วันเวลาปัจจุบัน 04 ต.ค. 2025, 20:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 21:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
ท่านไม่ได้สอนให้คิด อยู่กับปัจจุบัน แต่ท่านสอนให้ทำสติปัญญารู้อยู่กับปัจจุบัน เพราะเมื่อทันปัจจุบันได้ดีแล้ว ความนึกคิดจะหยุดทำงานไปชั่วคราว เหลือแต่สภาวธรรมบริสุทธิ์พันจากสมมุติบัญญัติแสดงอยู่ให้เห็นให้รู้ ถึงตอนนั้นจะเกิดการเห็นธรรม รู้ธรรมตามความเป็นจริง คือมีแต่เกิดกับดับ บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีอื่น พอกพูนความรู้อันนี้ไปนานๆ ความเบื่อหน่าย คลายจาง ละวางจะเกิดขึ้นมาไถ่ถอนความเห็นผิดยึดผิดออกจากใจ

เมื่อความเห็นผิดยึดผิดหมดไปจากใจแล้ว ก็สามารถกลับมาคิดพิจารณาได้เฉกเช่นคนธรรมดาเพื่อจะวิตกวิจารณ์ทำความแตกฉานในธรรมและสื่อกับผู้คนทั้งหลายให้รู้เรื่องได้
:b16:
ส่วนเรื่องจะให้ยอมตนเป็นศิษย์ของกรัชกายนักวิชาการใหญ่นั้น คงขอปฏิเสธเพราะจริตนิสัยต่างกัน เดินทางกันคนละวิธี ไม่มีศรัทธาและไม่ถูกจริตกับคนขี้คุยอย่างกรัชกาย ขออภัยด้วย
เชิญไปหาลูกศิษย์ที่ชอบไปคัดปัญหาเขามาแปะๆทั้งหลาายเถิดนะครับ
:b13: :b13: :b13:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2014, 06:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใครห้ามไม่ให้คิดครับ..อโศกะ

???


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2014, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
ท่านไม่ได้สอนให้คิด อยู่กับปัจจุบัน แต่ท่านสอนให้ทำสติปัญญารู้อยู่กับปัจจุบัน เพราะเมื่อทันปัจจุบันได้ดีแล้ว ความนึกคิดจะหยุดทำงานไปชั่วคราว เหลือแต่สภาวธรรมบริสุทธิ์พันจากสมมุติบัญญัติแสดงอยู่ให้เห็นให้รู้ ถึงตอนนั้นจะเกิดการเห็นธรรม รู้ธรรมตามความเป็นจริง คือมีแต่เกิดกับดับ บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีอื่น พอกพูนความรู้อันนี้ไปนานๆ ความเบื่อหน่าย คลายจาง ละวางจะเกิดขึ้นมาไถ่ถอนความเห็นผิดยึดผิดออกจากใจ

เมื่อความเห็นผิดยึดผิดหมดไปจากใจแล้ว ก็สามารถกลับมาคิดพิจารณาได้เฉกเช่นคนธรรมดาเพื่อจะวิตกวิจารณ์ทำความแตกฉานในธรรมและสื่อกับผู้คนทั้งหลายให้รู้เรื่องได้
:b16:
ส่วนเรื่องจะให้ยอมตนเป็นศิษย์ของกรัชกายนักวิชาการใหญ่นั้น คงขอปฏิเสธเพราะจริตนิสัยต่างกัน เดินทางกันคนละวิธี ไม่มีศรัทธาและไม่ถูกจริตกับคนขี้คุยอย่างกรัชกาย ขออภัยด้วย
เชิญไปหาลูกศิษย์ที่ชอบไปคัดปัญหาเขามาแปะๆทั้งหลาายเถิดนะครับ


ไม่ขัดแระ :b13:

ในเมื่อไม่เป็นยอมเป็นลูกศิษย์ ก็เป็นอาจารย์ได้ไหมขอรับ กรัชกายเป็นได้ทั้งนั้นแระ :b1: บอกแล้วกันว่าจะให้เป็นอะไร

อยากให้อโศกเข้าใจ

http://www.youtube.com/watch?v=W4DpoNgYas0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ค. 2014, 19:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ใครห้ามไม่ให้คิดครับ..อโศกะ

???

:b8:
ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรา มนุพรูหเย

ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้

นี่และคำพูดของท่านผู้ที่ไม่ได้สอนให้ คิด อยู่กับปัจจุบัน (มิได้ห้าม)แต่สอนให้พพอกพูนความเห็นทันปัจจุบัน
:b27:
ส่วนเรื่องไม่ได้เป็นอาจารย์ก็ขอเป็นศิษย์อโศกะนั้น อโศกะก็ขอไม่รับ เพราะศิษย์ที่รู้มากนี่สอนยาก เหมือนภิกษุบวชเมื่อแก่
s004 s004 s004


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2014, 05:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ส่วนเรื่องไม่ได้เป็นอาจารย์ก็ขอเป็นศิษย์อโศกะนั้น อโศกะก็ขอไม่รับ เพราะศิษย์ที่รู้มากนี่สอนยาก เหมือนภิกษุบวชเมื่อแก่


ไม่รับก็ขอเรียกอาจารย์เองก็ได้ :b1:

อาจารย์ขอรับ :b8: ไปพูดรวมว่าคนแก่สอนยากไปสะทั้งหมดก็ไม่ถูกนะขอรับ สาวกองค์สุดท้ายที่ทันเห็นพระพุทธเจ้า ก็แก่นะขอรับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2014, 07:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมถามว่า...
กบนอกกะลา เขียน:
ใครห้ามไม่ให้คิดครับ..อโศกะ???

อโศกะ ตอบมา
asoka เขียน:
นี่และคำพูดของท่านผู้ที่ไม่ได้สอนให้ คิด อยู่กับปัจจุบัน (มิได้ห้าม)....

ช่วยแปลไทย เป็นไทย ให้ผมที ครับ :b10: :b10: :b10:

asoka เขียน:
:b8:
ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรา มนุพรูหเย

ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้


.....
เห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง
.....
ต้องขยายหน่อยมั้งครับว่า.....เห็นอย่างแจ่มแจ้ง....นั้น...เห็นอย่างไร....มีวิธีการที่จะเห็นนั้นทำอย่างไร???


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2014, 21:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมถามว่า...
กบนอกกะลา เขียน:
ใครห้ามไม่ให้คิดครับ..อโศกะ???

อโศกะ ตอบมา
asoka เขียน:
นี่และคำพูดของท่านผู้ที่ไม่ได้สอนให้ คิด อยู่กับปัจจุบัน (มิได้ห้าม)....

ช่วยแปลไทย เป็นไทย ให้ผมที ครับ :b10: :b10: :b10:

asoka เขียน:
:b8:
ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะตัตถะ วิปัสสติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรา มนุพรูหเย

ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้


.....
เห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้ง
.....
ต้องขยายหน่อยมั้งครับว่า.....เห็นอย่างแจ่มแจ้ง....นั้น...เห็นอย่างไร....มีวิธีการที่จะเห็นนั้นทำอย่างไร???

:b39:
เห็นอย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน คือเห็นโดยไม่มีความนึกคิดปรุงแต่งหรือบัญญัติใดๆมากวน เห็นตามที่มันเป็นอย่างที่ท่านเรียกว่า "ตถตา" และต้องเห็นทันปัจจุบันอารมณ์

วิธีที่จะทำให้เห็นก็ต้องเรียนรู้และฝึกหัดทำจนชำชองกับของจริงที่ปรากฏในกาย ใจ

"นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา"
onion


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ค. 2014, 22:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเข้าใจว่า...
.....การเห็นอย่างแจ่มแจ้ง....คือ...เห้นผลก็เห็นเหตุปัจจัย....เห้นเหตุปัจจัยก็เห็นผลที่จะตามมา....เห็นความมีอยู่...ก็เห็นความที่จะต้องเสื่อมสลาย...ความแปรเปลี่ยนไปของสิ่งนั้น...ฯลฯ...รวมๆคือเห็นด้วยปัญญา....ไม่ใช่เห็นด้วยวิญญาณ...(แล้วก็ทำเป็นเฉยๆ...อดทนรอให้มันดับไปเอง)

ความเข้าใจของผมพอจะถูกบ้างมั้ยครับ..อโศกะ


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.ค. 2014, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมเข้าใจว่า...
.....การเห็นอย่างแจ่มแจ้ง....คือ...เห้นผลก็เห็นเหตุปัจจัย....เห้นเหตุปัจจัยก็เห็นผลที่จะตามมา....เห็นความมีอยู่...ก็เห็นความที่จะต้องเสื่อมสลาย...ความแปรเปลี่ยนไปของสิ่งนั้น...ฯลฯ...รวมๆคือเห็นด้วยปัญญา....ไม่ใช่เห็นด้วยวิญญาณ...(แล้วก็ทำเป็นเฉยๆ...อดทนรอให้มันดับไปเอง)

ความเข้าใจของผมพอจะถูกบ้างมั้ยครับ..อโศกะ

smiley
เห็นอย่างที่กบว่านี้เรียกว่า "คิดเห็น" คือคิดปรุงไปแล้วเห็นมันเห็นเกินสิ่งที่แสดงอยู่จริงๆ

ส่วนเห็นตามธรรมด้วยไม่มีความคิดปรุงแต่งมาประกอบด้วยเรียกว่า "รู้เห็น" คือรู้ตามเป็นจริงที่เขาปรากฏ ไม่ต้องใช้ความคิด มันจะรู้ที่ใจตรงๆ

ตัวอย่างเช่นคนถูกหมามุ่ยแล้วคัน เขาจะรู้ชัดเลยว่าความคันเพราะถูกหมามุ่ยนั้นมันทุกข์ทรมาณแค่ไหน

ผิดกับคนที่ไม่เคยถูกหมามุ่ย มานั่งคิดถึงทุกข์ทรมาณที่ถูกหมามุ่ยเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ได้แต่คาดเดา
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 31 ก.ค. 2014, 08:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ตถตา

มันเป็นเช่นนั้นเอง



เห็นอย่างที่เขาเป็น

ไม่ใช่เห็นอย่างที่เรา(กู) อยากให้มันเป็น หรือคาดเดาว่ามันจะเป็น

:b27: :b27:


โพสต์ เมื่อ: 31 ก.ค. 2014, 15:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมเข้าใจว่า...
.....การเห็นอย่างแจ่มแจ้ง....คือ...เห้นผลก็เห็นเหตุปัจจัย....เห้นเหตุปัจจัยก็เห็นผลที่จะตามมา....เห็นความมีอยู่...ก็เห็นความที่จะต้องเสื่อมสลาย...ความแปรเปลี่ยนไปของสิ่งนั้น...ฯลฯ...รวมๆคือเห็นด้วยปัญญา....ไม่ใช่เห็นด้วยวิญญาณ...(แล้วก็ทำเป็นเฉยๆ...อดทนรอให้มันดับไปเอง)

ความเข้าใจของผมพอจะถูกบ้างมั้ยครับ..อโศกะ


asoka เขียน:
smiley
เห็นอย่างที่กบว่านี้เรียกว่า "คิดเห็น" คือคิดปรุงไปแล้วเห็นมันเห็นเกินสิ่งที่แสดงอยู่จริงๆ

ส่วนเห็นตามธรรมด้วยไม่มีความคิดปรุงแต่งมาประกอบด้วยเรียกว่า "รู้เห็น" คือรู้ตามเป็นจริงที่เขาปรากฏ ไม่ต้องใช้ความคิด มันจะรู้ที่ใจตรงๆ

:b38:


อโศกะ....จะห้ามการคิดปรุงแต่ง...อย่างไร?...

ควรจะที่ค้นหาต้นเหตุของการปรุงแต่งนั้น....หรือ...จะบังคับหักห้ามใจไม่ให้มันไปปรุงแต่ง??


โพสต์ เมื่อ: 31 ก.ค. 2014, 17:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ผมเข้าใจว่า...
.....การเห็นอย่างแจ่มแจ้ง....คือ...เห้นผลก็เห็นเหตุปัจจัย....เห้นเหตุปัจจัยก็เห็นผลที่จะตามมา....เห็นความมีอยู่...ก็เห็นความที่จะต้องเสื่อมสลาย...ความแปรเปลี่ยนไปของสิ่งนั้น...ฯลฯ...รวมๆคือเห็นด้วยปัญญา....ไม่ใช่เห็นด้วยวิญญาณ...(แล้วก็ทำเป็นเฉยๆ...อดทนรอให้มันดับไปเอง)

ความเข้าใจของผมพอจะถูกบ้างมั้ยครับ..อโศกะ


asoka เขียน:
smiley
เห็นอย่างที่กบว่านี้เรียกว่า "คิดเห็น" คือคิดปรุงไปแล้วเห็นมันเห็นเกินสิ่งที่แสดงอยู่จริงๆ

ส่วนเห็นตามธรรมด้วยไม่มีความคิดปรุงแต่งมาประกอบด้วยเรียกว่า "รู้เห็น" คือรู้ตามเป็นจริงที่เขาปรากฏ ไม่ต้องใช้ความคิด มันจะรู้ที่ใจตรงๆ

:b38:


อโศกะ....จะห้ามการคิดปรุงแต่ง...อย่างไร?...

ควรจะที่ค้นหาต้นเหตุของการปรุงแต่งนั้น....หรือ...จะบังคับหักห้ามใจไม่ให้มันไปปรุงแต่ง??

:b16: :b16:
การห้ามการปรุงแต่งเป็นเรื่องที่ยากและใช้กำลังมาก

แต่การถอนเหตุ ปัจจัยแห่งการปรุงแต่งเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า

การค้นหาต้นเหตุแห่งการปรุงแต่งนั้นเป็นวิธีที่ใช่ แต่จะค้นหาอย่างไรนั่นคือสิ่งที่ต้องศึกษา ทดลองและฝึกหัด ปฏิบัติ

การปรุงแต่งพูดให้ฟังง่ายคือ การคิด ความคิดนั่นเอง

การจะหยุดความคิดได้ต้องใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน สมถะเบรกไว้ วิปัสสนาค้นหาเหตุปัจจัยเพื่อถอนออก

วิธีปฏิบัติก็คือ "นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั่นแหละไม่มีอะไรมาก"
:b38: :b38:


โพสต์ เมื่อ: 01 ส.ค. 2014, 13:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
การห้ามการปรุงแต่งเป็นเรื่องที่ยากและใช้กำลังมาก

แต่การถอนเหตุ ปัจจัยแห่งการปรุงแต่งเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า

การค้นหาต้นเหตุแห่งการปรุงแต่งนั้นเป็นวิธีที่ใช่ แต่จะค้นหาอย่างไรนั่นคือสิ่งที่ต้องศึกษา ทดลองและฝึกหัด ปฏิบัติ

การปรุงแต่งพูดให้ฟังง่ายคือ การคิด ความคิดนั่นเอง

การจะหยุดความคิดได้ต้องใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน สมถะเบรกไว้ วิปัสสนาค้นหาเหตุปัจจัยเพื่อถอนออก

วิธีปฏิบัติก็คือ "นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั่นแหละไม่มีอะไรมาก"
:b38: :b38:


ลองยกตัวอย่าง..ที่อโศกะเห็นเหตุของการปรุงแต่งของความคิดจากการนิ่งรู้..นิ่งสังเกต....ซิครับ


โพสต์ เมื่อ: 02 ส.ค. 2014, 08:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
การห้ามการปรุงแต่งเป็นเรื่องที่ยากและใช้กำลังมาก

แต่การถอนเหตุ ปัจจัยแห่งการปรุงแต่งเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า

การค้นหาต้นเหตุแห่งการปรุงแต่งนั้นเป็นวิธีที่ใช่ แต่จะค้นหาอย่างไรนั่นคือสิ่งที่ต้องศึกษา ทดลองและฝึกหัด ปฏิบัติ

การปรุงแต่งพูดให้ฟังง่ายคือ การคิด ความคิดนั่นเอง

การจะหยุดความคิดได้ต้องใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน สมถะเบรกไว้ วิปัสสนาค้นหาเหตุปัจจัยเพื่อถอนออก

วิธีปฏิบัติก็คือ "นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั่นแหละไม่มีอะไรมาก"
:b38: :b38:


ลองยกตัวอย่าง..ที่อโศกะเห็นเหตุของการปรุงแต่งของความคิดจากการนิ่งรู้..นิ่งสังเกต....ซิครับ

:b12:
ความคิดเกิดขึ้น นิ่งรู้นิ่งสังเกต เห็นใจอยาก

ใจอยากเกิดขึ้น นึงรู้นิ่งสังเกต เห็นจิตยินดี

จิตยินดีเกิดขึ้น นิ่งรู้นิ่งสังเกต เห็นผู้ยินดี

ผู้ยินดีเกิดขึ้น นิ่งรู้นิ่งสังเกต หาผู้ยินดีไม่พบ พบแต่ปฏิกิริยาของปัจจัยทำกับเหตุ

อ้า!!!!!!

มันเป็นเช่นนั้นเอง

อนัตตา
:b27:


โพสต์ เมื่อ: 03 ส.ค. 2014, 06:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
ในที่สุดก็มาจบลงตรงตามที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสรุปไว้ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา"
:b8:
:b27:
:b20:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร