วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 21:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนพวกเราจะศึกษาพระพุทธศาสนา ชีวิตมันก็ดำเนินไปตามวิถีของมัน แต่พอมาศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว ดูเหมือนทำให้ชีวิตมันไปไม่เป็นนะ สับสนงงจะยกขาไหนก่อนดี จะหายใจเข้าหรือออกก่อนจึงจะเป็นธรรมะ ฯลฯ ดูมันสับสนในชีวิตนะ ว่าไหมพวกเรา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ก่อนพวกเราจะศึกษาพระพุทธศาสนา ชีวิตมันก็ดำเนินไปตามวิถีของมัน แต่พอมาศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว ดูเหมือนทำให้ชีวิตมันไปไม่เป็นนะ สับสนงงจะยกขาไหนก่อนดี จะหายใจเข้าหรือออกก่อนจึงจะเป็นธรรมะ ฯลฯ ดูมันสับสนในชีวิตนะ ว่าไหมพวกเรา :b1:

ถ้ารู้สึกได้อย่างนี้ ก็พอเยียวยาได้

ชีวิตอย่างราชาของเจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธองค์ยังเห็นว่าไร้ค่า ดำเนินไปตามวิถีไม่ได้ไง
เมื่อพระองค์ตรัสรู้ สัจจะความจริง จึงประกาศหนทาง เพื่อความราบรื่นอันอุดม ให้กับเราๆ ท่านๆ

หากกรัชกายอยากจะหายสับสน ก็เข้าไปศึกษาในพระสูตร

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ก่อนพวกเราจะศึกษาพระพุทธศาสนา ชีวิตมันก็ดำเนินไปตามวิถีของมัน แต่พอมาศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว ดูเหมือนทำให้ชีวิตมันไปไม่เป็นนะ สับสนงงจะยกขาไหนก่อนดี จะหายใจเข้าหรือออกก่อนจึงจะเป็นธรรมะ ฯลฯ ดูมันสับสนในชีวิตนะ ว่าไหมพวกเรา :b1:

ถ้ารู้สึกได้อย่างนี้ ก็พอเยียวยาได้

ชีวิตอย่างราชาของเจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธองค์ยังเห็นว่าไร้ค่า ดำเนินไปตามวิถีไม่ได้ไง
เมื่อพระองค์ตรัสรู้ สัจจะความจริง จึงประกาศหนทาง เพื่อความราบรื่นอันอุดม ให้กับเราๆ ท่านๆ

หากกรัชกายอยากจะหายสับสน ก็เข้าไปศึกษาในพระสูตร



:b12: คือพอพวกเรามาศึกษาธรรมะ มันเกร็งไปทั้งตัวและหัวใจ กลัวจะไม่เป็นธรรมะ จะทำจะคิดอะไรสักนิดสักหน่อยก็เอ๊ะเป็นธรรมหรือเปล่า

แม้แต่จะยกขาก้าวเดินก็สงสัย ว่าเออ ขานี้ก้าวก่อนเป็นธรรมไหม ยกขาซ้ายก็เออ ใช่ธรรมะไหม สงสัยไปหมด เอาขาลง น่าจะขาขวามากกว่า ยกขาขวาขึ้น ก็เอ ฯลฯ ยกขึ้นยกลง ซ้ายทีขวาที ครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าก้าวขาไหนก่อนดี ฯลฯ

นี่ตัวอย่างการศึกษาธรรมบ้านเรา พูดง่ายๆ ว่าอยากได้ธรรมะอยากมีธรรมะ จนทำตัวทำชีวิตไม่ถูก อ้าวจริง ๆ สังเกตดูซี่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
:b12: คือพอพวกเรามาศึกษาธรรมะ มันเกร็งไปทั้งตัวและหัวใจ กลัวจะไม่เป็นธรรมะ จะทำจะคิดอะไรสักนิดสักหน่อยก็เอ๊ะเป็นธรรมหรือเปล่า

แม้แต่จะยกขาก้าวเดินก็สงสัย ว่าเออ ขานี้ก้าวก่อนเป็นธรรมไหม ยกขาซ้ายก็เออ ใช่ธรรมะไหม สงสัยไปหมด เอาขาลง น่าจะขาขวามากกว่า ยกขาขวาขึ้น ก็เอ ฯลฯ ยกขึ้นยกลง ซ้ายทีขวาที ครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าก้าวขาไหนก่อนดี ฯลฯ

นี่ตัวอย่างการศึกษาธรรมบ้านเรา พูดง่ายๆ ว่าอยากได้ธรรมะอยากมีธรรมะ จนทำตัวทำชีวิตไม่ถูก อ้าวจริง ๆ สังเกตดูซี่

คงเหมารวมไม่ได้หรอกครับ
น่าจะมีแต่กรัชกาย หรือพวกที่คล้ายกรัชกายล่ะครับที่เวิ่นเว้อฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆเปื่อยๆ ตามมโนในรอยหยักของตนเอง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 15:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ศีล....แปลว่า...ความเป็นปกติ..คือ..ปกติของใจ

ความเป็นปกติ...นั้น...ใช้อะไรเป็นจุดสังเกต?

ศีล เป็นความปรกติของความประพฤติทาง กาย ทางวาจา
มีกรรมอันเป็นปรกติ เกิดขึ้นเพราะใจ

จุดสังเกต คือ ใจจะไม่ก่อความเดือดร้อน ความเบียดเบียน ความมัวเมา ให้แสดงออกมาทางกาย และทางวาจา


ใจสั่นไหว.....เป็นทุกข์

ผู้คิดจะทำอะไรไม่ดี....เบียดเบียนผู้อื่น...ผู้นั้นย่อมเบียดเบียนตนเองก่อน...เสมอ...ครับ

เห็นด้วยครับ
กายกรรม ก็ตาม วาจีกรรมก็ตาม
กรรมในที่นี้ จึงก่อจากใจเสมอครับ
ส่วนร่างกาย เคลื่อนไหวอย่างไรก็เป็นไปตามอำนาจของใจที่ก่อกรรมชนิดนั้นๆ

:b8:

ผู้อาภัพ....ตัวทุกข์ก็ไม่รู้ว่าตัวทุกข์....ตนไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าตนไม่รู้

แต่ผู้อาภัพที่สุด....ตัวทุกข์กลับคิดว่าตัวสุข....ตนไม่รู้กลับคิดว่าตนรู้....นี้อาภัพที่สุดเลย

ให้ทาน...รักษาศีล....เจริญสติปัญญา....รักษาใจให้อยู่ในเขตของความบริสุทธิ์....แล้วก็พัฒนาความรู้สติปัญญาไปเรื่อยๆ...ต้องพบสุขเข้าสักวัน


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมสรุปจากที่คุณวลัยพร..ยกมา..ครับ
อ้างคำพูด:
             [๖๑๕] ดูกรนายคามณี ก็พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถึง
พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษ
ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิก-
*บานแล้ว เป็นผู้มีโชค เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ ตถาคตนั้นทรงตำหนิติเตียน
ปาณาติบาต และตรัสว่า จงงดเว้นจากปาณาติบาต ทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน
และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทาน ทรงตำหนิติเตียนกาเมสุมิจฉาจาร และตรัส
ว่าจงงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ทรงตำหนิติเตียนมุสาวาท และตรัสว่า จงงดเว้น
จากมุสาวาท โดยอเนกปริยาย สาวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อม
พิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย
และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์
มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำ
บาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อม
งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๖๑๖] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิ
ติเตียนอทินนาทานโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทาน
ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่มากมาย ข้อที่เราลักทรัพย์มากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึง
เดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขา
พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละอทินนาทานนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากอทินนาทาน
ต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๖๑๗] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิ
ติเตียนกาเมสุมิจฉาจารโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
เราประพฤติผิดในกามมีอยู่มากมาย ข้อที่เราประพฤติผิดในกามมากมายนั้น ไม่ดี
ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรม
นั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละกาเมสุมิจฉาจารนั้นด้วย ย่อมงด
เว้นจากกาเมสุมิจฉาจารต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรมก้าวล่วงบาปกรรมได้
ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๖๑๘] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิ
ติเตียนมุสาวาทโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากมุสาวาท ก็เราพูดเท็จ
มีอยู่มากมาย ข้อที่เราพูดเท็จมากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อน
เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้
แล้วย่อมละมุสาวาทนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากมุสาวาทต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละ
บาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
             [๖๑๙] สาวกนั้นละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต ละอทินนาทาน



ขอบคุณที่แสดงความคิดเห็น ตามลิงค์ที่แนบมานี้ เกี่ยวกับศิล มีไม่ครบ ๕ ข้อ

ที่มาเกี่ยวกับ ศิล ๕ ในปัจจุบัน และรายละเอียดข้อปลีกย่อยที่มีในศิล

การดำรงชีพชอบ โดยทิศ ๖ ของฆราวาส

http://www.slideshare.net/soontornpispunt/7-3-28623888

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2014, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
ก่อนพวกเราจะศึกษาพระพุทธศาสนา ชีวิตมันก็ดำเนินไปตามวิถีของมัน แต่พอมาศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว ดูเหมือนทำให้ชีวิตมันไปไม่เป็นนะ สับสนงงจะยกขาไหนก่อนดี จะหายใจเข้าหรือออกก่อนจึงจะเป็นธรรมะ ฯลฯ ดูมันสับสนในชีวิตนะ ว่าไหมพวกเรา :b1:


สับสนขนาดนั้นเลยเหรอ :b32:

อ้างคำพูด:
ก่อนพวกเราจะศึกษาพระพุทธศาสนา ชีวิตมันก็ดำเนินไปตามวิถีของมัน


ใช่ มันก็ดำเนินไปตามวิถีของมัน แต่มันเป็นวิถีที่จุดที่จะไปนี่อยู่ที่ไหน
เปรียบเสมือนโลกใบนี้มันกว้าง แต่เราจะไปที่ไหนหหล่ะ ทีี่ทำให้ใจสงบ
แต่พอได้มาศึกษาธรรม กลับมีความรู้สึกว่า
เรารู้ล่ะ ว่าในขณะที่มีชีวิตและลมหายใจ เราจะพาชีวิตไปที่ไหน :b1: :b41: :b55: :b49:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร