วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 13:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2015, 22:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1:

อยากรู้
ต้องลองไปยั่วอารมณ์ท่านดูรึเปล่า :b32: :b32:

:b1: การที่จะมีอะไรเข้ามาเพื่อทดสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ
โดยเฉพาะ ผู้ที่เข้าสู่โลกุตระธรรมด้วยแล้ว

สำหรับผู้ที่ยังต่อสู้อยู่ในแดน โลกียะธรรม ก็คงจะเจอบททดสอบเยอะ
บางที ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่แสดงความโลภ แสดงสำรวมก็มี ด้วยกำลังแห่งมานะทิฐิ
ไม่ใช่ด้วยกำลังปัญญา หรือ กำลังจิต
พอปุถุชนเห็น มันก็น่าหมั่นเขี้ยวเป็นธรรมดา
ก็พลอยมีเรื่องให้ได้แหย่นิดแหย่หน่อย
พอให้ได้เกา ๆ คัน ๆ ขำขำ งอน ๆ กันไปตามประสา :b32:

ส่วนผู้ที่สะสมอริยะทรัพย์อยู่
การกระทำใดที่ทำให้อริยะทรัพย์ต้องพร่อง ต้องเสื่อม
ถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้เพียรอยู่ ย่อมเฝ้าสำรวมระวังเป็นอย่างมาก
สติประคองจิตยิ่งกว่าอุ้มเด็กอ่อนแรกเกิด
ซึ่งท่านอาจจะไม่ได้เจอบททดสอบบ่อยนัก
แต่ว่าบทที่ท่านจะต้องเจอ ก็มักจะหนักหน่วง
ซึ่งโดยมาก ท่านก็จะไม่พ่ายหรอก
เพราะ โดยโลกุตระธรรมแล้ว เป็นการสู้แบบหลังชนฝา
ไม่มีการถอยกลับ
จะเอาชนะได้ช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจ อุบาย และเวลา

:b32: :b32: :b32:

ว่าแต่ อ๊บซ์อยากถูกทดสอบแล้วเหร๋อ...

:b11: :b11: :b11:


:b7: :b7: :b7:
cry cry cry


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2015, 06:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:

พระอนาคา รู้ได้ง่าย ยังไงครับ

ท่านจะไม่มีอาการโกรธ หรือเสียใจให้เห็นเลย

แค่ไม่โกรธ กับไม่เสียใจ ยังไม่พอนะครับผมว่า :b23:


คำว่าท่านไม่แสดงอาการโกรธ หรือเสียใจให้เห็นเลยนั้น
ก็ไม่ใช่จะรีบตัดสินว่าท่านเป็นพระอนาคามีเลยที่เดียว เช่นบุคคลที่ได้ฌาน
และอยู่ในฌาน ท่านก็ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เสียใจได้เหมือนกัน

ต่างกันคือ ไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจของพระอนาคามี กับผู้ที่ได้ฌาน
พระอนาคามีนั้นความไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจนั้น จะไม่กลับมาเกิดขึ้นอีกต่อไป
ส่วนผู้ที่ได้ฌานนั้นเมื่อออกจากฌานความไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจก็อาจมาเกิดขึ้นได้เหมือนเดิม

สรุปท่านทั้งสองต่างกันตรงที่ว่า พระอนาคามีท่านได้ประหานโกรธได้อย่างเด็ดขาด(ปริเฉทปหาน)
ส่วนผู้ที่ได้ฌานท่านเป็นเพียงข่มไว้ (วิกขัมภนปหาน)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2015, 10:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คำว่าท่านไม่แสดงอาการโกรธ หรือเสียใจให้เห็นเลยนั้น
ก็ไม่ใช่จะรีบตัดสินว่าท่านเป็นพระอนาคามีเลยที่เดียว เช่นบุคคลที่ได้ฌาน 
และอยู่ในฌาน ท่านก็ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เสียใจได้เหมือนกัน 

ต่างกันคือ ไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจของพระอนาคามี กับผู้ที่ได้ฌาน
พระอนาคามีนั้นความไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจนั้น จะไม่กลับมาเกิดขึ้นอีกต่อไป
ส่วนผู้ที่ได้ฌานนั้นเมื่อออกจากฌานความไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจก็อาจมาเกิดขึ้นได้เหมือนเดิม

สรุปท่านทั้งสองต่างกันตรงที่ว่า พระอนาคามีท่านได้ประหานโกรธได้อย่างเด็ดขาด(ปริเฉทปหาน)
ส่วนผู้ที่ได้ฌานท่านเป็นเพียงข่มไว้ (วิกขัมภนปหาน)


:b8: :b8: :b8:
สาธุค่ะลุง..ชัดเจนดี
ถ้าไปยึดเข้าก็หลงเข้าใจผิดได้ง่าย..ว่าตัวเองสำเร็จ
คนที่ได้ฌาน..เพียงการข่มไว้
ไม่มีทางสมมุติถึงความรู้สึกของคนที่ประหานได้อย่างเด็ดขาดค่ะ
ถ้าถึงเมื่อไหร่..คงได้รู้ว่าแตกต่างกัน :b9: :b9:

เดาเอานะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2015, 10:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1:

อยากรู้
ต้องลองไปยั่วอารมณ์ท่านดูรึเปล่า :b32: :b32:

:b1: การที่จะมีอะไรเข้ามาเพื่อทดสอบอารมณ์ผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ
โดยเฉพาะ ผู้ที่เข้าสู่โลกุตระธรรมด้วยแล้ว

สำหรับผู้ที่ยังต่อสู้อยู่ในแดน โลกียะธรรม ก็คงจะเจอบททดสอบเยอะ
บางที ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่แสดงความโลภ แสดงสำรวมก็มี ด้วยกำลังแห่งมานะทิฐิ
ไม่ใช่ด้วยกำลังปัญญา หรือ กำลังจิต
พอปุถุชนเห็น มันก็น่าหมั่นเขี้ยวเป็นธรรมดา
ก็พลอยมีเรื่องให้ได้แหย่นิดแหย่หน่อย
พอให้ได้เกา ๆ คัน ๆ ขำขำ งอน ๆ กันไปตามประสา :b32:

ส่วนผู้ที่สะสมอริยะทรัพย์อยู่
การกระทำใดที่ทำให้อริยะทรัพย์ต้องพร่อง ต้องเสื่อม
ถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้เพียรอยู่ ย่อมเฝ้าสำรวมระวังเป็นอย่างมาก
สติประคองจิตยิ่งกว่าอุ้มเด็กอ่อนแรกเกิด
ซึ่งท่านอาจจะไม่ได้เจอบททดสอบบ่อยนัก
แต่ว่าบทที่ท่านจะต้องเจอ ก็มักจะหนักหน่วง
ซึ่งโดยมาก ท่านก็จะไม่พ่ายหรอก
เพราะ โดยโลกุตระธรรมแล้ว เป็นการสู้แบบหลังชนฝา
ไม่มีการถอยกลับ
จะเอาชนะได้ช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจ อุบาย และเวลา

:b32: :b32: :b32:

ว่าแต่ อ๊บซ์อยากถูกทดสอบแล้วเหร๋อ...

:b11: :b11: :b11:

:b29: :b29: ผมนี่ซึ้งเลยครัช :b35: :b35:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2015, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อ้างคำพูด:
คำว่าท่านไม่แสดงอาการโกรธ หรือเสียใจให้เห็นเลยนั้น
ก็ไม่ใช่จะรีบตัดสินว่าท่านเป็นพระอนาคามีเลยที่เดียว เช่นบุคคลที่ได้ฌาน 
และอยู่ในฌาน ท่านก็ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เสียใจได้เหมือนกัน 

ต่างกันคือ ไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจของพระอนาคามี กับผู้ที่ได้ฌาน
พระอนาคามีนั้นความไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจนั้น จะไม่กลับมาเกิดขึ้นอีกต่อไป
ส่วนผู้ที่ได้ฌานนั้นเมื่อออกจากฌานความไม่โกรธไม่เกลียดไม่เสียใจก็อาจมาเกิดขึ้นได้เหมือนเดิม

สรุปท่านทั้งสองต่างกันตรงที่ว่า พระอนาคามีท่านได้ประหานโกรธได้อย่างเด็ดขาด(ปริเฉทปหาน)
ส่วนผู้ที่ได้ฌานท่านเป็นเพียงข่มไว้ (วิกขัมภนปหาน)


:b8: :b8: :b8:
สาธุค่ะลุง..ชัดเจนดี
ถ้าไปยึดเข้าก็หลงเข้าใจผิดได้ง่าย..ว่าตัวเองสำเร็จ
คนที่ได้ฌาน..เพียงการข่มไว้
ไม่มีทางสมมุติถึงความรู้สึกของคนที่ประหานได้อย่างเด็ดขาดค่ะ
ถ้าถึงเมื่อไหร่..คงได้รู้ว่าแตกต่างกัน :b9: :b9:

เดาเอานะคะ


อาฬาลดาบส อุทกดาบส ท่านทั้งสองเป็นผู้มีปัญญามาก
ยังมีความเห็นผิดคิดว่าหนทางนี้คือหนทางนี้คือพระนิพพาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 22:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
อาฬาลดาบส อุทกดาบส ท่านทั้งสองเป็นผู้มีปัญญามาก
ยังมีความเห็นผิดคิดว่าหนทางนี้คือหนทางนี้คือพระนิพพาน


กระผมไม่คิดว่าท่านทั้งสองเห็นผิด..นะครับ ก็พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้..นี้นา
ท่านไปถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์ปุถุชนจะไปถึงได้
และ..ท่านทั้งสองนี้แหละ....ถ้าไม่เป็นพรหมลูกฟักซะก่อน...ท่านจะเป็นอรหันต์องค์แรกเลยเชียวน่า...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2015, 06:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
อาฬาลดาบส อุทกดาบส ท่านทั้งสองเป็นผู้มีปัญญามาก
ยังมีความเห็นผิดคิดว่าหนทางนี้คือหนทางนี้คือพระนิพพาน


กระผมไม่คิดว่าท่านทั้งสองเห็นผิด..นะครับ ก็พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้..นี้นา
ท่านไปถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์ปุถุชนจะไปถึงได้
และ..ท่านทั้งสองนี้แหละ....ถ้าไม่เป็นพรหมลูกฟักซะก่อน...ท่านจะเป็นอรหันต์องค์แรกเลยเชียวน่า...


ขอมาช่วยแก้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอีกสักนิด
ท่านอาจารย์ทั้งสองไม่ได้เกิดในอสัญญสัตตาภูมิครับ(พรหมลูกฟัก)

แตท่านทั้งสองไปเกิดในอรูปภูมิ ท่านอุทกดาบส ไปเกิดในชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ
และจะมีอายุยืน ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ เป็นภูมิที่มีอายุยืนมาก จนถึงกับพระพุทธเจ้าต้องอุทานว่า
ฉิบหายแล้ว (แปลว่าเสื่อมใหญ่) อายุยืนนั้นถ้าจะเปรียบยังโลกมนุษย์ว่า ถึงแม้จะมีพระโพธิสัตว์
มาตรัสรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านับจำนวนไม่ถ้วน ท่านอาจารย์อุทสกดาบสก็ยังไม่หมดอายุเลย

หรือถ้าหากหมดอายุ ถ้าพอใจในภูมินั้นจะอยู่ต่อในภูมินั้นอีกก็ได้จนกว่าจะหมดอายุอีก ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์
แต่ถ้าหมดอายุและไม่พอใจก็จะมาเกิดยังโลกมนุษย์อีก เมื่อมาเกิดยังโลกมนุษย์ก็จะประกอบไปด้วย
ความเห็นผิดเพราะอาศัยอำนาจที่เคยชินจากภูมิที่ตนเคยอยู่ เมื่อหมดอายุของมนุษย์ก็ต้องลงอบายภูมิ
เพราะอาศัยมีความเห็นผิดในโลกมนุษย์ วนเวียนอยู่อย่างเนี้ยเรื่อยไปจนกว่าจะโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธเจ้านั่นแหละ

ส่วนท่านอาฬาลดาบส ไปเกิดในชั้น อากิญจัญญายตนภูมิ มีอายุ ๔๒.๐๐๐ มหากัปป์
เมื่อหมดอายุในชั้น อากิญจัญญายตนภูมิ ก็จะขึ้นไปต่อในชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิอีก
ซึ่งก็จะมีอายุ ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ แล้วก็จะมาเข้าหลักเกณท์เดียวกับท่าน อุทกดาบสอีก
จึงเห็นได้ว่า อรูปภูมิ ๔ นี้ยกเว้นในศาสนาพุทธเท่านั้นที่ไม่ต้องการไปเกิด

และที่ว่าไปเกิดเป็นพรหมลูกฟักนั้นในภูมินี้จะมีอายุเพียง ๕๐๐ มหากัปป์ก็หมดอายุ เมื่อหมดอายุ
ก็จะลงอบายทันทีเพราะอำนาจไปเสวยบุญหมด แต่อำนาจของบาปที่ยังตามติดตัวไปยังหลงเหลืออยู่
ที่ไม่มีโอกาสจะให้ผลก็จะมาให้ผลทันทีที่หมดอายุ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2015, 06:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley ขออภัย...ที่ข้าน้อยไม่ตรวจสอบก่อน

ขอบคุณ
:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2015, 07:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

ขอมาช่วยแก้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอีกสักนิด
ท่านอาจารย์ทั้งสองไม่ได้เกิดในอสัญญสัตตาภูมิครับ(พรหมลูกฟัก)

แตท่านทั้งสองไปเกิดในอรูปภูมิ ท่านอุทกดาบส ไปเกิดในชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ
และจะมีอายุยืน ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ เป็นภูมิที่มีอายุยืนมาก จนถึงกับพระพุทธเจ้าต้องอุทานว่า
ฉิบหายแล้ว (แปลว่าเสื่อมใหญ่) อายุยืนนั้นถ้าจะเปรียบยังโลกมนุษย์ว่า ถึงแม้จะมีพระโพธิสัตว์
มาตรัสรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านับจำนวนไม่ถ้วน ท่านอาจารย์อุทสกดาบสก็ยังไม่หมดอายุเลย

หรือถ้าหากหมดอายุ ถ้าพอใจในภูมินั้นจะอยู่ต่อในภูมินั้นอีกก็ได้จนกว่าจะหมดอายุอีก ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์
แต่ถ้าหมดอายุและไม่พอใจก็จะมาเกิดยังโลกมนุษย์อีก เมื่อมาเกิดยังโลกมนุษย์ก็จะประกอบไปด้วย
ความเห็นผิดเพราะอาศัยอำนาจที่เคยชินจากภูมิที่ตนเคยอยู่ เมื่อหมดอายุของมนุษย์ก็ต้องลงอบายภูมิ
เพราะอาศัยมีความเห็นผิดในโลกมนุษย์ วนเวียนอยู่อย่างเนี้ยเรื่อยไปจนกว่าจะโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธเจ้านั่นแหละ

ส่วนท่านอาฬาลดาบส ไปเกิดในชั้น อากิญจัญญายตนภูมิ มีอายุ ๔๒.๐๐๐ มหากัปป์
เมื่อหมดอายุในชั้น อากิญจัญญายตนภูมิ ก็จะขึ้นไปต่อในชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิอีก
ซึ่งก็จะมีอายุ ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ แล้วก็จะมาเข้าหลักเกณท์เดียวกับท่าน อุทกดาบสอีก
จึงเห็นได้ว่า อรูปภูมิ ๔ นี้ยกเว้นในศาสนาพุทธเท่านั้นที่ไม่ต้องการไปเกิด

....


อายุ ๔๒.๐๐๐ มหากัปป์ ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ cry cry

ระวังเด้อ..ใครที่ภาวนา..ไม่มีไม่มี...อันนี้ดับ..อันนั้นดับ...ระวังจะเข้าอรูปไม่รู้ตัว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2015, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:

ขอมาช่วยแก้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอีกสักนิด
ท่านอาจารย์ทั้งสองไม่ได้เกิดในอสัญญสัตตาภูมิครับ(พรหมลูกฟัก)

แตท่านทั้งสองไปเกิดในอรูปภูมิ ท่านอุทกดาบส ไปเกิดในชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ
และจะมีอายุยืน ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ เป็นภูมิที่มีอายุยืนมาก จนถึงกับพระพุทธเจ้าต้องอุทานว่า
ฉิบหายแล้ว (แปลว่าเสื่อมใหญ่) อายุยืนนั้นถ้าจะเปรียบยังโลกมนุษย์ว่า ถึงแม้จะมีพระโพธิสัตว์
มาตรัสรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านับจำนวนไม่ถ้วน ท่านอาจารย์อุทสกดาบสก็ยังไม่หมดอายุเลย

หรือถ้าหากหมดอายุ ถ้าพอใจในภูมินั้นจะอยู่ต่อในภูมินั้นอีกก็ได้จนกว่าจะหมดอายุอีก ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์
แต่ถ้าหมดอายุและไม่พอใจก็จะมาเกิดยังโลกมนุษย์อีก เมื่อมาเกิดยังโลกมนุษย์ก็จะประกอบไปด้วย
ความเห็นผิดเพราะอาศัยอำนาจที่เคยชินจากภูมิที่ตนเคยอยู่ เมื่อหมดอายุของมนุษย์ก็ต้องลงอบายภูมิ
เพราะอาศัยมีความเห็นผิดในโลกมนุษย์ วนเวียนอยู่อย่างเนี้ยเรื่อยไปจนกว่าจะโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธเจ้านั่นแหละ

ส่วนท่านอาฬาลดาบส ไปเกิดในชั้น อากิญจัญญายตนภูมิ มีอายุ ๔๒.๐๐๐ มหากัปป์
เมื่อหมดอายุในชั้น อากิญจัญญายตนภูมิ ก็จะขึ้นไปต่อในชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิอีก
ซึ่งก็จะมีอายุ ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ แล้วก็จะมาเข้าหลักเกณท์เดียวกับท่าน อุทกดาบสอีก
จึงเห็นได้ว่า อรูปภูมิ ๔ นี้ยกเว้นในศาสนาพุทธเท่านั้นที่ไม่ต้องการไปเกิด

....


อายุ ๔๒.๐๐๐ มหากัปป์ ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ cry cry

ระวังเด้อ..ใครที่ภาวนา..ไม่มีไม่มี...อันนี้ดับ..อันนั้นดับ...ระวังจะเข้าอรูปไม่รู้ตัว...

อันนี้อย่างที่คุณกบ ว่านั่นแหละ ขณะที่เจริญฌานที่เป็นอรูปฌานอยู่เกิดตายล่ะ
มันก็ต้องไปเกิดในชั้นที่ตนกำลังได้ฌานจริงไหม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2015, 12:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อายุ ๔๒.๐๐๐ มหากัปป์ ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ cry cry

ระวังเด้อ..ใครที่ภาวนา..ไม่มีไม่มี...อันนี้ดับ..อันนั้นดับ...ระวังจะเข้าอรูปไม่รู้ตัว...


:b6: :b6: :b6:

ทำเป็นโวยวายอย่างกะว่าตะเองไม่เคยย่างเท้าไปโดนงั๊นล่ะ

:b6: :b6: :b6:

:b32: :b32: :b32:

หากคนเราเมื่อเห็นสัตว์ร้ายต่อหน้า หากตั้งสติได้ เราก็ยังพอรับมือกับมันได้นะ เน๊อะ

ครั้นเราเห็นภพที่น่ากลัวในมโนแห่งความคิด หากเราตั้งสติได้ เราก็รับมือกับความตรึกนั้น ๆ ได้

แม้เมื่อหากภพเหล่านั้น เราต้องไปเผชิญหน้าจริง ๆ ก็อยู่ที่สติเช่นกัน ... ถ้ามีนะ
ไม่ได้มีแต่เพียงภพมนุษย์เท่านั้นที่สัตว์ผู้ทนทุกข์ทรมานกับการเวียนว่ายตายเกิดอยู่จะเข้าสู่นิพพานได้
มีสติที่ไหน มันก็ย่อมมีหนทางให้เราได้ใช้ปัญญารับมือ

ดังนั้น อย่ากลัวภพอันใดที่จะน่ากลัว เพราะ ภพที่เราอยู่นี่ก็ใช่ว่าจะไม่น่ากลัวนี่ ใช่ป๊ะ

เรื่อง ภพ ไม่ใช่เรื่องที่น่าหวั่นเกรง สำหรับผู้มิสติ

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2015, 20:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อายุ ๔๒.๐๐๐ มหากัปป์ ๘๔.๐๐๐ มหากัปป์ cry cry

ระวังเด้อ..ใครที่ภาวนา..ไม่มีไม่มี...อันนี้ดับ..อันนั้นดับ...ระวังจะเข้าอรูปไม่รู้ตัว...


:b6: :b6: :b6:

ทำเป็นโวยวายอย่างกะว่าตะเองไม่เคยย่างเท้าไปโดนงั๊นล่ะ

:b6: :b6: :b6:

:b32: :b32: บางที..ก็นึกอยากลองดูอีกที...


eragon_joe เขียน:
:b32: :b32: :b32:

หากคนเราเมื่อเห็นสัตว์ร้ายต่อหน้า หากตั้งสติได้ เราก็ยังพอรับมือกับมันได้นะ เน๊อะ

ครั้นเราเห็นภพที่น่ากลัวในมโนแห่งความคิด หากเราตั้งสติได้ เราก็รับมือกับความตรึกนั้น ๆ ได้

แม้เมื่อหากภพเหล่านั้น เราต้องไปเผชิญหน้าจริง ๆ ก็อยู่ที่สติเช่นกัน ... ถ้ามีนะ
ไม่ได้มีแต่เพียงภพมนุษย์เท่านั้นที่สัตว์ผู้ทนทุกข์ทรมานกับการเวียนว่ายตายเกิดอยู่จะเข้าสู่นิพพานได้
มีสติที่ไหน มันก็ย่อมมีหนทางให้เราได้ใช้ปัญญารับมือ

ดังนั้น อย่ากลัวภพอันใดที่จะน่ากลัว เพราะ ภพที่เราอยู่นี่ก็ใช่ว่าจะไม่น่ากลัวนี่ ใช่ป๊ะ

เรื่อง ภพ ไม่ใช่เรื่องที่น่าหวั่นเกรง สำหรับผู้มิสติ

:b32: :b32: :b32:

เรื่องเวลานานเป็นกัลป์ๆ...กับเรื่อง..ภพ..นี้

มีอะไรในหัวเยอะ..แต่คิดว่าไม่ควรพูดตอนนี้...ให้เห็นว่ามันนาน..น่านนาน...อย่างนี้แหละดีแล้ว...จะได้ไม่ประมาท
:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2015, 02:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_7337762721500.jpeg
IMG_7337762721500.jpeg [ 10.68 KiB | เปิดดู 3191 ครั้ง ]
:b12:
สนทนากันเรื่อง "ใครเป็นพระอริยบุคคล" น่าสนใจและสนุกดีนะครับ

:b12:
ถ้าเพิ่มการสนทนาว่า

"ทำอย่างไรที่ปุถุชนจะยกระดับตนเองขึ้นสู่ความเป็นอริยชนได้ง่ายๆ"

คงจะมีคุณค่าและสนุกมากขึ้นนะครับ
s004
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2015, 06:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใครจะพูดละคับ..นอกจากคนอยาก..จุด..จุด....ตัวเอง

กระสันอยากบอกคนอื่น..มาก...ก็ขาดคุณสมัติไปเท่านั้นเอง..

เขาดูใจตัวเองกันอย่างนี้..กันจ๊ะ...เขาถึงไม่โม้

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2015, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




original_WatUmongB1_10_small.jpg
original_WatUmongB1_10_small.jpg [ 33.05 KiB | เปิดดู 3178 ครั้ง ]
ไม่ต้องมีคำอธิบาย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร