วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 15:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



"ปัญญา" เกิดจากอะไร ..

๑. สุตมยปัญญา เกิดจากการเรียน การศึกษา การพูดคุย
๒. จินตามยปัญญา เกิดจากการนำเอาความรู้นั้น มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
๓. ภาวนามยปัญญา เกิดจากสมาธิ คือ มีสมาธิเป็นฐาน หรือเรียกว่า วิปัสสนาปัญญา

สุตมยปัญญา กับ จินตามยปัญญา เป็นโลกียปัญญา
ภาวนามยปัญญา หรือวิปัสสนาปัญญา เป็นโลกุตรปัญญา ปัญญาอันเยี่ยม
ในพระพุทธศาสนา ..

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญานั้น แท้จริงก็มีอย่างเดียว ได้แก่ ธรรมชาติที่เป็นความรู้เข้าใจสภาวะ คือ หยั่งถึงความจริงของสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น แต่ก็นิยมจำแนกแยกประเภทออกไปเป็นหลายอย่าง ตามระดับของความรู้เข้าใจบ้าง ตามหน้าที่หรือแง่ด้านของการทำงานของปัญญาบ้าง ตามทางที่ปัญญานั้นเกิดขึ้นบ้าง เป็นต้น

ปัญญาชุดหนึ่งซึ่งจำแนกตามแหล่งที่มา หรือทางเกิดของปัญญา ได้แก่ ปัญญา ๓ อย่าง ชุดที่แยกออกไปเป็น สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา คำท้ายคือปัญญาเป็นตัวกลางร่วมกัน ส่วนคำข้างหน้าที่ต่างกัน บอกที่มาหรือแหล่งเกิดของปัญญานั้น ว่า หนึ่ง เกิดจากสุตะ (การสดับฟัง การอ่าน และเล่าเรียน) สอง เกิดจากจินตะ (การคิดไตร่ตรองพิจารณา) และสาม เกิดจากภาวนา (การปฏิบัติต่อจากนั้น)

ปัญญา ๓ ชุดนี้ ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงน้อย แต่มีผู้นำมาพูดค่อนข้างบ่อย ข้อสำคัญคือเข้าใจความหมายกันไม่ค่อยชัด จึงควรแสดงคำอธิบายที่พ่วงมากับถ้อยคำเหล่านี้สืบแต่เดิมไว้ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา

เริ่มด้วยการเรียงลำดับ ปัญญา ๓ นั้น ตามที่พูดกัน มักเรียงสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก แต่ของเดิมในพระไตรปิฎก ทั้งในพระสูตร ...และในพระอภิธรรม ... เริ่มต้นด้วยจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก อย่างไรก็ตามในเนตติปกรณ์ ซึ่งพระเถรวาทสายพม่าถือเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระไตรปิฎกด้วย (จัดรวมไว้ใน ขุททกนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก) เรียงสุตมยปัญญาขึ้นก่อน (และเรียกชื่อต่างไปเล็กน้อยเป็น สุตมยีปัญญา จินตามยีปัญญา ภาวนามยีปัญญา) และต่อมา ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา-ฎีกา นิยมมากขึ้นในทางที่จะเรียกชื่อเป็น สุตมยญาณ จินตามยญาณ และภาวนามยญาณ

ในที่นี้ ขอเรียงลำดับ ปัญญา ๓ ตามพระไตรปิฎกชั้นเดิมไว้ก่อน พร้อมด้วยแสดงความหมายสั้นๆ ดังนี้

๑. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา (ปัญญาเกิดจากโยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง)

๒. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการสดับเล่าเรียน (ปัญญาเกิดจากปรโตโฆสะ)

๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ (ปัญญาเกิดจากปัญญาสองอย่างแรกนั้นแล้วหมั่นมนสิการ)

การที่ท่านเรียงจินตามยปัญญาขึ้นก่อน หรือสุตมยปัญญาขึ้นก่อน จับความได้ว่า อยู่ที่การคำนึงถึงบุคคลเป็นหลัก หรือมองธรรมตามความเกี่ยวข้องของบุคคล

ในกรณีที่เรียงจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก ก็คือ ท่านเริ่มที่บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษก่อน หมายความว่าพระพุทธเจ้า (และพระปัจเจกพุทธเจ้า) ผู้ค้นพบและเปิดเผยความจริงขึ้นนั้น มิได้อาศัยสุตะ ไม่ต้องมีปรโตโฆสะ คือ การฟังจากผู้อื่น แต่รู้จักคิดพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการของตนเอง สามารถสืบสาว เรียงต่อ ไล่ตามประสบการณ์ทั้งหลายอย่างถึงทันทั่วรอบทะลุตลอด จนหยั่งเห็นความจริงได้ จากจินตามยปัญญา จึงต่อเข้าภาวนามยปัญญาไปเลย (ไม่ต้องอาศัยสุตมยปัญญา)

แต่เมื่อมองที่บุคคลทั่วไป ท่านเริ่มด้วยสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก โดยมีคำอธิบายตามลำดับว่า บุคคลเล่าเรียนสดับฟังได้สุตะ ได้ข้อธรรม ได้ข้อมูลแล้ว เกิดศรัทธาขึ้นเป็นพื้นเบื้องต้น จึงนำไปใคร่ครวญตรวจสองพิจารณาได้ความรู้เข้าใจในสุตะนั้น ก็เกิดเป็นสุตมยปัญญา แล้วในขั้นต่อไป อาศัยสิ่งที่ได้เรียนสดับนั้นเป็นฐาน เขาตรวจสอบชั่งตรองเพ่งพินิจขบคิดลึกชัดลงไป มองเห็นเหตุผลความสัมพันธ์เป็นไปชัดเจน เกิดเป็นจินตามยปัญญา เมื่อเขาใช้ปัญญาทั้งสองนั้นขะมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย

(พูด อีกสำนวนหนึ่งว่า อาศัยหรือตั้งอยู่ในปัญญาทั้งสองนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนา - สุตจินฺตามยญาเณสุ หิ ปติฏฺฐิโต วิปสฺสนํ อารภติ. เนตฺติ. ๕๓) แล้วเกิดญาณ มีความรู้สว่างประจักษ์แจ้งความจริง เป็นมรรคที่จะให้เกิดผลขึ้น ก็เป็นภาวนามยปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


พึงสังเกตด้วยว่า สำหรับคนทั่วไปนี้ ถึงจะได้รับสุตะ คือ ข่าวสารข้อมูลมากมาย แต่คนจำนวนมากก็ได้แค่สุตะเท่านั้น (ได้แค่ฟังเท่านั้น) หาได้ปัญญาไม่ คือ ในข้อที่ ๑ นั้น ต้องแยกว่า คนจำนวนมากได้แต่สุตะ มีเพียงบางคนที่อาศัยสุตะนั้นแล้วสามารถทำให้เกิดสุตมยปัญญา

ฯลฯ...
ดังที่ท่านไขความว่า "ปัญญาที่สำเร็จด้วยอำนาจภาวนา อันถึงอัปปนา ชื่อว่า ภาวนามัย คำไขความตรงนี้ ที่กล่าวถึงภาวนา โยงไปถึงข้อความข้างต้นที่ว่าขะมักเขม้นมนสิการในประดาสภาวธรรม ซึ่งก็คือวิปัสสนาปัญญาเห็นแจ้งชัดถึงขีด จิตก็เป็นสมาธิถึงอัปปนา (ถึงฌาน) ความประจักษ์แจ้งจดจิตสนิทแน่ว ถึงกับให้สิ่งหมักหมมผูกรัดหุ้มพอกจิต ที่เรียกกิเลส ถูกสลายล้างออกไป จิตพ้นจากกิเลสสิ้นเชิงหรือบางส่วนก็ตาม ความรู้แจ้งถึงขั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนของชีวิตอย่างนี้ได้ คือภาวนามยปัญญา ซึ่งเป็นมรรคญาณ

มีความรู้ประกอบอีกหน่อยว่า ในเนตติปกรณ์ ท่านโยงปัญญา ๓ นี้ กับการจัดประเภทบุคคล ๔ ด้วย โดยแสดงความหมายของบุคคล ๓ ประเภทแรกที่เป็นเวไนย (เวไนย ๓) ให้เห็นทุนเดิมก่อนจะก้าวสู่ภาวนามยปัญญาว่า คนที่มี ๒ อย่าง ทั้งสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา เป็น อุคฆฎิตัญญู (ผู้รู้ได้ฉับพลันเพียงแค่ฟังหัวข้อก็เข้าใจ) คนที่มีสุตมยปัญญาอย่างเดียว เป็น วิปจิตัญญู (ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อมีการขยายความ) คนที่ยังไม่มีปัญญา ๒ อย่าง ทั้งสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา เป็น เนยยะ (ผู้ที่จะพึงแนะนำโดยฝึกสอนอบรมให้เข้าใจต่อไป) ส่วนปทปรมะ ไม่เป็นเวไนย เป็นอันไม่ต้องพูดถึง

เมื่อรู้เข้าใจหลักต่างๆ ข้างต้นเป็นพื้นฐานแล้ว อาจจะประมวลเป็นคำอธิบาย ปัญญา ๓ สำหรับคนทั่วไป ที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ คร่าวๆ

ทวน ความก่อนว่า อัจฉริยบุคคล ในขั้นพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นนักคิดที่แท้จริง คือมีปัญญายิ่งใหญ่เหนือคนทั่วไป อย่างที่ว่า ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ทั้งหลาย ที่ คนอื่นๆพบเห็นกันมาเป็นสิบปีร้อยปีพันปีแล้ว กี่รุ่นกี่ชั่วคน เขาก็อยู่กันมา ก็รู้เข้าใจตามๆ กันมาอยู่แค่นั้น แต่พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นมา ทรงมีโยนิโสมนสิการ ที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายในแง่มุมอื่นๆ ที่คนทั่วไปนึกไม่ถึง มองไม่เห็น สามารถคิดสืบสาวหยั่งเห็นความจริงที่ลึกล้ำอยู่เบื้องหลัง คิดริเริ่มใหม่ๆ ในสิ่งที่คนยังไม่เคยคิด ทำให้มีการมองใหม่เห็นใหม่ค้นพบใหม่ ได้ความรู้ความเข้าใจใหม่ และก้าวต่อไปในโยนิโสมนสิการนั้น จนเข้าถึงความจริงที่ไม่มีใครอื่นหยั่งถึงได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


สำหรับในที่นี้ เมื่อแยกบุคคลพิเศษออกไปแล้ว จึงกล่าวถึงปัญญา ๓ ครบจำนวน และเรียงลำดับโดยถือเอาคนทั่วไปเป็นที่ตั้ง ดังนี้

๑. สุตมยปัญญา - ปัญญาเกิดจากสุตะ ได้แก่ ปัญญาที่คนทั่วไปจะพัฒนาขึ้นไป โดยต้องอาศัยสุตะ คือ เมื่อยังคิดเองไม่เป็น หรือคิดไปไม่ถึง มองอะไรไม่ออก ไม่เข้าใจ ก็ต้องมีผู้แนะนำสั่งสอนบอกให้ เช่น มีท่านที่เรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร อย่างพระพุทธเจ้า ท่านผู้รู้ ครูอาจารย์ มาแนะนำชี้แจงอธิบาย จึงรู้เข้าใจหยั่งความจริงได้ในระดับหนึ่ง

๒. จินตามยปัญญา - ปัญญาเกิดจากจินตะ ได้แก่ การรู้จักคิด คือ เมื่อได้ความรู้เข้าใจในสุตะ เกิดมีสตุมยปัญญาากการเล่าเรียนสดับฟังแล้ว ก็ฝึกโยนิโสมนสิการให้มองเห็นรู้เข้าใจกว้างไกลลึกรอบทั่วตลอดแยกโยงได้ ทำให้ก้าวต่อไปในการเข้าถึงความจริง และใช้ความรู้อย่างได้ผล

๓. ภาวนามยปัญญา - ปัญญาเกิดจากภาวนา คือการปฏิบัติบำเพ็ญ ทำให้เป็นให้มีขึ้นได้จริง โดยลงมือทำกับประสบการณ์ตรง หมายถึงปัญญาที่พัฒนาต่อจากสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญาสองอย่างแรกนั้น คืออาศัยปัญญาสองอยู่แรกนั้น พัฒนาต่อไปด้วยการมนสิการ (หมายถึงโยนิโสมนสิการ) ที่ตัวสภาวะ จนเกิดปัญญารู้แจ้งจริงที่สำเร็จเป็นมรรคได้บรรลุผล

ขอให้สังเกตไว้เป็นข้อสำคัญประการแรกว่า ภาวนามยปัญญานี้ อาศัยและต่อจากสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ไปนั่งสมาธิ แล้วมาบอกว่าเข้าฌานได้ภาวนามยปัญญา อย่างนั้นไม่ใช่ พึงตระหนักว่า คนทั่วไปนี้ แม้แต่จินตามยปัญญาก็ยังทำให้เกิดเองไม่ได้ ต้องเริ่มจากสุตมยปัญญา (สุตมยปัญญาก็ยังไม่ค่อยจะได้ มีแต่ได้แค่สุตะ อย่างที่พูดข้างต้น)

จุดสังเกตสำคัญประการที่สอง คือ โยนิโสมนสิการ เป็นตัวทำงาน เรียกได้ว่าเป็นแกนในการพัฒนา หรือสร้างปัญญาทั้งสามอย่างนี้ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่บุคคลพิเศษอย่างพระพุทธเจ้า ที่ว่าตั้งต้นด้วยจินตามยปัญญา โดยไม่ต้องอาศัยสุตะจากคนอื่น (ไม่ต้องพึ่งปรโตโฆสะ) ก็คือ ใช้โยนิโสมนสิการที่มีขึ้นมาเป็นของเริ่มต้นในตนเอง เป็นที่มาของปัญญาที่เกิดจากกการคิด ที่ทำให้คิดเป็นได้อย่างเฉพาะพิเศษ ส่วนคนทั่วไป แม้จะได้พึ่งสุตะจากผู้อื่น แต่เมื่อจะก้าวต่อไปจากนั้น จะให้ปัญญาพัฒนาขึ้นไป ก็ต้องใช้โยนิโสมนสิการ จนกระทั่ง ในที่สุด การเกิดของปัญญาข้อที่ ๓ อันสูงสุดนั้น มีการทำงานของโยนิโสมนสิการเป็นสาระสำคัญเลยทีเดียว

เรื่องจึงเป็นอย่างที่พูดแล้วแต่ต้นว่า ปัญญา ๓ อย่างในชุดสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา นี้ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงน้อยนัก พระสารีบุตรประมวลมาแสดงไว้ เป็นการให้มองเห็นแหล่งเกิดที่มาของปัญญา ไม่เป็นหลักที่ท่านเน้นย้ำมาก

เรื่องที่พระพุทธเจ้าเน้นย้ำบ่อยมาก ตรัสอยู่เสมอ ก็คือ โยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติในการทำใหเกิดปัญญษ เมื่อมีโยนิโสมนสิการแล้ว ปัญญาทั้งสามนั้นก็มาได้ และให้สัมฤทธิ์บรรลุจุดหมาย

ก็มาสรุปไว้ท้ายนี้อีกทีว่า คนทั้งหลายที่รับข่าวสารข้อมูลกันนั้น

- บางคน ได้แต่สุตะ โดยไม่ได้ปัญญาเลย แม้แต่สุตมยปัญญาก็ไม่ได้

- บางคน รู้จักมนสิการไตร่ตรองพิจารณาสุตะนั้นแล้ว สามารถทำสุตมยปัญญาให้เกิดขึ้น

- บางคน ได้สุตมยปัญญาแล้ว รู้จักมนสิการคิดพินิจยิ่งขึ้นไป ก็พัฒนาจินตามยปัญญาให้เกิดขึ้นมา

- บางคน ใช้สุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา ที่มีที่ได้แล้วนั้น เป็นฐาน พัฒนาปัญญาด้วยโยนิโสมนสิการยิ่งขึ้นไป ก็อาจทำภาวนามยปัญญาให้เกิดขึ้นได้


ปัญญาที่เกิดจากการรู้จักคิดด้วยโยนิโสมนสิการของตนเองอย่างนี้ เรียกว่าจินตามยปัญญา ซึ่งพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงมีโดยไม่ต้องอาศัยการสั่ง สอนแนะนำ
จากผู้อื่น (และไม่มีคนอื่นมีปัญญารู้ที่จะมาบอกมาสอนให้ได้) จึงเป็นปัญญาของบุคคลพิเศษ ที่คนทั่วไปไม่มี ถ้าไม่มีบุคคลพิเศษที่มีจินตามยปัญญาอย่างนี้ การค้นพบใหม่ การแหวกวงล้อมหรือกรอบทางปัญญาออกไป ก็ไม่อาจเป็นไปได้ และคนก็อยู่ก็รู้ก็คิดตามๆ กันเรื่อยไป

ในเมื่อคนทั่วไปไม่มีจินตามยปัญญาจากการใช้โยนิโสมนสิการเริ่มคิดด้วยตน เอง จึงต้องอาศัยการสดับรับฟังเล่าเรียนคำแนะนำสั่งสอนจากผู้ อื่นเป็นจุดเริ่ม ที่คือเริ่มจากการสร้างสุตมยปัญญาก่อน ในขณะที่บุคคลพิเศษข้ามสุตมยปัญญานี้ไปเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 12:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
ยาวจัง ๆ ๆ ๆ เรื่องของปัญญาแบบนักวิชาการ
:b16:
คำถามว่า ปัญญาเกิดจากอะไร?

มีคำตอบอีกอย่างหนึ่งที่น่าพิจารณาและน่าจะเป็นประโยชน์ตรงๆกับการปฏิบัติธรรม

มีปัญญาที่เกิดร่วมกันอิงอาศัยกันระหว่างภาวนามยปัญญากับ จินตมยปัญญา

ปัญญา ...แปลว่า "รู้"

ความสังเกต พิจารณา หรือที่บาลีเรียกว่า "สังกัปปะ" นั้น เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา หรือความรู้ อย่างจริงๆ

เรื่องราวการค้นพบที่สำคัญๆของนักวิทยาศาสตร์เอกในโลกแทบทั้งหมดล้วนเกิดมาจาก ความสังเกต พิจารณา หรือ สังกัปปะ นี่เอง

งานสำคัญที่ทำให้เกิดการค้นพบสิ่งต่างๆ ของนักวิทยาศาสตร์นั้น คือการสังเกตการณ์ธรรมชาติ ฝรั่งเรียก

"Observation" หลังจากสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินั้นๆ จนครบถ้วนกระบวนความ ตั้งแต่เกิดขึ้นจนดับไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์ จึงจะใส่ พิจารณา หรือวิตกวิจารณ์ออกมาเป็นคำพูด รายงาน หรือ รีพอร์ต

พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยม ทรงได้สังเกตการณ์ ธรรมชาติของกาย และ จิต จนตลอดสาย แล้วได้รับผลพลอยได้ตามมาอย่างมหาศาล คือ มรรค ผล นิพพาน ที่สงบเย็น หลังจากนั้นจึงทรงนำมารีพอร์ท ถ่ายทอดสู่ มนุษย์ เทวดา พรหมทั้งหลาย ให้ได้รู้ ได้ประพฤติปฏิบัติตาม จนถึงความสุขอมตะ นิรัดร์กาลคือนิ พพานอันสูงสุดตามพระบรมศาสดาไป

:b8:
สังเกต...ไม่ใช้ความคิด

พิจารณา.....ใช้ความคิด


"นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 14:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
ยาวจัง ๆ ๆ ๆ เรื่องของปัญญาแบบนักวิชาการ
:b16:
คำถามว่า ปัญญาเกิดจากอะไร?

มีคำตอบอีกอย่างหนึ่งที่น่าพิจารณาและน่าจะเป็นประโยชน์ตรงๆกับการปฏิบัติธรรม

มีปัญญาที่เกิดร่วมกันอิงอาศัยกันระหว่างภาวนามยปัญญากับ จินตมยปัญญา

ปัญญา ...แปลว่า "รู้"

ความสังเกต พิจารณา หรือที่บาลีเรียกว่า "สังกัปปะ" นั้น เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา หรือความรู้ อย่างจริงๆ

[b]เรื่องราวการค้นพบที่สำคัญๆของนักวิทยาศาสตร์เอกในโลกแทบทั้งหมดล้วนเกิดมาจาก ความสังเกต พิจารณา หรือ สังกัปปะ นี่เอง


อโสกะ..ว่า
ความสังเกต พิจารณา หรือที่บาลีเรียกว่า "สังกัปปะ" นั้น เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา หรือความรู้ อย่างจริงๆ

เอ๋...แล้วที่เราๆเข้าใจว่า...สัมมาสังกัปปะ...คือ..ดำริชอบ...นี้...เป็นการเข้าใจผิดไปรึ..อโสกะ...

หรือ..ต้องเอาของอโสกะ..ว่าเป็นสังเกตชอบ...???

ช่วยแถลงไข...หน่อยเป็นไร??


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 15:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b46:
อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา ......อโสกะ..ว่า
ความสังเกต พิจารณา หรือที่บาลีเรียกว่า "สังกัปปะ" นั้น เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา หรือความรู้ อย่างจริงๆ

เอ๋...แล้วที่เราๆเข้าใจว่า...สัมมาสังกัปปะ...คือ..ดำริชอบ...นี้...เป็นการเข้าใจผิดไปรึ..อโสกะ...

หรือ..ต้องเอาของอโสกะ..ว่าเป็นสังเกตชอบ...???

ช่วยแถลงไข...หน่อยเป็นไร??

smiley
ดีแล้ว ๆ ๆ ที่ทำให้ต้องถาม

สัมมาสังกัปปะ....ความดำริชอบ........ความคิดถูกต้อง.......คิดออกจากกาม(วิเนยยะอภิชฌา).....คิดออกจากความพยาบาท(วิเนยยะโทมนัสสัง)....คิดที่จะอยู่อย่างไม่เบียดเบียน(สังขารุเปกขา)


การจะคิดออกจากสิ่งใดได้ ต้องสังเกต(ไม่ใช้ความคิด) พิจารณา (ใช้ความคิด) ธรรมชาติต่างๆ คือปัจจุบันอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและดับไปต่อหน้าต่อตาอย่างพินิจพิเคราะห์ จนเห็นความจริงที่แสดง เป็นสัจจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น คือ เกิด - ดับ .....ทุกขัง.....อนิจจัง ......อนัตตา.......รู้เห็นดังที่ว่านี้จนชัดว่าไม่มีอื่นใด ใจหลง ใจเห็นผิด ยึดผิด จะจางคลาย ถ่ายถอน สลัดคืนด้วยตัวของใจที่รู้จริงเองในที่สุด

สัมมาสังกัปปะ ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ.....สัมมาทิฏฐิ ทำให้สัมมาอีก 7 ข้อ สมบูรณ์เกิ้อหนุนกันไปตลอดทางจนถึงที่หมาย ดังนี้แล

tongue

สัมมาสังกัปปะ เป็นปัญญามรรคข้อที่ 2 รองจากสัมมาทิฏฐิ

เวลาภาวนาจริงๆสภาวะธรรมจะเป็นอย่างนี้

สัมมาสังกัปปะ ปัญญา ที่ทำหน้าที่ สังเกต พิจารณา

สัมมาทิฏฐิ ปัญญาที่ทำหน้าที่ ดู....เห็น......รู้

สัมมาสติทำหน้าที่ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์....ระลึกได้....ไม่ลืม

สัมมาสมาธิทำหน้าที่ตั้งมั่นอยู่กับงานเจริญมรรค 8

ศีลมรรค 3 ข้อ เป็นกองหนุน

สัมมาวายามะ เป็นตัวกำกับให้เดินตรงไปสู่ที่่หมายเดียว คือ กุศลใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดอันได้แก่ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 เพียรทำให้เกิด
:b12: :b12: :b12:
ถามสั้นแต่ได้โอกาสเลยตอบเสียยาวไปหน่อย เป็นผักบุ้งล้วนๆนะครับ ไม่มีน้ำท่วมครับ เลือกคัด เฟ้น ปะติดปะต่อ ทำความเข้าใจกันเอาเองตามกำลังสติ ปัญญานะครับ
:b8:
:b36:
:b37:
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

สังเกต...ไม่ใช้ความคิด

พิจารณา.....ใช้ความคิด

"นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


อ้างคำพูด:
สังเกต...ไม่ใช้ความคิด


ไม่ใช้ความคิด แล้วใช้อะไรสังเกต หรือนอนหลับสังเกต :b1:

อ้างคำพูด:
นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


ท่องจำ ไว้เตรียมตัวสอบธรรมศึกษารึอโศก คิกๆๆ พูดเพ้อนั่นนี่ แล้วยกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นามธรรมเป็นเหตุปัจจัยกันและกัน มิใช่เกิดโดดๆ อย่างอโศกจินตนาการแยกส่วนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพูดนั่นนี่


ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามี สิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง

.........

* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 20:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

สังเกต...ไม่ใช้ความคิด

พิจารณา.....ใช้ความคิด

"นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


อ้างคำพูด:
สังเกต...ไม่ใช้ความคิด


ไม่ใช้ความคิด แล้วใช้อะไรสังเกต หรือนอนหลับสังเกต :b1:

อ้างคำพูด:
นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


ท่องจำ ไว้เตรียมตัวสอบธรรมศึกษารึอโศก คิกๆๆ พูดเพ้อนั่นนี่ แล้วยกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย

:b12:
ใช้ตาเนื้อ กับตาปัญญาหรือตาญาณสังเกตนะสิ
ทำเป็นหรือเปล่ากรัชกาย
s006


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

สังเกต...ไม่ใช้ความคิด

พิจารณา.....ใช้ความคิด

"นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


อ้างคำพูด:
สังเกต...ไม่ใช้ความคิด


ไม่ใช้ความคิด แล้วใช้อะไรสังเกต หรือนอนหลับสังเกต :b1:

อ้างคำพูด:
นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


ท่องจำ ไว้เตรียมตัวสอบธรรมศึกษารึอโศก คิกๆๆ พูดเพ้อนั่นนี่ แล้วยกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย

:b12:
ใช้ตาเนื้อ กับตาปัญญาหรือตาญาณสังเกตนะสิ
ทำเป็นหรือเปล่ากรัชกาย
s006



บอกชัดๆสิขอรับ พูดแบบที่่คนเขานำไปใช้ต่อได้สิ นี่อะไรพูดแบบเอาคนงง ไม่รู้จะนำไปใช้ยังไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

สังเกต...ไม่ใช้ความคิด

พิจารณา.....ใช้ความคิด

"นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


อ้างคำพูด:
สังเกต...ไม่ใช้ความคิด


ไม่ใช้ความคิด แล้วใช้อะไรสังเกต หรือนอนหลับสังเกต :b1:

อ้างคำพูด:
นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


ท่องจำ ไว้เตรียมตัวสอบธรรมศึกษารึอโศก คิกๆๆ พูดเพ้อนั่นนี่ แล้วยกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย

:b12:
ใช้ตาเนื้อ กับตาปัญญาหรือตาญาณสังเกตนะสิ
ทำเป็นหรือเปล่ากรัชกาย
s006



บอกชัดๆสิขอรับ พูดแบบที่่คนเขานำไปใช้ต่อได้สิ นี่อะไรพูดแบบเอาคนงง ไม่รู้จะนำไปใช้ยังไง :b1:

s004 s004
สังเกต ใช้ตาเนื้อ กับตาญาณหรือตาปัญญา หรือตาใจ ผมว่าชัดแล้วนะ เอาไปใช้ได้จริงๆทันที

เพิ่มหน่อยก็ได้ ถ้าลืมตาดู ก็ใช่้ตาเนื้อสังเกต


ถ้าหลับตาดู ก็ใช้ตาใจ...ตาญาณ หรือ ตาปัญญา สังเกต
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

สังเกต...ไม่ใช้ความคิด

พิจารณา.....ใช้ความคิด

"นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


อ้างคำพูด:
สังเกต...ไม่ใช้ความคิด


ไม่ใช้ความคิด แล้วใช้อะไรสังเกต หรือนอนหลับสังเกต :b1:

อ้างคำพูด:
นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


ท่องจำ ไว้เตรียมตัวสอบธรรมศึกษารึอโศก คิกๆๆ พูดเพ้อนั่นนี่ แล้วยกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย

:b12:
ใช้ตาเนื้อ กับตาปัญญาหรือตาญาณสังเกตนะสิ
ทำเป็นหรือเปล่ากรัชกาย
s006



บอกชัดๆสิขอรับ พูดแบบที่่คนเขานำไปใช้ต่อได้สิ นี่อะไรพูดแบบเอาคนงง ไม่รู้จะนำไปใช้ยังไง :b1:

s004 s004
สังเกต ใช้ตาเนื้อ กับตาญาณหรือตาปัญญา หรือตาใจ ผมว่าชัดแล้วนะ เอาไปใช้ได้จริงๆทันที

เพิ่มหน่อยก็ได้ ถ้าลืมตาดู ก็ใช่้ตาเนื้อสังเกต


ถ้าหลับตาดู ก็ใช้ตาใจ...ตาญาณ หรือ ตาปัญญา สังเกต
:b38:



ปัญญาก็ดี ญาณ ก็ดี ที่อโศกคิดเนี่ย มันยังไงครับ รู้ได้ยังไงว่าคิดวุ่นวายอยู่นั้นเป็นญาณ เป็นปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 21:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

สังเกต...ไม่ใช้ความคิด

พิจารณา.....ใช้ความคิด

"นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


อ้างคำพูด:
สังเกต...ไม่ใช้ความคิด


ไม่ใช้ความคิด แล้วใช้อะไรสังเกต หรือนอนหลับสังเกต :b1:

อ้างคำพูด:
นัตถิปัญญา สมาอาภา"......ความสว่างอื่นใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี


ท่องจำ ไว้เตรียมตัวสอบธรรมศึกษารึอโศก คิกๆๆ พูดเพ้อนั่นนี่ แล้วยกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย

:b12:
ใช้ตาเนื้อ กับตาปัญญาหรือตาญาณสังเกตนะสิ
ทำเป็นหรือเปล่ากรัชกาย
s006



บอกชัดๆสิขอรับ พูดแบบที่่คนเขานำไปใช้ต่อได้สิ นี่อะไรพูดแบบเอาคนงง ไม่รู้จะนำไปใช้ยังไง :b1:

s004 s004
สังเกต ใช้ตาเนื้อ กับตาญาณหรือตาปัญญา หรือตาใจ ผมว่าชัดแล้วนะ เอาไปใช้ได้จริงๆทันที

เพิ่มหน่อยก็ได้ ถ้าลืมตาดู ก็ใช่้ตาเนื้อสังเกต


ถ้าหลับตาดู ก็ใช้ตาใจ...ตาญาณ หรือ ตาปัญญา สังเกต
:b38:



ปัญญาก็ดี ญาณ ก็ดี ที่อโศกคิดเนี่ย มันยังไงครับ รู้ได้ยังไงว่าคิดวุ่นวายอยู่นั้นเป็นญาณ เป็นปัญญา

s004
ตาใจ ตาญาณ ตาปัญญาทำงานได้อย่างไรยังไม่เข้าใจ แสดงว่าขาดประสพการณ์จริงในการภาวนา ยังงี้ก็คุยกันต่อไปไม่รู้เรื่องแล้ว หยุดไปภาวนามาสักสองสามวันก่อนไป้
:b4:


โพสต์ เมื่อ: 26 เม.ย. 2014, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ตาใจ ตาญาณ ตาปัญญาทำงานได้อย่างไรยังไม่เข้าใจ แสดงว่าขาดประสพการณ์จริงในการภาวนา ยังงี้ก็คุยกันต่อไปไม่รู้เรื่องแล้ว หยุดไปภาวนามาสักสองสามวันก่อนไป้


เห็นไหมล่ะ อโศกจินตนาการเอาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ อโศกขาดหลักปฏิบัติขอรับ คือเอาเอาเพ คิดเองทั้งระยอง

หลักการปฏิบัติพระพุทธเจ้าตรัสไว้ พุทธสาสนิกชนนำไปทำกันได้เอง เช่น หลักปฏิบัติแบบสติปัฏฐาน ข้อหนึ่ง เช่น กายานุปัสสนา (กาย+อนุปัสสนา) หรือแม้แต่หลักปฏิบัติโดยใช้ลมหายใจเข้าออก คือ อานาปานสติ (อานาปานะ คือลมหายใจเข้าออก)

แต่หลักปฏิบัติของอโศกใช้ ตาใจ ตาญาณ ตาปัญญา ตานั่นยายนี่ คือคิดเอาว่า เป็นตา เป็นญาณ เป็นอะไรต่ออะไรเอา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร