :b13:




สำหรับคำตอบ ที่โสกะ แสดงข้อคิดเห็นมานั้น

โสกะคงลืมคาถา หรือ คำบริกรรม ที่ตนเองชอบท่องประจำ

asoka เขียน:
"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่กรัชกายยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ
:b11: :b4: :b4:





หากโสกะไม่ลืมคำบริกรรม หรือที่ท่องจำมา คงต้องตอบคุณน้องแบบนี้

asoka เขียน:
"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่คุณน้องยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ
:b11: :b4: :b4:




และโสกะคงไม่แสดงความคิดเห็นแบบนี้


asoka เขียน:
บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ :b27:




กิเลสมารกำลังขบกินทั้งตัว ก็ยังไม่รู้

มีแต่การกระทำ ที่เป็นเหตุของ การบังเกิดขึ้นแห่งภพ มากกว่า การดับเหตุแห่งภพ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:




คำตอบของสภาวะ ที่คุณน้องนำมาถาม คือ

มีสติ รู้อยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้น รู้ว่ามีสภาวะแบบนี้เกิดขึ้น

แค่รู้ว่า มีการคิดพิจรณาแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดกี่ความคิดก็ตาม(จิต)

นี่ยังน้อย แค่จิตไม่กี่ขณะ ถ้าเจอมากกว่านี้ จิตถกเถียงกันเองบ้าง เกิดขึ้นพร้อมๆกัน แต่เกิดในแต่ละขณะๆ บางครั้ง ๘ ถึง ๑๐ ก็ยังมี ซึ่งเป็นความปกติของสภาวะที่เกิดขึ้น

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ ทำให้เกิดความสงสัยในสภาวะที่เกิดขึ้น

"คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ"
"คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ"
"ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้"

แล้วเริ่มจะใช้บัญญัติ สำทับลงในสภาวะ จึงถามหาคำเรียก
"สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว"


สภาวะที่คุณน้องนำมาถามนี้ ภาษาปริยัติเรียกว่า อโยนิโสมนสิการ

หากคุณน้องรู้จักโยนิโสมนสิการ จะรู้ว่า รู้ไปตามความเป็นจริงของสภาวะที่เกิดขึ้น
ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงแต่งใดๆ(คำเรียกต่างๆ) ลงในสภาวะที่เกิดขึ้น

แค่รู้ว่า มีเกิดขึ้น เท่านั้นเอง

จิตน่ะอเมซิ่งนะ หากจิตเกิดการปล่อยวางจากสภาวะนี้

จะต้องเจอกับสภาวะอื่นๆอีก คือ ผู้ปฏิบัติ มีหน้าที่เรียนรู้สภาพธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

ส่วนผู้ใด ที่มีเหตุของสัญญาเก่ามาก จะใส่อะไรๆลงไปในคำเรียก ก็ไม่เป็นไร ใส่ได้

แต่อย่าไปยึดติด กับคำเรียกที่ใส่ลงไป ไม่งั้น จะกลายเป็นนั่นนี่(โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์) ตามอุปทานไปทันที

เหตุนี้ สิ่งที่เรียกว่า อริยบุคคล ที่ถูกแต่งตั้งโดยผู้แนะนำ และ จากตัวผู้ปฏิบัตเอง มีบังเกิดขึ้น เพราะเหตุนี้แหละ


เท่านั้นยังไม่พอ โมหะครอบงำ ก็ยังไม่รู้ ยังหลงนำสิ่งที่ตนคิดเอาเองว่า มี ว่าเป็น ว่าใช่
นำไปสร้างเหตุนอกตัว กับบุคคล ที่เคยสร้างเหตุมาร่วมกัน จึงมาเชื่อกัน

หลงสร้างเหตุความบังเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ก็ยังไม่รู้ ทั้งผู้แนะนำ และผู้ถูกแนะนำ
จึงกอดคอกันเวียนว่าย ในแม่น้ำตัณหาต่อไป

สภาวะนี้แก้ได้โดย ทำตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้ คือ

แค่รู้ว่ามี แต่ไม่นำไปสร้างเหตุนอกตัว ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

เมื่อไม่นำไปสร้างเหตุนอกตัว กายกรรม วจีกรรม ย่อมไม่เกิด ภพชาติของการเกิด ย่อมสั้นลง

ยังคงเหลือมโนกรรม เมื่อเจอสภาพธรรมเดิมๆซ้ำๆ เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

เห็นความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง แปรปรวนตลอดเวลา บังคับไม่ได้

ถ้าเห็นตามความเป็นจริงแบบนี้เนืองๆ จิตย่อมเกิดการปล่อยวางลง
โดยไม่ต้องไปคิดพิจรณา เพื่อให้เกิดการปล่อยวาง


สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส

ย่อมเบาบางลง ตามเหตุปัจจัย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
พี่กรัชกายประสบกับตนเองว่านั่นว่านี่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บ้างหรือยังเจ้าค่ะ ในฐานะที่เป็นนักภาวนาปฏิบัติจริง ลงมือทำจริง จากประสบการณ์ตนที่ปรากฏขึ้นกายใจตน มาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทานมั่งดิ อยากเห็นสภาวะที่ประสบ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของพี่กรัชกายกรัชกาย อนุโมทนาล่วงหน้าเจ้าค่ะ ถ้าพี่กรัชกายกล้าที่จะบอกกล้าแสดงธรรมที่ประสบอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของตน แสดงว่า เป็นผู้มีใจเป็นกุศลอยากจะให้ธรรมทานแก่ผู้อื่นอย่างบริสุธิ์ใจ

ปล.แล้วนักภาวนาที่ยกมาให้พิจารณาคนนั้น เค้าเกิดอยากลั้นใจตาย แต่กลัวตายจนสูดลมหายใจเข้าปอด เค้าประสบสภาวะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วใช่หรือ ถ้าประสบจริงๆ จะดิ้นให้หลุดทำไม จะกลัวทำไมแค่ตาย ทำไมต้องรีบพยายามสูดลมหายใจเข้าปอด ก็ตนเองกลั้นใจตายทำไม จิตมันสั่งให้ทำไรก็ทำหรอ เอ่อ ถ้ามันสั่งให้ลองเอามีดปาดคอตนเองดิ ก็คงหยิบมีดปาดคอตนเองรึเปล่า :b14:




ที่พูดว่า สภาวะๆๆๆๆ พอรู้ความหมายไหม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:




คำตอบของสภาวะ ที่คุณน้องนำมาถาม คือ

มีสติ รู้อยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้น รู้ว่ามีสภาวะแบบนี้เกิดขึ้น

แค่รู้ว่า มีการคิดพิจรณาแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดกี่ความคิดก็ตาม(จิต)

นี่ยังน้อย แค่จิตไม่กี่ขณะ ถ้าเจอมากกว่านี้ จิตถกเถียงกันเองบ้าง เกิดขึ้นพร้อมๆกัน แต่เกิดในแต่ละขณะๆ บางครั้ง ๘ ถึง ๑๐ ก็ยังมี ซึ่งเป็นความปกติของสภาวะที่เกิดขึ้น

เหตุของความไม่รู้ที่มีอยู่ ทำให้เกิดความสงสัยในสภาวะที่เกิดขึ้น

"คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ"
"คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ"
"ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้"

แล้วเริ่มจะใช้บัญญัติ สำทับลงในสภาวะ จึงถามหาคำเรียก
"สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว"


สภาวะที่คุณน้องนำมาถามนี้ ภาษาปริยัติเรียกว่า อโยนิโสมนสิการ

หากคุณน้องรู้จักโยนิโสมนสิการ จะรู้ว่า รู้ไปตามความเป็นจริงของสภาวะที่เกิดขึ้น
ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงแต่งใดๆ(คำเรียกต่างๆ) ลงในสภาวะที่เกิดขึ้น

แค่รู้ว่า มีเกิดขึ้น เท่านั้นเอง

จิตน่ะอเมซิ่งนะ หากจิตเกิดการปล่อยวางจากสภาวะนี้

จะต้องเจอกับสภาวะอื่นๆอีก คือ ผู้ปฏิบัติ มีหน้าที่เรียนรู้สภาพธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

ส่วนผู้ใด ที่มีเหตุของสัญญาเก่ามาก จะใส่อะไรๆลงไปในคำเรียก ก็ไม่เป็นไร ใส่ได้

แต่อย่าไปยึดติด กับคำเรียกที่ใส่ลงไป ไม่งั้น จะกลายเป็นนั่นนี่(โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์) ตามอุปทานไปทันที

เหตุนี้ สิ่งที่เรียกว่า อริยบุคคล ที่ถูกแต่งตั้งโดยผู้แนะนำ และ จากตัวผู้ปฏิบัตเอง มีบังเกิดขึ้น เพราะเหตุนี้แหละ


เท่านั้นยังไม่พอ โมหะครอบงำ ก็ยังไม่รู้ ยังหลงนำสิ่งที่ตนคิดเอาเองว่า มี ว่าเป็น ว่าใช่
นำไปสร้างเหตุนอกตัว กับบุคคล ที่เคยสร้างเหตุมาร่วมกัน จึงมาเชื่อกัน

หลงสร้างเหตุความบังเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ก็ยังไม่รู้ ทั้งผู้แนะนำ และผู้ถูกแนะนำ
จึงกอดคอกันเวียนว่าย ในแม่น้ำตัณหาต่อไป

สภาวะนี้แก้ได้โดย ทำตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้ คือ

แค่รู้ว่ามี แต่ไม่นำไปสร้างเหตุนอกตัว ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

เมื่อไม่นำไปสร้างเหตุนอกตัว กายกรรม วจีกรรม ย่อมไม่เกิด ภพชาติของการเกิด ย่อมสั้นลง

ยังคงเหลือมโนกรรม เมื่อเจอสภาพธรรมเดิมๆซ้ำๆ เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

เห็นความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง แปรปรวนตลอดเวลา บังคับไม่ได้

ถ้าเห็นตามความเป็นจริงแบบนี้เนืองๆ จิตย่อมเกิดการปล่อยวางลง
โดยไม่ต้องไปคิดพิจรณา เพื่อให้เกิดการปล่อยวาง


สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส

ย่อมเบาบางลง ตามเหตุปัจจัย

อนุโมทนาพี่วลัยพร :b20: ที่มาอธิบายให้คุนน้องเข้าใจ. ถ้ายังมีคำถามในตัวสภาวะที่ปรากฏที่จิต นั่นคืออโยนิโสมนสิการ
หวังว่าการสนทนาธรรมในกระทู้อานาปานสติจะเกิดประโยชน์ต่อนักภาวนาที่ยังติดข้องอยู่. ขออนุโมทนาอโสกะด้วยที่ร่วมสนทนาจนจบกระบวนการแห่งธรรมจากภาคปฏิบัติจริงของแต่ละคน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 18:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
nongkong เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:

:b8:
ธัมวิจัยสัมโพชงค์ วิมังสาธิบดีอันเป็นอิทธิบาทธรรม คือการพิจารณาและใคร่ครวญธรรม เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบแล้วแต่จริต นิสัย วาสนา บารมี ของผู้ปฏิบัติแต่ละคนแต่ละท่าน
เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือบรรลุธรรม

บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ

เจริญต่อไปตามทางที่เราถนัดแลฟ้าประทานมาให้นี้แหละ Nongkong เมื่อถึงที่สุดเราจะรู้ชัดด้วยตัวเราเอง
:b27:

อนุโมทนากับอโสกะที่ตอบตัวสภาวะในทางปริยัติให้คุนน้องได้เข้าใจ เห็นกระทู้นี้พูดเรื่องอานาปานสติ ส่วนอีกสองคนขนาดจุดธูปเรียกชื่อยังไม่ยอมมา นึกว่าจะเป็นสัตบุรุษกัลยามิตรทางธรรม เหมือนอโสกะที่คอยชี้แนะสหายธรรมในลานสุดท้ายก็เป็นแค่ สัตว์บุรุษอดได้เป็นสัตบุรุษ555 สรุปผู้อาวุโสในลานธรรมคงมีแต่ อโสกะเท่านั้นหรอถึงเหมาะสมกะตำแหน่ง คิคิ :b13:




สำหรับคำตอบ ที่โสกะ แสดงข้อคิดเห็นมานั้น

โสกะคงลืมคาถา หรือ คำบริกรรม ที่ตนเองชอบท่องประจำ

asoka เขียน:
"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่กรัชกายยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ
:b11: :b4: :b4:





หากโสกะไม่ลืมคำบริกรรม หรือที่ท่องจำมา คงต้องตอบคุณน้องแบบนี้

asoka เขียน:
"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่คุณน้องยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ
:b11: :b4: :b4:




และโสกะคงไม่แสดงความคิดเห็นแบบนี้


asoka เขียน:
บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ :b27:




กิเลสมารกำลังขบกินทั้งตัว ก็ยังไม่รู้

มีแต่การกระทำ ที่เป็นเหตุของ การบังเกิดขึ้นแห่งภพ มากกว่า การดับเหตุแห่งภพ

s004
"ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น" นะ วลัยพร

Nongkong เธอเจริญมาตามธรรม ตามวิธีการปฏิบัติที่ถูกกับจริตนิสัยของเธอแล้ว การชี้แนะที่จะต้องไปเปลี่ยนวิธีปฏิบัติของเธอมาเริ่มวิธีใหม่อีกวิธีหนึ่งนั่นน่าจะไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม

กัลยาณมิตรผู้ละเอียดรอบคอบจึงพึงควรเสริมการปฏิบัติที่เธอทำมาดีแล้วให้เจริญไปตรงทางยิ่งขึ้น น่าจะดีกว่า

การที่เธอเป็นผู้มีสติปัญญาเห็นสภาวธรรมได้ลึกละเอียดอ่อนถึงปานนี้ หากมีคำชี้แนะที่ถูกทางถูกธรรมเธอย่อมจะพิจารณาพบทางต่อยอดการปฏิบัติต่อไปด้วยตัวของเธอเอง

ที่วลัยพรวิตกวิจารณ์มาจึงพึงควรกลับไปพิจารณาให้ลึกซึ้งอีกทีนะจ๊ะ หากวิตกวิจารณ์ด้วยจิตที่เป็นกุศลเมตตาก็ขออนุโมทนา แต่ถ้าหากมีฐานลึกๆมาจากอย่างอื่นก็พึงควรระวังว่าคำพูดทั้งหมดจะกลับไปเข้าเนื้อเจ้าของตามกฎแห่งกรรมมิต้องสงสัย
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 18:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:

:b8:
ธัมวิจัยสัมโพชงค์ วิมังสาธิบดีอันเป็นอิทธิบาทธรรม คือการพิจารณาและใคร่ครวญธรรม เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบแล้วแต่จริต นิสัย วาสนา บารมี ของผู้ปฏิบัติแต่ละคนแต่ละท่าน
เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือบรรลุธรรม

บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ

เจริญต่อไปตามทางที่เราถนัดแลฟ้าประทานมาให้นี้แหละ Nongkong เมื่อถึงที่สุดเราจะรู้ชัดด้วยตัวเราเอง
:b27:

เรามาต่อกันดีกว่าเจ้าค่ะ ในฐานะกัลยามิตรเกื้อหนุนทางธรรม เพื่อว่าคนที่ปฏิบัติแล้วเกิดสภาวะเดียวกันเช่นคุนน้อง จะได้ปฏิบัติต่อไปให้ถูก เป็นธรรมทานแก่สหายธรรม จะได้รู้ทันกิเลศที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะที่เราเกิดตัวสภาวะที่เรียกว่าธรรมผุดในขณะนั่งสมาธิ ที่เป็นปัจจัตตัง
ถ้าตอนนั่งสมาธิแล้วคุนน้องเกิดตัวรู้ที่มาแสดงธรรมเกิดขึ้น แล้วในขณะนั้นจะเป็นไปได้ไหมที่เราอาจจะคิดว่าเราบรรลุแล้ว เพราะสภาวะนี้ส่วนใหญ่คนมักจะคิดว่าตนบรรลุหรือเป็นอริยะเจ้า แบบนี้ก็ติดแหงกก้าวข้ามไม่พ้นวิปัสนูปกิเลสได้ ทำให้ติดขัดต่อการปฏิบัติด้วยความที่เกิดปัญญาตัวรู้ขึ้นในขณะนั่งมันจะแสดงสภาวะธรรมให้เราเห็นให้เราเข้าไปรู้อาจจะเป็นเหตุให้เรารู้แล้วยึด เป็นเหตุให้หลง จนกลายเป็นผู้รู้ที่ยึดติดในตัวสภาวะตัวปัญญาที่เป็นสังขาร เกิดดับ ทุกๆขณะจิต จนมองไม่เห็นธรรมชาติของจิตมันก็เกิดดับตามธรรมดาของมัน แล้วจะเป็นไปได้อีกรึเปล่าที่เราจะเกิดอาการหลงตัวหลงตนว่าตนเองเหนือผู้อื่นมีอัตตาทิฏฐิมานะเข้มขึ้น เพราะเข้าไปรู้ในธรรมรสหรือสภาวะที่ปรากฏแก่กายใจเขาขณะนั้นแล้วเกิดติดอกติดใจในรสพระธรรมจนมิยอมวางลง มิอาจคลายลง อยากจะพูดอยากจะเอ่ย อยากจะประกาศให้คนอื่นรู้ ถ้าไม่พูดไม่เอ่ยก็รู้สึกขัดอกขัดใจตน อิอิ เพราะฉะนั้นต้องกำหนดรู้ทัน รู้เท่าทันตนเองว่านั่นไม่ใช่เรา เป็นแค่ธรรมชาติ สังขาร เกิดดับตามธรรมดาของมัน :b39:

:b8:
Nongkong มีประสบการณ์จริงและเกิดสัมปชัญญะรู้ว่า ความรู้ธรรมจากเสียงกระซิบและความคิดนึกนั้นมันเป็นเพียงเครื่องช่วยนำทางในบางตอนเท่านั้นแต่ถ้ายึดติดจะทำให้เกิดความสำคัญผิด เกิดวิปัสสนูกิเลส ม่านกั้นธรรมอย่างละเอียดอ่อนขึ้นมาอีก

ตรงส่วนนี้ให้น้องสังเกต พิจารณา (โยนิโส..อย่างที่น้องว่า)ให้ดี
จะจับประเด็นสำคัญได้ว่า ......ถ้าหากธรรมที่รู้ยังเป็นธรรมคิดนึก หรือธรรมเทียบตำราคำสอน หรือธรรมเสียงกระซิบ น้องจะยังไม่พบธรรมตัวจริงที่จะเป็นแรงส่งให้เปลี่ยนพฤติกรรมหรือเข้าสู่มรรคผลยิ่งๆขึ้นไป แม้แต่ไตรลักษณ์ที่เกิดก็ยังเนื่องจากความนึกคิด

ต่อเมื่อไรสติ สัมปชัญญะหรือปัญญาพัฒนาจนถึงความวางเฉยที่สมบูรณ์ได้ คือหยุดนิวรณ์ทั้งหมดไว้ชั่วคราวได้สนิท ต่อเนื่องเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุทธัจจะนิวรณณ์ น้องจะได้เข้าถึงสภาวะหมดความคิดนึก เหลือแต่สภาวธรรมเกิดปรากฏให้รู้ให้เห็นตามธรรม หรือ ตถตา น้องจะได้พบไตรลักษณ์ตัวจริงที่ชัดเจนและซึ้งประจักษ์แก่ใจจน ความเห็นผิดยึดผิดถูกกระเทาะถอดถอนให้เบาบางจางลงจนหมดไปเป็นลำดับๆตามธรรม จนพฤติกรรมของจิตเปลี่ยนไป

หลังจากนั้นเมื่อจิตถอนออกมาวิตกวิจารณ์ได้ ความคิดพิจารณาและแตกฉานในธรรมที่ได้พบเห็นจึงจะงอกงามและสอดคล้องไปตามคำสอนของพระบรมศาสดา ตามตำราและคัมภีร์

เรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นไปดั่งคำสอนของครูบาจารย์ในยุคสมัยนี้ที่ว่า

"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด"

รู้แรก เป็น รู้ โดยปรมัตถ์ หรือรู้เหนือความนึกคิด

รู้หลัง เป็นรู้โดยบัญัติ แต่เป็นความเข้าใจตามบัญญัติในคัมภีร์ที่พระบรมศาสดาทรงสอน ครูบาอาจารย์เมตตาแนะนำ
:b27:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร