วันเวลาปัจจุบัน 06 ต.ค. 2025, 12:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5386


 ข้อมูลส่วนตัว


●ธรรมจากหลวงพ่อ●
"เสียงหนอ" เขาด่าเรา...อย่าเอาหูไปรับเดี๋ยวก็
กลับไปหาเขาเอง กำหนดให้ได้ หูกับปากเขาอยู่ใกล้
กัน แต่หูเราอยู่ไกลปากเขาเรื่องอะไรเอาหูเราไปรับ
ขอให้..ธรรมมะ..ในตอนนี้ว่า...
ถ้าวันไหนมีใครมาด่าอาตมา อาตมาได้บุญมาก ได้กำ
ไรเยอะจะไม่ฟังเสียงคำด่า แต่จะฟังเสียงเหตุผลว่า
เราเป็นจริงตามที่เขาว่าไหม?...ถ้าไม่จริง...คำด่านั้น
ไปหาเขา ถ้าเป็นจริงดังเขาด่าเราก็แก้ตัวเสียใหม่ ทำ
ดีให้รุ่งเรืองเจริญต่อไป ไม่หวั่นไหวตั้งสติสัมปชัญญะ
"หูได้ยิน" ตั้งสติไว้ที่ "หู" เขาด่าเรา...ตั้งสติไว้ คำด่า
อย่าไปรับมาไว้ในสมองให้มันฝ่อ คำด่านั้นจะกลับไป
หาเขาเอง " เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป " คนด่าเรา "เป็น
บาป" เราโดนด่า "เป็นบุญ" เราอย่าไปโกรธตอบ คน
โกรธตอบเป็นบาปมากกว่า คนด่าบาป 50% เราโกรธ
แล้วด่าตอบ เราบาป 100% นี่แหละบุญทางกายอย่าง
นี้ ยกตัวอย่าง บุญอยู่ที่กาย ให้โยมฟัง เสียงหนอ
เขาด่าเรานินทาเรานั่นแหละเขาบาปแล้ว ถ้าตัดตอน
รูปนามขันธ์ 5 เป็นอารมณ์ได้เขาก็ตัดตอนจากเรา
เขาด่าเราก็คือ " ด่าตัวเขาเอง "
โจมตีคนโน้น...โจมตีคนนี้ คนโดนโจมตีนั่นแหละ
ได้บุญ ส่วนคนไหนไปโจมตีเขานั่นแหละ...ได้บาป
คนโดนโจมตี "ได้บุญ" ถ้าทำใจได้...เจริญพร...
●พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)




แก้ความเข้าใจ
ความหมายของบุญนี้แคบและเพี้ยนไป

บุญกุศลนี้มีทางนำให้เกิดขึ้นได้มากมาย แต่ข้อสำคัญอยู่ที่จิตใจของโยมเอง แต่เมื่อเราต้องการให้จิตใจผ่องใส อะไรจะมาช่วยทำให้ผ่องใสได้ ตอนนี้เราอาศัยพระประธาน แต่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่ามีวิธีปฏิบัติหลายอย่างที่จะทำให้เกิดบุญกุศล


วันนี้จึงขอพูดเรื่องบุญนิดๆหน่อยๆเพราะคำว่า "บุญ"เป็นคำสำคัญ ในพระพุทธศาสนาและเวลานี้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "บุญ" ก็แคบมากหรือบางทีก็ถึงเพี้ยนไป

แง่ที่ 1. ยกตัวอย่าง ที่ว่าบุญมีความหมายแคบลงหรือเพี้ยนไปนี้ เช่น เมื่อเราพูดว่าไปทำบุญ ทำทาน โยมก็นึกว่า
ทำบุญคือ ถวายข้าวของแก่พระสงฆ์ บุญก็เลยมักจะกำจัดอยู่แค่ทานคือ การให้
แล้วก็ต้องถวายแก่พระเท่านั้นจึงเรียกว่าบุญ ถ้าไปให้แก่ชาวบ้าน เช่น ให้แก่คนยากจน คนตกทุกข์ยากไร้ เราเรียกว่าให้ทาน

ภาษาไทยตอนหลังนี้จึงเหมือนกับแยกกันระหว่าง ทำบุญกับให้ทาน
ทำบุญ คือ ถวายแก่พระ
ให้ทาน คือ ให้แก่คฤหัสถ์ชาวบ้าน โดยเฉพาะคนตกทุกข์ได้ยาก

เมื่อเพี้ยนไปอย่างนี้นานๆคนต้องมาทบทวนกันดู เพราะความหมายที่เพี้ยนไปนี้กลายเป็นความหมายในภาษาไทยที่บางทียอมรับกันไปจนคิดว่าถูกต้องด้วยซ้ำ แต่พอตัวสอบด้วยหลักพระศาสนาแล้วก็ไม่จริง
เพราะว่าทานนั้นเป็นคำกลางๆ การถวายของแก่พระที่เราเรียกว่า ทำบุญนั้น เมื่อว่าเป็นภาษาบาลีจะเห็นชัดว่าท่านเรียกทานทั้งนั้น แม้แต่ทำบุญอย่างใหญ่ที่มีการถวายของแก่พระมากๆ เช่น

- ถวายแก่พระสงฆ์ ก็เรียกว่า สังฆทาน
- ทำบุญทอดกฐิน ก็เรียกว่า กฐินทาน
- ทำบุญทอดผ้าป่าก็เป็น บังสุกุลจีวรทาน

ไม่ว่าถวายอะไรก็เป็นทานทั้งนั้น ถวายสิ่งก่อสร้างในวัด จนถวายทั้งวัดก็เรียกว่าเสนาสนทาน หรือว่าวิหารทาน ทานทั้งนั้น

ในแง่นี้จะต้องจำไว้ว่า

# ทานนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำบุญ

เมื่อเราพูดว่าทำบุญคือ ถวายของพระ บุญก็เลยแคบลงมาเหลือแค่ทานอย่างเดียว ลืมนึกไปว่ายังมีวิธีบุญอื่นๆอีกหลายอย่าง นี้ก็เป็นแง่ 1 ละ

แง่ที่ 2 ก็คือความแคบในแง่ที่เมื่อคิดว่า ถ้าให้แก่คนตกทุกข์ได้ยากหรือแก่ชาวบ้านก็เป็นทานแล้ว ถ้าเข้าใจเลยไปว่าไม่เป็นบุญ ก็จะยุ่งกันใหญ่ ที่จริงไม่ว่าให้แก่ใครก็เป็นบุญทั้งนั้น จะต่างกันก็เพียงว่าบุญมากบุญน้อยเท่านั้นเอง

การวัดว่าบุญมากบุญน้อย เช่นในเรื่องทานนี้ ท่านมีเกณฑ์หรือมีหลักสำหรับวัดอยู่แล้วว่า

1. ตัวผู้ให้ คือทายกทายิกา มีเจตนาอย่างไร
2. ผู้รับ คือปฏิคาหก มีคุณความดีแค่ไหน
3. วัตถุ หรือของที่ให้ คือไทยธรรม๑ บริสุทธิ์สมควรเป็นประโยชน์เพียงใด

ถ้าปฏิคาหก คือ ผู้รับ เป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมความดี ก็เป็นบุญมากขึ้น ถ้าปฏิคาหกเป็นคนไม่มีศีล เช่น เป็นโจรผู้ร้ายเราก็ได้บุญน้อย เพราะดีไม่ดีให้ไปแล้ว เขากลับอาศัยผลจากของที่เราให้ เช่น ได้อาหารไปกินแล้วร่างกายแข็งแรง ก็ยังไปทำการร้ายได้มากขึ้นกลับเกิดโทษ

วัตถุสิ่งของที่ถวาย ถ้าบริสุทธิ์ได้มาโดยสุจริต เป็นของที่เป็นประโยชน์ มีคุณค่าแก่ผู้ที่รับไป สมควรหรือเหมาะสมแก่ผู้รับนั้น เช่นถวายจีวรแก่พระสงฆ์ แต่ให้เสื้อแก่คฤหัสถ์ เป็นต้น ก็เป็นบุญมาก ส่วนตัวผู้ให้ก็ต้องมีเจตนาที่เป็นบุญ เป็นกุศล ตั้งใจด ียิ่งถ้าเจตนานั้นประกอบด้วยปัญญา ก็มีคุณสมบัติดีประกอบมากขึ้น ก็ยิ่งได้บุญมาก
เป็นอันว่าการให้เป็นทานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะถวายแก่พระ หรือจะให้แก่คฤหัสถ์ชาวบ้าน จึงต้องมาทบทวนความหมายกันใหม่ว่า

1. ได้บุญ ไม่ใช่เฉพาะถวายแก่พระ
2. บุญ ไม่ใช่แค่ทาน

# ให้ทานอย่างไรจึงจะได้บุญอย่างสมบูรณ์

ที่นี้ก็มาดูว่าบุญนั้นแค่ไหน การทำบุญ ทาน เรียกว่า บุญกริยา หรือเรียกว่ายาวว่า บุญกริยาวัตถ ุคือเรื่องของการทำบุญ ญาติโยมที่คุ้นอันจะนึกออกว่า บุญกิริยาวัตถุมี 3 อย่างคือ

1. ทาน การให้ เผื่อแผ่แบ่งปัน
2. ศีล การประพฤติสุจริต มีความสัมพันธ์ที่ดี ไม่เบียดเบียนกัน
3. ภาวนา ฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ เจริญปัญญา

ทานก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง
ศีลก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง
ภาวนาก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง
และสูงขึ้นไปตามลำดับด้วย ศีลเป็นบุญที่สูงกว่าทาน ภาวนาเป็นบุญที่สูงกว่าศีล
แต่เราสามารถทำไปพร้อมกันทั้ง 3 อย่าง

เหตุใดจึงเรียกการถวายของแก่พระที่วัดว่าเป็นการทำบุญ แต่ให้แก่ชาวบ้านเรียกว่าเป็นทานเฉยๆ เรื่องนี้อาจจะเกิดจากการที่ว่า เวลาเราไปถวายพระที่วัด เราไม่ใช้ถวายทานอย่างเดียวเท่านั้นคือ ในเวลาที่เราไปถวายสิ่งของเครื่องไทยธรรม หรือทำอะไรที่วัดนั้น นอกจากการเป็นอย่างที่ 1 แล้ว

2. ศีล เราก็ได้รักษาไปด้วยคือ เราต้องสำรวมวาจาอยู่ในระเบียบแบบแผนวัฒนธรรมประเพณี เรื่องมารยาทอากัปกิริยาและการสำรวมวาจาต่างๆ นี้เป็นศีลทั้งนั้น และเวลานั้นเรางดเว้นความไม่สุจริตทางกายวาจา ความไม่เรียบร้อย การเบียดเบียนทุกอย่าง ทางกายวาจาเราละเว้นหมด เราอยู่ในกายวาจาที่ดีงาม ที่ประณีต ที่สำรวมที่ควบคุม นี่คือเป็นศีล

3. ในด้านจิตใจ จะด้วยบรรยากาศของการทำบุญก็ตามหรือด้วยจิตใจที่เรามีความเลื่อมใสตั้งใจไปด้วยศรัทธาก็ตาม จิตใจของเราก็ดีงามด้วย เช่น มีความสงบ มีความสดชื่น เบิกบานผ่องใส มีความอิ่มใจ ตอนนี้เราก็ได้ภาวนาไปด้วย

ยิ่งถ้าพระได้อธิบายให้เข้าใจในเรื่องการทำทานนั้นว่าทำเพื่ออะไร มีประโยชน์อย่างไร สัมพันธ์กับบุญหรือการปฏิบัติธรรมอื่นๆอย่างไร ฯลฯ เรามองเห็นคุณค่าประโยชน์นั้นและมีความรู้ ความเข้าใจธรรม เข้าใจเหตุผลต่างๆมากขึ้น เราก็ได้ปัญญาด้วย

ด้วยเหตุที่ว่ามานี้ ก็จึงกลายเป็นว่า เมื่อเราไปที่วัดนั้น แม้จะไปถวายทานอย่างเดียว แต่เราได้หมดทุกอย่าง ทานเราก็ทำ ศีลเราก็พลอยรักษา ภาวนาเราก็ได ้ทั้งภาวนาด้านจิตใจ และภาวนาด้านปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อเราไปที่วัด ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง เราจึงไม่ได้ถวายทานอย่างเดียว แต่เราได้มาครบ ตอนแรกเราตั้งใจไปถวายทานอย่างเดียว แต่เมื่อไปแล้วเราได้ครบทั้งสาม

ทีนี้เราจะบอกว่า เราไปถวายทานมา เราก็พูดไม่ครบ ก็เลยพูดว่าเราไปทำบุญ เพราะว่าเราได้ทั้งสามอย่าง
ที่ว่ามานี้ก็เป็นเหตุ ให้ถวายทานอย่างเดียวกลายเป็นมีความหมายเป็นทำบุญ (ครบทั้ง 3 อย่าง)

เมื่อโยมเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต่อไป เวลาไปถวายทานที่วัดก็ต้องทำให้ได้บุญครบทั้ง 3 อย่าง คือ ถวายทานอย่างเดียว แต่ต้องให้ได้ทั้งศีล ทั้งภาวนาด้วย อย่างนี้จึงจะเรียกว่า "ทำบุญ" ที่แท้จริง

......ป.อ.ปยุตฺโต

ที่มา : ก้าวในบุญ


ทำบุญสักบาทหนึ่ง ก็อุทิศแล้วอุทิศอีก ให้รวย ให้โชคดี ให้ได้สวรรค์ วิมาน มันจะเป็นการค้ากำไรเกินควรหรือไม่
ที่ร้ายกว่านั้นจะเป็นการสะสมพอกพูน
ความเห็นแก่ตัวให้หนาแน่นเข้า
มันไม่ตรงความหมายของคำว่า "บุญ"


.......พุทธทาสภิกขุ


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 620


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร