วันเวลาปัจจุบัน 05 ต.ค. 2025, 09:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 02:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


กบนอกกะลา เขียน:
จากที่จำๆกันมา....หากใครฆ่าตัวตาย....เศษกรรม.ต้องฆ่าตัวตายอีก 500 ชาติ..ไม่ทราบข้อนี้จะเท็จจริงประการใด...แล้วจะหมดกรรมได้เมื่อไร??
s006 s006

อนุโมทนาสาธุกับคำถามด้วยนะครับ เราไม่ได้เกิดตายมีกัมมชรูป ฆ่าตัวตาย
ทำกรรมซ้ำ ๕๐๐ ครั้งครับ เราเพียงแต่รับผลของกรรม หมกไหม้ เป็นวิบากอกุศล
อยู่ใน "สัญชีวนรก" สิ้น ๕๐๐ ปีนรกครับ :b34:


ก่อนตอบไปสืบค้นมานิดนึง ในหลักสูตรการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาีปีที่ ๖
วิชาภาษาไทย เกี่ยวกับใบความรู้เรื่องไตรภูมิพระร่วง ข้อความที่ 1.1.8
หน้าที่ ๕ บอกเอาไว้ว่า

รูปภาพ

_______________________________________________
ห้องเรียน ภาษาไทยออนไลน์. ๒๕๕๗. ไตรภูมิพระร่วง(ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.slideshare.net/ssuser481b77/ss-16659678. ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗.

:b44: :b44: :b44:


ไม่ใช่เศษกรรม ที่ใครฆ่าตัวตาย ต้องใช่เศษกรรมที่เหลืออีก ๕๐๐ ชาติ หรือ ๕๐๐ ครั้งอย่างที่เราเคยเข้าใจๆ กันนะครับ เพราะมหานรก ๘ ขุม โดยเฉพาะ สัญชีวนรก มีกำหนดอายุ(ความ) ๕๐๐ ปีนรก ส่วนขุมอื่นๆ ก็มีอายุปีนรก ต่างกันออกไป เบาสุดคือ ๕๐๐ ปีนรกนี่แหละครับ ส่วนอุสสทนรกที่เป็นนรกบริวารของมหานรกทั้ง ๘ เป็นสถานที่ๆ ก็ให้ผลให้วิบาก เป็นเศษกรรมที่เหลือรองลงมาจากมหานรกนั้นๆ(สัญชีวนรก) ซึ่งเบาบางลงไปตามลำดับของวิบาก เมื่อจุติจากนรกก็ยังไปปฏิสนธิในภูมิเปรตอสูรกาย วินิปาติกะบางพวก หรือสัตว์เดรัจฉาน


โดยลักษณะเลื่อนขึ้นไปจนถึงกามสุคติภูมิ ๗ ด้านบน (กามสุคติภูมิมี ๑๑ มนุษย์เทวดารวม ๗ เป็นกามภูมิให้คุณด้านบน อบายอีก ๔ เป็นกามภูมิต่ำให้โทษ รวมเป็น ๑๑) หากปฏิสนธิจิตต่ำๆ ในอบายว่าโดยสภาพธรรมแล้วก็คือ อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากจิต (เวลาเราเสียศูนย์ เศร้าโศก หดหู่หม่นหมอง ทุกข์ทรมาน จนคิดฆ่าัตัวตาย ลงมือ ใจหยาบกระด้าง ไม่มีใจเอ็นดู โหดเหี้ยม เมื่อผัสสะที่เกิดจากกรรมทั้ง ๓ ทาง คือกายวาจาใจ ให้เสวยโทมนัสเวทนาที่เกิดขึ้นเองบ้าง หรือเกิดขึ้นโดยผู้อื่นบ้างตรงที่มันเกิดซ้ำๆ และกลืนผัสสะ กัดเวทนา กินตัณหาอุปาทาน ค่อยๆ เคี้ยวภพ(ในที่นี้คือ กามภูมิต่ำ ๔ คืออบายสัญชีวนรก) ทั้งหมดกินอายุความ เพราะอาศัยความไม่รู้ ใจต่ำดำมืด ลืมกุศลลืมบุญ ลืมศรัทธา เสียศูนย์และสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เวลาคราวอกุศลนำพาจิตใจให้ล่วงหล่นพรากไปจากสุข นั่นแหละครับผลของปฏิสนธิจิตในอบาย)


หรือมามีเศษกรรมเหลือๆ เป็นมนุษย์ ก็จะเป็นมนุษย์ที่ พิกลพิการ ตาบอด(มืดต่อกรรมผลของกรรม บุญบาป) หูหนวก(ปุถุชนผู้ไม่สดับ) ง่อยเปลี้ย(ไม่ได้อิทธิบาท ๔) หรือมีอายุสั้น(ตั้งอยู่ไม่ได้นานใน มหากุศลวิบากจิต ๘ คือเสียศูนย์บ่อยๆ ลงต่ำบ่อยๆ จึงอายุสั้น ทรงตรัสว่า ชีวิตนี้สั้น อายุเป็นของน้อย :b39: ) หรือเป็นมนุษย์ก็มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน(กัมมชรูปพร่อง) ว่าโดยสภาพนามธรรมแล้วก็คือ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจิต ซึ่งก็ยังดีกว่าเกิดในอบาย ในสัญชีวนรก ในกามภูมิต่ำ เป็นทุคติ ฯลฯ


- ไม่ใช่เศษกรรม เมื่อตายอย่างมีความพยายามมีกิเลสมาก ยิ่งเป็นโทษมาก! (ตัวเองนั่นแหละเป็นสัตว์มีคุณ,เป็นมนุษย์)
- ไม่ใช่เกิดตาย โดยมีอัตตาตัวตนเที่ยงแท้ยั่งยืน(สัสสตทิฏฐิ) อีก ๕๐๐ ชาติ
- หมดกรรมชั่วคราวได้ เปรียบเหมือนหมดอายุความ(๕๐๐ปีนรก) เลื่อนตามลำดับภูมิ (จากต่ำไปสูง)
- หมดกรรมถาวรได้ในระดับต้นๆ คือ โสตาปัตติมรรคจิต ไม่เกิดอีกในอบาย!!! (ศีลสมบูรณ์ก็ไม่ไปต่ำ ละสังโยชน์ ๓ ก็ไปดีจนหลุดพ้น :b39: )


กบนอกกะลา เขียน:
อยากเข้าเรื่อง..ว่า..ทำไมจึงจะหยุดฆ่าตัวตาย

การทำอะไรสักอย่างนี้...ทั้งด้านดีและไม่ดี....หากมันประทับลงไปในใจเราอย่างแรง......มันจะแกะออกยาก

ถ้าจะแกะด้วยตัวเอง....อาจนับชาติกันยาว....จนกว่าสิ่งที่ประทับไปในใจนั้นมันค่อยๆจืดจางของมันเอง....จนหมดฤทธิ์

อีกทางหนึ่ง...คือ....มีผู้มีบารมีมาก....และเราก็เคยมีส่วนร่วมทำบุญด้วยกันมา...(.จึงมีความรู้สึกลึกๆว่า....ยอมรับฟังคำชี้แนะได้...และบางทีก็อาจเป็นเพราะกรรมได้เบาบางลงมาบ้างแล้ว)....มาใส่สิ่งที่ประทับใจมากกว่า....จนสามารถไป
แทรกแซง..ผลักดัน...สิ่งที่เกาะแน่นอันเดิมออกไปได้......เมื่อนั้น...เราก็หลุดพ้นจากวงจรอุบาท...อันนั้นได้

การหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์....ด้วยกัลยาณมิตร..นี้....เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่จะต้องยาวนานต่อไป..แล้วละก้อ...ก็เสมืนอว่ามันแถบจะไม่ต้องอาศัยระยะเวลา..อะไรเลย

การได้พบกัลยาณมิตร..ของจริง....จึงมีค่ามีความหมายยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้...จนหาอะไรมาเทียบไม่ได้เลย

อนุโมทนาสาธุๆ :b39:

ขออนุญาตเป็นกัลยาณมิตร สวมวิญญาณพ่อปู่สังกิจจฤาษี เลียนแบบแสดง
ธรรมและอธรรม ในที่นี้แสดง อธรรม หมายถึง สัญชีวนรก แก่พระเจ้าพรหมทัตต์ 2014
ไขคดี อายุ(ความ) ๕๐๐ ปีในสัญชีวนรก



ในพระไตรปิฏก

[๙๒] ขอถวายพระพร ธรรมเป็นทางถูก ส่วนอธรรมเป็นทางผิด อธรรม
ย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมให้ถึงสุคติ นรชนผู้ประพฤติอธรรม มีความ
เป็นอยู่ไม่สม่ำเสมอ ละโลกนี้แล้วย่อมไปสู่คติใด อาตมภาพจะกล่าว
คติ คือ นรกเหล่านั้น ขอพระองค์ทรงสดับอาตมภาพเถิด นรก ๘
ขุมนี้ คือ สัญชีวนรก ๑ กาฬสุตตนรก ๑ สังฆาตนรก ๑ โรรุว-
นรก ๑ มหาโรรุวนรก ๑ ต่อมาถึงมหาอเวจีนรก ๑ ตาปนนรก ๑
ปตาปนนรก ๑ อันบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้แล้ว ก้าวล่วงได้ยาก
เกลื่อนกล่นไปด้วยเหล่าสัตว์ ผู้มีกรรมหยาบช้าเฉพาะขุมหนึ่งๆ มี
อุสสทนรก ๑๖ ขุมเป็นที่ทำบุคคลผู้กระด้างให้เร่าร้อน น่ากลัว มีเปลว
เพลิงรุ่งโรจน์ มีภัยใหญ่ขนลุกขนพอง น่าสะพรึงกลัว มีภัยรอบข้าง เป็น
ทุกข์ มี ๔ มุม ๔ ประตู

____________________________________________
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ. ๒๕๕๗. สังกิจจชาดก
สังกิจจฤาษีแสดงธรรมและอธรรมแก่พระเจ้าพรหมทัตต์
(ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... =595&Z=732. ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗.

ในอรรถกถา

สัตว์นรกทั้งหลายอันนายนิรยบาลถืออาวุธต่างๆ อันลุกโพลงแล้ว ตัดให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ ย่อมมีชีวิตอยู่บ่อยๆ (คือตายแล้วก็เกิดมารับกรรมอีก) ในนรกนี้ เหตุนั้น นรกนั้นจึงชื่อว่า สัญชีวะ.
_______________________________________________
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ. ๒๕๕๗. อรรถกถา สังกิจจชาดก
ว่าด้วย สังกิจจฤาษีแสดงธรรมและอธรรมแก่พระเจ้าพรหมทัตต์
(ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=90 ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗.


พุทธฏีกาอนุมานเอาว่า ในใบความรู้ คัดลอกเนื้อหาจากไตรภูมิพระร่วง และในอรรถกถา หรือหนังสือโลกทีปนีซึ่งมีข้อความคล้ายๆ กัน ที่พูดถึงลักษณะการให้ผลกรรมของผู้ที่ตกนรก สัญชีวนรก เพราะทำปาณาติบาต ข้างต้น ก่อนปฏิสนธิจิตในอบายได้ ต้องเป็น อุเบกขาสันตรีณอกุศลวิบากเท่านั้น พอเกิดแล้ว ก็อาศัยกรรม หรือเจตนาอกุศลนั้นๆ เป็นอาหาร เป็นอายุ เป็นกรรมต่อไป

เช่น เกิดในอบาย ก็ต้องอาศัยอกุศลจิตเกิดร่วมด้วย ในมหานรกไฟท่วมแน่นอน ต้องเป็นเจตสิกที่เป็นอกุศลถึงจะเกิดร่วมด้วยได้ นั่นคือกลุ่ม โทจตุกเจตสิก ๔ (โทสะ) (อิจฉา) (มัฉฉริยา) (กุกกุจจ) ตัวกุกกุจจ เดือดร้อนรำคาญใจ ทรมานใจ เป็นตัวที่ให้ผลที่สุดร้อนแรงที่สุด ในมหานรก ถ้าเป็นโทสมูลจิต ที่ไม่อาศัยการชักจูงเกิดพร้อมทั้งปฏิฆะ และโทมนัส อภิธรรมเรียก "โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ" ตัวนี้แรงมาก พอเบาบางลงหน่อยแล้ว ก็เป็นอุสสทนรก คล้ายกับว่ายังทุกข์ใจซ้ำๆ เพราะอาศัยความไม่รู้อาศัยความปรุงแต่ง สัญญาวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาส ยึดถือสภาพตัวเขาของๆ เขาหรืออีกบุคคลที่ ก่อกรรมประทุษร้ายด้วยกายวาจาใจ ให้ทุกข์โทมนัส

นั่นจึงเรียกว่า เป็นจิตที่เกิดที่อาศัยการชักจูงปรุงแต่ง เกิดพร้อมปฏิฆะและโทมนัส อภิธรรมเรียก "โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ" เหมือนนรกบริวารรองลงมาจากขุมใหญ่ แต่ยัง ร้อนระอุ ด้วยกุกกุจจะบ้าง โทสะบ้าง อิจฉาบ้าง มัฉฉริยาบ้าง เหมือน ๔ มุม ๔ ประตู กั้นสัตว์นรกไม่ให้พ้นไป ฯลฯ :b33: :b33: :b33: :b33:

:b44: :b41: :b43: :b41: :b44:


กบนอกกะลา เขียน:
อยากเข้าเรื่อง..ว่า..ทำไมจึงจะหยุดฆ่าตัวตาย

การหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์....ด้วยกัลยาณมิตร..นี้....เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่จะต้องยาวนานต่อไป..แล้วละก้อ...ก็เสมืนอว่ามันแถบจะไม่ต้องอาศัยระยะเวลา..อะไรเลย

การได้พบกัลยาณมิตร..ของจริง....จึงมีค่ามีความหมายยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้...จนหาอะไรมาเทียบไม่ได้เลย

หยุดฆ่าตัวตาย ยังไม่ยากเท่ากับการหยุดเกิดครับ :b39:

ยกมาอีกครั้งหนึ่ง

- ไม่ใช่เศษกรรม เมื่อตายอย่างมีความพยายามมีกิเลสมาก ยิ่งเป็นโทษมาก! (ตัวเองนั่นแหละเป็นสัตว์มีคุณ,เป็นมนุษย์)
- ไม่ใช่เกิดตาย โดยมีอัตตาตัวตนเที่ยงแท้ยั่งยืน(สัสสตทิฏฐิ) อีก ๕๐๐ ชาติ
- หมดกรรมชั่วคราวได้ เปรียบเหมือนหมดอายุความ(๕๐๐ปีนรก) เลื่อนตามลำดับภูมิ (จากต่ำไปสูง)
- หมดกรรมถาวรได้ในระดับต้นๆ คือ โสตาปัตติมรรคจิต ไม่เกิดอีกในอบาย!!! (ศีลสมบูรณ์ก็ไม่ไปต่ำ ละสังโยชน์ ๓ ก็ไปดีจนหลุดพ้น :b39: )


ทิ้งท้ายภาพแผนภูมิไว้ให้ ให้นึกถึง นาฬิกาทรายนะครับ โดยระบุอายุความในแต่ละภูมิชั้น
สรุป ศีลสมบูรณ์ก็ไม่ไปต่ำ ละสังโยชน์ ๓ ก็ไปดีไปสูงจนหลุดพ้น ถือสายกลางไม่เสียศูนย์

รูปภาพ

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:



พุทธฏีกาอนุมานเอาว่า ในใบความรู้ คัดลอกเนื้อหาจากไตรภูมิพระร่วง และในอรรถกถา หรือหนังสือโลกทีปนีซึ่งมีข้อความคล้ายๆ กัน ที่พูดถึงลักษณะการให้ผลกรรมของผู้ที่ตกนรก สัญชีวนรก เพราะทำปาณาติบาต ข้างต้น ก่อนปฏิสนธิจิตในอบายได้ ต้องเป็น อุเบกขาสันตรีณอกุศลวิบากเท่านั้น พอเกิดแล้ว ก็อาศัยกรรม หรือเจตนาอกุศลนั้นๆ เป็นอาหาร เป็นอายุ เป็นกรรมต่อไป

เช่น เกิดในอบาย ก็ต้องอาศัยอกุศลจิตเกิดร่วมด้วย ในมหานรกไฟท่วมแน่นอน ต้องเป็นเจตสิกที่เป็นอกุศลถึงจะเกิดร่วมด้วยได้ นั่นคือกลุ่ม โทจตุกเจตสิก ๔ (โทสะ) (อิจฉา) (มัฉฉริยา) (กุกกุจจ) ตัวกุกกุจจ เดือดร้อนรำคาญใจ ทรมานใจ เป็นตัวที่ให้ผลที่สุดร้อนแรงที่สุด ในมหานรก ถ้าเป็นโทสมูลจิต ที่ไม่อาศัยการชักจูงเกิดพร้อมทั้งปฏิฆะ และโทมนัส อภิธรรมเรียก "โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ" ตัวนี้แรงมาก พอเบาบางลงหน่อยแล้ว ก็เป็นอุสสทนรก คล้ายกับว่ายังทุกข์ใจซ้ำๆ เพราะอาศัยความไม่รู้อาศัยความปรุงแต่ง สัญญาวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาส ยึดถือสภาพตัวเขาของๆ เขาหรืออีกบุคคลที่ ก่อกรรมประทุษร้ายด้วยกายวาจาใจ ให้ทุกข์โทมนัส

นั่นจึงเรียกว่า เป็นจิตที่เกิดที่อาศัยการชักจูงปรุงแต่ง เกิดพร้อมปฏิฆะและโทมนัส อภิธรรมเรียก "โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ" เหมือนนรกบริวารรองลงมาจากขุมใหญ่ แต่ยัง ร้อนระอุ ด้วยกุกกุจจะบ้าง โทสะบ้าง อิจฉาบ้าง มัฉฉริยาบ้าง เหมือน ๔ มุม ๔ ประตู กั้นสัตว์นรกไม่ให้พ้นไป ฯลฯ :b33: :b33: :b33: :b33:

:b44: :b41: :b43: :b41: :b44:





อย่างนี้เราพอจะอนุมานได้ไหมคะว่าในภพชาติอันใกล้บุคคลที่มีลักษณะอุปนิสัยที่แตกต่างกัน...มาจากภพภูมิใด เช่น บางคนขี้โกรธ เจ้าโทสะมีความหงุดหงิดรำคาญใจเป็นพื้นอารมณ์หรือเป็นเจ้าเรือน บางคนก็มีโลภะเป็นเจ้าเรือน บางคนก็มีความเมตตา กรุณา สงบร่มเย็นเป็นเจ้าเรือน เป็นต้น

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ปลีกวิเวก เขียน:
พุทธฏีกา เขียน:



พุทธฏีกาอนุมานเอาว่า ในใบความรู้ คัดลอกเนื้อหาจากไตรภูมิพระร่วง และในอรรถกถา หรือหนังสือโลกทีปนีซึ่งมีข้อความคล้ายๆ กัน ที่พูดถึงลักษณะการให้ผลกรรมของผู้ที่ตกนรก สัญชีวนรก เพราะทำปาณาติบาต ข้างต้น ก่อนปฏิสนธิจิตในอบายได้ ต้องเป็น อุเบกขาสันตรีณอกุศลวิบากเท่านั้น พอเกิดแล้ว ก็อาศัยกรรม หรือเจตนาอกุศลนั้นๆ เป็นอาหาร เป็นอายุ เป็นกรรมต่อไป

เช่น เกิดในอบาย ก็ต้องอาศัยอกุศลจิตเกิดร่วมด้วย ในมหานรกไฟท่วมแน่นอน ต้องเป็นเจตสิกที่เป็นอกุศลถึงจะเกิดร่วมด้วยได้ นั่นคือกลุ่ม โทจตุกเจตสิก ๔ (โทสะ) (อิจฉา) (มัฉฉริยา) (กุกกุจจ) ตัวกุกกุจจ เดือดร้อนรำคาญใจ ทรมานใจ เป็นตัวที่ให้ผลที่สุดร้อนแรงที่สุด ในมหานรก ถ้าเป็นโทสมูลจิต ที่ไม่อาศัยการชักจูงเกิดพร้อมทั้งปฏิฆะ และโทมนัส อภิธรรมเรียก "โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ" ตัวนี้แรงมาก พอเบาบางลงหน่อยแล้ว ก็เป็นอุสสทนรก คล้ายกับว่ายังทุกข์ใจซ้ำๆ เพราะอาศัยความไม่รู้อาศัยความปรุงแต่ง สัญญาวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาส ยึดถือสภาพตัวเขาของๆ เขาหรืออีกบุคคลที่ ก่อกรรมประทุษร้ายด้วยกายวาจาใจ ให้ทุกข์โทมนัส

นั่นจึงเรียกว่า เป็นจิตที่เกิดที่อาศัยการชักจูงปรุงแต่ง เกิดพร้อมปฏิฆะและโทมนัส อภิธรรมเรียก "โทมนสฺสสหคตํ ปฏิฆสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ" เหมือนนรกบริวารรองลงมาจากขุมใหญ่ แต่ยัง ร้อนระอุ ด้วยกุกกุจจะบ้าง โทสะบ้าง อิจฉาบ้าง มัฉฉริยาบ้าง เหมือน ๔ มุม ๔ ประตู กั้นสัตว์นรกไม่ให้พ้นไป ฯลฯ :b33: :b33: :b33: :b33:

:b44: :b41: :b43: :b41: :b44:





อย่างนี้เราพอจะอนุมานได้ไหมคะว่าในภพชาติอันใกล้บุคคลที่มีลักษณะอุปนิสัยที่แตกต่างกัน...มาจากภพภูมิใด เช่น บางคนขี้โกรธ เจ้าโทสะมีความหงุดหงิดรำคาญใจเป็นพื้นอารมณ์หรือเป็นเจ้าเรือน บางคนก็มีโลภะเป็นเจ้าเรือน บางคนก็มีความเมตตา กรุณา สงบร่มเย็นเป็นเจ้าเรือน เป็นต้น

อนุโมทนาสาธุ

ขออนุญาตคุณโยมกบด้วยนะครับ

 พระโยคาวจรย่อมตามระลึกได้ถึงขันธ์ ที่ตนเคยอยู่ในกาลก่อนด้วยสติใด,๑-
สตินั้นชื่อว่า บุพเพนิวาสานุสติ ในคำว่า ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติ นี้.

ญาณที่สัมปยุตด้วยสตินั้น ชื่อว่า ญาณ. เพื่อประโยชน์แก่บุพเพนิวาสานุสติญาณนี้,
มีคำอธิบายว่า (เราได้น้อมจิตไป) เพื่อบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือเพื่อบรรลุ ได้แก่เพื่อถึงญาณนั้น ด้วยประการฉะนี้.

               บทว่า อภินินฺนาเมสึ แปลว่า เราได้น้อมไปเฉพาะแล้ว.
               บทว่า โส คือ โส อหํ แปลว่า เรานั้น. บทว่า อเนกวิหิตํ แปลว่า มิใช่ชาติเดียว, อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า อันเราให้เป็นไปแล้ว คือพรรณนาไว้แล้วโดยอเนกประการ.

               บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ ได้แก่ สันดานอันเราเคยอยู่ประจำ.
               ในภพนั้นๆ ตั้งต้นแต่ภพที่ล่วงแล้วเป็นลำดับไป.

ด้วยบทว่า อนุสฺสรามิ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงว่า เราได้ตามระลึกไปๆ ถึงลำดับแห่งชาติได้อย่างนี้ คือ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างเป็นต้น, อีกอย่างหนึ่ง เราระลึกตามได้จริงๆ คือเมื่อจิตสักว่าเราได้น้อมไปเฉพาะแล้วเท่านั้น เราก็ระลึกได้.
_______________________________________________
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ. ๒๕๕๗. อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค
เวรัญชกัณฑ์ กถาว่าด้วยปุพเพนิวาสญาณ
(ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 1&i=1&p=12. ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗.

:b44: :b44: :b44:


คนปฏิบัติธรรม มีสติสัมปชัญญะ ก็ระลึกได้ครับ ไม่ต้องอนุมานเลยก็ได้ ที่พุทธฏีกาอนุมาน ตรงนั้นหมายถึง ตำราที่เขาเขียน เขาพูดถึงลมกรรม จริงๆ มันคือ ลมกัมมชวาต (เวลาพวกเรามีปฏิสนธิจิต หยั่งลงสู่ควรรภ์ เป็นสัตว์ที่แสวงหาที่เกิด เป็นสัมภเวสี พอเกิดแล้วก็เป็นภูต อยู่ในภพนั้นๆ!!!) คือเรามีใจรู้ใจด้วยใจอย่างไร เช่น เวลาเราโยนิโสมนสิการ นามรูป กายใจอันเป็นไปในภายใน เราจึงเกิดปัญญา เกิดความรู้ มีอนุสติ ระลึกถึงขันธ์ก่อนหนหลัง วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนาเหล่านี้!


ลำดับขันธ์ก่อนๆ บุพเพ หมายถึง กาลก่อน ขณะก่อนๆ นิวาส หมายถึง ภูมิที่ตั้งแห่งปฏิสนธิจิต ได้แก่ คติ ภูมิ วิญญาณฐิติ สัสตาวาส หรือ ภาษาที่เข้าใจกั้นง่ายๆ ธาตุ(กุศลหรืออกุศล)เจ้าเรือน อกุศลจิตเจ้าเรือน(โลภโกรธหลง) กามโสภณจิตเจ้าเรือน(ให้ทานรักษาศีล,ภาวนา) หรือมหัคคตจิตเจ้าเรือน (ฌานจิต,พรหมวิหาร)ฯลฯ

ไม่ใช่ของเกินวิสัยครับ ที่จะรู้ได้ ทรงเรียกว่าเป็นญาณทัสนะ ในคยาสูตร

ดูกรภิกษุทั้งหลายสมัยต่อมา เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว

ย่อมจำโอภาสได้
เห็นรูปทั้งหลายยืนเจรจาปราศรัยกับเทวดาเหล่านั้น
รู้จักเทวดาเหล่านั้นว่า เทวดาเหล่านี้มาจากเทพนิกายชั้นโน้นหรือชั้นโน้น
รู้เทวดาเหล่านั้นว่าด้วยวิบากแห่งกรรมนี้ เทวดาเหล่านี้เคลื่อนจากชั้นนี้แล้วไปเกิดในชั้นนั้น
รู้เทวดาเหล่านั้นว่า เทวดาเหล่านี้มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนี้
รู้เทวดาเหล่านั้นว่าเทวดาเหล่านี้มีอายุยืนอย่างนี้ ตั้งอยู่นานอย่างนี้
และรู้เทวดาเหล่านั้นว่า เราเคยอยู่ร่วมหรือไม่เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านั้น
_______________________________________________
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ. ๒๕๕๗. คยาสูตร(ออนไลน์). แหล่งที่มา :
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 368&Z=6419. ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗.

คือเมื่อภาวนาไปแล้ว หรือศึกษาวิถีจิตแล้ว ต้องควรทราบวาจะจิต วิถีจิตที่เป็นไป ไ่ม่ต้องของคนอื่นนะครับ เอาของตัวเองก็พอ ว่าเป็นไปยังไง อย่างในคยาสูตร ญาณทัสสนะจะบริสุทธ์ยิ่งขึ้นหากว่า ยิ่งรู้ละเอียด ตามลำดับ เช่น

- จำโอภาส (เช่นอาโลกกสิณ)
- เห็นรูป (ปัจจเวกขณ ระลึกรู้ว่าได้องค์ฌานอะไรบ้าง เป็นรูปชนิดใด?)
- ได้ยืนกับเทวดา!?? (เทวดาธรรมดาก็ให้ทานรักษาศีล เทวดาชั้นสูงก็ชั้นพรหมฯลฯ)
- รู้ว่ามา(ปฏิสนธิ)จาำกชั้นไหน
- รู้เคลื่อน(จุติ)จากนี้จะไปเกิดที่ชั้นไหน
- มีอาหาร เสวยสุขทุกข์อย่างนี้
- รู้ว่าเคยอยู่ร่วมหรือไม่เคยอยู่ร่วม

โดยสรุป มันเป็นเหตุเป็นผลนะครับ อภิธรรมท่านจำแนกละเอียดเอาไว้ ว่าจิตอย่างนี้เกิด เจตสิกอย่างนี้เกิด วิบากที่เกิดในอบายก็เป็นจิตเจตสิก กัมมชรูปไปอย่าง วิบากเป็นมหากุศลก็ไปอีกอย่าง ถ้าเป็นอเหตุกจิต เกิดแล้วก็ต้องมีกิเลส มีอกุศลจิตอย่างนี้ๆ เป็นมูล และต้องประกอบไปด้วย อกุศลเจตสิกอย่างนี้ๆ เป็นเหตุเป็นปัจจัยกัน ถ้ารู้ไม่ต้องอนุมานเลย รู้ชัดเลยว่าอย่างนั้น (รู้ตัวเอง รู้ตนเองนะครับ :b39: )

ญาณทัสนะที่ว่า ทรงตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ญาณทัสสนะ
อันประเสริฐยิ่ง เวียน ๘ รอบอย่างนี้ของเรายังไม่บริสุทธิ์ เพียงใด เราก็ยังไม่
ปฏิญาณว่า ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ"

ในคำว่า ๘ รอบ พระไตรปิฏกหมายถึง การกำหนดในลักษณะต่างๆ ได้ ในอรรถกถา
บอกถึงวิชชาต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ ปุพเพนิวาสญาณ. คือญาณทัสนะที่ยกตัวอย่าง
ในคยาสูตรมา ถ้ารู้สึกตัว มีสติสัมปชัญญะ ภาวนาบ่อยๆ รู้จิตรู้ใจตนเองมากพอ
นอกจากปัญญาในไตรลักษณ์แล้ว ของแถมพวกนี้ ก็เ็ป็นของเกิดเองได้เองครับ
เพียงแต่ ต้องศึกษาพระสูตรสักหน่อย ก็จะเข้าใจในสิ่งที่ทรงแสดง เจริญพร.

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2014, 04:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
สาธุ อนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งกับธรรมะอรรถาธิบายอันสมบูรณ์พร้อมและยุติปัญหาได้อย่างดียิ่งของท่านพุทธฎีกา ครับ

ผมก็่คิดว่าทีนี้ก็คงหมดปัญหาเรื่อง "คนฆ่าตัวตาย ต้องฆ่าตัวตายอีก 500 ชาติ"ไปได้แล้ว

ขอบคุณๆกบนะที่ตั้งกระทู้นี้

:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2014, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: กราบขอบพระคุณท่านพุทธฏีกาเจ้าค่ะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร