วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 23:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษาบทความต่อ ต่อเนื่อง


เป็นธรรมก็ถูกต้องตามความจริง ถูกต้องตามความจริง ก็ดีงาม


ก่อนที่จะพูดถึงธรรมสำหรับผู้พิพากษา ๒ ชุดนั้น ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สักหน่อย ก็มาพูดคุยกันในข้อปลีกย่อยต่างๆ เกี่ยว กับ ธรรม ให้เป็นเรื่องเบาๆเป็นพื้นไว้ ก่อนจะพูดเรื่องที่ยากขึ้นไป


เราบอกว่า ผู้พิพากษาเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม เป็นตราชูอันทำหน้าที่ที่เรียกว่าดำรงธรรมไว้ให้แก่สังคมนั้น

"ธรรม" นี้ แปลกันมาว่า ความจริง, ความถูกต้อง, ความดีงาม (สังเกตความหมายของธรรมด้วย)

ความหมายที่เป็นหลักเป็นแกนของธรรมนั้น ก็คือ ความจริง หรือสภาวะที่เป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นๆ เป็นธรรมดา

มนุษย์เรานั้น ต้องการสิ่งที่เกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตน แต่สิ่งทั้งหลายที่จะเกื้อกูลเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่คนแท้จริง จะต้องสอดคล้องกับความจริง มิฉะนั้น ก็จะไม่เกื้อกูลเป็นประโยชน์ได้แน่แท้ยั่งยืน


สิ่งที่เกื้อกูลเป็นประโยชน์แก่มนุษย์แท้จริง เรียกว่า เป็นความดีงาม

ความดีงาม จึงอยู่สอดคล้อง คือถูกต้องตามความจริง

ความจริง เป็นหลักยืนตัว ความดีงาม เป็นคุณค่าที่มนุษย์ต้องการ ความถูกต้องเป็นความสัมพันธ์ที่น่าพอใจ ระหว่างคุณค่าที่มนุษย์ต้องการ กับความจริงที่เป็นหลักยืนตัวนั้น


ที่ว่าผู้พิพากษาดำรงธรรมนั้น เราเน้นความหมายในแง่ของการรักษาความถูกต้อง ทำให้เกิดความถูกต้อง หรือพูดให้ตรงว่า ทำความถูกต้องให้ปรากฏ และความถูกต้องที่ว่านั้นก็ขึ้นอยู่กับความจริง แล้วความจริงและความถูกต้องนี้ก็พ่วงความดีงามมาด้วย


ถ้าไม่มีความจริง ไม่มีความถูกต้อง ความดีงามก็ไม่แท้ไม่จริง เหมือนอย่างที่คนหลอกลวงก็สามารถทำให้คนรู้สึกว่า เขาเป็นคนดีได้ แต่แล้วในเมื่อไม่ถูกต้อง ไม่ตรงความจริง พอขาดความจริงเท่านั้น ที่ว่าดีก็หมดความหมายไป กลายเป็นไม่ดี ดังนั้น ความจริงและความถูกต้อง จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก


ทีนี้ ความจริงนั้น มีอยู่เป็นสภาวะของมันเอง หรือเป็นธรรมดาของธรรมชาติ และความถูกต้องก็อยู่กับความจริงนั้นด้วย แต่เมื่อเรื่องมาถึงคน หรือว่าเมื่อคนไปเกี่ยวข้องกับมัน ก็มีข้อผูกพันขึ้นมา ซึ่งทำให้คนเกิดมีเรื่องในภาคปฏิบัติว่า



๑. จะทำอย่างไร ให้ความจริงนั้นปรากฏขึ้นมา เพราะว่า บางทีความจริงมีอยู่ แต่ความจริงนั้นไม่ปรากฏ

๒. จะทำอย่างไร ให้คนดำรงอยู่ในความจริงนั้นได้ จะได้มีความถูกต้องที่จะตรึง หรือรักษาความดีงามไว้ และ

๓. จะทำอย่างไร ให้คนทำการได้ถูกต้องโดยสอดคล้องกับความจริงนั้น เพื่อให้คนอยู่กับความดีงาม ซึ่งเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ชีวิตและสังคมของเขา


นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น ตอนนี้ก็จึงเหมือนกับว่า ในเรื่องธรรมนี้ เรามอง ๒ ด้าน คือ

หนึ่ง มองด้านความเป็นจริง หรือตัวสภาวะก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร แล้วก็

สอง บนฐานของความจริงนั้น มองว่า เราจะทำอย่างไรให้มนุษย์นี้ ดำเนินไปกับความจริงนั้น โดยอยู่กับความจริง แล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามความจริง


ต้องครบทั้ง ๒ ขั้น ขาดขั้นใดขั้นหนึ่งไม่ได้ ทั้งนั้น

บางทีเราจะเอาขั้นที่ ๒ คือ จะให้คนปฏิบัติถูกต้อง แต่เราไม่รู้ว่า ความจริง คือ อะไร มันก็ไปไม่ได้

เพราะฉะนั้น จึงต้องมีหลักยันอยู่เป็น ๒ ด้าน คือ ด้านสภาวะที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ และด้านที่คนเข้าไปเกี่ยวข้องกับความจริง

อย่างไรก็ตาม ตามที่ใช้กันอยู่นั้น "ความจริง" มีความหมายค่อนข้างหลวมๆ ไม่เคร่งครัดนัก คือไม่จำเป็นต้องถึงกับเป็นความจริงตามสภาวะของธรรมชาติ แต่รวมทั้งความจริงตามที่มนุษย์ตกลงยอมรับกันด้วย เช่น หลักการ และข้อที่ตกลงยึดถือกันมาเป็นพวกสมมติสัจจะต่างๆ ดังนั้น ความดีงาม ความถูกต้อง บางทีจึงวัดเพียงด้วยความสอดคล้องกับความจริงระดับนี้ก็มี


สำหรับบุคคลทั่วไป เอาเพียงว่า ถ้ารักษาปฏิบัติทำความดีงาม ตามที่บอกกล่าวเล่าสอนกันมา ก็ใช้ได้ หรือนับว่าเพียงพอ เมื่ออยู่กับความดีงามแล้ว ก็ถือว่าดำรงความจริง และความถูกต้องพร้อมไปในตัวด้วย

แต่สำหรับผู้ทำหน้าที่ในการรักษาธรรมนั้น จะต้องเข้าถึงธรรมทั้งระบบ

เริ่มด้วยด้านหนึ่ง คือ ด้านความจริง และความจริงก็ต้องลไปถึงความจริงตามสภาวะของธรรมชาติด้วย

ที่พูดไปแล้ว ก็เป็นระบบของธรรมนั่นเอง แต่ใช้ภาษาง่ายๆ และยังค่อนข้างจะหลวม ทีนี้ ก็จะเดินหน้าไปดูให้ถึงระบบของธรรมทั้งหมด ให้ชัดยิ่งขึ้นอีกที

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1393377581-1392456450-o.jpg
1393377581-1392456450-o.jpg [ 11.42 KiB | เปิดดู 2086 ครั้ง ]
ศึกษาบทความต่อ ต่อเนื่องกัน


ธรรม เป็นกฎธรรมชาติ มีอยู่ของมันตามธรรมดา


ธรรม ในความหมายที่ ๑ ซึ่งเป็นความหมายหลัก เป็นพื้นฐาน ก็คือ ความจริง การที่เราศึกษาธรรมกัน ก็ศึกษาเพื่อหาเพื่อรู้ความจริงนี่แหละ คือทำอย่างไรจะรู้เข้าใจเข้าถึงความจริงได้


ทางพระบอกว่า ความจริงมีอยู่ของมันตามธรรมดา อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ขอยกคำบาลีมาให้ดูว่า

อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ ฐิตาว สา ธาตุ ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา...


แปลว่า ตถาคต (คือพระพุทธเจ้า) ทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่อุบัติก็ตาม ธาตุ (สภาวะหรือหลักแห่งความจริง) นั้น คือ ความดำรงอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปแน่นอนแห่งธรรม ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง.....ตถาคตตรัสรู้ ค้นพบธาตุนั้น ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่าย ว่าดังนี้ๆ


ยกตัวอย่าง เช่น หลักไตรลักษณ์ คือ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด สิ่งทั้งหลายก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของมันอยู่อย่างนั้น แต่มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ความจริงนี้ พระพุทธเจ้าได้พัฒนาปัญญาขึ้นมาจนกระทั่งได้รู้เข้าใจความจริงนั้น เรียกว่าตรัสรู้ หรือค้นพบแล้ว จึงทรงนำมาเปิดเผยแสดงอธิบาย


"ธรรม" ในความหมายที่ ๑ คือความจริงนั้น มีความหมายต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเรียกว่าธรรมชาติหรืออะไรก็ตาม ก็มีความจริงเป็นอย่างนั้น และมันก็เป็นไปตามความจริงนั้น เช่น ความเป็นไปตามเหตุปัจจัย บางทีเราเรียกธรรมในความหมายนี้ว่า "กฎธรรมชาติ"



เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ และสิ่งทั้งหลายก็เป็นไปตามความจริงนั้น หรือตามกฎธรรมชาตินั้น เรื่องก็โยงมาถึงมนุษย์คือคนเรานี้ว่า เราก็ต้องการผลดีต่างๆ เช่นว่า เราต้องการให้ชีวิตของเราดี ตลอดไปถึงว่า เราต้องการให้สังคมของเราดี มีความเจริญมั่นคง อยู่กันร่มเย็นเป็นสุข แต่การที่ชีวิตจะดี สังคมจะดี อะไรๆ จะดี ทุกอย่างนี้ ก็ต้องตั้งอยู่บนฐานของความจริงนั้น



ดังเช่น ความจริงมีอยู่อย่างหนึ่งว่า สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย เหตุอย่างไรก็ทำให้เกิดผลอย่างนั้น ผลเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยของมัน เมื่อเราทำชีวิตให้ดี ทำสังคมให้ดี เราจะทำอย่างไร เราจะให้เกิดความเจริญงอกงาม ก็ทำหรือส่งเสริมเหตุปัจจัยนั้น และในต่างตรงข้าม เหตุปัจจัยไหนจะทำให้เกิดความเสื่อมความเสียหาย ก็ป้องกันแก้ไขกำจัดเหตุปัจจัยนั้น


รวมความย้ำว่า เราก็ปฏิบัติจัดการไปตามความจริงนั้น โดยป้องกันแก้ไขกำจัดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดผลร้าย แล้วก็ไปทำหรือส่งเสริมเหตุปัจจัยที่จะนำมาซึ่งผลดี อันนี้ก็คือต้องปฏิบัติไปตามความจริง

ก็จึงเป็นอันว่า มนุษย์ต้องรู้ความจริง แล้วก็เอาความรู้ในความจริงมาใช้ประโยชน์ โดยนำมาปฏิบัติการให้เป็นไปตามความจริงนั้นแล้วก็จะได้ผลตามต้องการ


จากหลักความจริงนี้ จึงเป็นเหตุให้เราต้องพัฒนามนุษย์ คือให้มนุษย์ศึกษา (สิกขา) เพื่อจะได้รู้ความจริง และปฏิบัติได้ผลผลตามความจริงนั้น

"ธรรม" คือความจริง ที่มีอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติ เวลาพระพุทธเจ้าตรัสธรรมะ พระองค์ทรงใช้คำว่า "แสดง" หมายความว่า ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ก็เอามาแสดง ให้คนทั้งหลายรู้ด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำตอนท้ายหนังสือเล่มดังกล่าวให้ดูก่อน (เพราะไม่แน่ใจว่าจะลงจบไหม)


สี่ความหมายของ "ตุลาการ" ส่องถึงานสำคัญของผู้พากษา


ถึงตรงนี้ เห็นว่า น่าจะมองฐานะ และภารกิจของผู้พิพากษา ในฐานะเป็นตุลาการ ในแง่คามหมายของถ้อยคำ ที่่โยงไปถึงธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในเชิงปฏิบัติ ในที่นี้ ขอกล่าวไว้ ๔ ความหมาาย

๑. "ตุลา" แปลว่า เที่ยงตรง คงที่ เท่ากัน สม่ำเสมอ ความหมายนี้มีในพระไตรปิฎก ท่านใช้อธิบายการบำเพ็ญอุเบกขาบารมีของพระพุทธเจ้าว่า พระโพธิสัตว์ถืออุเบกขา ดำรงอยู่ในธรรม โดยมีความสม่ำเสมอ คงที่ เป็นอย่างเดียวกัน ไม่เอนเอียงไหวโอนขึ้นๆลงๆ ไปกับความชอบใจหรือขัดใจ ใครจะนอบนบเคารพไหว้หรือใคราจะด่าจะหยามเหยียด ใครจะบำเรอสุข หรือใครจะก่อทุกข์ให้ เหมือนดังผืนแผ่นดิน ซึ่งไม่ว่าใครจะใส่ฝังของดีมีค่าของสะอาดหรือใครจะเทราดสาดของสกปรกลงไป ก็คงที่สม่ำเสมอทั้งหมด (เช่น ขุ.ทุทฺธ.๓๓/๑๘๒/๔๓๒...) ทั้งเป็นกลาง และเป็นเกณฑ์ คือ ไม่เอนเอียง ไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ไม่เข้าใคร ออกใคร และถือธรรมดำรงธรรมมีธรรมเป็นมาตรฐานที่จะยึดเป็นแบบหรือใช้ตัดสิน ความหมายนี้ จะเห็นว่าตรงกับเรื่องอุเบกขา


๒. "ตุลา" แปลว่า ตาชั่ง ตราชู คันชั่ง ในแง่นี้ งานของผู้พิพากษา คือ การเป็นเครื่องวัด เป็นเกณฑ์วัด หรือเป็นมาตรฐานที่ตัดสินความถูกต้อง หรือเป็นเหมือนผู้ถือ ผู้ยก ผู้ชูคันชั่ง (ภาษาบาลีใช้คำว่า "ตุลาธาร" คือผู้ทรงไว้ซึ่งตุลา) ซึ่งทำหน้าที่ชั่งวัด เบื้องแรกย่อมรู้ความยิ่งหรือหย่อน ขาดหรือเกิน ถูกหรือผิด แล้วก็จะต้องประคองธำรงรักษาให้ตราชั่งเสมอกัน เท่ากัน ให้คันชั่งเที่ยง ตรงแน่ว เสมอกันเป็นนิตย์


๓. "ตุลา" แปลว่า ตราชู นี้ ในพระไตรปิฎกบางแห่ง หมายถึง บุคคลที่เ็ป็นตัวแบบ เป็นเกณฑ์วัด หรือเป็นมาตรฐาน (ในข้อก่อน หมายถึงงาน ข้อนี้หมายถึงบุคคล) เช่น พระพุทธเจ้าตรัสถึงพระสาวกในพุทธบริษัททั้ง ๔ (เช่น องฺ.จตุกฺก.๒๑/๑๗๖/๒๒๒) เริ่มด้วยบรรดาภิกษุสาวก ว่ามีพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เป็นตุลา ส่วนในหมู่ภิกษุณีสาวิกา ก็มี พระเขมา และพระอุบลวรรณา เป็นตุลา แล้วในหมู่อุบาสกสาวก ก็มีตุลา ๒ คน (จิตตะคฤหบดี และหัตถกาฬวกะ) เช่นเดียวกับในหมู่อุบาสิกาสาวิกา ก็มีอุบาสิกา ๒ คน เป็นตุลา (นางขุขชุตตรา และเวฬุกัณฎกีนันทมารดา)


ตามความหมายนี้ ผู้พิพากษา ในฐานะตุลาการ เป็นตุลา คือ เป็นตราชู เป็นตัวแบบ เป็นมาตรฐานซึ่งตั้งไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่คนทั้งหลายจะพึงพัฒนาตนหรือประพฤติปฏิบัติตัวให้เสมอเสมือน คือมีธรรมเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น จะเรียกว่าเป็นยอดสุดของสังคมก็ได้


๔. "ตุลา" นั่นแล ได้มาเป็น "ตุลาการ" ซึ่งแยกศัพท์ได้ ๒ อย่าง คือ เป็น ตุลา+อาการ หรือ ตุลา+การ

อย่างแรก ตุลา+อาการ แปลว่า ผู้มีอาการดังตุลา หมายความว่า มีความประพฤติ มีการปฏิบัติตัว หรือดำเนินงานทำกิจการเหมือนเป็นตุลา ในความหมายอย่า่งที่กล่าวแล้ว คือ เหมือนเป็นตราชู ตาชั่ง ที่รักษา ตัดสิน และบอกแจ้งความถูกต้องเที่ยงตรง


อย่างที่สอง ตุลา+ การ แปลว่า ผู้ทำตุลา (ผู้ทำดุล) หรือผู้สร้างตุลา (ผู้สร้างดุล) หมายความว่า เป็นผู้ทำให้เกิดความเท่ากัน เสมอกัน ความลงตัว ความพอดี ความสมดุล หรือดุลยภาพ ซึ่งในที่นี้มุ่งไปที่ความยุติธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


อย่างไรก็ดี ตุลา หรือ ดุล นี้ มีความหมายกว้างออกไปอีก คือ ธรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นความยุติธรรม ความเป็นธรรม ความถูกต้องชอบธรรม หรืออะไรในทำนองนี้ก็ตาม เมือยังดำรงอยู่ ยังเป็นไปอยู่ในชีวิต และสังคม ก็จะทำให้มีดุล คือทำให้ชีวิตและสังมอยู่ในภาวะที่มีความประสานสอดคล้อง ลงตัว พอดี มีดุลยภาพ ซึ่งหมายถึงความมั่นคงมีสันติสุข ผู้พิพากษาเป็นตุลาการ คือเป็นผู้สร้างดุลนี้ให้แก่สังคม

ตุลา ดุล หรือ ดุลยภาพ นี้ สำคัญอย่างไร เห็นได้ไม่ยากว่า ดุลยภาพนีี่แหละ ทำให้มีความมั่นคง และทำให้ดำรงอยู่ได้ยั่งยืน เช่น เราสร้างอาคาร หรือสิ่งก่อสร้างหนึ่งขึ้นมา ถ้าส่วนประกอบทั้งหลายประสานสอดคล้อง เข้ากัน ลงตัว พอดี ที่เรียกว่าได้ดุล ก็จะเป็นหลักประกันในขั้นพื้นฐานว่าอาคารหรือสิ่งก่อสร้างนั้น จะมั่นคงดำรงอยู่ได้ดี แต่ถ้าเสียดุล เช่น แม้จะมีเสาที่แข็งแรงมาก แต่เสานั้นเอนเอียง แค่นี้ อาคารเป็นต้นนั้น ก็อาจจะพังลงได้ง่ายๆ

ธรรม ทำให้ทุกอย่างเข้าที่ ลงตัว ได้ดุล หรือมีดุลยภาพ ในเมื่อธรรมนั้นกว้างขวางซับซ้อนนัก แต่ธรรมนั้นก็อยู่ในระบบสัมพันธ์ถึงกันทั้งหมด หลักธรรมต่างๆ ที่ท่านจัดไว้ ก็เป็นระบบย่อยที่โยงต่อไปทั่วถึงกันในระบบรวมใหญ่ เมื่อพูดถึงหลักธรรมสักชุดหนึ่ง ก้จึงโยงถึงกันกับธรรมอื่นได้ทั่วทั้งหมด และในที่นี้ ก็ได้ยกหลักธรรมสำคัญชุดหนึ่งมาเน้นย้ำไว้แล้ว คือ หลักพรหมวิหาร ๔

หลักพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นระบบแห่งดุลยภาพครบบริบูรณ์อยู่ในตัว เราจะต้องปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมสังคมให้ถูกต้องอย่างได้ดุลตามระบบนั้น ดังที่ได้อธิบายแล้วว่า ยามเขาอยู่ดีเป็นปกติ เราเมตตา ยามเขาทุกข์ เรากรุณา ยามเขาสุขสำเร็จ เรามุทิตา ยามเขาจะต้องรับผิดชอบตามธรรม เราอุเบกขา

การปฏิบ้ติทางสังคมอย่างถูกต้องครบตามสถานการณ์ษเหล่านี้ เป็นการรักษาดุลยภาพอยู่ในตัวแล้ว แต่หลักพรหมวิหาร ๔ นี้ ยังเป็นระบบพิเศษที่สร้างดุลยภาพกว้างออกไปอีกชั้นหนึ่งด้วย คือข้อที่ ๔ นอกจากเป็นตัวดุลให้อีกสามข้ออยู่ในภาวะพอดี เป็นระบบดุลยภาพในชุดของมันเองแล้ว มันยังเป็นภาวะได้ดุลหรือภาวะมีดุลยภาพของจิตใจ อันเป็นฐานที่จะสร้างดุลยภาพชีวิต และดุลยภาพของสังคมทั่วทั้งหมดด้วย

เมื่อพูดให้จำเพาะ จับที่หลักพรหมวิหาร ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาโดยตรง ก็อาจจะให้ความหมายของ "ตุลาการ" ได้อย่างสั้นๆว่า คือ ผู้สร้างดุลให้แก่สังคมด้วยพรหมวิหาร ๔ ประการ

เมื่อผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการเต็มตามความหมายทั้ง ๔ ดังที่กล่าวมา ก็ย่อมรักษาธรรม และดำรงสังคมไว้ได้ แต่่มิใช่เฉพาะผู้พิพากษาเท่านั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ในการรักษาความดีงามให้แก่สังคม รักษาธรรมไว้ให้แก่สังคม และรักษาสังคมให้ดำรงอยู่ในธรรม เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามธรรมนี้ โดยมีผู้พิพากษา คือตุลาการ เป็นตราชู เป็นแบบอย่างให้


สถานะที่ว่านั้น เท่ากับอกไว้ในที่นี้ ถึงความสำคัญองผู้พิพากษาคือตุลาการ ว่าเป็นมาตรฐานของสังคม และในเมื่อธรรมเป็นสิ่งสูงสุด เมื่อพิพากษาเป็นผู้ทำหน้าที่รักษาธรรม จะเรียกผู้พิพากษาว่าเป็นบุคคลในระดับยอดสุดของสังคม ก็ย่อมได้

สังคมนี้จะอยู่ได้ ถ้าตุลาการยังเป็นหลักให้ ถึงแม้สังคมจะเสื่อมลงไปแค่ไหนๆ ถ้าตุลาการยังมั่นอยู่ ถึงอย่างไร ก็ยังมีความหวัง แต่ถ้าที่มั่นนี้หมดไป สังคมก็ล่มสลายแน่ เพราะฉะนั้น จึงต้องช่วยกันรักษาไว้


ในที่สุดก็เ็ป็นการย้ำถึงสถานะของผู้พิพากษาตุลาการ ที่ท่านเป็นบุคคลที่เรียกว่าสำคัญสุดยอดในสังคมที่จะต้องเป็นแบบอย่างดังที่บอกแล้วว่า เราเรียกว่าตราชู


ในสังคมทุกยุคทุกสมัย จะต้องมีตุลา และเราก็ได้นำเอาคำนี้มาใช้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ก็จะต้องทำให้สมจริง ดังที่เรามีตุลาการอยู่ และก็ขอให้เรามีต่อไป

ขอให้ตุลาการ อยู่ยั่งยืนนาน ยั่งยืนทั้งในสถานะแห่งระบบการและยั่งยืนด้วยหลักการ คือ ธรรมที่ทำให้เกิดความเป็นตุลาการทีแท้จริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คนโกง(แต่หาหลักฐานไม่ได้)ออกไป เอาโจรเข้ามา(หลักฐานเพียบ)
มันตลกอย่างไงไม่รู้สิ ขนาดบ้านตำรวจยังกล้าปีนเข้าไป แบบไม่กลัวใคร
กำลังจะใช้โมเดลอินโดนีเซีย โจรจะไปปล้นใครฆ่าใครก็ได้ไม่ผิด เริ่มคล้ายนิดๆละ
ถ้าเลือกคนโกง (แต่หาหลักฐานไม่ได้) กับโจร(หลักฐานเพียบ)
คุณกบฯเลือกที่จะอยู่กับฝ่ายไหนค่ะ
สำหรับเราคนโกง(แต่หาหลักฐานไม่ได้)ค่ะ :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คนโกง(แต่หาหลักฐานไม่ได้)ออกไป เอาโจรเข้ามา(หลักฐานเพียบ)
มันตลกอย่างไงไม่รู้สิ ขนาดบ้านตำรวจยังกล้าปีนเข้าไป แบบไม่กลัวใคร
กำลังจะใช้โมเดลอินโดนีเซีย โจรจะไปปล้นใครฆ่าใครก็ได้ไม่ผิด เริ่มคล้ายนิดๆละ
ถ้าเลือกคนโกง (แต่หาหลักฐานไม่ได้) กับโจร(หลักฐานเพียบ)
คุณกบฯเลือกที่จะอยู่กับฝ่ายไหนค่ะ
สำหรับเราคนโกง(แต่หาหลักฐานไม่ได้)ค่ะ :b41: :b55: :b49:

ขึ้นชื่อว่าโจรกะคือคนชั่ว คนเลวทำได้ทุกอย่างโดยไม่สนใจใคร ไม่ว่าจะฆ่า หักหลัง สรุปว่าเรื่องเลว ๆ ทุกอย่างนี่โจรทำได้หมด ไว้ใจไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้ ส่วนใหญ่มักหมายถึงการหักหลังกันเอง ไปเป็นพวกโจรกะเหมือนฆ่าตัวตายชัดๆ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 07:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝนตก..แดดออก...เข้าสุขา....มันก็ต้องใช้อาคาร...
คนไทยใจไม่ดำอยู่แล้ว...ไม่ใช่นิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 10:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นี้ก็อีก...ความดุของคนยุคนี้
http://www.komchadluek.net/detail/20140511/184405.html
.........
แกะรอย..'ไปป์บอมบ์' ระเบิดป่วนเมืองแกะรอย..'ไปป์บอมบ์' ระเบิดป่วนเมือง : คลี่ปมปริศนา CSI THAILAND : โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม                           ความรุนแรงที่สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ทางการเมืองกำลังร้อนระอุ ซึ่งผู้ไม่หวังดีใช้อาวุธร้ายแรงก่อเหตุ ในจำนวนนี้มีระเบิด "ไปป์บอมบ์" ระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นง่ายๆ แต่อานุภาพร้ายแรง สามารถทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ในวงกว้างรวมอยู่ด้วย                          "ไปป์บอมบ์" เป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ ปี 2550 สมัย พล.ต.ต.นพดล เผือกโสมณ ดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เหยียบระเบิดไปป์บอมบ์ ที่คนร้ายทำจากกระป๋องปลากระป๋อง บรรจุดินระเบิดไว้ภายใน แรงระเบิดทำให้นายตำรวจผู้นี้ต้องเสียขาไป 1 ข้าง กระดูกมือซ้ายแหลกละเอียด ดวงตาเกือบมืดบอด และหลังจากนั้นเป็นต้นมาระเบิดชนิดนี้ก็ถูกนำมาใช้ก่อเหตุรุนแรงอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง                          พล.ต.ต.รณกร ศุภสมุทร ผบก.กองสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด กองสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า ระเบิดไปป์บอมบ์ เป็นระเบิดแสวงเครื่อง มีทั้งชนิดขว้างและตั้งเวลา โดยใช้โทรศัพท์มือถือ หรือรีโมทคอนโทรลเป็นตัวจุดชนวน ซึ่งประกอบขึ้นง่าย สามารถกำหนดเวลาและควบคุมการทำงานได้ในระยะไกล วัสดุที่นำมาประกอบระเบิดหาได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุระเบิดทางทหาร ทางพาณิชย์ หรือสารเคมีทางการเกษตรบางชนิด น้ำมันเชื้อเพลิง ดินเทาที่หาได้จากดอกไม้ไฟ หรือพลุ ขณะที่ภายนอกใช้ท่อเหล็กหรือท่อพลาสติก เมื่อระเบิดทำงานแล้ววัสดุเหล่านี้จะกลายเป็นสะเก็ดระเบิดทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า โดยอานุภาพจะขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณของดินระเบิด                           "อันตรายขึ้นอยู่กับดินระเบิดมีน้อยหรือมีมาก ถ้าเป็นดินระเบิดเท่ากัน แต่ภาชนะต่างกันก็มีอานุภาพต่างกัน เช่น ระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในกล่องพลาสติก เวลาระเบิดจะมีอำนาจทำลายล้างน้อย เพราะสะเก็ดที่กระเด็นออกไปเป็นพลาสติก แต่หากเป็นเหล็กสะเก็ดที่ออกไปก็จะมีอันตรายร้ายแรงมากกว่ากล่องพลาสติก ไปป์บอมบ์ ตั้งแต่เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ มีการนำมาใช้กันบ่อย เพราะสะดวก รวดเร็ว สามารถหาวัสดุได้ง่าย จึงประกอบเป็นไปป์บอมบ์ มีใช้กันแพร่หลาย" พล.ต.ต.รณกร ให้ข้อมูล                          พล.ต.ต.รณกร ให้ข้อมูลว่า แต่ละปีจะมีระเบิดไปป์บอมบ์จำนวนมากถูกส่งมาตรวจพิสูจน์ ซึ่งขั้นตอนการตรวจสอบจะเริ่มจากการชั่งน้ำหนัก และตรวจสอบโครงสร้าง หากตรวจภายนอกแล้วพบว่ามีอันตรายต่อผู้ปฏิบัติ จะนำไปทำลายในถังทดสอบวัตถุระเบิด โดยมีผ้าคลุมระเบิดเอาไว้ เมื่อทำลายเสร็จ เศษชิ้นส่วนต่างๆ จะกองรวมอยู่ในถัง ทำให้ทราบว่าระเบิดมีวัสดุใดประกอบอยู่บ้าง รวมถึงชนิดของดินระเบิด ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญช่วยสนับสนุนแนวทางการสืบสวนติดตามตัวคนร้าย                          หลักการตรวจสอบวัตถุระเบิด เพื่อสาวถึงตัวคนร้ายดังกล่าว ถูกนำมาใช้ตรวจสอบเหตุระเบิดที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะนี้ อย่างเช่นกรณีเหตุระเบิดที่บริเวณระหว่างซอย 25-27 ถนนราษฎร์อุทิศ ย่านมีนบุรี กทม. เมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา การตรวจสอบชัดเจนว่า ระเบิดคือ "ไปป์บอมบ์"                           ตำรวจได้ขยายผลเข้าตรวจสอบบ้านเลขที่ 49/1 หมู่ 8 ซอยราษฎร์อุทิศ 25 ซึ่งเป็นจุดที่คนร้ายใช้สำหรับประกอบวัตถุระเบิด พบระเบิดไปป์บอมบ์ 5 ลูก แกลลอนน้ำมันเบนซิน ถังแก๊ส รวมถึงส่วนประกอบระเบิด ทั้งหัวตะปูที่ถูกตัดแล้ว เพื่อเตรียมนำไปทำสะเก็ดระเบิด กระป๋องดินที่มีคราบดินระเบิด                          แหล่งข่าวในชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า วัตถุและดินระเบิดที่คนร้ายนำมาประกอบระเบิดใกล้เคียงกับส่วนประกอบของวัตถุระเบิดที่พบในที่เกิดเหตุกรณีระเบิดที่อาคารสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง เมื่อปี 2553 โดยระเบิดที่พบเป็นทีเอ็นที มีดินดำและปุ๋ยยูเรียเป็นส่วนประกอบ ซึ่งวัตถุที่พบเป็นเบาะแสสำคัญที่ทำให้สามารถเชื่อมโยงได้ว่าคนร้ายเป็นใคร หรือกลุ่มใด                          เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบสารประกอบระเบิดที่พบในจุดเกิดเหตุย่านมีนบุรีไปเทียบเคียงกับวัตถุระเบิดที่พบในเหตุการณ์ระเบิดอาคารสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง ไปเทียบเคียงกันแล้ว พบว่าคนร้ายน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน สามารถยืนยันข้อมูลหลักฐานและพยานอื่นๆ ที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีตรวจพบในภายหลัง เช่น เอกสารที่ผู้ต้องสงสัยนำมาใช้เป็นหลักฐานในการเช่าบ้านพักย่านมีนบุรี คือ บัตรอาสาตำรวจบ้าน จ.ราชบุรี ระบุชื่อ นายอ่าว อิสระส์ แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลในทะเบียนราษฎรกลับไม่พบบุคคลชื่อนี้                          "การตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบว่า ภาพถ่ายที่ปรากฏอยู่บนบัตรอาสาตำรวจบ้านดังกล่าวตรงกับภาพถ่ายของนายกษิ ดิฐธนรัชต์ ชาว จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ซึ่งนายกษิ เป็นเจ้าของธุรกิจค้าปุ๋ยยูเรีย ซึ่งได้ส่งออกไปจำหน่ายแถบตะวันออกกลาง" แหล่งข่าวในชุดคลี่คลายคดีระเบิด ให้ข้อมูล                          นายกษิ มีหมายจับในคดีระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น หลังเป็นบุคคลที่นำนายสมัย วงศ์สุวรรณ อดีตการ์ด *** ไปเช่าห้องพัก 202 ในอาคารสมานเมตตาแมนชั่น เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบระเบิด ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เข้าไปเกี่ยวข้องและถูกออกหมายจับอีกคนคือ นางอัมพร ใจก้อน หรือ ครูแขก ภรรยาของนายกษิ หลังมีหลักฐานสำคัญคือภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด ซึ่งปรากฏภาพของนางอัมพร ที่อาคารสมานเมตตาแมนชั่น ขณะนำนายสมัยเข้าไปพักในอาคารแห่งนี้                           หลังเกิดเหตุเมื่อปี 2553 ตำรวจพยายามติดตามจับกุมนายกษิ และนางอัมพร อย่างต่อเนื่อง กระทั่งหลังเกิดเหตุระเบิดที่ย่านมีนบุรีเมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา แนวทางการสืบสวนของตำรวจพบว่า นายกษิและนางอัมพรมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีพยานยืนยันว่าพบเห็นนางอัมพรเดินทางไปที่บ้านพักเลขที่ 49/1 หมู่ 8 ซอยราษฎร์อุทิศ 25 หลายครั้ง ตำรวจได้ขยายผลกระทั่งสามารถติดตามจับกุมนางอัมพรได้ ที่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้ แต่นางอัมพรปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ระเบิดที่มีนบุรี ประกอบกับหลักฐานอื่นยังไม่เพียงพอ ตำรวจจึงยังคงแจ้งข้อหาดำเนินคดีได้เฉพาะคดีระเบิดที่อาคารสมานเมตตาแมนชั่นเมื่อปี 2553 เท่านั้น ส่วนนายกษิ จนถึงขณะนี้ตำรวจยังไม่สามารถติดตามจับกุมมาดำเนินคดีได้                          การตรวจเทียบวัตถุระเบิดที่พบในบ้านพักย่านมีนบุรี ยังพบด้วยว่า อุปกรณ์ที่คนร้ายนำมาใช้ในการประกอบระเบิดคล้ายกับส่วนประกอบของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายนำมาวางที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ และหน้าสำนักงานอัยการ เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมาด้วย หากพิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงได้ว่า คนร้ายน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน 
......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 10:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หากยังจำกันได้.....
เกิดเหตุระเบิดในอพาร์เมนท์แห่งหนึ่ง...คนร้ายเช่าใว้เพื่อประกอบระเบิด....แต่กรรมตามทันซะก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 10:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่สุด....ธรรมะย่อมชนะอธรรม...ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 70 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร