วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 08:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ค. 2014, 11:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41:

h2o คือ โมเลกุลของน้ำ

จะเป็นน้ำในทะเล แล้วกลายเป็นไอ เป็นเมฆ เป็นน้ำแข็ง เป็นหยดน้ำ เป็หมอก เป็นน้ำค้าง

โครงสร้างโมเลกุลก็ยังเป็นเช่นนั้น

ภาพง่าย ๆ อย่างโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน


กับสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น...แต่การดำเนินไปของมันก็อิงกันได้กับแบบแปลนที่ไม่ซับซ้อน

โครงสร้างของจิต มันก็จะพาเราเป็นไปตามที่เป็นไป

บางครั้ง บางคน ทำไมเกิดมาจึงมักเจอแต่เรื่องดี ๆ

บางครั้ง บางคน ทำไมมักจะมีแต่เรื่องร้าย ๆ เข้ามา

มันอยู่ที่โครงสร้าง ที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนไปตามช่วงวงรอบแห่งวัฏจักร


บางคน ไม่เห็น ก็จะต้องอาศัยคำสอนเพื่อชี้นำน้อมนำให้เชื่อไปในทางต้องการ

สำหรับผู้ปฏิบัติที่เห็นได้ รู้ได้ สัมผัสได้ ก็จะพอรู้พอเข้าใจได้ว่า
เรานั้นท่องเที่ยวไปกับจิต/ใจอย่างไร

พื้นน้ำที่ราบเรียบ จะหย่อนก้อนหินลงไปใยให้ปรากฎระลอกคลื่น ธรรมชาติก็ยังคงดำเนิน

...

:b41:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 05 พ.ค. 2014, 20:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ค. 2014, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


Karpal Singh: Wake & Funeral Proceedings







ทีนี้มาพูดถึงเรื่องคนดีบ้างค่ะ ว่าทำไมเค้าตายคนถึงได้ไปร่วมงานศพเค้ามาก
Sdr 。Karpal Singh มีอาชีพเป็นทนายความ
แต่ผู้ที่เค้าจะว่าความให้นั้น คือผู้ที่ถูก แต่ไม่มีทรัพย์ที่จะต่อสู้ในคดีนั้นได้
ที่เราฟังจากคนที่นี่เราให้ฟังนะ


มีอยู่ครั้งหนึ่งเด็กวัยรุ่นคนจีน จะไปที่สิงค์โปรพอไปถึงที่ด่าน ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง
เดินมาฝากให้ถือถุงให้ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ช่วยถือถุงนั้นให้
พอถึงตอนเช็คของ ของในถุงนั้นเป็นยาเสพติด
สู้คดีอย่างไรผู้หญิงคนนี้ก็แพ้
ก็มีคนแนะนำให้ไปหา Sdr。 Karpal Singh เค้าก็สอบถาม
จนมั่นใจว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ผิดจริงๆ ท่านเป็นทนายให้
จนเด็กผู้หญิงนั้นหลุดพ้นจากความผิด

พ่อ-แม่ผู้หญิงก็ถามค่าทนายเท่าไหร่ ท่านตอบว่า “ ถ้าลูกสาวคุณได้งานแล้ว
ให้ส่งเงินให้เค้าเดือนล่ะ50เหรียญเป็นเวลา2ปี ”

พอผู้หญิงคนนั้นได้งานทำแล้ว ก็ส่งเงินให้ท่านเป็นเวลา2ปีจริงๆ
แต่เงินทั้งหมดที่ส่งมานั้น ท่านนำกลับไปให้แม่ของผู้หญิงทั้งหมด
พวกเค้าเล่าว่าท่านเป็นคนดีจริงๆ ท่านช่วยคนเยอะมาก ถ้าจนท่านไม่คิดเงิน

ท่านดีม๊ากกก ถึงขนาดที่มีครอบครัวคนจีนครอบครัวหนึ่ง
พาลูกอายุ6ขวบกับ7ขวบ นั่งเครื่องบินไปหาท่านที่รัฐปีนัง
ไปให้ลูกได้ดูว่า นี่คือหน้าตาของคนดีนะ ให้ลูกได้เห็นหน้าตาคนดี
คนจีนในมาเลย์ศรัทธาท่านมาก

พอท่านตาย ครอบครัวคนที่ท่านได้เคยให้ความช่วยเหลือ
ไปกันมากเท่าไหร่ดูจำนวนเอาเองเถอะ
ท่านได้เกิดมามนุษย์ ได้ช่วยให้คนได้หลุดพ้นจากความอยุติธรรมมากขนาดไหน :b41: :b55: :b49:


โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ค. 2014, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(เบื้องต้นของการศึกษา: โยนิโสมนสิการ)


ฐานะของความคิด ในระบบการดำเนินชีวิตที่ดี



คนเรานี้ จะมีความสุขอย่างแท้จริง ก็ต้องดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง คือจะต้องปฏิบัติถูกต้องต่อชีวิตของตน เอง และต่อสภาพแวดล้อม ทั้งทางสังคม ทางธรรมชาติ และทางวัตถุโดยทั่วไป รวมทั้งเทคโนโลยี คนที่รู้จัก ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ย่อมมีชีวิตที่ดีงาม และมีความสุขที่แท้ จริง ซึ่งหมายถึงการมีความสุขที่เอื้อต่อการเกิดมีความสุขของผู้อื่นด้วย



อย่างไรก็ตาม การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง หรือการปฏิบัติถูกต้องต่อสิ่ง ทั้งหลาย อย่าง ที่กล่าวมานี้ เป็นการพูดแบบรวมความ ซึ่งถ้าจะให้เห็นชัดเจน จะต้อง แบ่งซอยออกไปเป็นการปฏิบัติถูกต้องในกิจกรรมส่วนย่อยต่างๆ ของการดำเนิน ชีวิตนั้นมากมาย หลายแง่หลายด้าน



ดังนั้น เพื่อเสริมความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงควรกล่าวถึงการปฏิบัติถูก ต้องในแง่ด้านทั้งหลาย ซึ่งเป็นส่วนย่อยที่ประกอบกันขึ้นเป็นการดำเนิน ชีวิตที่ถูกต้องนั้น หรือกระจายความหมายของการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนั้น ออกไป ให้เห็นการปฏิบัติถูกต้องแต่ละแง่แต่ละด้าน ที่เป็นส่วนย่อยของ การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนั้น



การดำเนินชีวิตนั้น มองในแง่หนึ่งก็คือ การดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้อยู่ รอด หรือการนำชีวิตไปให้ล่วงพ้นสิ่งบีบคั้นตัดขัดคับข้อง เพื่อให้เป็น อยู่ได้ด้วยดี การดำเนินชีวิตที่มองในแง่นี้ พูดอย่างสิ้นๆก็คือ การ แก้ปัญหาหรือการดับทุกข์ ผู้ที่แก้ปัญหาได้ถูกต้อง ล่วงพ้นปัญหาไปได้ ด้วยดี ก็ย่อมเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต เป็นอยู่อย่างไร้ ทุกข์ โดยนัยนี้ การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องได้ผลดี ก็คือ การ รู้จักแก้ปัญหา หรือเรียกง่ายๆว่า แก้ปัญหาเป็น



มองอีกแง่หนึ่ง การดำเนินชีวิตของคนเรา ก็คือ การประกอบกิจกรรมหรือทำ การต่างๆ โดยเคลื่อนไหวแสดงออก เป็นพฤติกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ถ้าไม่ แสดงออกมาภายนอก ก็ทำอยู่ภายใน เป็นพฤติกรรมของจิตใจ พูดรวมๆ ว่า ทำ พูด คิด หรือใช้คำศัพท์ว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่มีชื่อรวมเรียกว่า กรรมทางไตรทวาร



ในแง่นี้ การดำเนินชีวิต ก็คือ การทำกรรมทั้ง ๓ ประการ ผู้ที่ทำกรรม ๓ อย่างนี้ได้อย่างถูกต้อง ก็ย่อมดำเนิน ชีวิตไปได้ด้วยดี ดังนั้น การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ผลดี ก็คือ การรู้จักทำ รู้จักพูด รู้จักคิด เรียกง่ายๆว่า คิดเป็น พูดเป็น (หรือสื่อสารเป็น) และทำเป็น (รวมทั้งผลิตเป็น)

มีต่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ค. 2014, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ



ในแง่ต่อไป การดำเนินชีวิตของคนเรา ถ้าวิเคราะห์ออกไป จะเห็น ว่า เต็มไปด้วยเรื่องของการรับรู้ และเสวยรสของสิ่งรู้หรือสิ่งเร้า ต่างๆ ที่เรียกรวมๆ ว่าอารมณ์ทั้งหลาย ซึ่งผ่านเข้ามา หรือปรากฎทางอายตนะ ทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งต้องกาย และรู้อารมณ์ในใจ หรือ หู ฟัง ดม ชิม ลิ้ม ถูกต้อง/สัมผัส และคิดหมาย



ท่าที และปฏิกิริยาของบุคคลในการรับรู้อารมณ์เหล่านี้ มีผลสำคัญอย่าง ยิ่งต่อชีวิตจิตใจและวิถีชีวิตหรีอชะตากรรมของเขา ถ้าเขารับรู้ด้วยท่าที ของความยินดียินร้าย หรือชอบชัง วงจรของปัญหาก็จะตั้งต้น แต่ถ้าเขารับรู้ด้วยท่าทีแบบบันทึกข้อมูล และเห็นตามเป็นจริง หรือมองตามเหตุปัจจัย ก็จะนำไปสู่ปัญญา และการแก้ปัญหา


นอก จากท่าทีและปฏิบัติในการรับรู้แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่านั้น ก็ คือ การเลือกรับรู้อารมณ์ หรือเลือกอารมณ์ที่จะรับรู้ เช่น เลือกดู เลือกฟัง สิ่งที่สนองความอยาก หรือเลือกดู เลือกฟัง สิ่งที่สนองปัญญาส่งเสริมคุณภาพชีวิต



เมื่อมอง ในแง่นี้ การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ผลดี จึงหมายถึงการรู้จักรับ รู้ หรือรับรู้เป็น ได้แก่ รู้จัก (เลือก) ดู รู้จัก (เลือก) ฟัง รู้จัก (เลือก) ดม รู้จัก (เลือก) ลิ้ม รู้จัก (เลือก) สัมผัส รู้จัก (เลือก) คิด เรียกง่ายๆว่า ดูเป็น ฟังเป็น ดมเป็น ชิมเป็น สัมผัสเป็น และ คิดเป็น


ยัง มีแง่ที่จะมองได้ต่อไปอีก การดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้น ในความหมายอย่าง หนึ่ง ก็คือ การเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลาย เพื่อถือเอา ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น


จะเห็นชัดว่า สำหรับ คนทั่วไปส่วนใหญ่ การดำเนินชีวิตจะมีความหมายเด่นในแง่นี้ คือ การที่ จะได้เสพหรือบริโภค คนทั่วไปส่วนมาก เมื่อจะเข้าไปเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ กับ สภาพแวดล้อมทางสังคมก็ตาม ทางวัตถุก็ตาม ก็มุ่งที่จะได้จะเอาประโยชน์ อย่างใดอย่างหนึ่งจากบุคคลหรือสิ่งเหล่านั้น เพื่อสนองความประสงค์ หรือ ความปรารถนาของตน พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เพื่ออต้องการสนองความประสงค์ หรือความปรารถนาของตน จึงเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคล หรือ สิ่งทั้งหลายอย่างนั้นๆ


แม้แต่การดำเนินชีวิตใน ความหมายของการรับรู้ในข้อก่อนนี้ ว่าที่จริงก็แบ่ง เป็น ๒ ด้าน คือ ด้านรับรู้ เช่น เห็น ได้ยิน เป็น ต้น กับ ด้านเสพ เช่น ดู ฟัง เป็นต้น ความหมายด้านที่สอง คือ การเสพที่ให้ดูเป็น ฟังเป็น เป็นต้น ก็มีนัยที่รวมอยู่ในความหมายข้อนี้ด้วย



การ ปฏิบัติที่ถูกต้องในการเสพหรือบริโภคนี้ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะ กำหนด หรือปรุงแต่งวิถีชีวิต และทุกข์สุขของมนุษย์ ดังนั้น การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ผลดี ก็คือ การรู้จัก เสพ รู้จักบริโภค ถ้าเป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทาง สังคม ก็หมายถึงการรู้จักคบหา รู้จักเสวนา ถ้าเป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางวัตถุ ก็หมายถึงการรู้จักกิน รู้จักใช้ เรียกง่ายๆ ว่า กินเป็น ใช้เป็น บริโภคเป็น เสวนาเป็น คบคนเป็น

จะเห็นว่า การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ผลดีนั้น ครอบคลุมถึงการปฏิบัติ ถูกต้องที่เป็นส่วนย่อยของการดำเนินชีวิตนั้น มากมายหลายแง่หลายด้านด้วย กัน กล่าวโดยสรุป คือ

ก) ในแง่ของการล่วงพ้นปัญหา ได้แก่ แก้ปัญหาเป็น

ข) ในแง่ของการทำกรรม ได้แก่ คิดเป็น พูดเป็น/สื่อสารเป็น ทำเป็น

ค) ในแง่ของการรับรู้ ได้แก่ ดูเป็น ฟังเป็น ดมเป็น ลิ้มเป็น สัมผัสเป็น คิดเป็น

ง) ในแง่ของการเสพหรือบริโภค ได้แก่ กินเป็น ใช้เป็น บริโภคเป็น เสวนา-คบหาเป็น


การ ปฏิบัติถูกต้องในแง่ด้านต่างๆ ที่เป็นส่วนย่อยของการดำเนินชีวิตอย่างที่ กล่าวมานี้ รวมเรียก การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง หรือการรู้จัก ดำเนินชีวิต พูดได้สอดคล้องกับถ้อยคำที่ใช้ข้างต้นว่า ดำเนินชีวิต เป็น และชีวิตที่ดำเนินอย่างนี้ ได้ชื่อว่าเป็นชีวิตที่ดีงาม ตามนัยแห่งพุทธธรรม


มีต่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 05 พ.ค. 2014, 19:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ค. 2014, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


บรรดาการปฏิบัติถูกต้องในแง่ด้านต่างๆเหล่านี้ อาจพูดรวบรัดได้ว่า การรู้จักคิด หรือ คิดเป็น เป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งของการดำเนิน ชีวิตที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลมากมายหลายประการ เช่น

ในแง่ของการรับรู้ ความ คิดเป็นจุดศูนย์รวม ที่ข่าวสารข้อมูลทั้งหมดไหลมาชุมนุม เป็นที่ วินิจฉัย และนำข่าวสารข้อมูลเหล่านั้นไปปรุงแต่งสร้างสรรค์และไร้การต่างๆ


ในแง่ของกรรม คือ ใน แง่ของระบบการกระทำ ความคิดเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การแสดงอกทาง กาย และวาจา ที่เรียกว่าการพูดและการกระทำ และเป็นศูนย์ บัญชาการ ซึ่งกำหนดหรือสั่งบังคับให้พูดจาและให้ทำการไปตามที่คิดหมาย


ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างระบบทั้งสองนั้น ความ คิดเป็นศูนย์กลาง โดยเป็นจุดประสานเชื่อมต่อระหว่างระบบการรับ รู้ กับระบบการทำกรรม กล่าวคือ เมื่อรับรู้เข้ามาโดยทางอายตนะ ต่างๆ และเก็บรวบรวมประมวลข้อมูลข่าวสารมาคิดปรุงแต่งแล้ว ก็วินิจฉัย สั่งการโดยแสดงออกเป็นการกระทำทางกายหรือวาจา คือ พูดจา และเคลื่อนไหวทำการต่างๆต่อไป


พูดรวมๆได้ ว่า การคิดถูกต้อง รู้จักคิด หรือ คิดเป็น เป็นศูนย์กลางที่ บริหารการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องทั้งหมด เพราะเป็นหัวหน้าที่ชี้นำ นำ ทาง และควบคุมการปฏิบัติถูกต้องในแง่อื่นๆทั้งหมด

เมื่อคิด เป็นแล้ว ก็ช่วยให้พูดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ช่วยให้ดูเป็น ฟัง เป็น กินเป็น ใช้เป็น บริโภคเป็น และคบหาเสวนาเป็น ตลอดไปทุกอย่าง คือ ดำเนินชีวิตเป็นนั่นเอง จึง พูดได้ว่า การรู้จักคิด หรือคิดเป็น เป็นตัวนำที่ชัดพา หรือ เปิด ช่องไปสู่การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง หรือชีวิตที่ดีงามทั้งหมด


ลักษณะ สำคัญที่เป็นตัวตัดสินคุณค่าของการรู้จักทำ หรือทำเป็น ก็คือความพอ ดี และในกรณีทั่วๆไป รู้จัก และ เป็น กับ พอดี ก็มีความหมายเป็นอันเดียวกัน


การรู้จักทำ หรือทำอะไรเป็น ก็คือ ทำสิ่งนั้นๆ พอเหมาะพอดีที่จะให้เกิดผลสำเร็จที่ต้องการ ตามวัตถุประสงค์ หรือทำแม่นยำ สอดคล้อง ตรงจุด ตรงเป้า ที่จะให้ บรรลุจุดหมายอย่างดีที่สุด โดยไม่เกิดผลเสียหาย หรือข้อบกพร่องใดๆ เลย
พุทธธรรมถือเอาลักษณะที่ไร้โทษ ไร้ทุกข์ และเหมาะเจาะที่จะให้ถึงจุดหมายนี้เป็นสำคัญ จึงใช้คำว่า พอดี เป็นคำหลัก ดังนั้น สำหรับคำว่า ดำเนินชีวิตเป็น จึงใช้คำว่า ดำเนินชีวิตพอดี คือ ดำเนินชีวิตพอดีที่จะให้บรรลุจุดหมายแห่งการเป็นอยู่อย่างไร้ทุกข์มีความสุขที่แท้จริง



การดำเนินชีวิตพอดี หรือการปฏิบัติพอดี เรียกเป็นคำศัพท์ว่า มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งมีความหมายเป็นอันเดียวกันกับการดำเนินชีวิตที่ดีงาม กล่าวคือ มรรค หรือ อริยมรรค ที่ แปลสืบๆ กันมาว่า มรรคอันประเสริฐ คือ ทางดำเนินชีวิตที่ดีงาม ล้ำ เลิศ ปราศจากพิษภัยไร้โทษ นำสู่เกษมศานติ์ และความสุขที่สมบูรณ์


พุทธธรรมแสดงหลักการว่า การที่จะดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง หรือมีชีวิตที่ดี งามได้นั้น จะต้องมีการฝึกฝนพัฒนาตน ซึ่งได้แก่กระบวนการที่เรียกว่า การศึกษา พูดอย่างสั้นที่สุดว่า มรรคจะเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยสิกขา


การ คิดถูกต้อง รู้จักคิด หรือคิดเป็น เป็นตัวนำของชีวิตที่ดีงาม หรือ มรรค ฉันใด การฝึกฝนพัฒนาความคิดที่ถูกต้อง ให้รู้จัก คิด หรือคิดเป็น ก็เป็นตัวนำของการศึกษา หรือ สิกขา ฉันนั้น


ใน กระบวนการฝึกฝนพัฒนาตน คือ การศึกษา เพื่อให้มีชีวิตดีงามนั้น การ ฝึกฝนความรู้จักคิด หรือ คิดเป็นซึ่งเป็นตัวนำ จะเป็นปัจจัยชักพาไป สู่ความรู้ความเข้าใจ ความคิดเห็น ตลอดจนความเชื่อถือถูกต้อง ที่ เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นแกนนำของชีวิตที่ดีงามทั้งหมด


การ พัฒนาสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นแกนนำในกระบวนการของการศึกษานั้น ก็คือ สาระ สำคัญของการพัฒนาปัญญา ที่เป็นแกนกลางของกระบวนการพัฒนาคน ที่เรียก ว่า การศึกษา นั่นเอง


การรู้จัก คิด หรือคิดเป็นนั้น ประกอบด้วยวิธีคิดต่างๆ หลายอย่าง การฝึกฝน พัฒนาความรู้จักคิด หรือคิดเป็น ก็คือการฝึกฝนพัฒนาตน หรือการฝึกฝน พัฒนาบุคคล ตามแนวทางของวิธีคิดเหล่านั้น หรือ เช่นนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ค. 2014, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาค่ะ คุณกรัชกาย

เรื่องของทิฏฐินั้นมีความสำคัญมาก การจะพัฒนาทิฏฐิไปสู่สัมมาทิฏฐิยิ่งยากใหญ่...บางครั้งเห็นทิฏฐิของคนส่วนใหญ่ในสังคมแล้วรู้สึกเป็นห่วงอนาคตลูกหลาน...ผู้หลักผู้ใหญ่ยังเป็นกันถึงขนาดนี้... :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาต่อนะครับ :b1:


ฐานะของความคิดในกระบวนการของการศึกษา หรือ การพัฒนาปัญญา


ก่อนจะพูดกันต่อไปในเรื่องวิธีคิด ขอทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับฐานะของความ คิดในกระบวนการของการศึกษา โดยเฉพาะในการพัฒนาปัญญา ที่เป็นแกนกลางของ การศึกษานั้นก่อน

ก) จุดเริ่มของการศึกษา และความไร้การศึกษา

ตัวแท้ของการศึกษา คือการพัฒนาตนโดยมีการพัฒนาปัญญาเป็นแกนกลาง นั้น เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปภายในตัวบุคคล แกนนำของกระบวนการแห่งการ ศึกษา ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ความคิดเห็น แนวความ คิด ทัศนคติ ค่านิยมที่ถูกต้องดีงาม เกื้อกูลแก่ชีวิตและสังคม สอด คล้องกับความเป็นจริง เรียกสั้นๆว่า สัมมาทิฏฐิ


เมื่อรู้เข้าใจ คิดเห็นดีงาม ถูกต้องตรงตามความจริงแล้ว การ คิด การพูด การกระทำ และการแสดงออกหรือปฏิบัติการต่างๆก็ถูกต้องดีงาม เกื้อกูล นำไปสู่การดับทุกข์ แก้ไขปัญหาได้


ในทางตรงกันข้าม ถ้ารู้เข้าใจคิดเห็นผิด มีค่านิยม ทัศนคติ แนวความคิดที่ผิด ที่เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ แล้ว การคิด การพูด การกระทำ การแสดงออก และปฏิบัติการต่างๆก็พลอยดำเนิน ไปในทางที่ผิดพลาดด้วย แทนที่จะแก้ปัญหาดับทุกข์ได้ ก็กลายเป็นก่อ ทุกข์ สั่งสมปัญหา ให้เพิ่มพูนร้ายแรงยิ่งขึ้น

สัมมาทิฏฐิ นั้น แยกได้เป็น ๒ ระดับ คือ

๑. ทัศนะ ความคิดเห็น แนวความคิด ทฤษฎี ความเชื่อถือ ความนิยม ค่านิยม จำพวกที่เชื่อหรือยอมรับรู้กระทำ และผลการกระทำของตน หรือสร้างความสำนึกในความรับผิดชอบต่อการกระทำของตน พูดอย่างชาวบ้านว่า เห็นชอบตามคลองธรรม เรียกสั้นๆว่า กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ เป็น สัมมาทิฏฐิระดับโลกีย์ เป็นขั้นจริยธรรม


๒.ทัศนะ แนวความคิด ที่มองเห็นความเป็นไปของสิ่งทั้งหลายตามธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย ความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมันหรือตามที่มันเป็น ไม่เอนเอียงไปตามความชอบความชังของตน หรือตามที่อยากให้มันเป็น อยากไม่ให้มันเป็นความรู้ความเข้าใจสอดคล้องกับความเป็นจริงแห่งธรรมดา เรียกสั้นๆว่า สัจจานุโลมิกญาณ เป็น สัมมาทิฏฐิแนวโลกุตระ เป็นขั้นสัจธรรม


มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดหลงผิด ก็มี ๒ ระดับ เช่นเดียวกัน คือ ทัศนะ แนวความคิด ค่านิยม ที่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่ยอมรับการกระทำของตน กับความไม่รู้ไม่เข้าใจโลก และชีวิตตามสภาวะ หลงมองสร้างภาพไปตามความอยากให้เป็น และอยากไม่ให้เป็นของตนเอง

อย่างไรก็ดี กระบวนการของการศึกษาภายในตัวบุคคล จะเริ่มต้นและดำเนินไปได้ ต้องอาศัยการติดต่อเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม และอิทธิพลจากภายนอกเป็นแรงผลักดัน หรือเป็นปัจจัยก่อตัว ถ้าได้รับการถ่ายทอดแนะนำชักจูง เรียนรู้จากแหล่งความรู้ความคิดที่ถูกต้อง หรือรู้จักเลือกรู้จักมองรู้จักเกี่ยวข้องพิจารณาโลกและชีวิตในทางที่ถูก ต้อง ก็จะทำให้เกิด สัมมาทิฏฐิ นำไปสู่การศึกษาที่ถูกต้องหรือมีการศึกษา

แต่ตรงข้าม ถ้าได้รับถ่ายทอดแนะนำชักจูง ได้รับอิทธิพลภายนอกที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักพิจารณา ไม่รู้เท่าทันประสบการณ์ต่างๆ ก็จะทำให้เกิด มิจฉาทิฏฐิ นำไปสู่การศึกษาที่ผิด หรือความไร้การศึกษา


โดยสรุปแหล่งที่มาเบื้องต้นของการศึกษา เรียกว่าปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ มี ๒ อย่าง คือ

๑. ปัจจัยภายนอก เรียกว่า ปรโตโฆสะ แปลว่า เสียงจากผู้อื่น หรือเสียงบอกจากผู้อื่น ได้แก่การรับถ่ายทอด หรืออิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมเช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อนที่คบหา หนังสือสื่อมวลชน และวัฒนธรรม ซึ่งให้ข่าวสารที่ถูกต้อง สั่งสอนอบรมแนะนำชักจูงไปในทางที่ดีงาม

๒.ปัจจัยภายใน เรียกว่าโยนิโสมนสิการ แปลว่าการทำในใจโดยแยบคายหมายถึงการคิดถูกวิธีความรู้จักคิดหรือ คิดเป็น


ในทำนองเดียวกัน แหล่งที่มาของการศึกษาที่ผิด หรือความไร้การศึกษา ที่เรียกว่า ปัจจัยแห่งมิจฉาทิฏฐิ ก็มี ๒ อย่างเหมือนกัน คือ ปรโตโฆสะเสียงบอกจากภายนอกที่ไม่ดีงาม ไม่ถูกต้อง และอโยนิโสมนสิการ การทำในใจไม่แยบคาย การไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็นหรือการขาดโยนิโสมนสิการนั่นเอง


มีต่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

ข. กระบวนการของการศึกษา

ได้กล่าวแล้วว่าแกนนำแห่งกระบวนการของการศึกษาได้แก่สัมมาทิฏฐิ เมื่อมีสัมมาทิฏฐิเป็นแกนนำและเป็นฐานแล้วกระบวนการแห่งการศึกษาภายในตัวบุคคลก็ดำเนินไปได้

กระบวนการนี้แบ่งเป็น ๓ ขั้นตอนใหญ่ๆเรียกว่า ไตรสิกขา (สิกขาหรือหลักการศึกษา ๓ ประการ) คือ

๑.การฝึกฝนพัฒนาในด้านความประพฤติ ระเบียบวินัย ความสุจริตทางกายวาจา และอาชีวะ เรียกว่า อธิสีลสิกขา (เรียกง่ายๆว่าศีล)


๒.การฝึกฝนพัฒนาทางจิตใจ การปลูกฝังคุณธรรมสร้างเสริมคุณภาพ สมรรถภาพและสุขภาพจิต เรียกว่าอธิจิตตสิกขา (เรียกง่ายๆว่าสมาธิ)


๓. การฝึกฝนพัฒนาทางปัญญา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้ความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ทำให้แก้ไขปัญหาไปตามแนวทางเหตุผลรู้เท่าทันโลก และชีวิต จนสามารถทำจิตใจให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากความยึดติดถือมั่นในสิ่งต่างๆ ดับกิเลส ดับทุกข์ได้ เป็นอยู่ด้วยจิตอิสระผ่องใสเบิกบาน เรียกว่า อธิปัญญาสิกขา (เรียกง่ายๆว่าปัญญา)

หลักการศึกษา ๓ ประการนี้ จัดวางขึ้นไว้โดยอาศัยหลักปฏิบัติที่เรียกว่า วิธีแก้ปัญหาของอารยชนเป็นพื้นฐาน วิธีแก้ปัญหาแบบอารยชนนี้ เรียกตามคำบาลีว่า อริยมรรค แปลว่า ทางดำเนินสู่ความดับทุกข์ ที่ทำให้เป็นอริยชน หรือวิธีดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ


อริยมรรคนี้ มีองค์ประกอบที่เป็นเนื้อหาหรือรายละเอียดของการปฏิบัติ ๘ ประการคือ

๑.ทัศนะ ความคิดเห็น แนวคิด ความเชื่อถือ ทัศนคติ ค่านิยมต่างๆ ที่ดีงามถูกต้องมองสิ่งทั้งหลายตามเหตุปัจจัย สอดคล้องกับความเป็นจริง หรือตรงตามสภาวะเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)

๒.ความคิด ความดำริตริตรอง หรือคิดการต่างๆ ที่ไมเป็นไปเพื่อเป็นเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่เศร้าหมองขุ่นมัวเป็นไปในทางสร้างสรรค์ประโยชน์สุข เช่น ติดในทางเสียสละ หวังดี มีไมตรี ช่วยเหลือเกื้อกูลและความคิดที่บริสุทธิ์ อิงสัจจะ อิงธรรม ไม่เอนเอียงด้วยความเห็นแก่ตัวความคิดจะได้จะเอา หรือความเคียดแค้นชิงชัง มุ่งร้ายคิดทำลาย เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)

๓.การพูด หรือการแสดงออกทางวาจาที่สุจริต ไม่ทำร้ายผู้อื่น ตรงความจริง ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ส่อเสียด ไม่ให้ร้ายป้ายสี ไม่หยาบคาย ไม่เหลวไหล ไม่เพ้อเจ้อเลื่อนลอย แต่สุภาพ นิ่มนวล ชวนให้เกิดไมตรีสามัคคีกัน ถ้อยคำที่มีเหตุผล เป็นไปในทางสร้างสรรค์ ก่อประโยชน์เรียกว่า สัมมาวาจา (วาจาชอบ)

๔.การกระทำที่ดีงามสุจริต เป็นไปในทางสร้างสรรค์ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีงาม ทำให้อยู่ร่วมกันด้วยดี ทำให้สังคมสงบสุข คือ การกระทำหรือทำการต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่เป็นไปเพื่อการทำลายชีวิตร่างกาย การทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น การล่วงละเมิดสิทธิในคู่ครอง หรือของรักของหวงแหนของผู้อื่น เรียกว่า สัมมากัมมันตะ (การทำชอบ)

๕.การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ก่อความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่น เรียกว่า สัมมาอาชีวะ (อาชีพชอบ)

๖.การเพียรพยายามในทางที่ดีงามชอบธรรม คือ เพียรหลีกเว้นป้องกันสิ่งชั่วร้ายอกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น เพียรละเลิก กำจัดสิ่งชั่วร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว เพียรสร้างสรรค์สิ่งดีงาม หรือกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรส่งเสริมพัฒนาสิ่งดีงาม หรือกุศลธรรมที่เกิดมีแล้ว ให้เพิ่มพูนเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปจนเพียบพร้อมไพบูลย์ เรียกว่า สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)

๗. การมีสติกำกับตัวคุมใจไว้ให้อยู่กับสิ่งที่เกี่ยวข้องต้องทำในเวลานั้นๆ ใจ อยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน ระลึกได้ถึงสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เกื้อกูลเป็นประโยชน์ หรือธรรมที่ต้องใช้ในเรื่องนั้นๆ เวลานั้นๆ ไม่หลงใหลเลื่อนลอย ไม่ละเลยหรือปล่อยตัวเผอเรอ โดยเฉพาะสติที่กำกับทันต่อพฤติกรรมของร่างกาย ความรู้สึก สภาพจิตใจ และความนึกคิดของตน ไม่ปล่อยให้อารมณ์ที่เย้ายวนหรือยั่วยุ มาฉุดกระชากให้หลุดหลงเลื่อนลอยไปเสีย เรียกว่า สัมมาสติ (ระลึกชอบ)

๘.ความมีจิตตั้งมั่น จิตใจดำเนินอยู่ในกิจในงาน หรือในสิ่งที่กำหนด (อารมณ์) ได้สม่ำเสมอ แน่วแน่เป็นหนึ่งเดียว สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวกหวั่นไหว บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว นุ่มนวล ผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่กระด้าง เข้มแข็ง เอางาน ไม่หดหู่ท้อแท้ พร้อมที่จะใช้งานทางปัญญาอย่างได้ผลดี เรียกว่า สัมมาสมาธิ (จิตมั่นชอบ)



หลักการศึกษา ๓ ประการ คือ ไตรสิกขา ก็จัดวางขึ้นโดยมุ่งให้ผลเกิดขึ้นตามหลักปฏิบัติแห่งอริยมรรค (มรรควิธีแก้ปัญหาหรือ มรรคแห่งความดับทุกข์) คือเป็นการฝึกฝนอบรมให้องค์ทั้ง ๘ แห่งมรรคนั้น เกิดมีและเจริญงอกงามใช้ประโยชน์ได้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น แก้ไขปัญหาดับทุกข์ได้ดียิ่งขึ้นตามลำดับจนถึงที่สุด กล่าวคือ


๑. อธิสีลสิกขา - คือการศึกษาด้านหรือขั้นตอนที่ฝึกปรือให้เกิดมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ เจริญ งอกงามขึ้นจนบุคคลมีความพร้อมทางความประพฤติ วินัย และความสัมพันธ์ทางสังคม ถึงมาตรฐานของอารยชน เป็นพื้นฐานแก่การสร้างเสริมคุณภาพจิตได้ดี

๒. อธิจิตสิกขา - คือการศึกษาด้าน หรือขั้นตอนที่ฝึกปรือให้เกิดมีสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เจริญ งอกงามขึ้น จนบุคคลมีความพร้อมทางคุณธรรม มีคุณภาพจิต สมรรถภาพจิต และสุขภาพจิตพัฒนาถึงมาตรฐานของอารยชนเป็นพื้นฐานแห่งการพัฒนาปัญญาได้ดี

๓.อธิปัญญาสิกขา - คือการศึกษาด้านหรือขั้นตอนที่ฝึกปรือให้เกิดมีสัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ เจริญ งอกงามขึ้นจนบุคคลมีความพร้อมทางปัญญาถึงมาตรฐานของอารยชน สามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยปัญญา มีจิตใจผ่องใส เบิกบาน ไร้ทุกข์หลุดพ้นจากความยึดถือมั่นต่างๆ เป็นอิสรเสรีด้วยปัญญาอย่างแท้จริง

แต่ดังได้กล่าวแล้วข้างต้นว่า สัมมาทิฏฐิที่เป็นแกนนำแห่งกระบวนการของการศึกษานั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ ๒ ประการ

ดังนั้น ในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา จุดสนใจที่ควรเน้นเป็นพิเศษ คือ เรื่องปัจจัยแห่งสัมมาทิฐิ ที่เป็นจุดเริ่มต้น เป็นแหล่ง เป็นที่มาของการศึกษา คำที่พูดกันว่า “ให้การศึกษา” ก็อยู่ที่ปัจจัย ๒ ประการนี้เอง ส่วนกระบวนการของการศึกษา ที่เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญานั้น เพียงแต่รู้เข้าใจไว้ เพื่อจัดสภาพแวดล้อมให้เกื้อกูล และคอยเสริมคุมกระตุ้นเร้าให้เนื้อหาของการศึกษาหันเบนดำเนินไปตามกระบวน นั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ค. ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของการศึกษา


เมื่อได้ทำความเข้าใจคร่าวๆเกี่ยวกับกระบวนการของการศึกษา พอเห็นตำแหน่ง แห่งที่ หรือฐานะของความคิดในกระบวนแห่งการศึกษานั้นแล้ว ก็จะได้กล่าว ถึงเรื่องความคิดโดยเฉพาะต่อไป


อย่างไรก็ดี โดยที่ความคิดเป็นอย่างในบรรดาจุดเริ่ม หรือแห่ง ที่ มา ๒ ประการ ของการศึกษา เมื่อจะพูดถึงความคิดที่เป็นจุดเริ่มอย่าง หนึ่ง ก็ควรรู้จุดเริมอื่นอีกอย่างหนึ่งนั้นด้วย เพื่อจะได้ขอบเขตความ เข้าใจที่กว้างขวางชัดเจนยิ่งขึ้น


ก่อนอื่น พึงพิจารณาพุทธพจน์ ดังนี้


"ภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มี ๒ ประการ ดังนี้ คือ ปรโตโฆสะ และโยนิโสมนสิการ"


"โดยกำหนดว่าเป็นองค์ประกอบภายนอก เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายนอกอื่น แม้สักอย่างหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ เหมือนความมีกัลยาณมิตรเลย"


"โดยกำหนดว่าเป็นองค์ประกอบภายใน เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบอื่น แม้สักอย่างหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย"


ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐินั้น ได้แสดงความหมายในที่นี้ว่า เป็นจุด เริ่ม หรือแหล่งที่มาของการศึกษา หรือ อาจจะเรียกว่า บุพภาคของการ ศึกษา เพราะเป็นบ่อเกิดของสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นแกนนำ เป็นต้นทาง และเป็นตัวยืนของกระบวนการแห่งการศึกษา ทั้งหมด ที่ตรัสว่า มี ๒ อย่าง คือ


๑. ปรโตโฆสะ แปลว่า เสียงจากผู้อื่น หรือการกระตุ้นชักจูงจากภายนอก ได้แก่ การสั่งสอน แนะนำ การถ่ายทอด การโฆษณา ข่าวสาร คำชี้แจงอธิบายจาก ผู้อื่น ตลอดจนการเรียนรู้ เลียนแบบ จากแหล่งต่างๆภายนอก หรือ อิทธิพลจากภายนอก


แหล่งสำคัญของการเรียนรู้ประเภทนี้ เช่น พ่อ แม่ ครู อาจารย์ เพื่อน คนแวดล้อมใกล้ชิด ผู้ร่วมงาน ผู้บังคับ บัญชา และผู้ไต้บังคับบัญชา บุคคลมีชื่อเสียง คนโด่งดัง คนผู้ได้ รับความนิยมในด้านต่างๆ หนังสือ สื่อมวลชนทั้ง หลาย สถาบันทางศาสนาและวัฒนธรรม เป็นต้น ในที่นี้หมายถึงเฉพาะที่แนะนำในทางถูกต้องดีงาม ให้ความรู้ความ เข้าใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะสามารถช่วยนำไปสู่ปัจจัยที่ ๒ ได้


ปัจจัยข้อนี้ จัดเป็นองค์ประกอบภายนอก หรืออาจเรียกว่า ปัจจัยทางสังคม


บุคคลผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม สามารถทำหน้าที่ปรโตโฆสะที่ดี มีคุณภาพสูง มีคำเรียกเฉพาะว่า กัลยาณมิตร ตามปกติกัลยาณมิตร จะทำหน้าเป็นผลดี ประสบความสำเร็จแห่งปรโตโฆสะได้ ต้องสามารถสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ผู้เล่าเรียน หรือผู้รับการฝึก สอนอบรม จึงเรียกวิธีเรียนรู้ในข้อนี้ว่า วิธีการแห่งศรัทธา


ถ้าผู้มีหน้าที่ให้ปรโตโฆสะ เช่น ครู อาจารย์ พ่อแม่ ไม่สามารถทำ ให้เกิดศรัทธาได้ และผู้เล่าเรียน เช่น เด็กๆ เกิดมีศรัทธาต่อ แหล่งความรู้ ความคิดอื่นมากกว่า เช่น ดาราใน สื่อมวลชน เป็นต้น และถ้าแหล่งเหล่านั้นให้ปรโตโฆสะที่ชั่วร้ายผิด พลาด อันตรายย่อมเกิดขึ้นในกระบวนการแห่งการศึกษา อาจเกิดการศึกษาที่ ผิด หรือ ความไร้การศึกษา

๒.โยนิโสมนสิการ แปลว่า การทำในใจโดยแยบคาย หรือคิดถูกวิธี แปลง่ายๆ ว่าความรู้จักคิด หรือคิดเป็น หมายถึงการคิดอย่างระเบียบหรือคิดตามแนวทางของปัญญา คือการรู้จักมอง รู้จักพิจารณาสิ่งทั้งหลายตามสภาวะ เช่น ตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมัน โดยวิธีคิดหาเหตุปัจจัยสืบค้นถึงต้นเค้าสืบสาวให้ตลอดสาย แยกแยะสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ ออกให้เห็นตามสภาวะ และความคิดสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย โดยไม่เอาความรู้สึกด้วย ตัณหา อุปาทานของตนเข้าจับ หรือเคลือบคลุม ทำให้เกิดความดีงามและแก้ปัญหาได้


ข้อนี้เป็นองค์ประกอบฝ่ายภายใน หรือปัจจัยภายในตัวบุคคล และอาจเรียกตามองค์ธรรมที่ใช้งานว่า วิธีการแห่งปัญญา


บรรดาปัจจัย ๒ อย่างนี้ ปัจจัยข้อที่ ๒ คือโยนิโสมนสิการ เป็นแกนกลาง หรือ ส่วนที่ขาดไม่ได้ การศึกษาจะสำเร็จผลแท้จริงบรรลุจุดมุ่งหมายได้ ก็เพราะปัจจัยข้อที่ ๒ นี้ ปัจจัยข้อที่ ๒ อาจให้เกิดการศึกษาได้ โดยไม่มีข้อที่ ๑ แต่ปัจจัยข้อที่ ๑ จะต้องนำไปสู่ปัจจัยข้อที่ ๒ด้วย จึงจะสัมฤทธิ์ผลของการศึกษาที่แท้ การค้นพบต่างๆความคิดริเริ่ม ความก้าวหน้าทางปัญญาที่สำคัญๆ และการตรัสรู้สัจธรรมก็สำเร็จด้วยโยนิโสมนสิการ


อย่างไรก็ตาม แม้ความจริงจะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่พึงดูแคลนความสำเร็จของปัจจัยข้อแรก คือปรโตโฆสะ เพราะตามปกติ คนที่จะไม่ต้องอาศัยปรโตโฆสะเลย ใช้แต่โยนิโสมนสิการ อย่างเดียว ก็มีแต่อัจฉริยบุคคลยอดเยี่ยม เช่น พระ พุทธเจ้า เป็นต้น ซึ่งมีน้อยท่านอย่างยิ่ง ส่วนคนทั่วไปที่เป็นส่วนใหญ่ หรือ คนแทบทั้งหมดในโลก ต้องอาศัยปรโตโฆสะเป็นที่ชักนำชี้ช่องทางให้


กิจกรรมทางการศึกษาที่จัดกันอยู่ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งดำเนิน การกันเป็นระบบ เป็นงานเป็นการ การถ่ายทอดความรู้และศิลปะวิทยาการต่างๆ ที่เป็น ของสุตะ ก็ล้วนเป็นเรื่องของปรโตโฆสะทั้งสิ้น การสร้างปรโตโฆสะที่ ดีงามโดยกัลยาณมิตร จึงเป็นเรื่องที่ควรได้รับความเอาใจใส่ตั้งใจจัดเป็นอย่างยิ่ง


จุดที่พึงย้ำเกี่ยวกับโยนิโสมนสิการ ก็คือ เมื่อดำเนินกิจการในทางการศึกษา อำนวยปรโตโฆสะที่ดีอยู่ นั้น กัลยาณมิตรพึงระลึกอยู่เสมอว่า ปรโตโฆสะที่จัดสรรอำนวยให้นั้น จะต้องเป็นเครื่องปลูกเร้าโยนิโสมนสิการ ให้เกิดขึ้นแก่ผู้เล่าเรียน รับการศึกษา


เมื่อทำความเข้าใจเบื้องต้นอย่างนี้แล้ว ก็หันมาพูดจำกัดเฉพาะเรื่องความคิดต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ง. ความคิดที่ไม่เป็นการศึกษา และความคิดที่เป็นการศึกษา



การคิดพ่วงต่อจากกระบวนการรับรู้ กระบวนการรับรู้นั้น เริ่มต้นด้วยการที่อายตนะประสบกับอารมณ์ และเกิดวิญญาณ คือ ความรู้ต่ออารมณ์นั้น เช่น เห็น ได้ยิน ตลอดถึงรู้ต่อเรื่องในใจ เมื่อเกิดความเป็นไปอย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่ามีการรับรู้ หรือภาษาบาลี เรียกว่า ผัสสะ


เมื่อมีการรับรู้ ก็จะมีความรู้สึกต่ออารมณ์นั้น เช่น สุข สบาย ทุกข์ ไม่สบาย หรือเฉยๆ เรียก ว่า “เวทนา” พร้อมกันนั้น ก็จะมีการหมายรู้อารมณ์ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ชื่อนั้นชื่อนี้ เรียกว่า “สัญญา” จากนั้นจึงเกิดความคิด ความดำริตริตรึกต่างๆ เรียกว่า “วิตักกะ”


กระบวนการรับรู้เป็นไปอย่างนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการประสบอารมณ์ โดยได้รับประสบการณ์ภายนอก หรือการนึกถึงยกเอาเรื่องราวต่างๆขึ้นมาพิจารณาในใจ

เขียนให้ดูง่ายๆโดยยกความรู้ทางตาเป็นตัวอย่าง

ตา... + .....รูป.... + ......เห็น ... =....การรับรู้ =>รู้สึกทุกข์=>จำได้หมายรู้=>คิด
(อายตนะ) (อารมณ์) (จักขุวิญญาณ).... (ผัสสะ) ... (เวทนา) ... (สัญญา) ... (วิตักกะ)


ขั้นตอนของการคิด (วิตักกะ) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดบุคลิกภาพและวิถีชีวิตของบุคคล ตลอดจนถึง สังคม จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการศึกษา แต่ความคิดนั้นจะเป็นอย่างไรย่อม ต้องอาศัยปัจจัยที่กำหนดหรือปรุงแต่งความคิดนั้นอีกต่อหนึ่ง

ปัจจัยอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิด ได้แก่ ความรู้สึกสุขทุกข์ (= เวทนา)

ตามปกติ สำหรับคนทั่วไป เมื่อมีการรับรู้ และเกิดเวทนาแล้ว ถ้าไม่มีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามาแปร หรือตัดตอน เวทนาก็จะเป็นตัวกำหนดวิถีของความคิด คือ


- ถ้ารู้สึกสบาย ก็ชอบใจ อยากได้ อยากเสพ อยากเอา (ตัณหาฝ่ายบวก)

- ถ้ารู้สึกไม่สบาย ก็บีบคั้น เป็นทุกข์ ก็ขัดใจ อยากเลี่ยงพ้นหรืออยากทำลาย (ตัณหาฝ่ายบวก)


ต่อจากนั้น ความคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะกำหนดเน้นหรือเพ่งไปที่ อารมณ์ คือ สิ่งที่เป็นที่มาของเวทนานั้น เอาสิ่งนั้นเป็นที่จับของ ความคิด พร้อมด้วยความจำได้หมายรู้ ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ (สัญญา) แล้วความคิดปรุงแต่งก็ดำเนินไปตามวิถีทางของความชอบใจ ไม่ชอบใจนั้น เครื่องปรุงแต่งความคิดก็คือ ความโน้มเอียง ความเคยชิน กิเลส จิตนิสัยต่างๆ ที่จิตได้สั่งสมไว้ (สังขาร) และคิดอยู่ในกรอบ ในขอบเขต ในแนวทางของสังขารนั้น จากความคิด ก็อาจ แสดงออกมาเป็นการทำ การพูด การแสดงบทบาทต่างๆ


ถ้าไม่ถึงขั้นแสดงออกภายนอก อย่างน้อยก็มีผลกระทบต่างๆ อยู่ภายในจิตใจ เป็นผลในทางผูกมัดจำกัดตัว ทำให้จิตคับแคบบ้าง เกิดความกระทบ กระทั่ง วุ่นวาย เร่าร้อน ขุ่นมัว เศร้าหมอง บีบคั้นใจ บ้าง หรือถ้าเป็นการพิจารณาเรื่องราว คิดการต่างๆ ก็ทำให้เอน เอียง ไม่มองเห็นตามเป็นจริง อาจเคลือบแฝงด้วยความอยากได้ อยาก เอา หรือความคิดมุ่งทำลาย


แต่ในกรณีที่เกิดความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ถ้า ไม่รู้จักคิด ปล่อยให้ความคิดอยู่ใต้อิทธิพลของเวทนานั้น ก็จะเกิดความ คิดแบบเพ้อฝันเลื่อนลอยไร้จุดหมาย หรือไม่ก็กลายเป็นอัดอั้นตันอื้อ ไป ซึงรวมเรียกว่า เป็นสภาพที่ไม่เกื้อกุลต่อคุณภาพชีวิต (เป็นอกุศล) สร้างปัญหาและก่อให้เกิดทุกข์


กระบวนการความคิดนี้ เขียนให้ดูง่าย แสดงเฉพาะสภาพจิต หรือองค์ธรรมที่เป็นตัวแสดงบทบาทสำคัญๆ ดังนี้


การรับรู้ => ความรู้สึกสุขทุกข์ =>ความอยาก-ที่เป็นปฏิกิริยาบวก-ลบ=>ปัญหา

(ผัสสะ) ----- ---- (เวทนา) ------- ----- ---- ------(ตัณหา)---- -----------(ทุกข์)



ในชีวิตของคนทั่วไป กระบวนธรรมแห่งปัญหานี้ เป็นกิจกรรมส่วนใหญ่ที่ดำเนินไปเกือบตลอดเวลา ใน

วันหนึ่งๆ อาจเกิดขึ้นแล้วๆเล่าๆ นับครั้งไม่ถ้วน ชีวิตที่ไม่มีการศึกษา ย่อมถูกครอบงำ และกำหนด

ด้วยกระบวนการแห่งความคิดอย่างนี้ ความเป็นไปของกระบวนธรรมนี้ ดำเนินไปได้อย่าง ง่ายๆ โดย

ไม่ต้องใช้สติปัญญา ไม่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ หรือความสามารถอะไรเลย จัดเป็นธรรมดาขั้นพื้น

ฐานที่สุด ยิ่งได้สั่งสมความเคยชินไว้มากๆ ก็ยิ่งเป็นไปเองอย่างคล่องแคล่ว อย่างที่เรียกว่าลงร่อง


เพราะการที่เป็นไปอย่างปราศจากปัญญา ไม่ต้องมีสติปัญญาเข้ามาเกี่ยว ข้อง และสติปัญญาไมได้เป็นตัวควบคุม จึงเรียกว่าเกิดอวิชชา และจึงไม่ เป็นไปเพื่อการแก้ไขปัญหา แต่เป็นไปเพื่อก่อปัญหาทำให้เกิดทุกข์ เรียก ว่าเป็น ปัจจยาการแห่งทุกข์


ลักษณะทั่วไปของมัน คือ เป็นการคิดที่สนองตัณหา ผลของ มัน คือ การก่อปัญหาทำให้เกิดทุกข์ จึงไม่เป็นการศึกษา สรุปสั้นๆ จะเรียกว่า กระบวนการคิดแบบสนองตัณหา หรือ การคิดแบบก่อปัญหา หรือวงจรแห่งความทุกข์ก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

เมื่อมนุษย์มีการศึกษาขึ้น ก็คือ มนุษย์เริ่มใช้ปัญญา ไม่ปล่อยให้ กระบวนการคิด หรือวงจรปัจจยาการข้างต้น ดำเนินไปเรื่อยๆ คล่องๆ แต่ มนุษย์เริ่มใช้สติสัมปชัญญะ และนำองค์ประกอบอื่นๆ เข้ามาตัด ตอน หรือ ลดทอนกระแสของกระบวนการคิดแบบนั้น ทำให้กระบวนการคิดแบบสนอง ตัณหา ขาดตอนไปเสียบ้าง แปรไปเสียบ้าง ดำเนินไปในทิศทางหรือรูป อื่นๆ บ้าง ทำให้มนุษย์เริ่มหลุดพ้นเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทาส ไม่ ถูกกระบวนความคิดแบบนั้นครอบงำกำหนดเอาเต็มที่โดยสิ้นเชิง


ในเบื้องต้น ตัวแปรนั้นอาจเป็นเพียงเสียงเหนี่ยวรั้ง หรือรูปสำเร็จแห่งความคิดที่ได้รบการถ่ายทอดโดยปรโตโฆสะ จากบุคคลหรือสถาบันต่างๆ และซึ่งตนยึดถือเอาไว้ด้วยศรัทธา แต่ถ้าตัวแปรจาก ปรโตโฆสะอย่างนั้น มีผลเพียงแต่เป็นที่ยึดเหนี่ยวดึงตัวไว้ หรือ ขัด ขวางไว้ไม่ให้ไหลไปตามกระแสของกระบวนการคิดนั้น หรือ อย่างดีก็ได้แต่ ให้รูปแบบความคิดที่ตายตัวไว้ยึดถือแทน ไม่เป็นทางแห่งการคิดคืบหน้าโดย อิสระของบุคคลนั้นเอง แต่ในขั้นสูงขึ้นไป ปรโตโฆสะที่ดี อาจชักนำ ศรัทธาประเภทที่นำต่อไปสู่ความคิดเองได้


ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบ

ปรโตโฆสะที่ชักนำให้เกิดศรัทธาแบบรู้สำเร็จตายตัว ไม่เป็นสื่อนำการคิดพิจารณาต่อไป เช่น ให้เชื่อว่า สิ่งทั้งหลายจะเป็นอย่างไร ย่อมสุดแต่เทพเจ้า บันดาล หรือ เป็นเรื่องของความบังเอิญ เมื่อเชื่ออย่างนี้แล้ว ก็ได้แต่คอยรอความหวังจาก เทพเจ้า หรือ ปล่อยตามโชคชะตา ไม่ต้องคิดค้นอะไรต่อไป


ส่วนปรโตโฆสะ ที่ชักนำศรัทธาแบบเป็นสื่อโยงให้เกิดความคิดพิจารณา เช่น ให้เชื่อว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นอย่างไร ย่อมแล้วแต่เหตุปัจจัย เมื่อ เชื่ออย่างนี้แล้ว เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ก็ย่อมคิดค้นสืบสาวหาเหตุปัจจัย ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจต่อๆไป


ความคิดพิจารณาที่ศรัทธาต่อปรโตโฆสะช่วยสื่อนำนั้น เริ่มต้นด้วยองค์ธรรมที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ พูดอีกอย่างหนึ่งว่า ปรโตโฆสะที่ดี สร้างศรัทธาชนิดที่ชักนำให้เกิดโยนิโสมนสิการ


เมื่อโยนิโสมนสิการ เกิดขึ้นแล้ว ก็หมายถึงว่า ได้มีจุดเริ่มของการศึกษา หรือ การพัฒนาปัญญาได้เริ่มขึ้นแล้ว จากนั้น ก็จะเกิดการคิดที่ใช้ ปัญญา และทำให้ปัญญาเจริญงอกงามยิ่งขึ้น นำไปสู่การแก้ปัญหา เป็นทาง แห่งความดับทุกข์ และนี้ก็คือ การศึกษา


พูดสั้นๆ ว่ากระบวนการคิดที่สนองปัญญา คือ การคิดที่แก้ปัญหา นำไปสู่ความดับทุกข์ และเป็นการศึกษา

จุดสำคัญ ที่โยนิโสมนสิการเข้ามาเริ่มบทบาท ก็คือการตัดตอน ไม่ให้เวทนามีอิทธิพลเป็นปัจจัยให้

เกิดตัณหาต่อไป คือ ให้มีแต่เพียงการเสวยเวทนา แต่ไม่เกิดตัณหา เมื่อไม่เกิดตัณหา ก็ไม่มี

ความคิดปรุงแต่งตามอำนาจของตัณหานั้น ต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

เมื่อตัดตอนกระบวนการคิดสนองตัณหาแล้ว โยนิโสมนสิการก็นำความคิดไปสู่แนวทางของการก่อปัญญา แก้ปัญหา ดับทุกข์ และทำให้เกิดการศึกษาต่อไป

อย่างไรก็ดี สำหรับมนุษย์ปุถุชน แม้เริ่มมีการศึกษาบ้างแล้วแต่กระบวนกาความคิด ๒ อย่างนี้ ยังเกิดสลับกันไปมา และกระบวนหนึ่งอาจไปเกิดแทรกในระหว่างของอีกกระบวนหนึ่ง เช่น กระบวนแบบแรกจากดำเนินไปจนถึงเกิดตัณหาแล้ว จึงเกิดโยนิโสมนสิการขึ้นมาตัด และหันเหไปใหม่ หรือกระบวนแบบหลังดำเนินไปถึงปัญญาแล้ว เกิดมีตัณหาขึ้นในรูปใหม่แทรกเข้ามา

โดยนัยนี้ จึงเกิดมีกรณีที่นำเอาผลงานของปัญญาไปรับใช้ความต้องการของตัณหาได้ เป็นต้น

บุคคลที่มีการศึกษาสมบูรณ์แล้ว เมื่อคิด ก็คิดอย่างมีโยนิโสมนสิการ เมื่อไม่คิด ก็มีสติครองใจอยู่กับปัจจุบัน คือ กำกับจิตอยู่กับสิ่งที่เกี่ยวข้องต้องทำ และพฤติกรรมที่กำลังดำเนินไปอยู่ของตน


อนึ่ง เมื่อว่าเมื่อคิด ก็คืออย่างมีโยนิโสมนสิการนั้น ก็หมายถึงมีสติอยู่พร้อมด้วย เพราะ

โยนิโสมนสิการเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงสติ และทำให้ต้องใช้ปัญญา เมื่อความคิดเดินอยู่อย่างเป็นระเบียบ

มีจุดหมาย จิตก็ไม่ลอยเลื่อนเชือนแช ต้องกุมอยู่กับกิจที่กำลังกระทำนั้น เรียกว่า มีสติ


ตามนัยที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่า โยนิโสมนสิการ เป็น การใช้ความคิดอย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นองค์ธรรมสำคัญยิ่งในกระบวนการของการ ศึกษา หรือ ในการพัฒนาตน อยู่ที่จุดแกนกลางคือการพัฒนาปัญญา เป็น องค์ธรรมที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตที่ดีงาม ซึ่งแก้ปัญหาและพึ่งพาตนได้


เมื่อเทียบในกระบวนการพัฒนาปัญญา โยนิโสมนสิการอยู่ในระดับที่เหนือศรัทธา เพราะเป็นขั้นที่เริ่มใช้ความคิดของตนเองเป็นอิสระ


เมื่อพิจารณาในแง่ของระบบการศึกษาอบรม โยนิโสมนสิการเป็นองค์ประกอบฝ่ายภายใน เกี่ยวด้วยการฝึกการใช้ความคิด ให้รู้จักคิดอย่างถูกวิธี คิดอย่างมีระเบียบ รู้จักคิดวิเคราะห์ ไม่มองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างตื้นๆ ผิวเผิน เป็นขั้นสำคัญในการสร้างปัญญาที่บริสุทธิ์ เป็นอิสระ ทำให้ทุกคนพึ่งตนได้ ช่วยตนเองได้ และนำไปสู่ความเป็นอิสระ ไร้ทุกข์ พร้อม ทั้งสันติสุขที่เป็นจุดหมายสูงสุดของพุทธธรรม


เป็นอันว่า ได้ทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับบุพภาคของการศึกษา ๒ ประการ คือ ปรโตโฆสะ ที่เป็นกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอก และเป็นวิธีการแห่งศรัทธา กับโยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายใน และเป็นวิธีการแห่งปัญญา พอมองเห็นภาพกว้างๆ ของระบบในกระบวนการของการศึกษาแล้ว


ต่อแต่นี้ จะได้บรรยายเรื่องโยนิโสมนสิการ โดยเฉพาะอย่างเดียว เพื่อให้ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม และเกิดความเข้าใจ เกี่ยวกับวิธีคิดตามหลักพุทธธรรมอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีคิด หรือโยนิโสมนสิการ ที่พบในบาลีพอประมวลเป็นแบบใหญ่ๆ ได้ 10 แบบดังนี้


1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย

2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ

3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือ วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา

4. วิธีคิดแบบอริยสัจ หรือ คิดแบบแก้ปัญหา

5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์

6. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก

7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม

8. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม

9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน

10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาทะ


มีรายละเอียดแต่ละข้อๆ ที่ http://group.wunjun.com/whatisnippana/22873

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 18:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ในบุพนิมิต3...การจะโยนิโสได้..ตรงประเด็น....ด้วยความไม่ประมาท...นั้น..กัลญาณมิตร...สำคัญมาก....


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ค. 2014, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเต้ วันนี้ที่ภาคใต้คนดุอีกแล้ว :b1:

อ้างคำพูด:
ระเบิดที่อำเภอหาดใหญ่ 5 จุด จุดที่
1 สถานนีรถไฟ จุดที่
2 หน้าสถานีตำรวจ จุดที่ 3
ใกล้ประปา จุดที่
4 โรบินสัน จุดที่
5 ประตูร้อยแปด มอ.


เรืองนี้นึกถึงคำพูดของน้องจิ๊บที่บอร์ดเก่า

อ้างคำพูด:
อ๋อ .. หมู่บ้านที่หนูอยู่ก็จะปนกับชาวมุสลิมด้วยค่ะ
แต่บางหมู่บ้านก็จะแยกเป็นไทยพุทธ - มุสลิมค่ะ
ส่วนโรงเรียนที่หนูอยู่ก็มีชาวมุสลิมด้วยค่ะ แต่ห้องหนูรู้สึกว่าจะมีไทนพุทธมากกว่านะคะ

จุดประสงค์ของพวกเค้าเหรอคะ เห่อๆ ..
หนูคิดไว้ 2 อย่างค่ะ
- มาจากเรื่องการเมืองในกรุงเทพฯ
- แบ่งแยกดินแดน(บ้าบอ)

แต่หนูไม่แน่ใจหรอกค่ะ หนูอาจจะทราบว่าใครคือผู้ก่อเหตุการณ์ทั้งหมดขึ้น
ใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง หนูก็ไม่แน่ใจนะคะ .. ว่าเป็นเค้าคนนั้นรึเปล่า
แต่ก็ไม่อยากเอ่ยชื่อค่ะ เครียด!! เหตุการณ์ภาคใต้จะสงบลงเมื่อโลกแตกมั๊งคะ ชิส์

http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... 8&start=40


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร