วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 01:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2015, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
bigtoo เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
bigtoo เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไปทางกุศลมากไป....ก็ไม่ว่างได้...นะ :b32:
เช่น..ดีใจมากๆ..ปิติมาก ๆ....

ทำจิตใจว่างๆ..กระผมเข้าใจว่า...ทำใจพอดีๆ กลางๆ...ซึ่งมันน่าจะเหมาะสมต่อการเจริญสติปัญญา...


คิดเรื่องกุศลก็ไม่ว่าง คิดเรื่องอกุศลก็ไม่ว่าง
พอเจริญสติเจริญปัญญามันก็คิดกุศลอีก
กายคตาสติศิ

ยังไง
ก็อย่างที่บอกน่ะครับ ก็พูดกันไปจิตว่าง มันว่างไม่ได้หรอกครับถ้าไม่ใชสภาวะนิพพาน การที่เรามีสติระลึกอยู่ที่กายเห็นการเกิดดับเห็นการเปลี่ยนแปลงเห็นสิ่งนั้นไม่ใช่เราไม่ใชตัวตนเราเขาเท่ากับเราละนันทิ ละทั้งกุศลอกุศลมีจิตสภาพเป็นกลางอยู่กับอุเบกขานั้นแหล่ะครับ เรากำลังบริโภคอมตะ


ก็มาตรงอุเบกขาอีกแหละ อุเบกขามันเป็นเวทนา มันก็ต้องมีกุศลกับอกุศลอีก
เช่น คิดทำบาปก็เฉยๆ คิดทำบุญก็เฉยๆ ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยเอาอุเบกขาเวทนาเป็นของว่างไป
พอพูดไปก็เหมือนคัดคอ ไม่่พูดก็ไม่รู้ เลยเข้าใจนี่แหละตัวจิตว่าง
กายคตายติเป็นอุเบกขาสัมโพช์ฌงจะเป็นอกุศลได้ไงครับ
อุเบกขา ในโพชฌงค์

อุเบกขา ในโพชฌงค์ เป็นอุเบกขาที่มีเหตุเกิดประกอบด้วยทั้งสัมมาสติ, สัมมาสมาธิ และสัมมาปัญญาอันยิ่ง กล่าวคือการมีสติรู้เท่าทันที่แน่วแน่ อีกทั้งยังต้องพร้อมด้วยปัญญาหรือปรีชาที่แจ่มแจ้ง ดังเช่น เข้าใจในความเป็นเหตุปัจจัย ที่เมื่อมีการปรุงแต่งย่อมเกิดเวทนา หรือเห็นความไม่เที่ยงเมื่อไปยึดไปอยากย่อมเป็นทุกข์ ฯลฯ. มีสติเห็นตามความเป็นจริงดังนี้แล้วจึงอุเบกขาเป็นกลาง กล่าวคือเมื่อเกิดความรู้สึก(Feeling)คือเกิดเวทนาอย่างไรก็ตาม เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเฉยๆ ก็เป็นไปอย่างนั้นตามธรรมหรือธรรมชาติ แต่เป็นกลาง ที่เกิดขึ้นด้วยเจตนาตั้งใจ,ตั้งมั่น โดยการสำรวมคือการระวัง ไม่เอนเอียง, ไม่แทรกแซง, ไม่ไปปรุงแต่งคือฟุ้งซ่านไปในธรรมคือสิ่งนั้นๆที่สติรู้เท่าทันตามความเป็นจริง เนื่องด้วยปัญญาที่เข้าใจยิ่งอย่างแจ่มแจ้งดีว่า จะเป็นเหตุก่อ ให้เกิดการปรุงแต่งต่างๆขึ้นมาต่อเนื่องไป กล่าวคือย่อมยังให้เกิดการผัสสะต่างๆ ซึ่งย่อมยังให้เกิดเวทนาต่างๆที่เป็นไปในลักษณะเกิดดับ เกิดดับ อย่างต่อเนื่องสืบต่อไป จนราวกับว่าเป็นชิ้นเป็นเรื่องๆเดียว ทั้งๆที่ความจริงยิ่งแล้ว เกิดแต่การปรุงแต่งอย่างเกิดดับ เกิดดับ...อยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว อันเวทนาที่เกิดขึ้นเหล่านั้นย่อมอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาอุปาทาน อันเป็นการดำเนินไปตามวงจรของการเกิดขึ้นของทุกข์คือปฎิจจสมุปบาทธรรม, จึงเป็นอุเบกขาที่เป็นไปเพื่อให้ถึงวิมุตติความสุขจากการพ้นไปจากทุกข์อย่างไม่กลับกลาย อุเบกขาเยี่ยงนี้จัดเป็นอุเบกขาในโพชฌงค์ ๗ อันจัดเป็นองค์สุดท้ายในโพชฌงค์ ๗ ที่ยังให้ตรัสรู้หรือให้ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตติโดยบริบูรณ์ได้ ดังความนี้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2015, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อพระพุทธองค์ แสดง เรื่อง ความว่าง
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=4715&Z=4845&pagebreak=0

เป็นการเจริญจิตตภาวนา โดยลำดับๆ จนถึงที่สุดคือ จิตว่างจากกามาสะว จากภวาสวะ และอวิชชาสวะ
แต่ก็มีไม่ว่างอยู่ก็คือ ความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย.

ดังนั้น เรื่องจิตว่าง จึงไม่ใช่ว่างชนิดที่ไม่มีอะไรเลย หรือว่างจนไม่มีแม้กระทั่งการปรุงแต่งจนเป็นอารมณ์แห่งจิตทั้งภายในทั้งภายนอก

ตัวอย่างเช่น
จิตว่างจาก อกุศล ด้วยปฐมฌาน เพราะไม่ใส่ใจต่อสัญญาอันเป็นอกุศล เช่น กามสัญญา แต่มารู้ชัดต่อสัญญาในปฐมฌาน ก็ได้ชื่อว่าเป็นการก้าวลงสู่ความว่างตามเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาดบริสุทธิ์ ของผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียร

ขอให้ใส่ใจคำสอนที่ปรากฏในพระสูตรหลัก สองพระสูตร คือ
จูฬสุญญตสูตร และ มหาสุญญตสูตร ก็จะรู้จัก เรื่องจิตว่าง และวิธีการปฏิบัติเพื่อจิตว่าง

แม้ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
จิตแม้ว่างจาก เวทนา จากสัญญาก็ตาม แต่จิตก็ไม่ว่างจากสังขาร คือสติ และปัญญา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2015, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักสำคัญใน มหาสุญญตสูตร
พระพุทธองค์อยู่ด้วยจิตว่างอย่างนี้

Quote Tipitaka:
[๓๔๖] ดูกรอานนท์ ก็วิหารธรรมอันตถาคตตรัสรู้ในที่นั้นๆ นี้แล คือ
ตถาคตบรรลุสุญญตสมาบัติภายใน เพราะไม่ใส่ใจนิมิตทั้งปวงอยู่ ดูกรอานนท์
ถ้าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา
เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์เข้าไปหาตถาคตผู้มีโชค อยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ในที่นั้นๆ
ตถาคตย่อมมีจิตน้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก หลีกออกแล้ว
ยินดียิ่งแล้วในเนกขัมมะ มีภายในปราศจากธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการ
ทั้งปวง
จะเป็นผู้ทำการเจรจาแต่ที่ชักชวนให้ออกเท่านั้น ในบริษัทนั้นๆ โดยแท้
ดูกรอานนท์ เพราะฉะนั้นแล ภิกษุถ้าแม้หวังว่า จะบรรลุสุญญตสมาบัติภายในอยู่
เธอพึงดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ ทำจิตภายในให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งจิตภายในให้มั่นเถิด ฯ.....


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=4846&Z=5089&pagebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2015, 15:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...จิตว่างเป็นอารมณ์เดียว...โดยสติสัมปชัญญะรู้อารมณ์เดียวนั้นนิ่งสงบไม่เกิดตัณหา...
...โดยการปลีกวิเวกเป็นไปเองโดยลำพังของจิต...ถึงแม้จะอยู่กับผู้คนมากมายก็ว่างๆ...
...เป็นลักษณะที่จิตรวมเป็นสมาธิดิ่งลงในอารมณ์เดียวไม่วุ่นวาย โปร่ง โล่ง เบา สบาย...
...ปุถุชนก็สามารถเข้าถึงสภาวะนี้ได้...เรียกว่าสภาวะนิพพานชั่วคราว...ข้าพเจ้าเป็นบ่อยค่ะ...
...เป็นขณะตื่นค่ะ...ไม่เกิดขณะหลับ...เพราะรู้ตัวเรียกชัดๆก็คือสันโดษท่ามกลางความวุ่นวาย...
...ซึ่งจะเป็นสภาวะที่แตกต่างจากจิตว่างขณะเข้าฌานเพราะขณะนั้นไม่รู้อนิจัง ทุกขัง อนัตตาค่ะ...
:b16: :b8:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2015, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
Rosarin เขียน:
rolleyes
...จิตว่างเป็นอารมณ์เดียว...โดยสติสัมปชัญญะรู้อารมณ์เดียวนั้นนิ่งสงบไม่เกิดตัณหา...
...โดยการปลีกวิเวกเป็นไปเองโดยลำพังของจิต...ถึงแม้จะอยู่กับผู้คนมากมายก็ว่างๆ...
...เป็นลักษณะที่จิตรวมเป็นสมาธิดิ่งลงในอารมณ์เดียวไม่วุ่นวาย โปร่ง โล่ง เบา สบาย...
...ปุถุชนก็สามารถเข้าถึงสภาวะนี้ได้...เรียกว่าสภาวะนิพพานชั่วคราว...ข้าพเจ้าเป็นบ่อยค่ะ...
...เป็นขณะตื่นค่ะ...ไม่เกิดขณะหลับ...เพราะรู้ตัวเรียกชัดๆก็คือสันโดษท่ามกลางความวุ่นวาย...
...ซึ่งจะเป็นสภาวะที่แตกต่างจากจิตว่างขณะเข้าฌานเพราะขณะนั้นไม่รู้อนิจัง ทุกขัง อนัตตาค่ะ...
:b16: :b8:
:b44:

...นิ่งสงบหมายถึงจิตไม่คิดฟุ้งซ่าน...เป็นกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ จิตเป็นทั้งสมาธิ+วิปัสสนาพร้อมกัน...
...รู้เหตุของทุกข์...ไม่สร้างเหตุให้เกิดทุกข์คือดับสมุทัยได้ชั่วคราว...รู้ว่างๆอยู่คือกิเลสไม่กวนใจ...
...การเจริญทั้งรูปฌานและอรูปฌาน...ไม่สามารถเกิดจิตว่างแบบพระอรหันต์ได้เพราะยังไม่ดับสมุทัย...
:b44: :b44:
:b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2015, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
สงสัยอยู่ค่ะ
เวลากำหนด..ความไม่มีอะไรเลย
ตอนนั้นมีอารมณ์ใหม?
มีจิตเกิดใหม?
แล้วเรียกว่า..จิตว่างได้ใหมคะ?..ว่างจากอารมณ์นั้นๆนี้ๆ :b9: :b9:

:b44: ตามที่คุณลุงหมานศึกษามา
นิพพานแล้ว..ยังมีจิต..ใหมคะ
พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่..เข้านิพพานแล้ว..ยังมีจิตใหมคะ
จิตท่านว่างใหมคะ..หรือยังไม่ว่างจริง
แล้วที่เห็นท่านแสดงอารมณ์..มันเกิดขึ้นจากอะไร
งงๆเหมือนกันค่ะ s006
ชี้แนะด้วยค่ะ^0^
:b8:

สงสัยอยู่ค่ะ
เวลากำหนด..ความไม่มีอะไรเลย
ที่กำหนดว่าไม่มีอะไรเลย เป็นการกำหนดของในอรูปฌาน ๔
แต่ถ้ากำหนดเลยโดยไม่ผ่านรูปฌานนั้นก็ไม่ได้ เพราะกำลังไม่พอ นิวรณ์ ๕ ยังไม่ได้ละ


ตอนนั้นมีอารมณ์ใหม?
มีซิ ก็เพราะเอาความว่างมาเป็นอารมณ์

มีจิตเกิดใหม?
มีซิ ก็ตัวที่เข้าไปรู้ความว่างนั่นไง

แล้วเรียกว่า..จิตว่างได้ใหมคะ?..ว่างจากอารมณ์นั้นๆนี้ๆ
ไม่ได้เพราะมีจิตรู้อารมณ์อยู่ มีทั้งจิตมีทั้งอารมณ์

:b44: ตามที่คุณลุงหมานศึกษามา
นิพพานแล้ว..ยังมีจิต..ใหมคะ
ถ้าเป็นปรินิพพาน (ขันธ์ ๕ ดับ) จิตจึงดับด้วย

พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่..เข้านิพพานแล้ว..ยังมีจิตใหมคะ
เป็นการเข้านิพพานเพื่อดับกิเลสทั้งหมด แต่ขันธ์ ๕ ยังเหลืออยู่ ฉะนั้น จิตจึงมีอยู่

จิตท่านว่างใหมคะ..หรือยังไม่ว่างจริง
จิตท่านว่างจากกิเลส แต่ไม่ว่างจากสังขาร เพราะจิตท่านเป็นมหากิริยาจิต

แล้วที่เห็นท่านแสดงอารมณ์..มันเกิดขึ้นจากอะไร
อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับพระอรหันต์ เป็นมหากิริยาจิต หรือเป็นอัพยากตะ หรือเพียงสักแต่ว่ารู้เท่านั้น
จะไม่เป็นบุญหรือเป็นบาป เพราะจะไม่ก่อภพก็ชาติอีกต่อไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2015, 18:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สงสัยอยู่ค่ะ 
เวลากำหนด..ความไม่มีอะไรเลย
ที่กำหนดว่าไม่มีอะไรเลย เป็นการกำหนดของในอรูปฌาน ๔ 
แต่ถ้ากำหนดเลยโดยไม่ผ่านรูปฌานนั้นก็ไม่ได้ เพราะกำลังไม่พอ นิวรณ์ ๕ ยังไม่ได้ละ

ตอนนั้นมีอารมณ์ใหม?
มีซิ ก็เพราะเอาความว่างมาเป็นอารมณ์

มีจิตเกิดใหม?
มีซิ ก็ตัวที่เข้าไปรู้ความว่างนั่นไง

แล้วเรียกว่า..จิตว่างได้ใหมคะ?..ว่างจากอารมณ์นั้นๆนี้ๆ 
ไม่ได้เพราะมีจิตรู้อารมณ์อยู่ มีทั้งจิตมีทั้งอารมณ์

 ตามที่คุณลุงหมานศึกษามา
นิพพานแล้ว..ยังมีจิต..ใหมคะ
ถ้าเป็นปรินิพพาน (ขันธ์ ๕ ดับ) จิตจึงดับด้วย

พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่..เข้านิพพานแล้ว..ยังมีจิตใหมคะ
เป็นการเข้านิพพานเพื่อดับกิเลสทั้งหมด แต่ขันธ์ ๕ ยังเหลืออยู่ ฉะนั้น จิตจึงมีอยู่

จิตท่านว่างใหมคะ..หรือยังไม่ว่างจริง
จิตท่านว่างจากกิเลส แต่ไม่ว่างจากสังขาร เพราะจิตท่านเป็นมหากิริยาจิต

แล้วที่เห็นท่านแสดงอารมณ์..มันเกิดขึ้นจากอะไร
อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับพระอรหันต์ เป็นมหากิริยาจิต หรือเป็นอัพยากตะ หรือเพียงสักแต่ว่ารู้เท่านั้น
จะไม่เป็นบุญหรือเป็นบาป เพราะจะไม่ก่อภพก็ชาติอีกต่อไป


.....................................................


tongue
ขอบคุณค่ะ
:b36: :b41: :b36: :b41:
:b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2015, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่จะเข้าสมาบัตินี้ได้ก็ผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระอนาคามีหรือเป็นพระอรหันต์
ที่ ชำนาญในสมาบัติทั้ง ๘ มาก่อน เท่านั้น บุคคลอื่นๆไม่อาจจะได้สมาบัตินี้ได้
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นิโรธสมาบัติ

ในสัญญาเวทยิตนิโรธ นั้น จิตและเจตสิกดับไปเลยชั่วคราว ลมหายใจก็ดับ เว้นกายไม่ดับ
ในช่วงเวลาที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่ ท่านที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่จึงมีร่างนิ่งๆเหมือนหัวตอ
และมีความมหัศจรรย์มาก คือไม่มีอะไรมาทำอันตรายได้เลย

หลังจากออกจากสมาบัติมาแล้ว หากบุคคลอื่นได้บำเพ็ญบุญกุศลกับท่านเป็นคนแรก
เช่นถวายอาหารให้ท่านแม้สักนิดหน่อย ถ้าท่านที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัตินี้
ได้ฉันภัตตาหารนี้แล้ว อานิสงส์จะส่งผลแก่ผู้ถวายในเวลาไม่เกิน ๗ วัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2015, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ธรรมดาจิตจะเกิดขึ้นได้ต้องมีอารมณ์จึงจะเกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าในขณะที่หลับ
จิตก็ยังต้องมีอารมณ์อยู่ ที่เรียกว่าภวังคจิต (ยกเว้นผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติ)
ในหลาย ๆ แห่งในหลายๆ ที่ได้อธิบายไว้ว่าควรทำให้จิตว่าง :b35: แต่ก็ดูเหมือนว่าพอเป็นที่เข้าใจกันได้
:b28: แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเข้าใจกันได้อย่างไร กลัวแต่ว่าก็เข้าใจตามที่พูดตามๆกันมาเท่านั้น
โดยขาดหลักความจริง

ใครเข้าใจเรื่องจิตว่างอย่างไร :b20: หรือทำให้จิตว่างอย่างไร :b33: ขอได้ช่วยอธิบายให้รู้บ้าง



จิตมีพลัง กับจิตไม่มีพลัง เพราะสมาธิและสติ

ส่วนจิตว่างนั้น คงจะว่างจากการปรุงแต่งธรรม แต่รู้

ควรทำจิตให้ว่าง เป็นคำพูดรวมเอาสังขารขันธ์เข้าไปด้วย คือควรตั้งสติและไม่ปรุงแต่งธรรมตามอำนาจกิเลส

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2015, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
...จิตว่างเป็นอารมณ์เดียว...โดยสติสัมปชัญญะรู้อารมณ์เดียวนั้นนิ่งสงบไม่เกิดตัณหา...
...โดยการปลีกวิเวกเป็นไปเองโดยลำพังของจิต...ถึงแม้จะอยู่กับผู้คนมากมายก็ว่างๆ...
...เป็นลักษณะที่จิตรวมเป็นสมาธิดิ่งลงในอารมณ์เดียวไม่วุ่นวาย โปร่ง โล่ง เบา สบาย...
...ปุถุชนก็สามารถเข้าถึงสภาวะนี้ได้...เรียกว่าสภาวะนิพพานชั่วคราว...ข้าพเจ้าเป็นบ่อยค่ะ...
...เป็นขณะตื่นค่ะ...ไม่เกิดขณะหลับ...เพราะรู้ตัวเรียกชัดๆก็คือสันโดษท่ามกลางความวุ่นวาย...
...ซึ่งจะเป็นสภาวะที่แตกต่างจากจิตว่างขณะเข้าฌานเพราะขณะนั้นไม่รู้อนิจัง ทุกขัง อนัตตาค่ะ...
:b16: :b8:
:b44:

...นิ่งสงบหมายถึงจิตไม่คิดฟุ้งซ่าน...เป็นกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ จิตเป็นทั้งสมาธิ+วิปัสสนาพร้อมกัน...
...รู้เหตุของทุกข์...ไม่สร้างเหตุให้เกิดทุกข์คือดับสมุทัยได้ชั่วคราว...รู้ว่างๆอยู่คือกิเลสไม่กวนใจ...
...การเจริญทั้งรูปฌานและอรูปฌาน...ไม่สามารถเกิดจิตว่างแบบพระอรหันต์ได้เพราะยังไม่ดับสมุทัย...
:b44: :b44:
:b40:

...สภาวะที่รู้แจ้งอารมณ์ที่จิตรู้ความสงบตั้งมั่นเป็นกลางๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์...
...จิตเบาสบาย รู้อารมณ์เดียว ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ว่างๆอยู่...
...เป็นกลางๆ ขณะนั้นไม่มีตัณหา สำหรับปุถุชนเรียกว่า กิเลสหมอบ...
...แต่สำหรับพระอรหันต์ท่านดับกิเลสหมดก็คือ...ถึงสอุปาทิเสสนิพพานอันเป็น...
...การดับสมุทัยคือดับเหตุให้เกิดภพชาติได้ตั้งแต่ยังดำรงธาตุขันธ์ตอนที่ยังมีชีวิต...
...และเมื่อดับขันธ์ละสังขารก็เข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน...ไม่กลับมาเกิดอีกนิรันดร...
...ความหมายของธาตุขันธ์พระอรหันต์...แปลว่าดับกิเลสและว่างเปล่าจากตัวตนค่ะ...
...ผลที่ได้จากการปฏิบัติย่อมเกิดปัญญารู้ที่ใจ...การศึกษาพระธรรมทำให้เพิ่มศรัทธาที่มั่นคง...
:b44: :b44:
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2015, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...ข้าพเจ้าอ่านแล้วรู้สึกซาบซึ้งใจมากที่สุดค่ะ...คล้ายๆ...ชั่วฟ้าแลบ...ชั่วงูแลบลิ้น...
onion
...มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาจึงประเสริฐ...
...รูป.........อุปมาด้วยฟองน้ำ...
...เวทนา.....อุปมาด้วยต่อมน้ำ...
...สัญญา.....อุปมาด้วยพะยัพแดด...
...สังขาร.....อุปมาด้วยต้นกล้วย...
...วิญญาณ...อุปมาด้วยมายากล...
...เบญจขันธ์ ย่อมปรากฎ เป็นของว่าง เป็นของเปล่า...
Kiss
...การฟังธรรมสำคัญที่สุดค่ะ...หลักใจที่ข้าพเจ้าฟังคือวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนวัดป่าบ้านตาดค่ะ...
...การฟังให้จิตอยู่กับตัว...ท่องพุทโธ...ฟังเสียงธรรมไม่ต้องกังวลใจว่าจะต้องจดจำเนื้อความที่ได้ยิน...
...เป็นการหางานให้จิตทำเมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่าน...เรื่องที่จะไม่เข้าใจเนิ้อความที่ได้ยินไม่มี...จิตจะระลึกได้...
...แม้จะหลับตาหริอไม่หลับตาจิตก็เข้าถึงความสงบได้...แต่การหลับตาจะทำให้จิตได้พักด้านปัญญา...
...ประสบการณ์ที่ได้แรกๆข้าพเจ้าไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก...พอได้ผลจึงเริ่มหาทางรู้ว่าผลที่เกิดคืออะไร...
...พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้...รู้ชื่อที่เรียกแตกต่างสิ้นเชิงกับรู้สภาวะธรรมที่เกิดคือรู้ชื่อทีหลังได้...
...ไม่สำคัญว่าต้องอ่านพระไตรปิฎกแล้วจำคำในพระไตรปิฎกได้ทั้งเล่ม...สำคัญที่จิตผู้รู้เป็นปัจจัตตัง...
...จิตไม่มีเพศ...ไม่มีวัย...พุทธบริษัทสี่...เมื่อเข้าถึงความจริงย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในธรรมนั้น...
...การที่พระพุทธเจ้าไปเทศนาธรรมโปรดพระมารดาที่ธรรมสภาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงนั้นทรงแสดงไว้ว่า...
...ท้าวสักกะเทวราชได้ไปอัญเชิญพระมารดาของพระพุทธเจ้า...ที่เสวยชาติเป็นเทพบุตรสันดุสิตลงมา...
...การนั่งสมาธิหลับตา...จะทำให้รู้ขั้นสมาธิ...รู้ฌานจิตที่ไม่เกิดความทุกข์เลยทำให้ติดการนั่งสมาธิได้...
...การทำสมาธิโดยไม่หลับตา...จะทำให้เกิดปัญญาเข้าใจธรรมที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ดีกว่า...
...พระอรหันต์สุขวิปัสโก...บรรลุธรรมด้วยปัญญา...แม้จะยังไม่บรรลุฌานสมาบัติแต่มาฝึกภายหลังได้ค่ะ...
:b12: :b6:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2015, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...หลังจากที่ได้ฟังธรรมขององค์พระหลวงตามหาบัว5ปี...ถึงข้าพเจ้ายังไม่ลึกซึ้งในธรรมของพระพุทธเจ้านัก...
...ต่อเมื่อได้ฟังธรรมจากการดูคลิปวิดีโอรายการบ้านธัมมะ...เมื่อแรกเริ่มอยู่ประมาณ 1 เดือน...
...ข้าพเจ้าสรุปความคิดได้อย่างนี้ค่ะ...พระพุทธเจ้าสอนให้มนุษย์ทุกคนรู้ว่า...จิตท่องเที่ยวผ่านตา...
...เหมือนการฉายภาพยนตร์ให้ตนเองดู...ทุกอย่างเสมือนจริง...แต่จริงๆคือหลอกให้มีส่วนร่วมทุกอย่าง...
...เพราะจิตท่องเที่ยวทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...เป็นแต่เพียงจิตท่องเที่ยวดวงเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย...
...ทำอยู่ 2 อย่างคือคิดดีกับคิดไม่ดี...แล้วก็เอาไปได้แค่ความคิด...ทุกคนต่างสร้างหนังให้ตัวเองดูค่ะ...
...จิตแค่เคลื่อนขึ้นลงสูง-ต่ำตามกรรม...แล้วก็ได้ไปเสวยกรรมตามภพภูมิที่จิตแต่ละดวงทำเอาไว้...
...พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้มาบอกเท่านั้น...ที่เหลือขึ้นอยู่กับปัญญาของจิตแต่ละดวงเองที่จะทำตาม...
:b20: :b20:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2015, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...มีอีกอย่างที่สำคัญของภาพยนตร์ที่แต่ละคนสร้างนะคร๊าบบบบ...
...คือไม่ดูให้รู้เท่าทันเฉยๆค่ะ...แต่เป็นการร่วมแสดงลงมือลงไม้ด้วย...
:b32: :b32:
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2015, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...ขออนุญาตโพสต์คลิปรายการบ้านธัมมะที่แสดงถึงอุปาทานขันธ์...
https://www.youtube.com/watch?v=PU-GAcDdD6Y
:b20: :b20:
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2015, 21:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้บรรยาย..มีนามว่าอย่างไรครับ...เนี้ย
:b10:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร