วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 21:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 76 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 08:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ไม่เข้าใจค่ะ s006 รึท่านกบจะคิดมากว่า..ตนเองจะเป็นคนส่วนน้อย คือ กลุ่ม 5% :b5: :b5:


s005
กระผมคิดน้อย...อะ..
ลืมนึกถึงตัวเอง...อิอิ

คิดเห็นแค่....ความรู้สึก...ของคนเป็นพ่อเป็นแม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 09:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
nongkong เขียน:
ไม่เข้าใจค่ะ s006 รึท่านกบจะคิดมากว่า..ตนเองจะเป็นคนส่วนน้อย คือ กลุ่ม 5% :b5: :b5:


s005
กระผมคิดน้อย...อะ..
ลืมนึกถึงตัวเอง...อิอิ

คิดเห็นแค่....ความรู้สึก...ของคนเป็นพ่อเป็นแม่


:b20: เจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าเรื่องราวสย๋องขวัญให้ฟังหร๋า :b20:

:b20: :b20: :b20:

เล่าว่าไงมั่งล่ะ

:b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 10:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b20: เจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าเรื่องราวสย๋องขวัญให้ฟังหร๋า :b20:

:b20: :b20: :b20:

เล่าว่าไงมั่งล่ะ

:b20:


เรื่องสยอง...ไม่ใช่เรื่องนี้..

อีกเรื่อง... :b5: :b5: :b5:

ไม่ต้องเล่า...เดียวก็ได้เจอ..เอง..แระ.. :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 13:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กะัลังหาอยู่ว่า..หลวงป่มั่น..ละโพธิญาณ..ตอนไหน

ที่หามาได้นี้...ยังไม่แน่ใจนะครับ...อย่าด่วนปลงใจเชื่อ...

ถ้าหลวงตาเล่า..จะน่าเชื่อกว่า
http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/view ... hp?tid=466
อ้างคำพูด:
ระลึกชาติ.. เกิดสมัยพุทธกาล


ขณะนั้นจิตมีปีติซาบซ่านเข้าถึงเอกัคคตาญาณ กายเบาจิตใจมีความสงบระงับ จิตเดินเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน และจตุตถฌานโดยลำดับ พักอยู่ในจตุตถฌานนานพอควรแล้วถอยออกมาจนถึงปฐมฌานจึงหยุด ในลำดับนี้หลวงปู่มั่นท่านว่าเกิดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือรู้อดีตชาติ เกิดนิมิตภาพลูกสุนัขกินนมแม่


หลวงปู่มั่นรู้ด้วยใจว่า ลูกสุนัขก็คือตัวท่านเองในอดีตชาติที่เกิดเป็นสุนัขนับชาติไม่ถ้วน สาเหตุมาจากลูกสุนัขมีความพอใจในอัตภาพของมัน จงส่งผลให้เกิดเป็นสุนัขจึงติดอยู่ในภพนี้หลายชาติ สร้างความสลดสังเวชให้กับท่านเป็นอย่างมาก จากนั้นหลวงปู่มั่นได้ค้นลงหาถึงต้นสายปลายเหตุพบว่า


“เราปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” จากนั้นภาพในอดีตชาติสมัยพุทธกาล หลวงปู่มั่นเกิดเป็นเสนาบดีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าศากยมุนีขณะที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาถึงมหาสติปัฎฐานสูตร หลวงปู่มั่นได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าว่า


“ขอให้ข้าพเจ้าพึงได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์เถิด”

นับจากวาระจิตนั้น หลวงปู่มั่นดำรงอยู่โพธิสัตว์ธรรมบำเพ็ญพระโพธิญาณมาหลายร้อยชาติ เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณทำให้หลวงปู่ระลึกถึงชาติภพต่างๆ มาพอสมควร เห็นความน่ากลัวของสังสารวัฏ และหากปรรถนาจะบรรลุพระนิพพานในชาตินี้ จะต้องละเสียจาก “พระโพธิญาณ”


ก่อนที่หลวงปู่มั่นจะตั้งจิตถอนจาก “โพธิญาณ” ท่านได้เดินสมาธิเฝ้าย้อนรำลึกในอดีตชาติว่า ท่านเพิ่งจะเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพุทธภูมิต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าศากยโคดมเท่านั้น เส้นทางบำเพ็ญเพียรเพียงแค่กึ่งพุทธกาล อีกทั้งในอดีตชาติที่ผ่านมา ท่านระลึกได้ถึงความยากลำบากของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎ


ท่านสลดสังเวชแม้ท่านจะบำเพ็ญบารมีเพียงใดยังเคยเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนถึง 500 ชาติ ทำให้หลวงปู่มั่นมองดูสรรพสัตว์ในสังสารวัฎที่ยังคงหลับไหล เขาเหล่านั้นยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นไรเมื่อสิ้นชีวิตลงไป


ครั้นหลวงปู่มั่นจะละถอนจาก “โพธิญาณ” ก็ให้สงสารสัตว์เหล่านั้น แต่เมื่อมองดูท่ามกลางสรรพสัตว์ทั่วไตรภพ ยังมีขบวนพระมหาโพธิสัตว์มีจำนวนมากที่ได้พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าเป็น นิตยโพธิสัตว์ (พระโพธิสัตว์ที่จักได้รับการบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) และยังมีพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการพยากรณ์อยู่ในสังสารวัฎ เพื่อบำเพ็ญบารมีช่วยขนสรรพชีวิตให้พ้นทุกข์ เมื่อพิจารณาดังนี้หลวงปู่มั่นจึงอธิษฐานจิตละจากพระโพธิญาณ



ตรงนี้เห็นจะไม่จริง...
ตอนนี้หลวงตาเคยบอกว่า...ท่านเข้าสกทาคามี..เพราะเคยบอกกะหลวงตาว่า..."เหมือนเราที่ถ่ำสาลิกา"

อ้างคำพูด:
แสงธรรมสว่างไสว ทั่วโลกธาตุ

“ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว” หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต ณ. กาลเวลานี้ เมื่อได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นอธิบายว่า “ทุกอย่างในโลกนี้มีสภาพเป็นอันเดียวดุจหน้ากลองชัย โลกนี้ราบลงหมด คือสว่างเตียนโล่ง ร่างกายของเราประมวลเข้าดังเดิม”

ยักษ์สูงทะมึนมองเห็นเหตุการณ์พลิกผัน ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเข้ามากราบขอขมาลาโทษ แล้วหายไปในที่สุด ...ขณะนั้นเสียงไก่ขัน... ดังเป็นระยะๆ บอกเวลาว่าใกล้รุ่ง คะเนว่าน่าจะราวตี 3-4 ความเงียบสงบของราตรีกลับมาบรรเลงอีกครั้ง ราวกับเตรียมเฉลิมฉลองในวาระพิเศษของการกำเนิดสัตตบุรุษในรอบพันปี


หลวงปู่มั่นเจริญสมาธิก้าวลงสู่ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน พอล่วงดึกจิตก็พักเอากำลังในฌาน ส่วนปฐมฌานคือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อจิตใช้กำลังพิจารณาข้อธรรมแล้วย่อมพักในฌานเพื่อให้เกิดกำลังต่อไป
พอจิตพักในจตุตถฌานจนมีกำลัง จิตได้ถอยออกมาสู่ปฐมฌาน เกิดวิปัสสนาญาณรู้เห็นความเป็นไปของชาติภพของสัตว์โลก จากนั้นได้พิจารณาต้องต้นสายปลายเหตุของชาติภพในหมู่สัตว์ทั้งปวง หลวงปู่มั่นค้นลงได้ความตามปฏิจสมุทรบาทว่า


หลวงปู่มั่นแทงตลอดลูกโซ่ของภพชาติได้อริยมรรค อันเป็นเครื่องตัดกิเลส จึงพิจารณาในดวงจิตพบว่า

“เมื่ออวิชชาไม่เกาะเกี่ยวได้แล้ว อวิชชาดับ สังขารก็ดับ สังขารดับวิญญาณก็ดับ ตลอดจน ฯลฯ ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายสะก็ดับหมด”


คราวนี้จิตรวมใหญ่แต่จิตไม่พักเหมือนที่ผ่านมา เกิดมีญาณขึ้นมาว่า
“ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว กิจอันเราควรทำ เราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรไม่มีอีกแล้ว ญาณชนิดนี้เรียกว่า "อาสวักขยญาณ" คือความรู้ว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะพร้อมกับอวิชชาก็หายไป ไม่ก่อนไม่หลังตะวันขึ้นมาและเดือนก็ตกไป รวมความว่า ญาณเกิดขึ้น อวิชชาหายไป พระอาทิตย์ขึ้นมา พระจันทร์ตกไป อปุพพํ อจิรมํ ไม่ก่อนไม่หลัง


เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งอวิชชา เจ้าผู้มีอวิชชาเอ๋ย เจ้าเป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เจ้าจงหนีไปอยู่กับเราไม่ได้แล้ว อวิชชาก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลาว่า ญาณผู้แจ้งผู้เห็นจริง เจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน ต่างไม่ได้ขับไล่ แต่ท่านว่าความมืดและพระอาทิตย์ก็เหมือนกัน พระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไป


พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งความมืดหรือพระจันทร์จะว่า เจ้าผู้มืดผู้ดำเอ๋ย เจ้าอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจงหนีไป ความมืดก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลา หรือไม่ได้ว่าพระอาทิตย์ผู้แจ้งสว่าง ผู้มีเดชอันกล้าเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน หาใช่อย่างนั้นไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไปฉันใดก็ฉันนั้น”




แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 11 เม.ย. 2015, 13:40, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 13:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยพุทธกาล...คงไม่ใช่ชาติแรก...ที่หลวงปู่ปรารถณาโพธิญาณ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 13:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยพุทธกาล....ตอนวันเปิดโลก

หลวงพ่อว่า...
"แม้แต่สัตว์..มดแมลง...ที่เห็นปรากฎการณ์ในวันนั้น...มันยังอยากจะเป็นดั่งพระพุทธเจ้าเลย

ไม่ใช่ใครอยากเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว..แล้วจะเรียกพระโพธิสัตว์เลยนะ....ต้องสละชีพเพื่อผู้อื่นได้ก่อน...ถึงจะเรียกได้...ตอนนี้สละชีวิตได้รึยัง" (คงมีใครยังติดอยากในโพธิญาณอยู่กระมั้ง..ตอนฟังธรรมนั้นนะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธภูมิ เป็นเยี่ยงไร ???????
huh

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 16:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1239

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างนั้นหลวงปู่มั่นก็เห็นเกิดดับของจิตตามความเป็นจริง จึงเกิดความเบื่อหน่ายในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จิตย่อมคลายกำหนัด จึงหลุดพ้นเข้านิพพานไปเลย

หลวงปู่เก่งจัง ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

:b12: :b4: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 17:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1239

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระโพธิสัตว์ต้องได้รับคำพยากรณ์ถึงเป็นพระพุทธเจ้าได้..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 18:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


แอบ search ไปเจอ เห็นมี ภูมิๆ มี นรก ด้วย :b16:

https://www.facebook.com/notes/515605991829216/

อ้างคำพูด:
คําสอนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ..กับท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ จาก ราชบัลลังค์ ภักดีจักรีภูมินทร์
29 เมษายน 2013 เวลา 16:01 น.
ในสมัยหลวงปู่ดู่...ยังมีชีวิตอยู่นั้น
ศิษย์จะได้ยินคำว่า "พระโพธิสัตว์" หรือคำว่า "พุทธภูมิ" ไม่บ่อยนัก
หลวงปู่ดู่มักจะกล่าวถึง ก็เฉพาะกับ "หลวงปู่ทวด"

คำว่า "พระโพธิสัตว์" หรือ "พุทธภูมิ" นั้น
เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าใคร ๆ จะมาพยากรณ์กันเอง

คำว่า "พระโพธิสัตว์" มักจะหมายถึง...
พระโพธิสัตว์ที่ได้รับ "การพยากรณ์...จากพระพุทธเจ้าแล้ว"
จึงมีความแน่นอน ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พูดแล้วเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง ต้องเป็นจริงตามนั้น

ดังนั้น หากใครบอกว่า "ลาพุทธภูมิ"
นั่นย่อมหมายความว่า ยังไม่เคยได้รับ "พุทธพยากรณ์" จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
จึงอาจไม่แตกต่างจากสัตวโลกทั้งหลาย ที่พากันปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า
ในวันที่พระพุทธองค์ เสด็จกลับจากดาวดีงส์
พร้อมกับบันดาลให้สัตว์โลกทุกภพภูมิ ได้มองเห็นกันหมด
ทำให้มนุษย์ รวมทั้งสัตว์ภพภูมิอื่น ๆ พากันตั้งความปรารถนาจะเป็น "พระพุทธเจ้า"
กันมากมาย

คำว่า "พระโพธิสัตว์" หรือ "พุทธภูมิ" ที่พากันใช้เกล่อไปนั้น
เป็นความล่อแหลมอยู่ไม่น้อย เพราะอาจเป็นช่องให้กิเลส ความหลง...มาครอบงำได้ง่าย

ทำให้นักปฏิบัติธรรมหลายๆคน... " หยุดความเพียรในการเจริญกรรมฐาน "
และเน้น " โปรดสัตว์ "
ตั้งแต่คราวที่ " โปรดตัวเอง...ยังไม่ได้เลย "

ข้อเสียที่เห็นชัดเจนก็คือ
ทำให้ไม่อุสาหะ พากเพียร ปฏิบัติขัดเกลากิเลส...ในภพชาติปัจจุบัน

ด้วยคิดหวัง จะสร้างนั่น สร้างนี่ไปเรื่อย ๆ
เพื่อปูทางไปสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
ทั้งที่ได้ "ลาภอันประเสริฐ" ที่เกิดมาพบ "พระพุทธศาสนา"
ได้มีโอกาสพบ...ธรรมคำสอน พบครูบาอาจารย์ดี ๆ...ก็มิได้ปฏิบัติให้เต็มที่

หากพ้นจากชาตินี้ไปแล้ว จะมีอะไรเป็นหลักประกัน
อย่าว่าแต่จะมาพบ..."พระธรรมคำสอน" อีกเลย
แม้เพียงการได้ "เกิด" เป็น "มนุษย์" อีก...ก็ยังยาก

เเละไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่า...
ชาติหน้า...เรายังจะมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย

ดังมีตัวอย่างคือ ท่านพาหิยะ
ที่แม้ชาติก่อน...จะตายในขณะบำเพ็ญเพียร
แต่ชาติต่อมา...ก็ปรากฏว่า ไปเป็นนักบวชต่างศาสนา

หรือกรณีของ "หัวหน้าผู้นำบุญ" ซึ่งเป็นผู้ชักชวนคนเข้าวัดจำนวนมาก
แต่พอเกิดเหตุร้ายในชีวิต เขาก็ละทิ้งศาสนาพุทธ...ไปหาศาสนาแห่งพระเจ้าไปก็มี
นั่นเพราะ ยังมิได้มี "ศรัทธา และ ปัญญา"...ในระดับที่มั่นคงเพียงพอนั่นเอง

มีเรื่องทำนองนี้ คือ มีศิษย์ของหลวงปู่ดู่
นำเรื่องราวของ หลวงตามหาบัว มาเล่าถวายให้ท่านฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า หลวงตาสังเกตเห็นศิษย์คนหนึ่ง ไม่ค่อยขยันภาวนา
เมื่อหลวงตาถามว่า "ทำไม"

เขาก็ตอบท่านว่า
"เดี๋ยวก่อน เพราะเขาปรารถนาว่า...จะไปบรรลุธรรมในยุคพระศรีอาริย์"

หลวงตา เลยพูดสอนเสียงดังว่า
"ชาตินี้ยังไม่เอาไหน ชาติหน้าก็จะยิ่งไม่เอาไหน
แล้วคนไม่เอาไหน มีเหรอ จะคู่ควรไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์
ถึงไปเกิด ก็เป็นคนไม่เอาไหน ไม่มีทางบรรลุธรรมได้หรอก"

หลวงปู่ดู่ฟังแล้ว ก็หัวเราะชอบใจ
กล่าวรับรองว่า...เป็นจริงอย่างนั้น

ถามว่า ผู้เป็น "พุทธภูมิ" นั้น...มีอยู่หรือไม่
ก็ต้องตอบว่า... "มี" อย่างแน่นอน
แต่ผู้ที่เป็น "พุทธภูมิ" ก็ย่อมจะมี "ภูมิธรรม"... รู้อะไรควร มิควร

ในสมัยหลวงปู่ดู่ ก็มีศิษย์บางคนที่ค่อนข้างจะ "ขี้เกียจทำความเพียร"
แต่เที่ยวบอกใคร ๆ ว่า "ฉันนั้นเป็น...พุทธภูมิ"
ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า...ในกาลข้างหน้าเหมือนกัน
แต่ภาพที่ปรากฏแก่คนทั่วไปคือ นักปฏิบัติขี้ยา
คือ ทั้งดื่มสุรา สูบบุหรี่ แถมยังชอบหมกมุ่นกับเรื่อง "อดีตชาติ"
ที่สำคัญคือ เป็นคน "ทิฏฐิแรง" ไม่ค่อยฟังใคร

เวลาไปนั่งสมาธิที่ไหน แทนที่จะ.. "พิจารณาธรรม"
กลับจะคอยตามเช็คกันว่า เห็น "นิมิต" เหมือนกันไหม
ทั้ง ๆ ที่ครูอาจารย์ก็พร่ำสอนว่า...นิมิตย่อมจะไม่เหมือนกัน
เพราะ "สภาพจิต" ของนักปฏิบัติต่างกัน
และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ เพราะไม่ใช่ทาง

การปฏิบัติ และ พิจารณา...ให้คลายความโง่ ความหลง ต่างหาก
คือ "เป้าหมาย"...ของการปฏิบัติ

ในขณะที่ "ศิษย์ใกล้ตัว" ของหลวงปู่ดู่บางคน...ตั้งอยู่ในความประมาท
มองเห็นว่า สวรรค์สมบัติ หรือ นิพพานสมบัตินั้น...เป็นเหมือนของที่อยู่แค่เอื้อม
หลวงปู่กลับบอกว่า...
คนใกล้ตัวเหล่านั้น อยู่ไม่ไกลจาก "ขอบนรก" เลย

ดังที่ท่านกล่าวว่า

"ถ้าข้าตายแล้ว ข้าต้องลงนรก
...ลงนรกเพื่อไปเอาพวกแกขึ้นมา"


ที่เล่ามานี้ ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ให้ไม่ประมาท
และไม่ต้องเสียเวลา วิตก วิจารณ์ ไปกับเรื่องที่ว่า...เราจะเป็น "สาวกภูมิ" หรือ "พุทธภูมิ"
เพราะ ความแก่
ความเจ็บ
ความตาย
ความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
มันใกล้ตัวเข้ามา เกินกว่าจะเสียเวลาคิดเรื่องเหล่านี้แล้ว

หลวงปู่ดู่...ท่านให้ทุกคนตั้งเป้าอย่างเดียวกันคือ "หนึ่งในสี่"
อันเป็น "ภาวะที่เที่ยงแท้" ว่า ... จะไม่ลงนรกอีก
ที่หลวงปู่ดู่ ท่านสอนให้นักปฏิบัติ
มีความอุตสาหะที่จะให้ได้ "มรรคผล ขั้นต้น" ในภพชาติปัจจุบัน
เพื่อที่จะมีความเที่ยงแท้...ต่อการเข้าถึงฝั่งแห่ง "พระนิพพาน" อย่างไม่เนิ่นช้า

หมายเหตุ
หนึ่งในสี่ หมายถีง พระโสดาบัน
(ผู้ตกกระเเสพระนิพพาน เเละ จะได้บรรลุพระอรหันต์อย่างเเน่นอน)
๑. พระโสดาบัน
๒. พระสกิทาคามี
๓. พระอนาคามี
๔. พระอรหันต์

เรียบเรียงจากคุณ สิทธิ์
ข้อมูลจาก
ข้อเตือนใจ..."ผู้ปราถนาพุทธภูมิ" - เว็บบอร์ด


มีการต้องไปลากด้วยมันขึ้นมาด้วย ....

:b8: :b8: :b8:

หลวงปู่ปฏิบัติแล้วไปได้รู้อะไรหน๋อ
เอกอนมี บางเคส ที่รับรู้มาเช่นกัน แต่ไม่แน่ใจ
จนกระทั่งมาเจอคำกล่าวหลวงปู่นี่ล่ะ :b32: จึงพอจะได้รู้ว่าเคสประมาณนี้มีจริง

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ชะอุ้ยพระอาจารย์ตนมาโผล่กระทู้นี้ :b8:
...พี่เอกอนก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดู่เหมือนคุนน้องหรอเนียะ :b20: :b20:
ปล.จริงๆคุนน้องรู้อยู่แล้วล่ะ..ถึงมั่นใจและกล้าแสดงความเห็นก่อนหน้านั้น :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 18:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ชะอุ้ยพระอาจารย์ตนมาโผล่กระทู้นี้ :b8:
...พี่เอกอนก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดู่เหมือนคุนน้องหรอเนียะ :b20: :b20:

:b1: ...พี่เอกอนออกแนวเป็นไปทั่วเรยล่ะ... :b9: :b9: :b9:

เพราะมี google นี่จะ หลายอาจารย์มารวมตัวกันที่นี่หมดเรย

:b32:

แต่จริง ๆ เรยนะ

อาจารย์คนแรกของพี่เอกอน พี่เอกอนไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ท่านเป็น เซน
เข้าใจว่าท่านเป็นเซน เพราะ ท่านให้ทำกิจกรรมไปโดยที่ไม่ให้พูดเรย
ถามอะไรก็ไม่ตอบ อยู่ในความเงียบ พูดอย่างเดียว จงเฝ้าดูมันอยู่เงียบ ๆ นั่นล่ะ
แล้วเจ้าจะเข้าใจมันเอง ... :b5: :b32: :b12:
แค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ ซึ่ง ก็เงียบน่ะ และความทุรนทุรายของจิตมันก็ปรากฎ
อาจารย์ก็บอกให้ เฝ้าดูความทุรนทุรายของจิตนั่นล่ะ
การตอบคำถามไม่ได้ช่วยให้เจ้าเข้าใจอะไร
แต่เจ้าจงเฝ้าดูมัน แล้วเจ้าจะเข้าใจมันเอง... :b1:

อาจารย์คนที่สอง พี่เอกอนค่อนข้างเข้าใจว่า ท่านคือท่านจี้กง :b14: :b32:
แบบฝันเห็นท่านน่ะ แบบว่าเอกอนฝันว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมติด
วันเปิดเรียนวันแรก ก็มีนักเรียนมากมาย หลายค่าย หลายสำนัก เฟอร์นิเจอร์เพียบ
ในช่วงที่กำลังจะเริ่มชั้นเรียน ก็เห็นคนเดินเข้ามาและก็ลากเอกอนไป แต่งตัวเหมือนยาจก
และมีเพื่อนตามไปด้วยอีก 2 คน
คือเขาเป็นนักศึกษาที่ฐานะต่ำต้อยน่ะ พวกชั้นสูงก็เลยไม่อยากสุงสิงด้วย
เขาก็เลยมานั่งข้าง ๆ เอกอน พออาจารย์มาลากเอกอนเขาก็เลยตามออกไปกันด้วย
สิ่งที่ท่านสอน ก็สะท้อนตัวท่านนั่นล่ะ
คือ ความเป็นยาจก แต่คุณธรรมยิ่งใหญ่ ประมาณนั้น

:b32: :b32: :b32:

ทั้งสองท่าน ไม่อิงตำรา แต่ท่านปลูกฝังธรรมให้กับตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติน่ะ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่น่าเชือเลยค่ะ...ความฝันพี่เอกอนทำให้คุนน้องระลึกฝันของตนได้..เมื่อสองปีก่อนเคยฝัน..ได้เข้าไปเรียนมหาลัย..คือมองเห็นเป็นอาคารสีขาว
อานาเขตกว้างขวาง..แถมในฝันคุนน้องมีเพื่อนผู้หญิงคนนึง..ที่เทอจะอาสาพาคุนน้องไปทำธุระเรื่องการเข้ามหาลัย...เทออยู่ข้างๆตลอดเลย..พาไปกินข้าวใต้ตึก..พาไปนอนพักตอนปวดท้อง..และพาไปดูหอพักในมหาลัย..พาไปลงทะเบียนเรียน
ซึ่งในฝันคุนน้องก็รู้ว่า..คุนน้องจนแล้วมาเรียนที่นั้นได้ไง..ซึ่งตอนไปลงทะเบียนคุนน้องสะพายกระเป๋าแบบถุงย่าม..(เชยโคตรร :b32: แต่เอกสารการเรียนอยู่ในนั้นหมด คุนน้องไม่รู้นะตอนแรก
เทอคนนั้นชี้มาที่ถุงย่ามที่เราสะพาย)
และพอไปลงทะเบียนเรียน..มีคนบอกว่าคุนน้องได้มาเรียนที่นี่เพราะท่านผู้นึง..จำชื่อในฝันไม่ได้อ่ะค่ะ
แปลกจังเรยนะค่ะ :b1:
ปล.ถ้าในฝันคุนน้องคือมหาลัยธรรมมะ..คุนน้องสอบติด?หรือได้เข้ามาเรียนเพราะเด็กฝากอ่ะ :b14:


แก้ไขล่าสุดโดย nongkong เมื่อ 11 เม.ย. 2015, 19:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 19:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
...
ปล.ถ้าในฝันคุนน้องคือมหาลัยธรรมมะ..คุนน้องสอบติด?หรือได้เข้ามาเรียนเพราะเด็กฝากอ่ะ :b14:


ชอบคำตอบแบบธรรมดา หรือ หลุดโลกล่ะ คุณน้อง... :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
nongkong เขียน:
...
ปล.ถ้าในฝันคุนน้องคือมหาลัยธรรมมะ..คุนน้องสอบติด?หรือได้เข้ามาเรียนเพราะเด็กฝากอ่ะ :b14:


ชอบคำตอบแบบธรรมดา หรือ หลุดโลกล่ะ คุณน้อง... :b32:

ขอ 2 in 1 เลยค่ะ :b13:
:b17: :b17:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 76 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร