วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 05:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากเรียนถามว่า..สภาวะที่คุนน้องกำลังจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง...คุนน้องมีสมาธิกับการภาวนาไหม..หรือคุนน้องเกิดวิปัสนูปกิเลศ..หรือคุนน้องเป็นอะไรในขณะภาวนาอยู่.. :b10:

คุนน้องนอนทำสมาธิโดยการปิดไฟ
และภาวนา...จนหลับ..แต่รู้สึกว่าสติมันแจ่มชัดจนไม่รู้สึกอยากหลับ..คือตอนแรกนั่งสมาธิก่อนซักพักแล้วถึงเปลี่ยนอริยบถเป็นนอน..รู้สึกว่าภาวนาในความมืด..มันเห็นโอภาสแสงต่างๆลอยมากระทบม่านตาตลอด (ไม่เห็นจะมืดตึดตื๋อดำสนิทเหมือนแต่ก่อน) รู้สึกเพลินดีเหมือนกันกับการเพ่งโอภาสลอยไปลอยมา..ความรู้สึกเหมือนล่องลอยในมิติ..จักวาลยังไงอย่างงั้น..ตอนนั้นในหัวไม่มีความคิดไรผุดออกมา..มีแต่เพียงรู้อยู่ภายใน..รู้ว่าล่องลอยไปกับเเสงเรืองรองสว่าง..อบอุ่นบอกไม่ถูก..ในความมืดที่หลับตา..กลับมีแสงเหลืองนวลสุกสว่างเหมือนละอองหรือกลุ่มพลังงานบางอย่าง
รวมตัวกันตรงจุดนี้..พอซักครู่คุนน้องเปลี่ยนจากนอนหงายไปนอนตะแคงทางขวา(ท่าประจำตัว)
อยู่ๆในม่านตาก็เกิดการ..กระพริบเรืองแสงด้วยความถี่..
(รู้สึกแปลกนิดหน่อยเหมือนหลอดไฟเวลาเรา ปิดไฟแล้วมีไฟตกค้างที่หลอดมันจะกระพริบถี่ๆๆซึ้งมีกระแสไฟตกค้าง ซึ่งตอนกลางวันจะมองไม่เห็นแต่ตอนกลางคืนจะเห็น ประมาณนี้น่ะค่ะ)

ซึ่งคุนน้องแค่อยากหาคำอธิบายว่า..เกิดจากอะไร
ทำให้ม่านตาที่เราหลับตาและอยู่ในความมืด..
เกิดการกระพริบด้วยความถี่(วัดเป็นวินาทีก็นับไม่ได้ถึงการกระพริบอย่างถี่..นี่คือสภาวะที่เราเข้าไปเห็นการเกิดดับของจิตหรือเปล่า)..เพิ่งเคยเกิดครั้งแรก..เมื่อคืนเกิดการกระพริบสองครั้ง..และหายไป
และกลับเข้าสู่สภาวะรู้ปกติ..และในความสงบ..อาตนะภายใน..ยังรู้และเชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก..คือยังมีสติรู้การเกิดเสียงดังขึ้น(ทั้งที่เงียบสนิทแล้วมีเสียงดังแบบไม่ตั้งตัว)ก็เกิดการไหวของจิตคือสะดุดกับเสียง..แต่ความสงบภายในมีอยู่..คือสงบภายในแต่รู้ในเสียงภายนอก..คือยังไม่เคยทำสมาธิจน..ดับขาดจากอาตนะภายนอก..คือไม่รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกรู้แค่ภายใน..เช่นมีเสียงนกร้องก็ไม่ได้ยิน..มีเสียงรถแล่น..ก็ไม่รู้..ใครตะโกนเรียกก็ไม่รู้..ยังไม่เคยเป็นค่ะ..แต่คุนน้องจะรับรู้ผัสสะ ความเคลื่อนไหวภายนอก..ที่กระทบทำให้รู้..แต่อยู่ในอารมณ์สงบ..

ปล.รบกวนผู้รู้มาอธิบาย สภาวะอารมณ์จิตคุนน้องตอนภาวนาครั้งนี้ด้วยค่ะ..ต้องมีคนสอบอารมณ์..คุนน้องสอบอารมณ์ตนเองไม่ได้..กลัวกิเลศจะลำเอียงไม่เป็นกลาง..ต้องพึ่งกีลยามิตรที่มีประสบการณ์ภาวนาชี้แนะด้วยค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 16:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะที่เกิดขึ้น มันผ่านไปแล้วครับ

ถ้ามัวแต่ไปคิดหาคำตอบ จะพลาดการดูปัจจุบันขณะไปครับ

เช่นตอนนี้สงสัย แต่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสงสัย ก็มองไม่เห็นสภาวะที่เกิด ณ ปัจจุบันแล้ว


แต่ผมเองก็พลาดชอบอยากจะหาคำตอบเหมือนกัน จนพลาดการรู้ ปัจจุบันขณะไป เลยไม่เห็นไตรลักษณ์ ซะอย่างนั้น เพราะมันวนเวียนแต่จะหาคำตอบให้ได้

ให้กลับมาอยู่กับสติ ความรู้สึกตัว แล้วน่าจะหาคำตอบได้ด้วยตัวเองครับ

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่คุนน้องไม่คิดว่า การสงสัยในการภาวนาเป็นสิ่งที่พลาดจากการรู้ปัจจุบัน.เพราะอารมณ์ใดที่เกิดในขณะปัจจุบันนั้นแหละที่เรารู้ทันไม่ทัน.ก็เมื่อเราสงสัยในสภาวะเราเป็น..เราไม่เคยเกิด..เราย่อมอยากได้คำชี้แนะจากคนที่ผ่านมาก่อน..เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับไตรลักษณ์..พระไตรลักษณ์ไม่ได้บอกห้ามสงสัย..ความสงสัยมันจัดเป็นสังขาร..มันสงสัยเมื่อได้คำตอบก็หายสงสัย..แต่ถ้าไม่ได้คำตอบคุนน้องก็รู้ว่าต้องเข้าสู่ความสงบ...แต่ถ้ารู้มันก็จะดีกว่า..มันจะเพิกถอนสิ่งนั้นออกไป..โดยไม่กลับมากำเริบอีก..ถ้าเราไม่มีความสงสัยในสิ่งที่เกิดกับเรา..แล้วเราแน่ใจได้อย่างไร..ว่าเราปฏิบัติถูก..ไม่อย่างงั้นเราจะมีครูบาอาจารย์ทำไม..ถ้าไม่มีคนมาสอบอารมณ์กรรมฐาน..ถ้าในขณะนั้นคุนน้องภาวนาแล้วเกิดวิปัสนูกิเลส..เราไม่ต้องสงสัยว่าเราเกิดวิปัสนูกิเลศ..แต่เราคิดว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นเพราะจิตเราแสดงภพ..ภาวะนั้น..เราจะไม่หลงหรือค่ะ..เผื่อหลงว่าเป็นผู้มีญานวิเศษ..เพราะไม่เคยสงสัย..แต่ปักใจเชื่อในสิ่งที่รู้หมดในการภาวนา..
คุนน้องว่า..คนสงสัยน่าจะเอาตัวรอดได้ง่ายกว่านะ
คนที่ปักใจเขื่อทุกอย่างที่รู้นั่น แหละ..อันตราย..ขนาดนักวิทยาศาสตร์เค้ายังสงสัย..ทำสิ่งที่สงสัยให้เกิดเป็นความรู้ยิ่ง สร้างผลงานสู่สายตาชาวโลก..แล้วการภาวนา..ห้ามสงสัยแบบนี้จะให้เก็บคำถามไว้..และหาทางพิสูจน์เองอย่างงั้นหรือเจ้าค่ะ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
อยากเรียนถามว่า..สภาวะที่คุนน้องกำลังจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง...คุนน้องมีสมาธิกับการภาวนาไหม..หรือคุนน้องเกิดวิปัสนูปกิเลศ..หรือคุนน้องเป็นอะไรในขณะภาวนาอยู่.. :b10:

คุนน้องนอนทำสมาธิโดยการปิดไฟ
และภาวนา...จนหลับ..แต่รู้สึกว่าสติมันแจ่มชัดจนไม่รู้สึกอยากหลับ..คือตอนแรกนั่งสมาธิก่อนซักพักแล้วถึงเปลี่ยนอริยบถเป็นนอน..รู้สึกว่าภาวนาในความมืด..มันเห็นโอภาสแสงต่างๆลอยมากระทบม่านตาตลอด (ไม่เห็นจะมืดตึดตื๋อดำสนิทเหมือนแต่ก่อน) รู้สึกเพลินดีเหมือนกันกับการเพ่งโอภาสลอยไปลอยมา..ความรู้สึกเหมือนล่องลอยในมิติ..จักวาลยังไงอย่างงั้น..ตอนนั้นในหัวไม่มีความคิดไรผุดออกมา..มีแต่เพียงรู้อยู่ภายใน..รู้ว่าล่องลอยไปกับเเสงเรืองรองสว่าง..อบอุ่นบอกไม่ถูก..ในความมืดที่หลับตา..กลับมีแสงเหลืองนวลสุกสว่างเหมือนละอองหรือกลุ่มพลังงานบางอย่าง
รวมตัวกันตรงจุดนี้..พอซักครู่คุนน้องเปลี่ยนจากนอนหงายไปนอนตะแคงทางขวา(ท่าประจำตัว)
อยู่ๆในม่านตาก็เกิดการ..กระพริบเรืองแสงด้วยความถี่..
(รู้สึกแปลกนิดหน่อยเหมือนหลอดไฟเวลาเรา ปิดไฟแล้วมีไฟตกค้างที่หลอดมันจะกระพริบถี่ๆๆซึ้งมีกระแสไฟตกค้าง ซึ่งตอนกลางวันจะมองไม่เห็นแต่ตอนกลางคืนจะเห็น ประมาณนี้น่ะค่ะ)

ซึ่งคุนน้องแค่อยากหาคำอธิบายว่า..เกิดจากอะไร
ทำให้ม่านตาที่เราหลับตาและอยู่ในความมืด..
เกิดการกระพริบด้วยความถี่(วัดเป็นวินาทีก็นับไม่ได้ถึงการกระพริบอย่างถี่..นี่คือสภาวะที่เราเข้าไปเห็นการเกิดดับของจิตหรือเปล่า)..เพิ่งเคยเกิดครั้งแรก..เมื่อคืนเกิดการกระพริบสองครั้ง..และหายไป
และกลับเข้าสู่สภาวะรู้ปกติ..และในความสงบ..อาตนะภายใน..ยังรู้และเชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก..คือยังมีสติรู้การเกิดเสียงดังขึ้น(ทั้งที่เงียบสนิทแล้วมีเสียงดังแบบไม่ตั้งตัว)ก็เกิดการไหวของจิตคือสะดุดกับเสียง..แต่ความสงบภายในมีอยู่..คือสงบภายในแต่รู้ในเสียงภายนอก..คือยังไม่เคยทำสมาธิจน..ดับขาดจากอาตนะภายนอก..คือไม่รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกรู้แค่ภายใน..เช่นมีเสียงนกร้องก็ไม่ได้ยิน..มีเสียงรถแล่น..ก็ไม่รู้..ใครตะโกนเรียกก็ไม่รู้..ยังไม่เคยเป็นค่ะ..แต่คุนน้องจะรับรู้ผัสสะ ความเคลื่อนไหวภายนอก..ที่กระทบทำให้รู้..แต่อยู่ในอารมณ์สงบ..

ปล.รบกวนผู้รู้มาอธิบาย สภาวะอารมณ์จิตคุนน้องตอนภาวนาครั้งนี้ด้วยค่ะ..ต้องมีคนสอบอารมณ์..คุนน้องสอบอารมณ์ตนเองไม่ได้..กลัวกิเลศจะลำเอียงไม่เป็นกลาง..ต้องพึ่งกีลยามิตรที่มีประสบการณ์ภาวนาชี้แนะด้วยค่ะ :b8:

สติ มีเพราะจิตกำหนดขึ้น
ภาวนาจนหลับ จึงไม่ใช่เป็นการภาวนา
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปฏิกิริยาของเคมีในสมอง เมื่อสมองตื่นตัว
v

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
อยากเรียนถามว่า..สภาวะที่คุนน้องกำลังจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง...คุนน้องมีสมาธิกับการภาวนาไหม..หรือคุนน้องเกิดวิปัสนูปกิเลศ..หรือคุนน้องเป็นอะไรในขณะภาวนาอยู่.. :b10:

คุนน้องนอนทำสมาธิโดยการปิดไฟ
และภาวนา...จนหลับ..แต่รู้สึกว่าสติมันแจ่มชัดจนไม่รู้สึกอยากหลับ..คือตอนแรกนั่งสมาธิก่อนซักพักแล้วถึงเปลี่ยนอริยบถเป็นนอน..รู้สึกว่าภาวนาในความมืด..มันเห็นโอภาสแสงต่างๆลอยมากระทบม่านตาตลอด (ไม่เห็นจะมืดตึดตื๋อดำสนิทเหมือนแต่ก่อน) รู้สึกเพลินดีเหมือนกันกับการเพ่งโอภาสลอยไปลอยมา..ความรู้สึกเหมือนล่องลอยในมิติ..จักวาลยังไงอย่างงั้น..ตอนนั้นในหัวไม่มีความคิดไรผุดออกมา..มีแต่เพียงรู้อยู่ภายใน..รู้ว่าล่องลอยไปกับเเสงเรืองรองสว่าง..อบอุ่นบอกไม่ถูก..ในความมืดที่หลับตา..กลับมีแสงเหลืองนวลสุกสว่างเหมือนละอองหรือกลุ่มพลังงานบางอย่าง
รวมตัวกันตรงจุดนี้..พอซักครู่คุนน้องเปลี่ยนจากนอนหงายไปนอนตะแคงทางขวา(ท่าประจำตัว)
อยู่ๆในม่านตาก็เกิดการ..กระพริบเรืองแสงด้วยความถี่..
(รู้สึกแปลกนิดหน่อยเหมือนหลอดไฟเวลาเรา ปิดไฟแล้วมีไฟตกค้างที่หลอดมันจะกระพริบถี่ๆๆซึ้งมีกระแสไฟตกค้าง ซึ่งตอนกลางวันจะมองไม่เห็นแต่ตอนกลางคืนจะเห็น ประมาณนี้น่ะค่ะ)

ซึ่งคุนน้องแค่อยากหาคำอธิบายว่า..เกิดจากอะไร
ทำให้ม่านตาที่เราหลับตาและอยู่ในความมืด..
เกิดการกระพริบด้วยความถี่(วัดเป็นวินาทีก็นับไม่ได้ถึงการกระพริบอย่างถี่..นี่คือสภาวะที่เราเข้าไปเห็นการเกิดดับของจิตหรือเปล่า)..เพิ่งเคยเกิดครั้งแรก..เมื่อคืนเกิดการกระพริบสองครั้ง..และหายไป
และกลับเข้าสู่สภาวะรู้ปกติ..และในความสงบ..อาตนะภายใน..ยังรู้และเชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก..คือยังมีสติรู้การเกิดเสียงดังขึ้น(ทั้งที่เงียบสนิทแล้วมีเสียงดังแบบไม่ตั้งตัว)ก็เกิดการไหวของจิตคือสะดุดกับเสียง..แต่ความสงบภายในมีอยู่..คือสงบภายในแต่รู้ในเสียงภายนอก..คือยังไม่เคยทำสมาธิจน..ดับขาดจากอาตนะภายนอก..คือไม่รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกรู้แค่ภายใน..เช่นมีเสียงนกร้องก็ไม่ได้ยิน..มีเสียงรถแล่น..ก็ไม่รู้..ใครตะโกนเรียกก็ไม่รู้..ยังไม่เคยเป็นค่ะ..แต่คุนน้องจะรับรู้ผัสสะ ความเคลื่อนไหวภายนอก..ที่กระทบทำให้รู้..แต่อยู่ในอารมณ์สงบ..

ปล.รบกวนผู้รู้มาอธิบาย สภาวะอารมณ์จิตคุนน้องตอนภาวนาครั้งนี้ด้วยค่ะ..ต้องมีคนสอบอารมณ์..คุนน้องสอบอารมณ์ตนเองไม่ได้..กลัวกิเลศจะลำเอียงไม่เป็นกลาง..ต้องพึ่งกีลยามิตรที่มีประสบการณ์ภาวนาชี้แนะด้วยค่ะ :b8:

สติ มีเพราะจิตกำหนดขึ้น
ภาวนาจนหลับ จึงไม่ใช่เป็นการภาวนา
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปฏิกิริยาของเคมีในสมอง เมื่อสมองตื่นตัว
v

แล้วตรงตัวสีแดง..แปลว่าสมองตื่นตัวหรือ การมีสติค่ะ...คือคุนน้องคิดว่าจะภาวนาให้หลับ..แต่มันไม่หลับค่ะ..อธิบายคลาดเคลื่อน..เลยสงสัยคุนน้องมีสติรึว่า เคมีในสมองตื่นตัวกันแน่...แล้วมันแตกต่างกันยังไงระหว่าง สติ กับ เคมีในสมองตื่นตัว..คือคุนน้องไม่ทราบจริงๆ..แล้วคุนน้องจะแยกออกจากกันได้ไงเจ้าค่ะ.. :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


yoottapong เขียน:
ไม่รู้ว่าผมเริ่มเก่งแล้วหรือเปล่าคนที่แผงพระฝันเห็นผมติดต่อกัน2วันติดกัน เค้าฝัน

ครั้งแรกเห็นผมแต่งชุดขาวลอยไปในอากาศไปพบกับพระอินทร์ไปปุจฉาวิสัชนากับพระอินทร์

ครั้งที่2เห็นผมแต่งชุดขาวท่านั่งสมาธิลอยอยู่บนอากาศมีรัศมีสีขาวเปล่งประกายรอบตัวในฝันเค้าว่าผมเป็นพรหมอนาคามี

ปล.ไม่มีอะไรหลอกคุณน้องฝึกเป็นประสบการณ์ปฏิบัติธรรม

พรหมอนาคามี..ท่านละกามราคะได้แล้ว..เผลอๆออกบวช..เพราะตัดเรื่องรักๆใคร่ๆได้..ไม่เสพเมถุน
คุนยุทรหัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูกิเลศตนเองหน่อยนะ...คือคนอย่างคุนยุทร..ต้องเตือนสติแรงๆไม่งั้นก็โง่ดักดานเพ้อว่าตนเป็นโน่นเป็นนี่!!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 19:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2011, 23:47
โพสต์: 298


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพูดของคุณน้องมันปลาแร่มเหมือนน้ำพริกใส่ปลาร้าซะงั้น...อยากพยากรณ์ให้อยู่แต่กลัวน้ำพริกใส่ปลาร้า ผมยังไม่ได้ว่าไรคุณน้องเลย มาว่าผม ซะงั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


yoottapong เขียน:
คำพูดของคุณน้องมันปลาแร่มเหมือนน้ำพริกใส่ปลาร้าซะงั้น...อยากพยากรณ์ให้อยู่แต่กลัวน้ำพริกใส่ปลาร้า ผมยังไม่ได้ว่าไรคุณน้องเลย มาว่าผม ซะงั้น

เป็นนักปฏิบัติธรรมมันต้องหัดยอมรับ..ความจริงในสิ่งที่ตนเองเป็น..มาประกาศว่าตนเป็นพรหมอนาคามี..โดนด่าแค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้..จะหลอกตนเองไปทำไมคุนยุทร..ตนเองก็น่าจะรู้ดี..
แล้วอยู่ดีไม่ว่าดี มาประกาศใน กระทู้คนอื่น..คุนน้องไม่ได้ไปหาเรื่องใน กระทู้คุนซะหน่อย.. :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


yoottapong เขียน:
คำพูดของคุณน้องมันปลาแร่มเหมือนน้ำพริกใส่ปลาร้าซะงั้น...อยากพยากรณ์ให้อยู่แต่กลัวน้ำพริกใส่ปลาร้า ผมยังไม่ได้ว่าไรคุณน้องเลย มาว่าผม ซะงั้น

:b32: คุนน้องว่า อาการคุนยุทรมันเหมือนพวกดัดจริต..คือประมาณว่า รู้ว่าปลาร้ากลิ่นมันแรง..แต่ก็อยากเข้าใกล้อยากได้กลิ่น..ได้กลิ่นแล้วน้ำลายไหล :b22: .. ถึงได้เที่ยวมาระราน..แถมมีเมียแล้วยังมาขอเบอร์เรา :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 20:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแสดงความเห็นนะคะ :b29: :b29:
เท่าที่ทราบ การทำสมาธิ ก็มักจะมีนิมิตอยู่แล้ว แต่ละคนก็แตกต่างกันไปบ้าง
และที่คุนน้องว่า..ม่านตากระพริบ ก็น่าจะเกิดจากจิตที่กระเพื่อม
ที่เผลอไปใส่ความพยายามจ้องมอง..หรือตอนที่พลิกตัว..หรือด้วยอาจจะรู้สึกยินดีฯฯฯ
สมาธิก็ลดระดับ แต่ด้วยสมาธิที่ฝึกต่อเนื่องมีกำลังมากอยู่ ก็ยังประคองความสงบไว้ได้
^^นิมิต..ไม่เที่ยงค่ะ :b46: :b46: พิจารณาธรรม

ถ้าสอบอารมณ์.. ก็ประมานนี้ ตอนทำสมาธิมาเยอะเลยค่ะ..
เราคิดว่า.. น่าสนใจ อะไรๆที่ว่าแปลกจะมีมาเรื่อยๆ
คิดว่าใช่ละ..ถูกละ ตื่นเต้น
รีบนำเสนอ พระอ.ไป ท่านกลับเห็นเป็นปกติ ทำเหมือนไม่พิเศษอะไรเลย
ไม่ให้สนใจอะไรสักอย่างค่ะ :b9: :b9:
อะไรๆก็ไม่สำคัญเลย(ที่ไอเดียเคยนะ)


แก้ไขล่าสุดโดย idea เมื่อ 07 เม.ย. 2015, 20:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
ขอแสดงความเห็นนะคะ :b29: :b29:
เท่าที่ทราบ การทำสมาธิ ก็มักจะมีนิมิตอยู่แล้ว แต่ละคนก็แตกต่างกันไปบ้าง
และที่คุนน้องว่า..ม่านตากระพริบ ก็น่าจะเกิดจากจิตที่กระเพื่อม
ที่เผลอไปใส่ความพยายามจ้องมอง..หรือตอนที่พลิกตัว..หรือด้วยอาจจะรู้สึกยินดีฯฯฯ
สมาธิก็ลดระดับ แต่ด้วยสมาธิที่ฝึกต่อเนื่องมีกำลังมากกว่า ก็ยังประคองความสงบไว้ได้

แสดงว่าคุนไอเดียเคยเจอสภาวะนี้ใช่มั้ยค่ะ :b20:
น่าจะจริงตอนม่านตากระพริบ คุนน้องขยับพลิกตัวเปลี่ยนอริยบถ... :b6:
ค่อยยังชั่ว...ตอนแรกนึกว่าประสาทตาผิดปกติรึปล่าวเพราะ ความมืดมันมีแสงกระพริบในม่านตาเราน่ะเจ้าค่ะ แถมกระพริบอย่างถี่เหมือนหลอดไฟมันตกแล้วไฟกระพริบผึบผับๆๆในม่านตา
คุนไอเดียมาอธิบาย..คุนน้องก็คลายหายสงสัยแล้วค่ะ..การสอบอารมณ์ทำให้เราเดินต่อไป..โดนไม่สงสัยนี่เอง :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2015, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แสดงว่าคุนไอเดียเคยเจอสภาวะนี้ใช่มั้ยค่ะ  
น่าจะจริงตอนม่านตากระพริบ คุนน้องขยับพลิกตัวเปลี่ยนอริยบถ...  
ค่อยยังชั่ว...ตอนแรกนึกว่าประสาทตาผิดปกติรึปล่าวเพราะ ความมืดมันมีแสงกระพริบในม่านตาเราน่ะเจ้าค่ะ 


ไอเดียเจอ...แมวมาเลียที่มือค่ะ :b32: :b32: มันไม่ยอมหยุดด้วย :b14:
ตอนที่รู้สึกนั้นเหมือนเห็นฟ้าแลบ พริบๆๆๆๆๆๆ
เหมือนกายกับใจจะกลับมาประสานกัน แต่ก็ไปต่อได้

ฝึกสมาธิบ่อยๆ...การเกิดขึ้นแบบนี้จะเป็นเรื่องปกติ...แม้ขณะลืมตาค่ะ

:b50: วิปัสนูปกิเลส ไอเดียว่าเป็นสภาวะที่นักภาวนาเกือบทุกคนต้องผ่านค่ะ
อาจจะทุกข้อหรือแค่หลายข้อ :b5: :b5:
แต่จะสำคัญตรงที่ว่าเราติดใจ พอใจ หรือหลงในสภาวะนั้นว่าใช่!!!!หรือเปล่า(ความเข้าใจชองไอเดียนะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2015, 10:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การบำเพ็ญบารมีของบางท่าน ไม่ได้เฉพาะเพื่อตนเองแต่เผื่อแผ่ถึงผู้อี่น เมื่อสั่งสมเจตนาเช่นนี้บ่อยๆ เป็นเหตุให้ไปต้องรวบรวมความรู้ต่างๆ ให้สามารถทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ดังนี้นสิ่งที่ตนพบในชาติปัจจุบันจึงแตกต่างจากผู้อื่น ซึ่งเป็นร่องรอยจากอดีต ทั่งที่บางครั้งหาเหตุผลเพี่อจะยุติ แต่จิตไม่ยอม มีสิ่งเดียวคือทำให้กระจ่าง เวลามันยอมอาจยอมจนแปลกใจ

สภาวะที่เกิดในช่วงขณิกสมาธิ หากเป็นการภาวนาในท่านอนหรือผ่านการนั่งสมาธิแล้วมาอยู่ในท่านอนสบายๆ ซึ่งเป็นช่วงที่เป็นธรรมชาติ จะมีการคลายสังขารออก ซึ่ง็คือวิปัสนูกิเลส และในเวลาดั่งกล่าว หากมีการเปลี่ยนอารมณ์หรืออริยบท ก็จะพบสภาวะความเกิดดับ เช่นแสงที่เห็นเปลี่ยนไป วับๆแล้วเหมือนตากระพริบถี่ๆ ในขั้นี้ถีงแม้จะพบความเกิดดับบ้างแล้ว แต่จัดในเขตสมถะ(สัมมสนญาณ)ที่ยังไม่จัดอยู่ในวิปัสสนาเพราะความเกิดดับยังเกิดแบบไม่เป็นระบบ สำคัญอยู่ที่จะทำอย่างไรให้เกิดไตรลักษณ์อย่างเป็นระบบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2015, 12:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การบำเพ็ญบารมีของบางท่าน ไม่ได้เฉพาะเพื่อตนเองแต่เผื่อแผ่ถึงผู้อี่น เมื่อสั่งสมเจตนาเช่นนี้บ่อยๆ เป็นเหตุให้ไปต้องรวบรวมความรู้ต่างๆ ให้สามารถทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ดังนี้นสิ่งที่ตนพบในชาติปัจจุบันจึงแตกต่างจากผู้อื่น ซึ่งเป็นร่องรอยจากอดีต ทั่งที่บางครั้งหาเหตุผลเพี่อจะยุติ แต่จิตไม่ยอม มีสิ่งเดียวคือทำให้กระจ่าง เวลามันยอมอาจยอมจนแปลกใจ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2015, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
การบำเพ็ญบารมีของบางท่าน ไม่ได้เฉพาะเพื่อตนเองแต่เผื่อแผ่ถึงผู้อี่น เมื่อสั่งสมเจตนาเช่นนี้บ่อยๆ เป็นเหตุให้ไปต้องรวบรวมความรู้ต่างๆ ให้สามารถทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ดังนี้นสิ่งที่ตนพบในชาติปัจจุบันจึงแตกต่างจากผู้อื่น ซึ่งเป็นร่องรอยจากอดีต ทั่งที่บางครั้งหาเหตุผลเพี่อจะยุติ แต่จิตไม่ยอม มีสิ่งเดียวคือทำให้กระจ่าง เวลามันยอมอาจยอมจนแปลกใจ

สภาวะที่เกิดในช่วงขณิกสมาธิ หากเป็นการภาวนาในท่านอนหรือผ่านการนั่งสมาธิแล้วมาอยู่ในท่านอนสบายๆ ซึ่งเป็นช่วงที่เป็นธรรมชาติ จะมีการคลายสังขารออก ซึ่ง็คือวิปัสนูกิเลส และในเวลาดั่งกล่าว หากมีการเปลี่ยนอารมณ์หรืออริยบท ก็จะพบสภาวะความเกิดดับ เช่นแสงที่เห็นเปลี่ยนไป วับๆแล้วเหมือนตากระพริบถี่ๆ ในขั้นี้ถีงแม้จะพบความเกิดดับบ้างแล้ว แต่จัดในเขตสมถะ(สัมมสนญาณ)ที่ยังไม่จัดอยู่ในวิปัสสนาเพราะความเกิดดับยังเกิดแบบไม่เป็นระบบ สำคัญอยู่ที่จะทำอย่างไรให้เกิดไตรลักษณ์อย่างเป็นระบบ

สาธุๆ...คุนน้องจะเอาไปพิจารณาตามนั้น.. :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร