ความคิดว่าต้องย้ายเมืองหลวง..

เป็นความรู้จาก..ความคิดวิชาการ

หรือว่า..ความรู้จากญานวิถี

http://www.oknation.net/blog/nangrong/2 ... 17/entry-4



แล้ว...คุณคิดว่า...ควรย้ายนเมืองหลวง..หรือไม่?

http://www.paipibut.org/view.php?dataid=2717

15 ธค. ดร.อาจอง "ย้ำ" 20 ปีน้ำท่วมกรุงเทพฯ เสนอย้ายเมืองหลวงไปอีสาน

"ดร.อาจอง" นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ระบุอีก 20 ปี กรุงเทพฯ ภาคกลางตอนล่าง เสี่ยงเจอภัยพิบัติน้ำท่วมจมหายทั้งเมือง แนะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ทางอีสาน ชี้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส ทำสภาวะอากาศโลกแปรปรวน ส่วนกรมอุตุฯ แจงสามารถพยากรณ์เกิดพายุล่วงหน้าได้ 7 วัน พร้อม เตือนภัยและรับมือภัยพิบัติอยู่ตลอดเวลา

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี อดีตนักวิทยาศาสตร์ที่เคยทำงานร่วมกับองค์การนาซา สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เหตุการณ์น้ำท่วมในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย สาเหตุเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ปัจจุบันอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส อาจดูไม่มาก แต่ส่งผลกระทบมาก ประเทศที่ไม่เคยเกิดภัยธรรมชาติก็ยังได้รับผลกระทบ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้สภาวะอากาศแปรปรวน เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นอากาศที่ร้อนจะพุ่งขึ้นเป็นเกลียว โดยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้เกิดปรากฏการณ์เอลนินโญ่ และลานินญ่า

อดีตนักวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวต่อว่า นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าอีกประมาณ 50 ปี น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ แต่จากข้อมูลที่ตนมีคิดว่าประมาณ 20 ปีก็เป็นได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 6 เมตร วันนั้นกรุงเทพฯและเมืองในแถบภาคกลางตอนล่างคงจมอยู่ใต้น้ำ ทั้งนี้เรื่องน้ำจะท่วมกรุงเทพฯไม่ใช่เรื่องกะทันหัน สามารถเตรียมการรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายเมืองหลวงไปเป็นพื้นที่แถบอีสาน การสร้างเขื่อนป้องกันระดับน้ำทะเลสูง ตั้งแต่ อ.สัตหีบ ถึง อ.หัวหิน อย่างไรก็ตามนอกจากในส่วนของวิกฤติน้ำท่วมแล้ว ยังมีภัยพิบัติอื่น ๆ อีกที่ไทยต้องระวังด้วย

ด้าน ดร.วัฒนา กันบัว ผอ.ศูนย์อุตุนิยมวิทยาทะเล สำนักตรวจและเฝ้าระวังสภาวะอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า หากเปรียบเทียบเรื่องภัยพิบัติที่เกิดจากพายุในไทยกับของภูมิภาคอื่น ๆ พบว่าไทยมีภัยพิบัติที่เกิดจากพายุน้อยมาก ส่วนสตอมเซอจ ซึ่งเกิดจากความเร็วของพายุในทะเลจนทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดชายฝั่ง สร้างความเสียหายให้กับบริเวณชายหาดที่ไม่มีแนวกัน ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับชายหาดของไทย ที่ไม่มีภูเขากีดขวางเหมือนเป็นแนวกันคลื่นเหมือนกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามกรมอุตุนิยมวิทยา สามารถพยากรณ์อากาศได้ล่วงหน้าเป็นเวลา 7 วัน ว่าจะเกิดพายุและฝนตกในแถบมหาสมุทรใกล้เคียงประเทศไทยวันและเวลาใด พร้อมบอกถึงความเร็วของพายุได้ ส่วนเรื่องการเกิดสตอมเซอจ ก็มีความพร้อมและติดตามอยู่ตลอด

ขณะที่พระอาจารย์รัตน์ (รัตน์ รตนญาโณ) เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ผู้ศึกษาเรื่องกาแล็กซีทางช้างเผือก และแกนพลังงานโลก โดยเชื่อมโยงกับภัยพิบัติ กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลกระทบโดยตรงต่อโลกคือ กาแล็กซีทางช้างเผือก และแกนพลังงานโลก ซึ่งการเกิดขึ้นของสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันเกิดจากการที่คนในสมัยโบราณต้องการสื่อสารถึงคนในโลกปัจจุบัน ผ่านสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้รับรู้ถึงพลังงานที่มีอยู่ในจักรวาล โดยสื่อสารออกมาในรูปแบบสัญลักษณ์ ภาพในปฏิทินของชนเผ่ามายัน อนุสรณ์สถานสโตนเฮนจ์ ประเทศอังกฤษ และสฟิงซ์ ในประเทศอียิปต์ ฯลฯ

อนึ่งสำหรับงานสัมมนาเชิงวิชาการ “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” จะมีขึ้นในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ เวลา 08.30-17.00 น. ที่ห้องบัวหลวงแกรนด์รูม ชั้น 6 อาคาร ดร.สุข พุคยาภรณ์ มหาวิทยา ลัยศรีปทุม วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพฯ ขณะนี้จำนวนผู้สมัครเข้าร่วมสัมมนาครบตามจำนวนที่คณะผู้จัดงานกำหนดแล้ว จึงขออภัยสำหรับผู้ที่สนใจซึ่งไม่สามารถลงทะเบียนได้มา ณ โอกาสนี้ด้วย อย่างไรก็ตามสามารถรับชมการถ่ายทอดสดงานดังกล่าวได้ทาง www.palungjit.com.



วันนี้ไม่ย้ายพรุ่งนี้ก็ต้องย้าย

สื่อมะกันชี้กรุงเทพฯ จมลงทุกปี
โพสต์เมื่อ : 09 ก.ค. 2558, 11:55 น.
หมวดหมู่ : รอบโลก
โกลบอลโพสต์เผยบทความชี้ กรุงเทพฯจมลงทุกปีอย่างต่อเนื่อง ชี้อีก 30-50ปีเกิดน้ำท่วมใหญ่อีก ....

อ่านต่อได้ที่ :

http://m.posttoday.com/article/375164/11000

รอยเลื่อนในประเทศไทย



ดร.ก้องภพ อยู่เย็น นักวิทยาศาสตร์องค์การนาซ่า ระบุว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในโลก ส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ แต่สาเหตุสำคัญที่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง คือการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล โดยทุกครั้งที่มีการระเบิดบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ จะทำให้เกิดลมสุริยะพัดออกมาโดยรอบดวงอาทิตย์และเคลื่อนที่มาถึงโลก มีผลทำ ให้สนามแม่เหล็กของโลกถูกรบกวนจนแปรปรวน จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทั้งกระแสน้ำในมหาสมุทร และการก่อตัวของพายุอย่างฉับพลัน

ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว ลมสุริยะ จะใช้เวลาเดินทางมาถึงโลกภายใน 3-5 วัน ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์ จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่า หากเกิดลมสุริยะ ในโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน 1 วัน จากนั้นอีก 3 วันจะเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากขึ้น

สมมติฐานของ ดร.ก้องภพ เป็นเรื่องใหม่ แต่มีผลการทดลองหลายครั้งที่ยืนยันว่า ลมสุริยะมีผลทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นในโลกจริง ยกตัวอย่างเช่น กรณีน้ำท่วมประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา เกิดขึ้นหลังจากที่ดวงอาทิตย์ระเบิดเพียง 4 วัน หลังจากนั้น ฝนตกอย่างหนัก เช่นเดียวกับกรณีการเกิดพายุนาลแก พายุนกเต็น โรงไฟฟ้าในแคนาดาดับ ภูเขาไฟระเบิดในสเปน และแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น

ขณะที่ ดร.สมิทธ ธรรมสโรจ ประธานกรรมการมูลนิธิสภา เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมา การคาดการณ์ภัยพิบัติต่างๆคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงในโลกเท่านั้น แต่เมื่อนำข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์มาพิจารณาด้วย การคาดการณ์จึง แม่นยำขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล คาดการณ์ว่า กรุงเทพมหานคร จะเป็นหนึ่งในเมืองหลวงหลายแห่งในทวีปเอเชีย ที่จะได้รับผลกระทบจากการละลายของภูเขาน้ำแข็งมากที่สุด โดยภายใน 2-9 ปี น้ำจะท่วม กทม. และหลายจังหวัดในภาคกลางอย่างถาวร ระดับน้ำสูง 1-1.5 เมตร เนื่องจาก กทม.ตั้งอยู่บนดินเหลว และมีการทรุดตัวของแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ กทม.ยังอาจเกิดแผ่นดินไหว เพราะมีรอยเลื่อนถึง 13 รอย ในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ โดยเฉพาะรอยเลื่อนในจังหวัดกาญจนบุรี หากมีแผ่นดินไหวมากกว่า 7 ริกเตอร์ เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งตั้งทับรอยเลื่อนเหล่านี้จะแตก จนทำให้น้ำท่วมบริเวณใกล้เคียงสูงถึง 25 เมตร ภายในเวลา 5 ชั่วโมง

ข้อมูลเพิ่มเติม... รอยเลื่อนที่มีพลังในประเทศไทยไม่ได้มีเพียงแค่ 13 รอย เท่านั้น... จากข้อมูลของ อ. อดิศร ฟุ้งขจร พบว่าในประเทศไทยยังมีรอยเลื่อนอีกมากที่ยังมีพลัง สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้ครับ... "การตรวจสอบรอยเลื่อนที่ยังมีพลัง"


ขณะที่พื้นที่ภาคใต้ของไทย อาจเจอคลื่นสึนามิอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่ง อันดามันและฝั่งอ่าวไทย และจะรุนแรงยิ่งกว่าสึนามิเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เนื่องจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวมาจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ มีระยะเคลื่อน ที่ของคลื่นไม่ถึง 40 นาทีก็จะถึงชายฝั่งของไทย ทั้งนี้ การเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ ก็มีสาเหตุมาจากลมสุริยะ

ขอบคุณข้อมูลข่าวและวีดีโอ
http://www.oknation.net/blog/Joseph/2011/12/16/entry-1

โอ้ว....นอกประเด็นนิดนึง..แต่ฟังให้ดี...ว่า..มีกระแสไฟฟ้าระหว่างดวงอาทิตย์กับโลกและดวงดาวอื่นๆ...

โอ้ว...นักวิทยาศาสตร์พบแล้วรึเนี้ย...

กระแส.....กรรม

ทั้ง..กัมมะ..การกระทำ

และก็..เวรกรรม..

...ยังมีอย่างอื่นอีก...

ที่ยัง ไม่ไหวจะพบ ...

ไม่รู้นะครับ

ความเห็นผมนั้นคิดว่า จะเกิดความแห้งแล้งมากกว่า ในอนาคต ฝนจะตกน้อยลง น้ำค่อยๆเหือดแห้งหายไป แม้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาก็จะตื้นลงไปเรื่อยๆ

ผู้คนจะมีปัญหาเรื่องแย่งน้ำมากกว่าครับ

กรุงเทพแม้จะต่ำก็จริงแต่ถ้าน้ำไม่มี ก็ไม่จำเป็นต้องย้ายแล้วครับ