วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 04:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 404 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 27  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2015, 20:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ชอบตรง..ลุกเฉยเลย...นี้แหละ..


พูดบ้าง..ก็ดี :b3:
:b32: :b32:

จริงๆนะ...ขาขวามันขยับตั้งขึ้น มันรู้อยู่นะ อารมณ์เบาๆ
จนดันตัวขึ้นยืน...
"เอาแล้วสิ!!!!"............มันเพิ่งคิดได้เอาตอนนี้ :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2015, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พลาดอีกแล้ว
1เดือนที่ผ่านมา...เราทำอะไรนี่
ก็คิดว่ารู้บ้างแล้วนะ..........รู้..รู้..รู้......รู้บนความไม่รู้ :b9: :b9: หลงทางอยู่นั่นเอง
เรื่องง่ายๆ กลับทำเป็นเรื่องยาก
การรู้ตามสภาวะความเป็นจริง ในแบบที่เป็นอยู่
ทำบ้าง..ไม่ทำบ้าง........จากเอาแต่เคลิ้มเวลานั่ง......ก็เริ่มมีแต่สว่าง ไหลรื่น
:b14: แต่ติดกับ ความคิด......ที่จะพยายามพลิก...จะรู้อารมณ์เดียว
ทั้งที่ชิน..กับการปล่อยให้เป็นธรรมชาติ..และมันก็คอยจะเป็นอย่างนี้..มาทางนี้ตลอด
:b55: ทั้งเดือนพยายามจะปรับ..จะปรับ
ทั้งที่มันก็คอยแต่จะไปรู้..อัตโนมัติ.............ก็คอยแต่จะดึงไว้
:b33: และไอ้ที่พยายามจะดึงไว้..นี้โดยมากแพ้นะ..ก็ยังพยายามดึง :b34:
s002 จนเริ่มจะทำได้แล้ว...มันกลับรู้สึกว่าไม่ใช่
แม้ออกมาแล้ว..มันติดสงบ..สงบ...จนไม่อยากใช้ความคิดอะไร..ในวันนั้น
หรือพยายามคิด..มันก็เหมือนไม่รู้จะคิดอะไร
:b7: ไม่รู้ว่าเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า :b10: เพราะสัมผัสเพียงแค่ผิวเผิน...มันก็รู้สึกว่าไม่ใช่
Kiss วันนี้ฟังธรรม แล้วได้ยิน
ฌานสมาบัติ.......ฌานอริยมรรค
:b43: เอาแล้วไง ไม่เคยได้ยิน :b3:
และฟังดูว่าแบบแรก...จะดูมีปัญหานะ
ไอ้เราเป็นแบบที่2 อยู่แล้ว......ก็จะไปฝืนทำไม :b2:
s005 ฝืน...เพราะว่า....คิดว่าจะไปฌานสูงๆ...ไม่ได้
คือ ถึงจะไม่เคยได้ยิน2คำนี้
แต่จากการปฏิบัติด้วยตัวเอง...ก็พอรู้ ว่ามี2ทาง
จะเอาเร็วๆ....ก็เลยเลือกแบบแรก.......เพราะไม่เคยไปจนถึงที่สุด
และไม่รู้ด้วย...ว่าไปได้..ทางไหนบ้างอีก
:b3: :b43: :b44: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2015, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


การกำหนดรู้

ดูกรอัคคิเวสสนะ !
เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้
และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้
ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลายว่า


รูปไม่เที่ยง
เวทนาไม่เที่ยง
สัญญาไม่เที่ยง
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
วิญญาณไม่เที่ยง


รูปไม่ใช่ตน
เวทนาไม่ใช่ตน
สัญญาไม่ใช่ตน
สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตน
วิญญาณไม่ใช่ตน


สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ดังนี้


ดูกรอัคคิเวสสนะ !
เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้
และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้
ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลาย



ผลของการกำหนดรู้

ก. สัทธานุสารี

ภิกษุ ท .! จักษุ….โ ส ต ะ ….ฆ า น ะ ….ชิว ห า …ก า ย ะ …ม น ะ
เป็นสิ่งไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นปกติ มีความเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเป็นปกติ.

ภิกษุ ท.! บุคคลใด มีความเชื่อ น้อมจิตไป ในธรรม ๖ อย่างนี้ ด้วยอาการอย่างนี้ ;
บุคคลนี้เราเรียกว่าเป็น สัทธานุสารี

หยั่งลงสู่สัมมัตตนิยาม(ระบบแห่งความถูกต้อง)
หยั่งลงสู่สัปปุริสภูมิ (ภูมิแห่งสัตบุรุษ)
ล่วงพ้นบุถุชนภูมิ ไม่อาจที่จะกระทำ กรรม อันกระทำ แล้วจะเข้าถึงนรก กำเนิดดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย
และไม่ควรที่จะทำกาละก่อนแต่ที่จะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.







เมื่อไม่กำหนดรู้

[๓๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด

นิวรณ์ ๕ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.


[๓๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น
นี้เป็นอาหารให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.


[๓๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น
นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.



[๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร ความที่ใจหดหู่ มีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.




[๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบใจมีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น
นี้เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.



[๓๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.






[๓๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้
แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.





อาหารของโพชฌงค์ ๗

[๓๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้

แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.



[๓๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.




[๓๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและ
อกุศลที่มีโทษ และไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว มีอยู่ การกระทำให้มาก
ซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.





[๓๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความริเริ่ม ความพยายาม ความบากบั่น
มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านี้ นี้เป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.





[๓๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์
มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยัง
ไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.





[๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงบกาย ความสงบจิต
มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบนั้น นี้เป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.






[๓๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธินิมิต อัพยัคคนิมิต ๑- มีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.





[๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่ง
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหาร
ให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.





[๓๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะ
อาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2015, 12:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กราบขอบคุณค่ะพี่วลัยพร
:b8: :b8: :b8:

ไม่ว่าไอเดียจะเข้าใจหรือไม่...อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ
..ศึกษา..ศึกษาอยู่ค่ะ..
s007


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2015, 15:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้..สบาย
ปล่อย.....ก็ไม่มีอะไรมากวนใจอีก ไม่ต้องไปฝืนอะไร
จะฌานไหนยังไง..ไม่สนละ..มันเป็นทางไปแน่นอน..เอาทีละก้าวดีกว่า
ความรู้สึกมันเหมือนว่า.....จะจับแน่น..หรือจับแบบสบายๆแค่นั้น........คิดว่านะ :b9:
s005 เมื่อไม่พะวงในเรื่องใด..พุทโธ..ธัมโม..สังโฆ
ก่อนเริ่มจับลมหายใจเข้าออกตรงช่องจมูก..ไม่กี่รอบ :b19:
ก็เกิดความรู้สึกเหมือนลมมันย้ายมาวนๆอยู่ที่กลางอก...รู้ตรงนี้เด่นชัด
"เหมือนไม่มีลมเข้าเลย" :b14: ...ก็เพราะความคิดแบบนี้เหมือนลอยเข้ามาแว๊บๆ
มันเลยมีอาการเหมือนสูดลมเข้าเป็นพักๆ.......แต่พักแบบห่างๆเลยนะ
มันเหมือนแบบ..สูดเข้า..ฝืด~~..ชั่ววินาที....ก็มารู้อยู่ตรงอก...........
:b3: ก็แปลกนะ...ลมมันไม่ออก...แล้วอยู่ได้ไง :b5: :b5:..ลมยังไม่ดับ :b10: ......
แต่มันวนอยู่ในอก บวกกับเสียงหัวใจ..ตุ๊บๆๆ..ความรู้สึกวูบวับ..วูบวับแบบลมนะ..มันวนๆอยู่ข้างใน
ภายนอกรอบข้างยังเสียงดังฟังชัด..มีความรู้ตัวชัดเหมือนปกติเพิ่งนั่งหลับตาทุกอย่าง
: :b36: เพียงแต่มันมาชัดที่สุดตรงลมมันวนๆอยู่ตรงอกนี่แหละ
อุปสรรคคือ..มีความคิดนี่แหละ..ลอยเข้ามาเป็นพักๆ..จากที่คอยกังวลเหมือนตรวจสอบตัวเองแบบก่อนๆ
เป็นคอยบรรยายกำกับ..เหมือนจะให้จดจำ..บ้างก็เหมือนดึงให้ส่งออกนอก
เหมือนมันไหล..วืด..ออก..ก็วืด..กลับ..เหมือนมีสปริง :b32: :b32:
ก็จะอยู่ตรงจุดนี้เป็นหลักได้นานพอดู :b39: ....ก็แค่รู้..ง่ายๆ :b12: ไม่ต้องไปพยายามอะไร :b27: :b19:
มันมีอยู่เป็นช่วงๆนะ.......ที่รู้ๆไป...แล้วเหมือนมันจะแยกเป็นส่วนๆ
ก็ยังงง...เหมือนแยกลม,,ตัวรู้,,และผู้ดู :b34: :b34: ยังจับไม่ถูก..เอาไว้ก่อน.......
เวลามันเห็น...มันงงๆ...พองง...แล้วจะฟุ้ง...ก็เลยประคับประคองตรงจุดนี้ไปก่อน :b9: :b9:
แล้วมันก็เหมือนจะวนๆลงท้อง..ก็วนๆขึ้นมาอีก ขึ้น-ลงๆ
wink แต่พอรู้เพลิน..มันดับไปแฮะ
และเกิดขึ้นตรงหว่างคิ้วแทน...แสงสว่างจ้า....
แต่รู้ตรงกองลมชัดกว่า..แบบที่ก็ยังลมไม่เข้าไม่ออกนะ..วนๆตรงจุดนั้น..
มีพะงาบๆเกิดขึ้นแทรกเป็นพักๆเท่านั้น :b53:
Kiss แต่ :b32: :b32: มันเริ่มสนุก :b9: :b9: เหมือนมีแวบคิดนะ..ว่าอย่าเล่น :b12:
ก็ยังนะ :b9: เริ่มย้ายมันขึ้นบนหน้าผาก,,กลางศรีษะ,,กลางสมอง,,คอ......หลัง
ทีนี้จะลงเอวมั้ง..หาไม่เจอ..มันหาย :b34: :b34: หายไปพัก..พักหนึ่ง...
แล้วก็โผล่ตรงกลางอกเหมือนเดิม

มีต่อ :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2015, 19:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อกลับมารู้ลมวนๆตรงกลางอก...เมื่อนี้ความสงบมันรู้สึกเหมือนแน่นขึ้น
แต่รู้ได้ไม่นาน..กายเริ่มไหว..
นี่เลย..แบบนี้เลย..เป็นประจำ :b14: ตบท้าย
สะบัดซ้าย~ขวา~หน้า~หลัง ก้มๆเงยๆ

แบบนี้...ที่ชอบคิดว่าตัวเองฟุ้ง..ไปเรื่อย
:b46: เพราะมันมักจะเกิดพร้อมทุกข์เวทนาทางกาย

แบบนี้...ที่ไม่ชอบให้เกิดขึ้นเลย...เพราะดูเหมือนวุ่นวาย...มันทำอะไรของมัน...
:b46: ทั้งที่มันวุ่นวายเพียงกาย..แต่ใจสงบ

แบบนี้...ที่คิดว่าไม่ควรจะมี...เพราะคิดว่า...มันไม่สงบ
:b46: ทั้งที่คิดว่ามันเกิดขึ้น..พร้อมกับตัวรู้..ที่สงบ..แน่นขึ้นๆ

:b39: แต่แบบนี้แหละ..ที่ปล่อยให้มันเป็นไปจนถึงที่สุดทีไร
จะเกิดความหน่ายทางจิตที่สัมผัสได้
บางครั้งก็หน่าย..จนเกิดวางเฉย..นิ่งไปหมด
บางครั้งก็หน่าย..จนจิตมันพิจารณา..คิดดังๆ แบบอัตโนมัติ.."เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปๆๆๆๆๆๆๆ"ทำนองนี้
:b44: แล้วแบบนี้มันจะไม่ดีตรงไหน....คิดสิคิด..คิดๆๆๆ :b7:

:b41: วันนี้มันดึงกันอยู่..ระหว่างกายสะบัดไปมา
กับแสงสว่างจ้า...จ้าขึ้นเรื่อยๆ
บ้างรู้ที่กาย..นาน
บ้างอยู่ที่แสงจ้า..นาน(นิดหน่อย)
จนเกือบท้ายสุด
รู้ชัด...ว่ามันดึงจากกาย..จนขาด..
แสงสว่างสาดจ้าที่ตา..นิ่งงงงง
แต่แป๊บเดียว..เด้งกลับ
มันเบา...มัวเพลิน
จนวูบลงมารู้ที่เวทนา...ไม่ไหววว...ออกอีกจนได้

สรุปวันนี้...สบายๆ...แค่วันนี้
ก็ไม่รู้..ใครจะเป็นใหม..ออกท่าออกทางแบบนี้
เพราะมัวแต่คิดเอาเอง..มันแปลก..เลยมักฝืน
แต่เอาที่ว่า..กายเบา..จิตเบา..สว่าง..มีความรู้ตัวชัดมากขึ้นกว่าเดิม..ตัดสินวันนี้ไปก่อน
มันคงต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆอยู่ดี
..มั่นใจ..หากไม่ทิ้ง..ไม่ห่าง..ไม่หาย..ไปอีก.........ก็คงก้าวขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ต้องเหนื่อยมาเริ่มต้นใหม่อีกบ่อยๆ
:b54: ความรู้..ความเข้าใจ เปลี่ยนแปลงใหม่ได้ทุกวัน :b23: :b9:

:b55: กายที่มันไหว...เพราะมันพยายามดิ้นรน....หนีทุกขเวทนา
มันหาทางออก..ทางขึ้นไปรับ..สุขเวทนาที่มันคิดว่ารออยู่
:b49: การมีร่างกาย..นี้เป็นทุกข์
:b55: การส่งจิตออกนอก..เป็นทุกข์...ต้องระวังมากๆเลย

การดำเนินจิตแบบนี้..เวลาทำสมาธิ
แปลกว่า..เวลาออกจากการนั่ง..จะมีอาการ
เหมือนไฟช็อต..เป็นจุดๆ..กระจายไปทั่วร่างกาย เป็นบ่อยๆทั้งวัน
ยิ่งทำต่อเนื่อง...ยิ่งเกิดขึ้นแบบถี่ๆ แทบทุกเวลาเลย
มันจิ๊ดๆกระจายทั่วร่าง..แรงบ้าง..เบาบ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2015, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ idea
เมื่อรู้ลมหายใจเข้าออก ลมละเอียดแล้วจะย่อหรือหดลง เช่นรู้สีกลมมาหมุนวนที่น้าอก เมื่อลมละเอียดผู้ปฏิบัติจะพยายามรู้ลม ตรงนี้เป็นการใส่เจตนา จึงทำให้มีแรงผลักออก ลักษณะ คือ เกิดแรงดันภายในร่างกาย ทำให้เกิดการโยกหรือผลักไปมา ซึ่งอาการดังกล่าวผู้ปฏิบัติอาจไม่พีงประสงค์ เกิดปฏิฆะขึ้นแต่เมื่อทำใจให้เป็นธรรมชาติ จิตเกิดดับ ทำให้เกิดแสงสว่าง ซุึ่งเป็นผลจากการเกิดดับ และอาการกระตุกเบาๆ สปาร์ก เกิดขึ้นทั่วร่างกาย นั้นเป็นความเกิดดับ.ซึ่งจริงแล้วสิ่งนี้เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา แต่เพราะความเป็นก้อนแท่งของรูปปิดบังไว้ ขออนุโมทนาในความเพียร ซึ่งต่อไปผมจะแนะแนวทางให้ครับ :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2015, 22:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณ idea
เมื่อรู้ลมหายใจเข้าออก ลมละเอียดแล้วจะย่อหรือหดลง เช่นรู้สีกลมมาหมุนวนที่น้าอก เมื่อลมละเอียดผู้ปฏิบัติจะพยายามรู้ลม ตรงนี้เป็นการใส่เจตนา จึงทำให้มีแรงผลักออก ลักษณะ คือ เกิดแรงดันภายในร่างกาย ทำให้เกิดการโยกหรือผลักไปมา ซึ่งอาการดังกล่าวผู้ปฏิบัติอาจไม่พีงประสงค์ เกิดปฏิฆะขึ้นแต่เมื่อทำใจให้เป็นธรรมชาติ จิตเกิดดับ ทำให้เกิดแสงสว่าง ซุึ่งเป็นผลจากการเกิดดับ และอาการกระตุกเบาๆ สปาร์ก เกิดขึ้นทั่วร่างกาย นั้นเป็นความเกิดดับ.ซึ่งจริงแล้วสิ่งนี้เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา แต่เพราะความเป็นก้อนแท่งของรูปปิดบังไว้ ขออนุโมทนาในความเพียร ซึ่งต่อไปผมจะแนะแนวทางให้ครับ 


:b8: :b8: :b8:
ขอบคุณมากค่ะ..ยินดีรับคำแนะนำค่ะ
:b27: :b27: :b27:
แต่ไอเดีย..อาจจะเรียนรู้ช้าหรือเข้าใจยาก ไม่ว่ากันนะคะ :b3: :b3: :b9: :b9:

:b38: ไม่รู้จะเกี่ยวกันรึเปล่าค่ะ
บางที่..เวลาลม มันเหมือนวน คือเบาลง
จะรู้สึกเหมือนแยกออกมาจากตรงนั้น..เห็นมันเป็นเอง
ไม่รู้จะจับตรงไหน บางทีพยายามเข้าไปรู้..
รู้ว่าหายใจเข้าแต่มันออก...รู้ออกแต่มันเข้า
มันเป็นแบบนี้บ่อยๆ ค่ะช่วงนี้..วางใจไม่ค่อยถูก
มีบ้างที่ วางใจเฉย..เหมือนเห็นมันไหลเข้าไหลออก แต่เห็นได้แป๊ปเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2015, 01:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นผม

องค์ธรรมเกิดแล้วครับ

แล้วแต่วาสนาครับ

อนุโมทนา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2015, 13:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss 1เดือนกว่าๆที่ผ่านมา..ผลของการปฏิบัติ..ที่เห็นได้ชัดตอนนี้
ช่วงนี้..โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า มีทั้งเบา..ทั้งเหมือนจะหนัก..มาอยู่เรื่อยๆ
เมื่อตอนเริ่มๆปฏิบัติ..ก็คิดว่าเรามุ่งมั่น..จนลืมที่จะสนใจ
จนวันนี้..รู้สึกได้ว่า..มันไม่ค่อยสนใจจริงๆแหละ
วันๆมันเหมือนลงมารู้..ทุกขเวทนา เป็นพักๆ..แม้ในเวลาที่ใช้ชีวิตปกติ
เหมือน..จับแล้วปล่อย..จับแล้วปล่อย
แล้วก็หายเองด้วยนะ..บางทีเหมือนจะหนักๆ..ก็หายเอง..2-3วัน..
ไอ้ที่ปวดๆตามเส้น..บางทีต้องกินยาช่วยบรรเทา
แต่มันไม่มีความทรมาน..ก็ไม่รู้จะกินไปทำไม..และก็ไม่คิดด้วยมั้ง
จริงๆมันน่าจะเป็นการปรุงแต่งนะ..เมื่อรู้ละจบ..รู้ละจบ..ก็เลย....ใช้คำว่าไม่ค่อยสนใจ

:b44: แต่เวลาทำสมาธิ..ช่วงหลังๆไม่กี่ครั้งมานี้
ท้ายๆชม.
มันรู้สึก..ทุกข์..
มันทุกข์นะ....ทุกข์มาก
มันบอกไม่ถูก...ทุกข์เรื่องอะไร
แต่บอกได้ว่า..ทุกข์มากๆ คำว่า..บีบคั้น นี่มันตรงตัวนะ
มันทุกข์ซ้ำๆ..ลงตรงจุดไหนหนอ
เอาความรู้สึกไปอยู่ที่ขา..ที่กำลังปวดเหน็บ..มันก็เหมือนบอกว่าไม่ใช่
มันทุกข์..บีบคั้น..หดหู่..ตรงไหนหนอ
มีทุกข์แบบนี้ด้วยเหรอ...ทุกข์นี่..ไม่มีที่สุดจริงๆเหรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2015, 08:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เดี๋ยวนี้..จับลมหายใจเข้าออก แทบไม่ได้เลย
นอกจากหลับตาทันที..รู้สึกเหมือนไฟช๊อตจี้เป็นจุดๆกระจายไปทั้งร่างแล้ว
การรู้ลม..ตรงจมูก มันก็เหมือนมาวนๆอยู่ตรงอกบ้าง..
วนแบบเบาๆบ้าง....แบบยุ่งๆบ้าง(เหมือนลมพัดแรงๆ..วืดๆๆๆช่วงสั้นๆ)
การไปสูดลมจากจมูกเข้าแทรก..ยังมี..แต่ห่างๆมากขึ้น
:b55: แบบนี้รึเปล่า..ที่เรียกว่า..พิจารณากายในกาย..เพิ่งเข้าใจว่า..ทำไมกาย..ใน..กาย
เพราะมันคอยแต่จะรู้ข้างใน
รอบนี้ลองทำแบบรู้กว้างๆ...คือทั้งกาย
คือ..จากที่พยายามไปรู้ที่ลมวนๆตรงอก
ลมที่ว่านี้บอกก่อน..มันไม่เป็นสาย..มันไม่เข้าไม่ออก..มันเหมือนลมมันอยู่เป็นก้อน..
วนๆเหมือนถูกจำกัดอยู่จุดใดจุดหนึ่ง...ซึ่งส่วนมากตรงอก
เลยเหมือนแยกออกมา(ทำความรู้สึก)รู้โดยรวมลงไป...มันรู้สึกถึงเห็นภายในกายชัดทั้งกาย
แล้วมีลมวนๆอยู่ตรงอกอย่างนั้น..

สักพัก..ไอ้ลมวนๆ..มันเหมือนจะเบาลง ในกายทั้งกายมันโล่งๆ
แต่ทำไมความคิดมันยังเกิด..คิดอยู่เรื่องหนึ่งแต่มันปรุงต่อเนื่องเลยเป็นเรื่องเป็นราว..คลอเคลียกันไป
แต่ทำไม..มันคิดไป..แล้วรู้สึกสงบมากขึ้นนะ..คิดว่าเข้าใจไม่ผิดนะ

:b40: เคยรู้มาว่า...ถึงจุดหนึ่ง..หูดับ..กายดับ
เวลาถึงขั้นกายเบาโล่ง..เหมือนมีก็ไม่ใช่..ไม่มีก็ไม่ใช่
จึงจะคอยสอดส่องแบบว่า...จะรึยัง :b34: :b34: แบบนี้ทุกที :b9:
ก็รู้ว่าไม่ควรนะ..แต่บอกมันก็ไม่ฟัง :b32: :b32: :b9:

มารอบนี้..ก็ปล่อยมันไปเรื่อยๆ ความคิดมันหายไป..ไม่ทันรู้
มันนิ่งๆ..จะเคลิ้มก็ไม่ใช่..รู้ตัวก็ไม่ใช่..ไม่รู้ตัวก็ไม่ใช่
ไม่รู้จะใช้คำเรียกว่าอะไร..คงต้องศึกษาไปก่อน
เพราะขณะนั้น..มันเหมือนตัวรับรู้ไม่ชัดเจน..อธิบายยังไม่ได้

แต่..พอถึงจุดที่จิตมันถอยออก...ถึงรู้สึกได้..ว่าเหมือนจิตมันไปแนบสนิท..กับอะไรสักอย่างที่ยังไม่รู้จักนี่แหละ
แต่การถอยออกมามันชัดเจน..............ตอนรู้ตัว
มันสว่าง..สุข..แช่มชื่นใจ..ยินดีในใจ
พร้อมๆกับได้ยินเสียงรอบข้าง..และรู้สึกถึงทั้งกายทั้งกาย
คงใช้เวลาไม่นานหรอก..ตรงจุดนั้น

จริงๆ...แบบนี้เป็นมาหลายครั้งอยู่...แต่น่าจะแบบชั่วแว๊บ
ก็ไม่แน่ใจว่าอันเดียวกันรึเปล่า...แต่ทุกที..นึกว่าเราเคลิ้มหลับ..ทั้งที่ไม่ได้ง่วงอะไร


แก้ไขล่าสุดโดย idea เมื่อ 15 ก.ค. 2015, 11:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2015, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
เดี๋ยวนี้..จับลมหายใจเข้าออก แทบไม่ได้เลย
นอกจากหลับตาทันที..รู้สึกเหมือนไฟช๊อตจี้เป็นจุดๆกระจายไปทั้งร่างแล้ว
การรู้ลม..ตรงจมูก มันก็เหมือนมาวนๆอยู่ตรงอกบ้าง..
วนแบบเบาๆบ้าง....แบบยุ่งๆบ้าง(เหมือนลมพัดแรงๆ..วืดๆๆๆช่วงสั้นๆ)
การไปสูดลมจากจมูกเข้าแทรก..ยังมี..แต่ห่างๆมากขึ้น
:b55: แบบนี้รึเปล่า..ที่เรียกว่า..พิจารณากายในกาย..เพิ่งเข้าใจว่า..ทำไมกาย..ใน..กาย
เพราะมันคอยแต่จะรู้ข้างใน
รอบนี้ลองทำแบบรู้กว้างๆ...คือทั้งกาย
ไอ้ลมวนๆ..มันเหมือนจะเบาลง ในกายมันโล่งๆ
แต่ทำไมความคิดมันยังเกิด..คิดอยู่เรื่องหนึ่งแต่มันปรุงต่อเนื่องเลยเป็นเรื่องเป็นราว..คลอเคลียกันไป
แต่ทำไม..มันคิดไป..แล้วรู้สึกสงบมากขึ้นนะ..คิดว่าเข้าใจไม่ผิดนะ

:b40: เคยรู้มาว่า...ถึงจุดหนึ่ง..หูดับ..กายดับ
เวลาถึงขั้นกายเบาโล่ง..เหมือนมีก็ไม่ใช่..ไม่มีก็ไม่ใช่
จึงจะคอยสอดส่องแบบว่า...จะรึยัง :b34: :b34: แบบนี้ทุกที :b9:
ก็รู้ว่าไม่ควรนะ..แต่บอกมันก็ไม่ฟัง :b32: :b32: :b9:

มารอบนี้..ก็ปล่อยมันไปเรื่อยๆ
พอถึงจุดที่จิตมันถอยออก...ถึงรู้สึกได้..ว่าเหมือนจิตมันไปแนบสนิท..กับอะไรสักอย่าง
การถอยออกมันชัดเจน..............
มันสว่าง..สุขใจ..ยินดีในใจ
พร้อมๆกับเสียงรอบข้าง..และกาย
คงใช้เวลาไม่นานหรอก..ตรงจุดนั้น

จริงๆ...แบบนี้เป็นมาหลายครั้งอยู่...แต่น่าจะแบบชั่วแว๊บ
ก็ไม่แน่ใจว่าอันเดียวกันรึเปล่า...แต่ทุกที..นึกว่าเราเคลิ้มหลับ..ทั้งที่ไม่ได้ง่วงอะไร


การปฎิบัติของคุณ idea นั้นค่อนข้างจะเหมือน " ลูกผสม "

คือเนื่องจากว่าคุณ idea ไม่ได้ใช้พระไตรลักษณ์อธิบายธรรม หรือ ขันธ์ 5 ที่เป็นบัญญัติ อาจจะเนื่องด้วยไม่ศึกษาบัญญัติ ไม่จำแนก ก็เลยไม่สามารถจะอธิบายหรือพิจารณาตามได้ว่า อารมณ์เป็นอย่างไร ลงไตรลักษณ์หรือปล่าวก็บอกให้ไม่ได้ คำว่าลูกผสมคือ กำลังพูดสมาธิ หรือ กำลังพูดสภาวะธรรม กำลังพูดเรื่องจิต หรือกำลังพูดเรื่องสังขาร คือคนนอกไม่สามารถเข้าใจบัญญัติของคุณ idea ว่า จิต ในความหมายของคุณidea คืออะไร เพราะคุณidea ไม่ใด้ใช้ภาษาธรรมในการสื่อสาร จะบอกว่ารู้น้อยไม่ได้ครับ บัญญัติเรื่องจิต กาย สังขาร เวทนา สัญญา ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเข้าไปทำความเข้าใจ เพราะไม่อย่างนั้น คนที่อ่านจะไม่สามารถตีศัพท์ที่คุณ idea พูด ออกมา เช่น
อ้างคำพูด:
ลองทำแบบรู้กว้างๆ...คือทั้งกาย
ไอ้ลมวนๆ..มันเหมือนจะเบาลง ในกายมันโล่งๆ


คืออย่างไรครับ คำว่ากายของคุณ idea คืออะไร จะบอกว่าความรู้น้อย ไม่ค่อยได้ศึกษาคำศัพท์ มันสื่อสารแล้วคนอ่านจะเข้าใจไปคนละอย่าง อะไรคือกายที่คุณ idea กำลังพูดถึง ถ้าบอกว่าหน้าอก ก็บอกไปเลยครับว่าหน้าอก อก หรือ อะไรที่ลมหายใจแล่นผ่าน ยังจะเข้าใจได้ง่ายกว่าคำว่ากาย

เพราะศัพท์คำว่ากาย มีความหมายลึกซึ้ง เป็นภาษาธรรม ไม่ใช่จะใช้กายในการอธิบายปรากฎการของการปฎิบัติ คือ เข้าใจผิดเพี้ยนไม่ตรงกันนั่นเอง ฝากไว้ด้วยครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2015, 12:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: แก้ไขแล้วค่ะ คุณstudent
จะพิจารณาให้มากขึ้นค่ะ
อ้างคำพูด:
การปฎิบัติของคุณ idea นั้นค่อนข้างจะเหมือน " ลูกผสม "
คือเนื่องจากว่าคุณ idea ไม่ได้ใช้พระไตรลักษณ์อธิบายธรรม หรือ ขันธ์ 5 ที่เป็นบัญญัติ อาจจะเนื่องด้วยไม่ศึกษาบัญญัติ ไม่จำแนก ก็เลยไม่สามารถจะอธิบายหรือพิจารณาตามได้ว่า อารมณ์เป็นอย่างไร ลงไตรลักษณ์หรือปล่าวก็บอกให้ไม่ได้ คำว่าลูกผสมคือ กำลังพูดสมาธิ หรือ กำลังพูดสภาวะธรรม กำลังพูดเรื่องจิต หรือกำลังพูดเรื่องสังขาร คือคนนอกไม่สามารถเข้าใจบัญญัติของคุณ idea ว่า จิต ในความหมายของคุณidea คืออะไร เพราะคุณidea ไม่ใด้ใช้ภาษาธรรมในการสื่อสาร จะบอกว่ารู้น้อยไม่ได้ครับ บัญญัติเรื่องจิต กาย สังขาร เวทนา สัญญา ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเข้าไปทำความเข้าใจ เพราะไม่อย่างนั้น คนที่อ่านจะไม่สามารถตีศัพท์ที่คุณ idea พูด ออกมา เช่น


กำลังพูดถึงการทำสมาธิ..และพยายามศึกษาไปด้วยว่า..อะไรเป็นอะไร
ในระหว่างที่ทำ..จะเน้นเรียนรู้ไปตามความเป็นจริง..จะพยายามไม่เข้าไปกำกับ
นอกจากตอนจะไม่รู้ตัว..ว่าแค่รู้..หรือพยายามไปรู้..ตรงนี้ยังยากที่จะแยกอยู่ค่ะ
ไม่ได้เจาะจงไปว่า..ต้องหมายรู้ลงไป นี่อะไรๆ..เช่น ขันธ์5,,ทุกข์ หรืออะไร
หากมีความคิด..หรือพยายามคิด..ก็เหมือนจะพยายามรู้ว่ามันเป็นสภาวะนั้น
จะไม่ไปหมายมั่น..ว่าอะไรเป็นอะไร..หรือตามมันไปค่ะ..ว่าเป็นอย่างนั้น
มันชวนฟุ้งซ่าน..สำหรับไอเดียนะ :b9: :b9:

การที่จะยกธรรมมาพิจารณา..ระหว่างทำสมาธิ
ไอเดียจะปล่อยให้มันเป็นเอง..เกิดขึ้นเอง..
ถึงเวลามันจะผุดขึ้นมาแบบไม่ต้องไปกำกับ...แต่ตอนนี้..กำลังยังไม่พอมังคะ

เพราะแค่เคยเป็นอย่างนั้น..เลยพูดได้..แต่รู้มาแบบตื้นๆอยู่ค่ะ
อีกอย่างอะไรก็ไม่แน่นอน
ตอนนี้ฝึกไป..เหมือนเริ่มต้นใหม่..เหมือนคลำทางไป
ยังไงก็ขอบคุณในคอมเม้น รีบแก้ทันทีเลยค่ะ :b39:
:b29: :b29:
:b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2015, 08:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์ทรงสอนธรรมตามลำดับ เช่น มีสติสัมปชัญญะ สติ คือ การระลึกรู้ ชึ่งก็คือขณะรู้ลมหายใจแล้วเผลอไปคิดเรื่องอื่น เมื่อรู้ตัวว่าเผลอก็กลับมาที่ลม จะเห็นได้ว่า ตัวรู้จะรู้เป็นจุดๆไป จนกระทั่งรู้ถึงการเกิดดับที่เกิดเป็นจุดๆ ต่อมาเมื่ออินทรีย์แก่กล้าขึ้นความเกิดดับเริ่มกระจายตัว อย่างเช่นคุณ idea พบว่าเหมือนมีอะไรสปารค์ภายในตัว หลายๆแห่ง ซึ่งผู้ปฏิบัติจะต้องปรับจากสติที่รู้เป็นจุด มาเป็นสัมปชัญญะที่หมายถึงการรู้ตัวทั่วพร้อม คือการรู้รวมๆภายในทั้งตัว รู้ลักษณะการสปาร์คทั่วพร้อม นั่นหมายถึง การพัฒนาระดับนี้เราไม่ได้ดูลมแล้ว เราเปลี่ยนมารู้การสปาร์ค หรือถ้าละเอียดแล้วจะกลายเป็นกระแสสั่นสะเทือน ซึ่งเป็นความเกิดดับที่ละเอียด กระแสเหล่านี้ จะไปแตกโมเลกุลของเซลส์ให้คลายอิออนซึ่งก็คือพลังนิวรณ์ ให้สลายลง จนกลายเป็นความว่าง ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่จะมาจนมุมตรงนี้ เพราะไม่รู้หลักต่อไปในเรื่องความสัมพันธ์ (เหตุและผล)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2015, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...สัพเพธัมมา อนัตตา...สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ...ไม่ควรนึกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว...
...ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเพื่อให้เป็นไปตามที่ใจคิดอยากจะให้เป็น...
...ธรรมดาของสิ่งที่มีคือความจริงที่กำลังปรากฎ...กำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปทั้ง6ทาง...
...อายตนะ6ก็มีเดี๋ยวนี้เองเกิดและดับ...เมื่อไม่อยู่กับความจริงที่มีในปัจจุบัน...ก็คือหลงค่ะ...
:b1:
...ปกติในชีวิตประจำวันเป็นกุศลหรืออกุศลค่ะ...มีแค่2อย่างนี้...คือปกติเป็นไปในทาน ศีล ภาวนา ค่ะ...
...ธัมมะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...เริ่มที่เข้าใจจิต...ถ้ารู้ว่าจิตเป็นอกุศลเพราะหลงในตัณหา2อย่าง...
...คือ1.ภวตัณหา อยากได้สุขเกลียดทุกข์แต่ก็ไม่เคยพ้นไปจากทุกข์เพราะคิดปรุงไปเองตามความอยาก...
...อยากมี อยากเป็น อยากได้ ต้องการในสิ่งที่น่าพอใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ชอบพอใจ...
...2.วิภวตัณหา ไม่อยากได้ทุกข์ ไม่พอใจสิ่งที่เป็นที่เห็น ที่ได้แต่ก็พ้นไปไม่ได้ เช่น ไม่อยากเห็น...
...ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น คือได้ในสิ่งที่ไม่น่าพอใจแล้วอยากให้พ้นสภาพที่ไม่น่าพอใจนั้น...
:b12:
...ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ประชุมพร้อมให้เข้าใจได้ตลอดเวลา...แต่ทุกอย่างลวงให้คิดไปเอง...
...ถ้าไม่ศึกษาคำสอนให้เข้าใจก่อน...จะรู้ไหมคะว่าที่นั่งอยู่เฉยแล้วคิดเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ก็คือชั่วแล้วค่ะ...
...ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์....ละชั่วได้คือต้องเข้าใจความจริงว่าไม่มีเรา...
...ถ้าติดดีก็คิดว่ามีตัวตนจะไปทำ...ถ้ารู้ว่าแค่คิดก็ผิดแล้วยังจะคิดเองต่อไปไหมคะ...หลงสมมุติก็บาป...
...ดีคือเข้าใจเป็นปัญญาที่รู้ว่าขณะนี้เองทั้ง6ทางดับไม่เหลือ...ขณะใหม่หมด...พอไม่รู้ก็คือบาปแล้วค่ะ...
...ละชั่วไม่ได้เลย...เพราะเพลินไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เล่านั้นเล่านี้...โดยไม่เข้าใจธัมมะคือเดี๋ยวนี้เอง...
...ไม่ใช่มีตัวตนไปปฏิบัติธรรมเพื่อละชั่ว...ต้องทำความเห็นให้ตรงลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ...
...ถ้ายังคิดเอง...หลงเข้าใจว่าตนกำลังคิดถูกต้องเริ่มใหม่ค่ะ...เพราะที่มีทั้งหมดขณะนี้เองคือรักษาจิต...
...ไม่ให้เป็นไปตามกิเลสคือหลงไปตามความคิดที่เคยไม่รู้ที่เคยมีมา...คือคิดถึงสิ่งที่มีจริงๆเดี๋ยวนี้เองค่ะ...
:b8: :b8:
:b44:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 404 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 27  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร