วันเวลาปัจจุบัน 08 ส.ค. 2025, 15:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

ไม่รู้..แต่อยาก...จะได้มั้ยคับ..
:b32: :b32:


ไม่รู้..ต้องใฝ่ถามหาความรู้ นั้นเป็นมหากุศลได้ คำว่าอยากจะไม่มี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 18:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุบัติขึ้นมาเพื่อจะหลุดพ้นส่วนตัว เพราะบารมีแก่กล้าจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน บารมีเต็มเปี่ยมก็บรรลุนอกพระพุทธศาสนา


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 19:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุบัติขึ้นมาเพื่อหลุดพ้นเฉพาะตัว พออบรมสติปัฎฎาน 4 เต็มเปี่ยม ก็ บรรลุนอกพระพุทธศานา


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 19:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


http://84000.org/tipitaka/attha/attha.p ... &i=296&p=1

ก่อนจะดูว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า..เป็นมาได้อย่างไร...มาดูว่า..ความเป็นพระพุทธเจ้าก่อน..นะครับว่า..เป็นมาได้อย่างไร...อะไรคือฐานะที่จะเป็นได้..อะไรไม่ใช่ฐานะ
.......................................
อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค
ขัคควิสาณสูตร

อรรถกถาขัคควิสาณสูตร
วรรคที่ ๑
คาถาที่ ๑

ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้นแล พระอานนท์ผู้มีอายุไปในที่ลับหลีกเร้นอยู่ได้เกิดปริวิตกในใจอย่างนี้ว่า ความปรารถนาและอภินิหารย่อมปรากฏแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาปรากฏแก่พระสาวกทั้งหลาย แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายอย่างนั้นไม่ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปเฝ้าทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า. ท่านพระอานนท์ออกจากที่หลีกเร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามเรื่องนี้ตามลำดับ.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสปุพพโยคาวจรสูตรแก่ท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ อานิสงส์ ๕ เหล่านี้ คือ บุคคลย่อมบรรลุอรหัตผลในทิฏฐธรรมในเพราะปุพพโยคาวจรก่อนทีเดียว ถ้าไม่บรรลุอรหัตผลในทิฏฐธรรมก่อนทีเดียว ต่อมาก็บรรลุอรหัตผลในเวลาตาย ฯลฯ ต่อมาเป็นเทวบุตรก็บรรลุอรหัตผล ต่อมาก็เป็นขิปปาภิญญบุคคล ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อมาก็ย่อมเป็นพระปัจเจกสัมพุทธะในกาลภายหลัง.
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสอีกว่า ดูก่อนอานนท์ ธรรมดาพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอภินิหาร มีปุพพโยคาวจรธรรม เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะ และสาวกทั้งหลาย พึงประสงค์ความปรารถนาและอภินิหาร.
ท่านพระอานนท์นั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายควรนานเท่าไร.
พระองค์ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายควรนานโดยการกำหนดอย่างต่ำที่สุดถึงสี่อสงไขยและแสนกัป โดยกำหนดปานกลาง แปดอสงไขยและแสนกัป. โดยการกำหนดอย่างสูง สิบหกอสงไขยและแสนกัป. ประเภททั้ง ๓ นั้น พึงรู้ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าผู้ปัญญาธิกะ ผู้สัทธาธิกะและผู้วิริยาธิกะ.
จริงอยู่ พระพุทธเจ้าผู้ปัญญาธิกะมีศรัทธาน้อย แต่มีปัญญามาก. ผู้สัทธาธิกะมีปัญญาปานกลาง แต่มีศรัทธามาก. ผู้วิริยาธิกะมีศรัทธาและปัญญาน้อย แต่มีความเพียรมาก.
ก็ข้อที่ บุคคลให้ทานเช่นกับด้วยทานของพระเวสสันดรทุกๆ วันก็ดี สั่งสมบารมีธรรมมีศีลเป็นต้น อันสมควรแก่ญาณนั้นก็ดี ยังไม่ถึงสี่อสงไขยแสนกัปแล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้าในระหว่าง นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
เพราะเหตุไร
เพราะญาณยังไม่ตั้งท้อง ยังไม่ถึงความไพบูลย์ ยังไม่ถึงความแก่รอบ เปรียบเหมือนข้อที่ข้าวกล้าจะออกรวงได้ โดยล่วงไป ๓ เดือน ๔ เดือน หรือ ๕ เดือน ไม่ถึงกาลนั้นๆ แล้ว บุคคลจะปรารถนาวันละแสนครั้งทุกๆ วันก็ดี รดน้ำวันละแสนครั้งทุกๆ วันก็ดี จะให้ออกรวงได้โดยภายใน ๑ ปักษ์ หรือ ๑ เดือน นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
เพราะเหตุไร
เพราะข้าวกล้ายังไม่ตั้งท้อง ยังไม่ถึงความไพบูลย์ ยังไม่ถึงความแก่รอบ ชื่อฉันใด.
ข้อที่บุคคลให้ทานเช่นกับด้วยทานของพระเวสสันดรทุกๆ วันก็ดี สั่งสมบารมีธรรมมีศีลเป็นต้น อันสมควรแก่ญาณนั้นก็ดี ยังไม่ถึงสี่อสงไขยแสนกัปแล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้าในระหว่าง นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
เพราะเหตุไร
เพราะญาณยังไม่ตั้งท้อง ยังไม่ถึงความไพบูลย์ ยังไม่ถึงความแก่รอบฉันนั้นเหมือนกัน.
เพราะฉะนั้น พึงทำการบำเพ็ญบารมีตลอดกาลตามที่กล่าวนั่นเทียว เพื่อประโยชน์แก่ความแก่รอบแห่งญาณ. ก็เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าโดยกาลแม้ประมาณเท่านี้ ก็พึงปรารถนาสมบัติ ๘ ประการ ในการสร้างอภินิหาร.
จริงอยู่
อภินิหารนี้ย่อมสำเร็จได้ ก็เพราะการประชุมธรรม ๘ ประการ
คือ ความเป็นมนุษย์ ๑ ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑ เหตุ ๑
การเห็นพระศาสดา ๑ การบรรพชา ๑ ความถึงพร้อมแห่งคุณ ๑
อธิการ ๑ ความพอใจ ๑.

คำว่า อภินิหาร นั่นเป็นชื่อแห่งมูลปณิธาน.
ในการประชุมธรรม ๘ ประการนั้น คำว่า ความเป็นมนุษย์ ได้แก่ มนุษยชาติ. ด้วยว่านอกจากมนุษยชาติแล้ว ปณิธานของบุคคลผู้ดำรงอยู่ในชาติที่เหลือทั้งหลาย แม้ในชาติเทวดาก็ตาม ก็ย่อมสำเร็จไม่ได้ เพราะบุคคลที่ดำรงอยู่ในมนุษยชาตินั้น เมื่อปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ทำบุญกรรมทั้งหลายมีทานเป็นต้นแล้ว พึงปรารถนาความเป็นมนุษย์เท่านั้น ผู้ดำรงอยู่ในมนุษยชาตินั้นพึงตั้งปณิธาน ด้วยว่าอภินิหารย่อมสำเร็จอย่างนี้.

คำว่า ความถึงพร้อมด้วยเพศ ได้แก่ ความเป็นบุรุษ.
ก็ปณิธานของสตรี กะเทยและอุภโตพยัญชนก แม้ดำรงอยู่ในมนุษยชาติ ก็ย่อมสำเร็จไม่ได้ ด้วยว่าบุคคลผู้ดำรงอยู่ในมนุษยชาตินั้น เมื่อปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ทำบุญกรรมทั้งหลายมีทานเป็นต้นแล้ว พึงปรารถนาความเป็นบุรุษเท่านั้น ผู้ดำรงอยู่ในความเป็นบุรุษนั้น พึงตั้งปณิธาน อภินิหารย่อมสำเร็จได้ด้วยประการฉะนี้.

คำว่า เหตุ ได้แก่ ความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัยแห่งพระอรหัต.
ก็บุคคลใดพยายามอยู่ในอัตภาพนั้น สามารถเพื่อบรรลุพระอรหัตได้ อภินิหารย่อมสำเร็จแก่บุคคลนั้น หาสำเร็จแก่บุคคลนอกนี้ไม่ เหมือนสำเร็จแก่สุเมธบัณฑิต ฉะนั้น ด้วยว่าสุเมธบัณฑิตนั้น บรรพชาที่บาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ได้เป็นผู้สามารถเพื่อบรรลุพระอรหัตโดยอัตภาพนั้นได้
.

คำว่า การเห็นพระศาสดา ได้แก่ การเห็นเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ด้วยว่าอภินิหารย่อมสำเร็จด้วยประการนี้ หาสำเร็จโดยประการอื่นไม่ เหมือนสำเร็จแก่สุเมธบัณฑิตฉะนั้น เพราะสุเมธบัณฑิตนั้นเห็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร เฉพาะพระพักตร์แล้ว ได้ตั้งความปรารถนา.

คำว่า การบรรพชา ได้แก่ ความเป็นอนาคาริก.
ก็ความเป็นอนาคาริกนั้นแล ย่อมควรในศาสนา หรือในนิกายของดาบสและปริพาชกผู้เป็นกรรมวาทีและกิริยวาที เหมือนควรแก่สุเมธบัณฑิตฉะนั้น ด้วยว่าสุเมธบัณฑิตนั้นเป็นดาบส ชื่อสุเมธ จึงตั้งปณิธาน.


คำว่า ความถึงพร้อมแห่งคุณ ได้แก่ การได้คุณธรรมมีฌานเป็นต้น.
ก็อภินิหารย่อมสำเร็จแก่บุคคลแม้บวชแล้ว ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณเท่านั้น ย่อมไม่สำเร็จแก่บุคคลนอกนี้ เหมือนสำเร็จแก่สุเมธบัณฑิตฉะนั้น ด้วยว่าสุเมธบัณฑิตนั้นได้อภิญญา ๕ และได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงตั้งปณิธาน.

คำว่า อธิการ ได้แก่ การกระทำที่ยิ่ง. อธิบายว่า การบริจาค.
จริงอยู่ อภินิหารย่อมสำเร็จแก่บุคคลผู้ทำการบริจาควัตถุมีชีวิตเป็นต้น แล้วตั้งปณิธานไว้เท่านั้น หาสำเร็จแก่บุคคลนอกนี้ไม่เหมือนสำเร็จแก่สุเมธบัณฑิตฉะนั้น.

ก็สุเมธบัณฑิตนั้นทำการบริจาคชีวิตแล้วตั้งปณิธานอย่างนี้ว่า
ขอพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย
จงทรงเหยียบข้าพเจ้าไป อย่าได้ทรงเหยียบเปือก
ตมเลย ขอการกระทำยิ่งนี้จักเป็นเพื่อประโยชน์
เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้า.

____________________________
๑- ขุ. พุทฺธ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๒

คำว่า ความพอใจ ได้แก่ ความเป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะทำ ความเป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะทำนั้นของบุคคลใดมีกำลัง อภินิหารย่อมสำเร็จแก่บุคคลนั้น.
ก็ความเป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะทำนั้น พึงทราบว่า ถ้าบางคนพึงกล่าวว่าใครเล่าไหม้ในนรกตลอดสี่อสงไขยและแสนกัปแล้ว ย่อมปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าดังนี้ไซร้ บุคคลใดได้ฟังคำนั้นแล้วย่อมอุตสาหะเพื่อจะกล่าวว่าเรา ความเป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะทำของบุคคลนั้นชื่อว่ามีกำลัง.
อนึ่ง ความเป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะทำนั้น พึงทราบว่า ถ้าบางคนพึงกล่าวว่าใครเล่าเหยียบข้ามสกลจักรวาลอันเต็มด้วยถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลวแล้ว ย่อมปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ใครเล่าเหยียบข้ามสกลจักรวาลอันเกลื่อนกล่นด้วยหอกและหลาวแล้ว ย่อมปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ใครเล่าลุยข้ามสกลจักรวาลอันเต็มด้วยน้ำปริ่มฝั่งแล้ว ย่อมปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ใครเล่าย่ำยีก้าวล่วงสกลจักรวาลซึ่งดารดาษด้วยกอไผ่ชั่วนิรันดร์แล้ว ย่อมปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ไซร้ บุคคลใดได้ฟังคำนั้นแล้วย่อมอุตสาหะเพื่อจะกล่าวว่าเรา ความเป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะทำของบุคคลนั้นชื่อว่ามีกำลัง.
สุเมธบัณฑิตประกอบพร้อมด้วยฉันทะ คือความเป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะทำเห็นปานนี้ ได้ตั้งปณิธานแล้วแล.

พระโพธิสัตว์ผู้มีอภินิหารสำเร็จแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่ถึงอภัพฐานะ ๑๘ ประการ.
จริงอยู่ พระโพธิสัตว์นั้น จำเดิมแต่นั้นย่อมไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด ๑
ไม่เป็นคนหนวกแต่กำเนิด ๑
ไม่เป็นคนบ้า ๑
ไม่เป็นคนใบ้ ๑
ไม่เป็นคนแคระ ๑
ไม่เกิดในชนชาติมิลักขะ ๑
ไม่เกิดในท้องของนางทาสี ๑
ไม่เป็นคนนิยตมิจฉาทิฏฐิ ๑
ไม่เป็นคนกลับเพศ ๑
ไม่ทำอนันตริยกรรมห้าอย่าง ๑
ไม่เป็นคนโรคเรื้อน ๑
อัตภาพสุดท้ายไม่เวียนมาในกำเนิดดิรัจฉาน ๑
ไม่มีอัตภาพใหญ่กว่าช้าง ๑
ไม่เกิดในขุปปิปาสิกเปรตและนิชฌามตัณหิกเปรต ๑
ไม่เกิดในจำพวกกาลกัญชิกาสูรทั้งหลาย ๑
ไม่เกิดในอเวจีนรก ๑
ไม่เกิดในโลกันตริกนรก ๑
ไม่เป็นมารในสวรรค์ชั้นกามาวจร ไม่เกิดในอสัญญีภพในรูปาวจรภูมิ ไม่เกิดในภพสุทธาวาส ไม่เกิดในอันติมภพ ไม่ก้าวไปสู่จักรวาลอื่น ๑
.

ก็พุทธภูมิ ๔ เหล่านี้ใด คือ อุตสาหะ ๑ อุมมัคคะ ๑ อวัฏฐานะ ๑ หิตจริยา ๑. พระโพธิสัตว์เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยพุทธภูมิเหล่านั้น. ในพุทธภูมิ ๔ ประการนั้น ความเพียรเรียกว่า อุตสาหะ. ปัญญาเรียกว่า อุมมัคคะ. อธิษฐานเรียกว่า อวัฏฐานะ. เมตตาภาวนาเรียกว่า หิตจริยา.
ก็อัธยาศัย ๖ ประการ แม้เหล่านี้ใด คือ อัธยาศัยเพื่อเนกขัมมะ อัธยาศัยเพื่อปวิเวก อัธยาศัยเพื่อความไม่โลภ อัธยาศัยเพื่อความไม่โกรธ อัธยาศัยเพื่อความไม่หลง อัธยาศัยเพื่อความสลัดออก ย่อมเป็นไปเพื่อบ่มโพธิญาณ เพราะพระโพธิสัตว์ทั้งหลายประกอบพร้อมด้วยอัธยาศัยเหล่าใด.

พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยเพื่อเนกขัมมะ เรียกว่ามีปกติเห็นโทษในกาม. ผู้มีอัธยาศัยเพื่อปวิเวก เรียกว่ามีปกติเห็นโทษในการคลุกคลี. ผู้มีอัธยาศัยเพื่อความไม่โลภ เรียกว่ามีปกติเห็นโทษในโลภะ. ผู้มีอัธยาศัยเพื่อความไม่โกรธ เรียกว่ามีปกติเห็นโทษในโทสะ. ผู้มีอัธยาศัยเพื่อความไม่หลง เรียกว่า มีปกติเห็นโทษในโมหะ และผู้มีอัธยาศัยเพื่อความสลัดออก เรียกว่ามีปกติเห็นโทษในภพทั้งปวง.

สุเมธบัณฑิตผู้โพธิสัตว์เป็นผู้ประกอบด้วยอัธยาศัยเหล่านั้น.


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 20:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


................................
ถามว่า ก็การปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายควรนานเท่าไร?

ตอบว่า การปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายควรนานถึงสองอสงไขยและแสนกัป ต่ำกว่านั้นไม่ควร พึงทราบเหตุในการปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านี้โดยนัยที่กล่าวแล้วในบทก่อนนั่นแล. ก็เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยกาลแม้มีประมาณเท่านี้ พึงปรารถนาสมบัติ ๕ ประการในการสร้างอภินิหาร.
จริงอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นมีเหตุแห่งอภินิหารเหล่านี้ คือ
ความเป็นมนุษย์ ๑
ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑
การเห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ ๑
อธิการ ๑
ความพอใจ ๑.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า การเห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ ได้แก่ การเห็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่ง.
บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.

..................................

ปรารถณาความเป็นพระพุทธเจ้า...ต้องมีสมบัติ 8

ส่วน หากปรารถณาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า...มีสมบัติลดลงเหลือ..5 ประการ เป็นอย่างน้อย

ส่วนที่ขาดหายไป..คือ..
เหตุ ได้แก่ ความถึงพร้อมแห่งอุปนิสัยแห่งพระอรหัต

การบรรพชา ได้แก่ ความเป็นอนาคาริก.

ความถึงพร้อมแห่งคุณ ได้แก่ การได้คุณธรรมมีฌานเป็นต้น.

และอีกอันหนึ่งที่..ต่างกัน..คือ..
ในการตั้งความปรารถณาความเป็นพระพุทธเจ้า...คือ การเห็นพระศาสดา ได้แก่ การเห็นเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า...คือ..การเห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ ได้แก่ การเห็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่ง.


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
พระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้นพร้อมกันได้หลายๆ พระองค์
แต่สัตว์โลกก็ไม่สามารถได้บรรลุตามได้
และท่านก็ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้สัตว์เดินตามรอยได้
แต่ละพระองค์ก็ต้องสร้างบารมีมา ๒ อสงไขยกับแสนกัปป์
จึงจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ ก็นับว่านานมาก

ท่านเคยสงสัยไหมว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเพื่ออะไร
ท่านมีคุณกับสัตว์โลกบ้างไหม

ใคร่ขอความกรุณาชี้แจงจากผู้รู้ครับ


1 ท่านเคยสงสัยไหมว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเพื่ออะไร?

ไม่เคยสงสัยครับ..
พระพุทธเจ้า..หรือ...พระปัจเจกพุทธเจ้า...หรือ... อัครสาวก...ก็ล้วนแต่...เกิดขึ้นจากความปรารถณาของตัวท่านเอง...ไม่ได้เกิดจากความปรารถณาของใครอื่นแต่อย่างใด...

หรือแม้แต่เรา..ก็ล้วนแต่เป็นไปตามความปรารถณาของเราเอง...ครับ

เพียงแต่...เมื่อท่านอุบัติขึ้นมาแล้ว...ใครจะได้ประโยชน์จากท่านก็ต้องเป็นผู้นั้นเป็นคนขวนขวายเอาเอง

2 ท่านมีคุณกับสัตว์โลกบ้างไหม?

มีมาก..เลยครับ...

สูงสุด...คือ..เป็นคนหมดกิเลสได้เลย...เช่น...เป็นปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน..และ..เป็นอรหันต์ผู้หมดกิเลส...(คือเป็นที่ตั้งแห่งความปรารถณาของบุคคลที่พบเห็น)...นี้งัยครับ..ที่ว่า...เป็นได้ถึงสูงสุดครับ

อย่าลืมนะครับ...หากไม่มีผู้หมดกิเลสเป็นไอดอลให้เรา...เราก็ไม่คิดที่จะเป็นผู้หมดกิเลส

อ้างคำพูด:
ถามว่า ก็การปรารถนาเป็นพระสาวกทั้งหลายควรนานเท่าไร.
ตอบว่า การปรารถนาเป็นพระอัครสาวกทั้งสอง ควรนานหนึ่งอสงไขยและแสนกัป การปรารถนาเป็นพระอสีติมหาสาวกควรนานแสนกัป ความปรารถนาเป็นพระมารดาพระบิดา อุปัฏฐากและพระโอรสของพระพุทธเจ้า ควรนานแสนกัปเหมือนกัน ต่ำกว่านั้นไม่ควร เหตุในการปรารถนานั้นมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นเทียว.
ก็พระสาวกเหล่านั้นทั้งหมดมีอภินิหารสมบูรณ์ด้วยองค์ ๒ อย่าง คือ อธิการ ๑ ความพอใจ ๑ เท่านั้น.


ต่ำๆกว่านี้...ก็คือ...ได้มนุษย์สมบัติ...ได้สวรรค์สมบัติ...กับผู้ที่ทำบุญด้วย...
เป็นเนื้อนาบุญนี้.ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย...นะครับ


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 22:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งหลายตลอดกาลมีประเภทตามที่กล่าวแล้ว ด้วยการปรารถนานี้ ด้วยอภินิหารนี้นั้นแลอย่างนี้ เมื่อจะทรงอุบัติในโลก ก็ทรงอุบัติในตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์.

พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมอุบัติในตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ หรือตระกูลคหบดี ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง.

ส่วนพระอัครสาวกทั้งหลายย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์ หรือตระกูลพราหมณ์เท่านั้น เหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย .


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 22:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


http://84000.org/tipitaka/attha/attha.p ... &i=296&p=1

อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อุรควรรค
ขัคควิสาณสูตร

อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าทั้งปวงย่อมไม่ทรงอุบัติในกัปกำลังเสื่อม ย่อมทรงอุบัติในกัปกำลังเจริญ
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไม่พบพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมอุบัติในกาลอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น.

พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้เองด้วย ทรงสอนให้คนเหล่าอื่นรู้ด้วย.
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้เอง แต่ไม่อาจสอนให้คนเหล่าอื่นรู้ ย่อมแทงตลอดอรรถรสเท่านั้น ย่อมไม่แทงตลอดธรรมรส เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นย่อมไม่สามารถเพื่อจะยกโลกุตรธรรมเป็นบัญญัติขึ้นแสดงได้. การบรรลุธรรมย่อมมีแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น เหมือนความฝันที่คนใบ้ฝัน และเหมือนกับรสแห่งกับข้าวที่พรานป่าได้ลิ้มในเมืองฉะนั้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมบรรลุธรรมทั้งหมดอันต่างโดยอิทธิ สมาบัติและปฏิสัมปทา แต่เพราะมีคุณพิเศษจึงต่ำกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่เหนือพระสาวกทั้งหลาย ย่อมยังบุคคลเหล่าอื่นบรรพชา ให้ศึกษาอภิสมาจาร ด้วยอุเทศนี้ว่า พึงทำความขัดเกลาจิต ไม่พึงท้อถอย หรือย่อมทำอุโบสถ ด้วยเหตุเพียงพูดว่า วันนี้ อุโบสถ และเมื่อจะทำอุโบสถย่อมประชุมกันทำที่รัตนมาลา โคนต้นไม้มัญชุสะ ในภูเขาคันธมาทน์แล.


อย่าลืมนะครับ..ว่า..นี้..คือ..อรรถกถา

ผมสนใจตรงที่...ไม่สามารถเพื่อจะยกโลกุตรธรรมเป็นบัญญัติขึ้นแสดงได้
สิ่งที่ผมคิด..คือ...ยุคสมัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า...ไม่มีบัญญัติที่ประชาชนใช้ๆกันมารองรับการสอนต่างหาก...

สังเกตุดู..นะครับ...ในครั้งพุทธกาล...พระพุทธเจ้ากล่าวว่า...รูป...เวทนา...สัญญา..สังขาร...วิญญาณ..ไม่เที่ยง...เป็นทุกข์...เป็นอนัตตา...
ทุกคนในยุคนั้นก็เข้าใจได้ว่า...เวทนาหมายถึงอะไร..สัญญาหมายถึงอะไร..วิญญาณหมายถึงอะไร..อนัตตาหมายถึงอะไร....อย่างนี้เป็นต้น

หากไม่มีบัญญัติเหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว....แล้วพระพุทธองค์จะใช้อะไรเป็นเครื่องมือสอนโลกุตรธรรม
อย่าลืมนะครับ...บัญญัติเหล่านี้..พระพุทธองค์ไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่

ดังนั้น...ที่อรรถกถาว่า..."ไม่สามารถเพื่อจะยกโลกุตรธรรมเป็นบัญญัติขึ้นแสดงได้" ผมยังไม่ปลงใจเชื่อ

หากจะกล่าวว่า.."ไม่มีบัญญัติให้สามารถยกโลกุตรธรรมขึ้นมาแสดงได้..." ผมจะเชื่อมากกว่า


จุดนี้..สำคัญนะครับ...เพราะมันหมายถึงอะไรอะไรหลายๆอย่าง

เช่น....
บุคคลที่จะบรรลุธรรมเป็นสาวกะ....ไม่ไปเกิดในยุคนั้น..เขารอพระพุทธเจ้าของเขาที่มีบุญเนื่องกันมา...พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เลยไม่ประกาศศาสนา..(ก็แล้วจะประกาศให้ใครฟัง)

นี้เป็นการอธิบายว่า..เพราะเหตุอะไรอัครสาวก...พระสาวกจึงสอนคนให้บรรลุธรรมได้...แต่พระปัจเจกกลับไม่..ทั้งๆที่ บำเพ็ญบารมีมานานกว่าอัครสาวก


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2015, 10:33 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2961


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2015, 17:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดังนั้น...ที่อรรถกถาว่า..."ไม่สามารถเพื่อจะยกโลกุตรธรรมเป็นบัญญัติขึ้นแสดงได้" ผมยังไม่ปลงใจเชื่อ

หากจะกล่าวว่า.."ไม่มีบัญญัติให้สามารถยกโลกุตรธรรมขึ้นมาแสดงได้..." ผมจะเชื่อมากกว่า

จุดนี้..สำคัญนะครับ...เพราะมันหมายถึงอะไรอะไรหลายๆอย่าง

เช่น....
บุคคลที่จะบรรลุธรรมเป็นสาวกะ....ไม่ไปเกิดในยุคนั้น..เขารอพระพุทธเจ้าของเขาที่มีบุญเนื่องกันมา...พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เลยไม่ประกาศศาสนา..(ก็แล้วจะประกาศให้ใครฟัง)

นี้เป็นการอธิบายว่า..เพราะเหตุอะไรอัครสาวก...พระสาวกจึงสอนคนให้บรรลุธรรมได้...แต่พระปัจเจกกลับไม่..ทั้งๆที่ บำเพ็ญบารมีมานานกว่าอัครสาวก



ในสมัยช่วงพุทธันดรคือว่างจากพระพุทธเจ้า จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมากมาย
และในขณะเดียวกันพระปัจเจกไม่สามารถประกาศพระศาสนาได้ ท่านบำเพ็ญบารมีเพียง ๒ อสงไขย
แสนกัปป์ การบำเพ็ญบารมีไม่เพียงพอกับจะบัญญัติคำสอนได้ เมื่อบัญญัติคำสอนไม่ได้จึงประกาศพระศาสนาไม่ได้ เมื่อประกาศพระศาสนาไม่ได้พระสาวกจึงไม่มี เมื่อไม่มีก็ถือว่าว่างจากพระพุทธศาสนา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2015, 20:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


sirinpho เขียน:
:b8: :b8: :b8:


ขอบคุณ..ที่ขุดกระทู้นี้ขึ้นมา..นะครับ..
:b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 15 ธ.ค. 2015, 20:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดังนั้น...ที่อรรถกถาว่า..."ไม่สามารถเพื่อจะยกโลกุตรธรรมเป็นบัญญัติขึ้นแสดงได้" ผมยังไม่ปลงใจเชื่อ

หากจะกล่าวว่า.."ไม่มีบัญญัติให้สามารถยกโลกุตรธรรมขึ้นมาแสดงได้..." ผมจะเชื่อมากกว่า

จุดนี้..สำคัญนะครับ...เพราะมันหมายถึงอะไรอะไรหลายๆอย่าง

เช่น....
บุคคลที่จะบรรลุธรรมเป็นสาวกะ....ไม่ไปเกิดในยุคนั้น..เขารอพระพุทธเจ้าของเขาที่มีบุญเนื่องกันมา...พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เลยไม่ประกาศศาสนา..(ก็แล้วจะประกาศให้ใครฟัง)

นี้เป็นการอธิบายว่า..เพราะเหตุอะไรอัครสาวก...พระสาวกจึงสอนคนให้บรรลุธรรมได้...แต่พระปัจเจกกลับไม่..ทั้งๆที่ บำเพ็ญบารมีมานานกว่าอัครสาวก



ลุงหมาน เขียน:
ในสมัยช่วงพุทธันดรคือว่างจากพระพุทธเจ้า จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมากมาย
และในขณะเดียวกันพระปัจเจกไม่สามารถประกาศพระศาสนาได้ ท่านบำเพ็ญบารมีเพียง ๒ อสงไขย
แสนกัปป์ การบำเพ็ญบารมีไม่เพียงพอกับจะบัญญัติคำสอนได้ เมื่อบัญญัติคำสอนไม่ได้จึงประกาศพระศาสนาไม่ได้ เมื่อประกาศพระศาสนาไม่ได้พระสาวกจึงไม่มี เมื่อไม่มีก็ถือว่าว่างจากพระพุทธศาสนา


ถามลุงหมาน..นะครับว่า...คำว่า..ขันธ์ 5 ...รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..เที่ยง..ไม่เที่ยง...อนัตตา..ฯลฯ

คำเหล่านี้...พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นภายหลังการตรัสรู้..รึว่า...เป็นคำที่มีอยู่ก่อนการตรัสรู้...ละคับ??


โพสต์ เมื่อ: 16 ธ.ค. 2015, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:


ถามลุงหมาน..นะครับว่า...คำว่า..ขันธ์ 5 ...รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..เที่ยง..ไม่เที่ยง...อนัตตา..ฯลฯ

คำเหล่านี้...พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นภายหลังการตรัสรู้..รึว่า...เป็นคำที่มีอยู่ก่อนการตรัสรู้...ละคับ??

ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร เที่ยง ไม่เที่ยง อนัตตา ฯลฯ คำเหล่านี้มีอยู่ก่อนแล้วโดยสภาวะ
แต่ไม่มีชื่อเรียก พระองค์จึงมาบัญญัติตรัสเรียกชื่อในภายหลัง

บัญญัตินั้นมี ๒ อย่าง คือ บัญญัติที่มีสภาวะรับรอง เช่น จิต เจตสิก รูป นิพพาน
และบัญัติที่ไม่มีสภาวะรับรอง เช่น คน บ้าน รถ ภูเขา ต้นไม้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 16 ธ.ค. 2015, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:


ถามลุงหมาน..นะครับว่า...คำว่า..ขันธ์ 5 ...รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..เที่ยง..ไม่เที่ยง...อนัตตา..ฯลฯ

คำเหล่านี้...พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นภายหลังการตรัสรู้..รึว่า...เป็นคำที่มีอยู่ก่อนการตรัสรู้...ละคับ??


ลุงหมาน เขียน:
ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร เที่ยง ไม่เที่ยง อนัตตา ฯลฯ คำเหล่านี้มีอยู่ก่อนแล้วโดยสภาวะ
แต่ไม่มีชื่อเรียก พระองค์จึงมาบัญญัติตรัสเรียกชื่อในภายหลัง


บัญญัตินั้นมี ๒ อย่าง คือ บัญญัติที่มีสภาวะรับรอง เช่น จิต เจตสิก รูป นิพพาน
และบัญัติที่ไม่มีสภาวะรับรอง เช่น คน บ้าน รถ ภูเขา ต้นไม้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น


ลุงหมาน...ลองคิดดูนะ...ว่า..ถ้าเป็นอย่างที่ลุงหมานว่า"แต่ไม่มีชื่อเรียก พระองค์จึงมาบัญญัติตรัสเรียกชื่อในภายหลัง"มา... หลังจากการเทศน์ครั้งแรกของพระองค์(อนัตตลักขณสูตร)...ปัญจวัคคีย์ก็ต้องถามพระองคกลับว่า...รูปคืออะไร..เวทนา...สัญญา..สังขาร...หมายถึงอะไร..ซิ...เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคำเหล่านี้หมายถึงอะไร

แต่..ในความเป็นจริง...หลังเทศน์จบ...ปัญจวัคคีย์กลับสำเร็จเป็นพระอรหันต์...กันหมด นี้แสดงว่า...ปัญจวัคคีย์..เข้าใจคำเหล่านี้ก่อนแล้ว..ว่าหมายถึงอะไร


โพสต์ เมื่อ: 16 ธ.ค. 2015, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:


ถามลุงหมาน..นะครับว่า...คำว่า..ขันธ์ 5 ...รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..เที่ยง..ไม่เที่ยง...อนัตตา..ฯลฯ

คำเหล่านี้...พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นภายหลังการตรัสรู้..รึว่า...เป็นคำที่มีอยู่ก่อนการตรัสรู้...ละคับ??


ลุงหมาน เขียน:
ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร เที่ยง ไม่เที่ยง อนัตตา ฯลฯ คำเหล่านี้มีอยู่ก่อนแล้วโดยสภาวะ
แต่ไม่มีชื่อเรียก พระองค์จึงมาบัญญัติตรัสเรียกชื่อในภายหลัง


บัญญัตินั้นมี ๒ อย่าง คือ บัญญัติที่มีสภาวะรับรอง เช่น จิต เจตสิก รูป นิพพาน
และบัญัติที่ไม่มีสภาวะรับรอง เช่น คน บ้าน รถ ภูเขา ต้นไม้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น


ลุงหมาน...ลองคิดดูนะ...ว่า..ถ้าเป็นอย่างที่ลุงหมานว่า"แต่ไม่มีชื่อเรียก พระองค์จึงมาบัญญัติตรัสเรียกชื่อในภายหลัง"มา... หลังจากการเทศน์ครั้งแรกของพระองค์(อนัตตลักขณสูตร)...ปัญจวัคคีย์ก็ต้องถามพระองคกลับว่า...รูปคืออะไร..เวทนา...สัญญา..สังขาร...หมายถึงอะไร..ซิ...เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคำเหล่านี้หมายถึงอะไร

แต่..ในความเป็นจริง...หลังเทศน์จบ...ปัญจวัคคีย์กลับสำเร็จเป็นพระอรหันต์...กันหมด นี้แสดงว่า...ปัญจวัคคีย์..เข้าใจคำเหล่านี้ก่อนแล้ว..ว่าหมายถึงอะไร


ในครั้งแรกพระองค์แสดงพระธรรมจักรลักขณสูตร พระอัญญาโกญฑัญญะบรรลุธรรม
ก็แสดงว่า พระอัญญาโกญญะ เป็นผู้ที่ตรัสรู้ได้เร็ว สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา
หรืออาจ ทุกขา ปฏิปทา ทัญธาภิญญา ก็ได้ ที่เหลืออีก ๔ องค์ พระองค์เทศนาอนัตตลักขณะสูตร
เป็นพวกตรัสรู็ช้า พวกที่ปฏิบัติลำบาก บางพวกก็ปฏิบัติสบาย การเทศนานั้นย่อมมีการสงสัย
เมื่อสงสัยก็ย่อมไต่ถาม ถ้าไม่มีการสงสัยและไต่ถาม ปัญจวัคคีย์จะต้องบรรลุพร้อมกันหมด

จะสังเกตุได้ว่า ปัญญจวัคคีย์ทั้ง ๕ องค์จะบรรลุไม่พร้อมกันสักองค์เดียวคือบรรลุต่างวันต่างเวลา
การสงสัยนั้นไม่ใช่จะให้ภิกษุเป็นผู้ถาม พระองค์จะเป็นผู้ถามเอง เช่นว่า

[๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
สำคัญความนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา ?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร