วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 06:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2015, 17:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
deecup เขียน:
ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

รูปธรรม นามธรรม ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ

แบบนี้ จิตเรานี้ ก็ ไม่เที่ยง แต่คำว่าไม่เที่ยงนี้ มักใช้กับคำว่า เกิด และดับ เกิด และดับ

ผมเลยสงสัย แล้วจิตเรานี้มีวันดับ แล้วไม่เกิด อีกไหมครับ
:b8:

คำถามที่ตั้งขึ้นนั้นแม้จะไม่ถามเรื่องนิพพาน แต่มันก็เป็นเรื่องนิพพานเข้ามาเกี่ยวข้อง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน ที่หาข้อยุติไม่ได้ต่างฝ่ายต่างก็เชื่อมันในสิ่งที่ตนเชื่อ
บางคนก็ว่าจิตไม่เกิดไม่ดับตั้งอยู่แบบถาวรเพราะเป็นธาตุรู้ เพราะไม่ใช่ขันธ์ ๕
โดยยกหลักฐานมาอ้างอิง เพื่อให้เห็นคล้อยตามดังที่ตัวเองเข้าใจ บางคนเชื่อว่าจิตเกิดดับ
และดับถาวรไปด้วย เมื่อเข้าสู่ปรินิพพาน
และทั้งยกหลักบาลีในหลายสูตรมาแสดง
ถ้าเราจะคุยกันในเรื่องนี้ก็ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องจะต้องมาถกเถียงกัน และการถกเถียงกันนี้ก็ใช่ว่า
จะเพิ่งมีมาในสมัยหลังๆ มันมีมาตั้งแตในสมัยพุทธกาลโน้นที่หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่นาน


:b1: ...ท่านอโศกะ เห็นตามฝั่งแดง หรือ ฝั่งน้ำเงิน ล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2015, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ระหว่างรอท่านอโศกะ... :b32: :b32: :b32:

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=30&i=57

อรรถกถาอชิตมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๑
คัดมาบางส่วน... :b12:
อาจจะยาวอยู่สักนิด.... :b12: ....เน๊อะ

Quote Tipitaka:
.....

ในบทนั้น นิโรธมี ๒ อย่าง คือ อนุปาทินนกนิโรธ ๑ อุปาทินนกนิโรธ ๑.

จิต ๕ ดวง คือ จิตที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ๑ ดวง ย่อมดับไปด้วยโสดาปัตติมรรค. จิตเหล่านั้นให้รูป เกิดขึ้น. รูปนั้นเป็นรูปขันธ์ที่ไม่มีใจครอง.
จิตเหล่านั้นเป็นวิญญาณขันธ์. เวทนา สัญญา สังขารที่สัมปยุตกับวิญญาณขันธ์นั้นเป็นอรูปขันธ์ ๓.
ในอรูปขันธ์นั้น หากพระโสดาบันไม่ได้อบรมโสดาปัตติมรรคแล้วไซร้ จิต ๕ ดวงเหล่านั้นพึงถึงความแผ่ซ่านไปในอารมณ์ ๖.
แต่โสดาปัตติมรรคห้ามความเกิดแห่งความแผ่ซ่านไปของจิตเหล่านั้น กระทำการเพิกถอนซึ่งความเกิดอันไม่สมควรเสีย ด้วยอริยมรรค ชื่อว่าอนุปาทินนกนิโรธ ดับอนุปาทินนกะ.

จิต ๖ ดวงด้วยอำนาจแห่งกามราคะและพยาบาทอันหยาบ คือจิต ๔ ดวงที่ไม่ประกอบด้วยทิฏฐิ จิต ๒ ดวงที่สหรคตด้วยโทมนัส ย่อมดับด้วยสกทาคามิมรรค.

จิต ๖ ดวงเหล่านั้นด้วยอำนาจแห่งกามราคะและพยาบาทที่สหรคตด้วยส่วนที่ละเอียด (อณุสหคต) ย่อมดับด้วยอนาคามิมรรค.

อกุศลจิต ๕ ดวง คือจิต ๔ ดวงที่ไม่ประกอบด้วยทิฏฐิ และจิต ๑ ดวงที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ย่อมดับด้วยอรหัตมรรค.

ในจิตเหล่านั้น หากว่าพระอริยะเหล่านั้นไม่อบรมมรรคเหล่านั้นแล้วไซร้ จิตเหล่านั้นพึงถึงความแผ่ซ่านไปในอารมณ์ ๖.
อนึ่ง มรรคของพระอริยะเหล่านั้นห้ามความเกิดแห่งความแผ่ซ่านไป กระทำการถอนเสีย ซึ่งความที่จิตเหล่านั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยอริยมรรค ชื่อว่าอนุปาทินนกนิโรธ ดับอนุปาทินนกะ.

พึงทราบความดับอนุปาทินนกะอย่างนี้.

ก็หากว่าพระโสดาบันไม่ได้เป็นผู้อบรมโสดาปัตติมรรค ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกขันธ์พึงเป็นไปได้ในสังสารวัฏ มีเบื้องต้นเบื้องปลายอันบุคคลตามไปอยู่รู้ไม่ได้ เว้นภพ ๗.

เพราะเหตุไร. เพราะมีเหตุแห่งความเป็นไปของโสดาปัตติมรรคนั้น.
ก็มรรคนั้นเมื่อเกิดขึ้นย่อมถอนกิเลส ๕ อย่างเหล่านี้ได้ คือสังโยชน์ ๓ ทิฏฐานุสัย ๑ วิจิกิจฉานุสัย ๑.
ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกะของพระโสดาบัน จักเป็นไปในสังสารวัฏมีเบื้องต้นเบื้องปลายอันบุคคลตามไปอยู่รู้ไม่ได้ เว้นภพ ๗ ได้แต่ไหนในบัดนี้.

โสดาปัตติมรรคเมื่อกระทำอุปาทินนกะให้เป็นไปไม่ได้อย่างนี้ ชื่อว่าอุปาทินนกนิโรธ ดับอุปาทินนกะ.
หากว่า พระสกทาคามีไม่ได้เป็นผู้อบรมสกทาคามิมรรค ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกะพึงเป็นไปได้ในภพ ๕ เว้นภพ ๒.

เพราะเหตุไร. เพราะมีเหตุแห่งความเป็นไปของสกทาคามิมรรคนั้น.
มรรคนั้นเมื่อเกิดย่อมถอนกิเลส ๔ เหล่านี้ได้ คือกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์อย่างหยาบ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยอย่างหยาบ. ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกะของพระสกทาคามีจักเป็นไปในภพ ๕ เว้นภพ ๒ ได้แต่ไหนในบัดนี้. สกทาคามิมรรคเมื่อกระทำอุปาทินนกะให้เป็นไปไม่ได้อย่างนี้ ชื่อว่าอุปาทินนกนิโรธ ดับอุปาทินนกะ.

หากว่า พระอนาคามีไม่ได้เป็นผู้อบรมอนาคามิมรรค ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกะพึงเป็นไปในภพที่ ๒ เว้นภพที่ ๑.

เพราะเหตุไร. เพราะมีเหตุแห่งความเป็นไปของอนาคามิมรรคนั้น.
ก็มรรคนั้นเมื่อเกิดขึ้นย่อมถอนกิเลส ๔ อย่างเหล่านี้ได้ คือกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์อันสหรคตด้วยส่วนละเอียด กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยอันสหรคตด้วยส่วนละเอียด ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกะของพระอนาคามี จักเป็นไปในภพที่ ๒ เว้นภพที่ ๑ ได้แต่ไหนในบัดนี้ อนาคามิมรรคเมื่อกระทำให้อุปาทินนกะเป็นไปไม่ได้อย่างนี้ ชื่อว่า อุปาทินนกนิโรธ ดับอุปาทินนกะ.

หากว่า พระอรหันต์ไม่ได้อบรมอรหัตมรรค ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกะพึงเป็นไปในรูปภพ และอรูปภพได้.

เพราะเหตุไร. เพราะมีเหตุแห่งความเป็นไปของอรหัตมรรคนั้น.
อนึ่ง มรรคนั้นเมื่อเกิดย่อมถอนกิเลส ๘ อย่างเหล่านี้ได้ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย. ความเป็นไปแห่งอุปาทินนกะของพระขีณาสพ จักเป็นไปในภพใหม่ได้แต่ไหนในบัดนี้. อรหัตมรรคเมื่อกระทำอุปาทินนกะ ไม่ให้เป็นไปได้อย่างนี้ ชื่อว่าอุปาทินนกนิโรธ ดับอุปาทินนกะ.

อนึ่ง อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า โสดาปัตติมรรคย่อมดับอบายภพ. สกทาคามิมรรคย่อมดับได้ส่วนหนึ่งของสุคติกามภพ. อนาคามิมรรคย่อมดับกามภพได้. อรหัตมรรคย่อมดับรูปภพอรูปภพ แม้ในภพทั้งปวงได้.
พึงทราบอุปาทินนกนิโรธ การดับอุปาทินนกะด้วยประการฉะนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการดับอนุปาทินนกะด้วยบทนี้ว่า อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรเธน ด้วยการดับวิญญาณอันสัมปยุตด้วยอภิสังขาร. ทรงแสดงการดับอุปาทินนกะด้วยบทนี้ว่า เย อุปฺปชฺเชยฺยุ ํ นามญฺจ รูปญฺจ เอตฺเถเต นิรุชฺฌนฺติ ธรรมเหล่าใดคือนามและรูปพึงเกิดขึ้น ณ ที่ใด ธรรมเหล่านั้นย่อมดับไป ณ ที่นั้น.

ในบทเหล่านั้นบทว่า สตฺต ภเว ฐเปตฺวา เว้นภพ ๗ คือเว้นภพ ๗ ของสัตว์ผู้ท่องเที่ยวไปสู่กามภพจากกามภพ.
บทว่า อนมตคฺเค สํสาเร ในสังสารมีเบื้องต้นเบื้องปลาย อันบุคคลไปตามอยู่รู้ไม่ได้ คือธรรมทั้งหลายพึงเกิดขึ้นในสังสารวัฏที่พรรณนาไว้ว่า
ลำดับขันธ์ ธาตุ อายตนะทั้งหลาย อันเป็นไปไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่า สงสาร.

บทว่า นามญฺจ รูปญฺจ ได้แก่ ธรรมเหล่านี้คือนามอันได้แก่ขันธ์ ๔ มีการน้อมไปเป็นลักษณะ และรูปอันได้แก่ภูตรูปและอุปาทายรูปมีการสลายไปเป็นลักษณะ พึงเกิดขึ้น.
บทว่า เอตฺเถเต นิรุชฺฌนฺติ ธรรมเหล่านั้นย่อมดับไป ณ ที่นั้น คือธรรมอันได้แก่นามและรูปเหล่านี้ย่อมถึงการดับไป ด้วยอำนาจการเกิดอันไม่สมควรในโสดาปัตติมรรคนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในบทนี้ว่า สกทาคามิมคฺคญาเณน ด้วยสกทาคามิมรรคญาณเป็นต้น ชื่อว่าสกทาคามี เพราะมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้นด้วยอำนาจปฏิสนธิ. มรรคแห่งสกทาคามีนั้น ชื่อว่าสกทาคามิมรรค. ด้วยญาณอันประกอบด้วยมรรคนั้น.

บทว่า เทฺว ภเว ฐเปตฺวา เว้นภพ ๒ คือเว้นภพ ๒ อันเป็นกามธาตุ ด้วยอำนาจการปฏิสนธิ.
บทว่า ปญฺจสุ ภเวสุ คือ (เกิด) ในภพ ๕ อันเหลือจากภพ ๒ นั้น.
บทว่า เอตฺเถเต นิรุชฺฌนฺติ คือธรรมเหล่านี้ย่อมดับไป โดยนัยที่กล่าวแล้วด้วยสกทาคามิมรรค ณ ที่นี้.
บทว่า เอกํ ภวํ ฐเปตฺวา เว้นภพ ๑ คือเว้นภพ ๑ ด้วยรูปธาตุหรืออรูปธาตุ ด้วยอำนาจแห่งความอุกฤษฏ์.
บทว่า รูป ธาตุยา วา อรูปธาตุยา วา ได้แก่ รูปธาตุและอรูปธาตุในภพที่ ๒.
ในบทว่า นามญฺจ รูปญฺจ นี้ ในรูปภพได้แก่นามและรูป ในอรูปภพได้แก่นามเท่านั้น.
บทว่า เอตฺเถเต นิรุชฺฌนฺติ ได้แก่ ธรรมอันเป็นนามและรูปเหล่านี้ ย่อมดับไปโดยนัยดังกล่าวแล้ว ด้วยอรหัตมรรค ณ ที่นี้.

บทว่า อรหโต ได้แก่ พระขีณาสพได้ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสทั้งหลาย.
บทว่า อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ด้วยนิพพานธาตุอันเป็นอนุปาทิเสส คือนิพพานธาตุมี ๒ อย่างเป็นอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน.

ในบทนั้นชื่อว่าอุปาทิ เพราะยึดมั่น คือยึดถือมั่นว่า เรา ของเรา. บทนี้เป็นชื่อของขันธ์ ๕. อุปาทิอันเหลือชื่อว่าอุปาทิเสสะ. ชื่อว่าสอุปาทิเสสะ เพราะเป็นไปกับด้วยเบญจขันธ์ที่เหลืออยู่. ชื่อว่าอนุปาทิเสสะ เพราะไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่. อนุปาทิเสสะนี้ด้วยนิพพานธาตุอันเป็นอนุปาทิเสสะนั้น.

บทว่า นิพฺพายนฺตสฺส ได้แก่ ดับ คือเป็นไปไม่ได้ เหมือนไฟหมดเชื้อฉะนั้น.
บทว่า จริมวิญฺญาณสฺส นิโรเธน เพราะดับวิญญาณดวงสุดท้าย คือเพราะดับลมหายใจเข้าออกในเบญจขันธ์นี้.

จริมะ (สุดท้าย) มี ๓ คือ ภวจริมะ, ฌานจริมะ, จุติจริมะ.

ในบรรดาภพทั้งหลาย ลมหายใจเข้าออกย่อมเป็นไปในกามภพ ไม่เป็นไปในรูปภพและอรูปภพ ฉะนั้น ลมอัสสาสปัสสาสะนั้น จึงชื่อว่าภวจริมะ.
ในฌานทั้งหลาย ลมหายใจเข้าออกย่อมเป็นไปใน ๓ ฌานต้นไม่เป็นไปในฌานที่ ๔ เพราะฉะนั้น ลมอัสสาสปัสสาสะจึงชื่อว่าฌานจริมะ.
อนึ่ง ธรรมเหล่าใดเกิดพร้อมกับจิตที่ ๑๖ ก่อนหน้าจุติจิต ธรรมเหล่านั้นย่อมดับไปพร้อมกับจุติจิต นี้ชื่อว่า
จุติจริมะ.จุติจริมะนี้ประสงค์เอาว่า จริมะ ในที่นี้.

พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวกทั้งหลาย โดยที่สุดแม้แต่มดดำมดแดงทั้งหมด ย่อมกระทำกาละด้วยภวังคจิตนั่นแหละ อันเป็นอัพยากฤต เป็นทุกขสัจเหมือนกันหมด.
เพราะฉะนั้น คำว่า จริมวิญฺญาณสฺส นิโรเธน เพราะดับวิญญาณดวงสุดท้าย จึงหมายถึงเพราะดับจุติจิต.


พึงกำหนดเอาอรูปขันธ์ ๔ ด้วยบทเหล่านี้ คือ ปญฺญา จ สติ จ นามญฺจ ปัญญา สติและนาม. พึงกำหนดเอามหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ ด้วยบทนี้ว่า รูปญฺจ ดังนี้.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึงอุบายการดับนามรูปนั้น จึงตรัสว่า เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนี้จึงดับ ณ ที่นี้.

บทเหล่านั้น บทว่า วิญฺญาณํ ได้แก่ จริมวิญญาณบ้าง อภิสังขารวิญญาณบ้าง.

เพราะละและดับอภิสังขารวิญญาณ นามและรูปนี้จึงดับ ณ ที่นี้ ย่อมถึงความไม่มีบัญญัติดุจเปลวประทีปฉะนั้น.

เพราะความที่จริมวิญญาณเป็นปัจจัยแห่งความไม่เกิด นามและรูปจึงดับไปด้วยอำนาจความไม่เกิดขึ้น ด้วยความดับ คือความไม่เกิด (แห่งจริมวิญญาณ).

ก็ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศทุกขสัจด้วยบทนี้ว่า ทุกฺขมสฺส มหพฺภยํ ทุกข์เป็นภัยใหญ่หลวงของโลก.
ทรงประกาศสมุทยสัจด้วยบทนี้ว่า ยานิ โสตานิ กระแสเหล่าใด.
ทรงประกาศมรรคสัจด้วยบทนี้ว่า ปญฺญาเยเต ปิถิยฺยเร กระแสเหล่านี้อันปัญญาปิดกั้นไว้.
ทรงประกาศนิโรธสัจด้วยบทนี้ว่า อเสสํ อุปรุชฺฌติ ดับไม่มีเหลือ.


จัดว่าเป็นบทที่ภาษาที่ปรากฎ ค่อนข้าง ยาก...
แต่...ลองอ่านดูเพลิน ๆ

:b1:

ที่ยกมาเป็นบางส่วนของ อรรถกถา
ส่วนเนื้อความเต็ม http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... =170&Z=643

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2015, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
สาธุอนุโมทนากับลุงหมานครับ ที่มาบอกว่าเรื่องนี้ถกเถียงกันมานานมากแล้วและยังเป็นชนวนให้เกิดการแตกแยกกันจนเป็นนิกายต่างๆขึ้นมา
onion
เข้าถึงความเป็นโสดาบันให้ได้ ความสงสัยอันจบได้ยากนี้จะหมดไป ไร้กังวล
:b1:


สังคายนาครั้งแรก พระอรหันต์ยังเพียบนะ

ดังนั้น ยิ่งโสดา ความเห็นประมาณนี้ที่เห็นต่างกันยังสู่ความสงสัย น่าจะเพียบยิ่งกว่า

... :b14: ...นะ...

ทำไมมันจะกลับกันซะล่ะ

... :b10: :b10: :b10: ...

ไหง๋ โสดาในยุคนี้ จะทรงปัญญาเยี่ยมยุทธเป็นเลิศยิ่งกว่า อรหันต์ ในสมัยนั้นไปได้

... :b10: :b10: :b10: ...

ง่ะ.... :b10:

เป็น ตรรกะ ที่... :b10:

s004
เอก้อนจะเข้าใจเป็นไฉน สังคายนาคือการชำระบัญญัติที่ใช้เรียกปรมัตถ์ให้ตรงกัน พระอริยเจ้าทุกชั้นท่านไม่สงสัยในปรมัตถ์หรือไม่สงสัยในธรรมเพื่อความหลุดพ้นแล้วเพราะธรรมธาตุเขาเป็นสัจจะอยู่อย่างนั้นพิสูจน์ได้เสมอ

ที่สงสัยถกเถียงกันน่าจะเป็นเรื่องของบัญญัติที่ใช้และการตีความจากบัญญัติเพื่อจะให้ใกล้เคียงกับปรมัตถ์มากที่สุด

พระโสดาบันก็เป็นผู้ที่หมดความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ความหมายของหมดสงสัยในพระโสดาบันเป็นอย่างนี้

ส่วนเรื่องของบัญญัติเป็นเรื่องโลกแตก เมื่อเอามาถกเถียงกันจึงพาลทำให้แตกเป็นลัทธินิกายได้มากมายตามความเห็นพ้องต้องกันของแต่ละกลุ่ม


"จิตมีวันหายไปถาวร ไหมครับ"

แล้วท่านอโศกะว่าไงล่ะ กับคำถามนี้ ...

ขันธ์แปลว่าว่างเปล่าจากตัวตนค่ะ...ดับขันธ์ไม่ใช่ด้บจิต...
...แปลความหมายผิดก็คิดไม่ถูกค่ะ...เบญจขันธ์เป็นของเปล่า...
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2015, 23:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b22: :b22: :b22:

http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=24

:b1:

Quote Tipitaka:
นานาปัญหา
โดย คณะสหายธรรม

๒๔. พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ

ถาม ผมอยากทราบว่า ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ครับ ถ้าใช่อย่างนั้น เวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์ปรินิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ทั้ง ๕ ดับหมด ก็สูญหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนะสิครับ หรือความจริงเป็นอย่างไร

มีบางท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า จิตถูกหุ้มห่อด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เป็นชั้นที่ ๑ และถูกหุ้มห่อด้วยวิบากเป็นชั้นที่ ๒ เมื่อทำลายกรรมและวิบากหมดแล้ว บรรลุเป็นอรหันต์เหลือแค่ขันธ์ ๕ ทรงอยู่อย่างบริสุทธิ์ ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ดับหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ (เรียกว่า เกวล) ถึงบรมสันติสุขสถาพร ตลอดกาลนิรันดร

ขอคำอธิบายจากคณะสหายธรรมด้วยว่า ความจริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ในเรื่องนี้

ตอบ ก่อนอื่นขอเรียนว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะหลักธรรมขั้นสูง คือมรรคผลนิพพานนั้น บางนิกายก็มีความเห็นแตกต่างไปจากนิกายเถรวาทที่เรานับถือกันอยู่ คำถามที่คุณตั้งมานั้นจะเป็นคำสอนของผู้ใดนิกายไหนคณะไม่อาจทราบได้ แต่คำสอนในนิกายเถรวาทไม่ใช่เช่นนั้น เพราะฉะนั้น คำตอบที่จะตอบต่อไปนี้จึงเป็นคำตอบที่ได้มาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์สาวกและอรรถกถาในนิกายเถรวาทเท่านั้น

ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติชื่อของสภาพรู้ คือจิตไว้ถึง ๙ ชื่อดังนี้คือ
๑. จิต ๒. มนะ ๓. มานสะ
๔. หทยะ ๕. ปัณฑระ ๖. มนายตนะ
๗. มนินทรีย์ ๘. วิญญาณ ๙. วิญญาณขันธ์

ซึ่งจะใช้ชื่อใดก็หมายความถึงจิตทั้งสิ้น ในบรรดาขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณขันธ์ก็คือจิตนั่นเอง

ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ถ้าขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ดับไปแล้ว คือปรินิพพานแล้ว เหลือแต่จิตล้วนบริสุทธิ์ ก็แสดงว่าขันธ์ของพระอรหันต์ดับไปเพียง ๔ ขันธ์ วิญญาณขันธ์คือจิตมิได้ดับด้วยจึงยังคงเหลือบริสุทธิ์อยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จิตก็เที่ยง เพราะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ นี่ก็ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจึงถูกต้องไปไม่ได้

อนึ่ง ในพระอภิธรรมท่านแสดงว่านามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดพร้อมกัน ๔ ขันธ์ และเมื่อดับก็ดับไปพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ ไม่ใช่ ๓ ขันธ์ดับ วิญญาณขันธ์ไม่ดับ เมื่อรูปกายอันเป็นรูปขันธ์แตกดับ นามขันธ์ทั้ง ๔ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับด้วย และต้องแตกดับพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ด้วย ไม่ใช่ดับเพียง ๓ ขันธ์ เหลือวิญญาณขันธ์คือจิตไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธในนิกายเถรวาท

ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ

ดังที่ พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า

“ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ในเมื่อจิตก็คือวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ การจะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้

ใน พรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”

จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว

อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด

อีกอย่างหนึ่ง จุติของพระอรหันต์ท่านเรียกว่า จริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้นเรียกว่า จุติจิต เพราะจุติจิตดับแล้วมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ จิตก็เกิดดับติดต่อกันมาตลอดร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ คือจุติจิตดับแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ

ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละ จุติของท่านจึงชื่อว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายของการเกิดมาในสังสารวัฏอันยาวนานนั้น เพราะไม่ปฏิสนธิจิตสืบต่ออีก เหมือนในชาติที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องนี้และในนิกายเถรวาทนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2015, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...คำที่ใช้ต่างกรรมต่างวาระ...เช่นรูป...
...นึกถึงอะไรได้บ้าง...รูปธรรมคิดว่าจับแตะต้องสัมผัสได้...
...แล้วรูปของสี รูปของเสียงจับแตะต้องได้ไหมแต่เป็นรูปธรรม...
...แต่ละคำใช้ในสถานะแตกต่างอย่าง...จิต มโน ใจมีคำอื่นอีกจำไม่ได้...
...เพราะยังไม่รู้ความจริง...อ่านพระไตรปิฎกแล้วจะคิดว่าเข้าใจแล้วไม่ได้ค่ะ
:b8:
ไม่ได้ง่ายและคิดเองได้ค่ะ
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2015, 23:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ในยุคนี้...

มีใคร ที่ปฏิบัติแล้วมีทัศนะไปเห็นถึงเรื่องเกี่ยวกับ จริมจิต ได้บ้าง

:b14: :b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 00:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...คำที่ใช้ต่างกรรมต่างวาระ...เช่นรูป...
...นึกถึงอะไรได้บ้าง...รูปธรรมคิดว่าจับแตะต้องสัมผัสได้...
...แล้วรูปของสี รูปของเสียงจับแตะต้องได้ไหมแต่เป็นรูปธรรม...
...แต่ละคำใช้ในสถานะแตกต่างอย่าง...จิต มโน ใจมีคำอื่นอีกจำไม่ได้...
...เพราะยังไม่รู้ความจริง...อ่านพระไตรปิฎกแล้วจะคิดว่าเข้าใจแล้วไม่ได้ค่ะ
:b8:
ไม่ได้ง่ายและคิดเองได้ค่ะ
:b39:

...คือต้องพิจารณาให้ตรงและละเอียดถี่ถ้วนเพราะต้องตรงความจริง...
...อย่างคำว่าวิญญาณขันธ์ในขันธ์5นั้น สำหรับข้าพเจ้าแปลความว่า...
...เป็นการรับรู้ของจิตที่แสดงว่ามีจิตจริงที่เป็นสภาพรู้ี่ที่เป็นประธานมีอยู่...
...คือมีที่เป็นตัวจิตจริงๆที่เหนือกว่าวิญญาณค่ะ...
...ทรงแสดงว่าจิตเป็นจิตไม่ไช่จิตเป็นวิญญาณ...
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 01:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b22: :b22: :b22:

http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=24

:b1:

Quote Tipitaka:
นานาปัญหา
โดย คณะสหายธรรม

๒๔. พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ

ถาม ผมอยากทราบว่า ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ครับ ถ้าใช่อย่างนั้น เวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์ปรินิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ทั้ง ๕ ดับหมด ก็สูญหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนะสิครับ หรือความจริงเป็นอย่างไร

มีบางท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า จิตถูกหุ้มห่อด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เป็นชั้นที่ ๑ และถูกหุ้มห่อด้วยวิบากเป็นชั้นที่ ๒ เมื่อทำลายกรรมและวิบากหมดแล้ว บรรลุเป็นอรหันต์เหลือแค่ขันธ์ ๕ ทรงอยู่อย่างบริสุทธิ์ ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ดับหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ (เรียกว่า เกวล) ถึงบรมสันติสุขสถาพร ตลอดกาลนิรันดร

ขอคำอธิบายจากคณะสหายธรรมด้วยว่า ความจริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ในเรื่องนี้

ตอบ ก่อนอื่นขอเรียนว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะหลักธรรมขั้นสูง คือมรรคผลนิพพานนั้น บางนิกายก็มีความเห็นแตกต่างไปจากนิกายเถรวาทที่เรานับถือกันอยู่ คำถามที่คุณตั้งมานั้นจะเป็นคำสอนของผู้ใดนิกายไหนคณะไม่อาจทราบได้ แต่คำสอนในนิกายเถรวาทไม่ใช่เช่นนั้น เพราะฉะนั้น คำตอบที่จะตอบต่อไปนี้จึงเป็นคำตอบที่ได้มาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์สาวกและอรรถกถาในนิกายเถรวาทเท่านั้น

ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติชื่อของสภาพรู้ คือจิตไว้ถึง ๙ ชื่อดังนี้คือ
๑. จิต ๒. มนะ ๓. มานสะ
๔. หทยะ ๕. ปัณฑระ ๖. มนายตนะ
๗. มนินทรีย์ ๘. วิญญาณ ๙. วิญญาณขันธ์

ซึ่งจะใช้ชื่อใดก็หมายความถึงจิตทั้งสิ้น ในบรรดาขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณขันธ์ก็คือจิตนั่นเอง

ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ถ้าขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ดับไปแล้ว คือปรินิพพานแล้ว เหลือแต่จิตล้วนบริสุทธิ์ ก็แสดงว่าขันธ์ของพระอรหันต์ดับไปเพียง ๔ ขันธ์ วิญญาณขันธ์คือจิตมิได้ดับด้วยจึงยังคงเหลือบริสุทธิ์อยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จิตก็เที่ยง เพราะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ นี่ก็ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจึงถูกต้องไปไม่ได้

อนึ่ง ในพระอภิธรรมท่านแสดงว่านามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดพร้อมกัน ๔ ขันธ์ และเมื่อดับก็ดับไปพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ ไม่ใช่ ๓ ขันธ์ดับ วิญญาณขันธ์ไม่ดับ เมื่อรูปกายอันเป็นรูปขันธ์แตกดับ นามขันธ์ทั้ง ๔ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับด้วย และต้องแตกดับพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ด้วย ไม่ใช่ดับเพียง ๓ ขันธ์ เหลือวิญญาณขันธ์คือจิตไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธในนิกายเถรวาท

ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ

ดังที่ พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า

“ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ในเมื่อจิตก็คือวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ การจะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้

ใน พรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”

จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว

อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด

อีกอย่างหนึ่ง จุติของพระอรหันต์ท่านเรียกว่า จริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้นเรียกว่า จุติจิต เพราะจุติจิตดับแล้วมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ จิตก็เกิดดับติดต่อกันมาตลอดร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ คือจุติจิตดับแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ

ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละ จุติของท่านจึงชื่อว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายของการเกิดมาในสังสารวัฏอันยาวนานนั้น เพราะไม่ปฏิสนธิจิตสืบต่ออีก เหมือนในชาติที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องนี้และในนิกายเถรวาทนี้

...จิตเป็นตัวรู้...จิตคือธาตุรู้เป็นปรมัตถ์...ของแท้ดั้งเดิม...
...วิญญาณเป็นการรับทราบของจิตที่ไม่ใช่ของแท้...
:b20: :b20:
:b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 05:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
eragon_joe เขียน:
ในยุคนี้...

มีใคร ที่ปฏิบัติแล้วมีทัศนะไปเห็นถึงเรื่องเกี่ยวกับ จริมจิต ได้บ้าง

:b14: :b14: :b14:

จริมจิตน่าจะเป็นพุทธวิสัยค่ะ
คำว่าจิตเกิดและดับคือจิตที่เป็นขันธ์
จิตพระอรหันต์คือไม่เกิดไม่ดับเพราะรู้
ดับคือมีรู้ดับไม่รู้คือปัญญาหรือวิชชาดับอวิชชา
มีทุกอย่างครบหมดที่สูญสิ้นคืออวิชชาตายจากบ่แม่นจิตตายจากเน้อ...
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 06:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




เคล็ดลับวิปัสสนา_resize_resize.jpg
เคล็ดลับวิปัสสนา_resize_resize.jpg [ 45.38 KiB | เปิดดู 3024 ครั้ง ]
s004
"จิตมีวันหายไปถาวรไหมครับ"

ฟังเหตุผลต่อไปนี้แล้วตัดสินใจกันเอาเองนะครับ

"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ ผลก็ดับ"

นี่เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้

จิต เกิดจาก เหตุและปัจจัยทำปฏิกิริยาต่อกัน

ไม่มีเหตุ จิตก็ไม่เกิด
ไม่มีปัจจัย จิตก็ไม่เกิด
แก้เหตุง่ายกว่าแก้ปัจจัย


แก้เหตุคืออุปาทานความเห็นผิดและความยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกู(สักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิ)ง่ายกว่าแก้ปัจจัยคือผัสสะทั้งปวงที่มากระทบเหตุ

เอา ความเห็นผิด ว่าเป็นกูเป็นเราเป็นตัวเป็นตน
(สักกายทิฏฐิ)และ ความยึดผิด ว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นกูเป็นเรา(มานะทิฏฐิ) อันเป็นตัวเหตุ ต้นเหตุที่คอยกระทบกับปัจจัยให้เกิดจิตไม่รู้จบนี้ออกเสียได้ หมดเหตุแม้จะคงเหลือแต่ปัจจัย จิตดวงนั้นก็ไม่มีที่เกิด ดังนี้


กัลยาณชนรู้วิธีทำจิตให้หายไปได้ด้วยปริยัติหรือทฤษฏี

อริยะชนตั้งแต่ชั้นต้นไป รู้วิธีทำจิตให้หายไปได้ด้วยปริยัติหรือทฤษฏีและปฏิบัติ

พระอรหันตบุคคลสามารถสลายเหตุแห่งการเกิดจิตได้โดยสิ้นเชิงเมื่อถึงวันที่ขันธนิพพาน
:b11: :b47:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 06:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 07:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
eragon_joe เขียน:
ในยุคนี้...

มีใคร ที่ปฏิบัติแล้วมีทัศนะไปเห็นถึงเรื่องเกี่ยวกับ จริมจิต ได้บ้าง

:b14: :b14: :b14:

จริมจิตน่าจะเป็นพุทธวิสัยค่ะ
คำว่าจิตเกิดและดับคือจิตที่เป็นขันธ์
จิตพระอรหันต์คือไม่เกิดไม่ดับเพราะรู้
ดับคือมีรู้ดับไม่รู้คือปัญญาหรือวิชชาดับอวิชชา
มีทุกอย่างครบหมดที่สูญสิ้นคืออวิชชาตายจากบ่แม่นจิตตายจากเน้อ...
:b13:

:b12: :b12: :b13:
นี่เป็นฝ่ายที่กล่าวว่า "จิตเที่ยง" โดยไปอ้างเหตุผลว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่จิต
:b20:
อ้างคำพูด:
บ่แม่นจิตตายจากเน้อ...


สมัยเริ่มสังคายนาและต่อๆมาก็เป็นกันอย่างงี้หละครับ
เพราะฉนั้นเอาปัจจุบัน เอาเหตุเอาผลของคนปัจจุบัน เป็นเบื้องต้น แล้วเอาปัจจุบันธรรมจริงๆที่พิสูจน์รู้กันได้ เป็นเครื่องตัดสิน ดีไหมครับ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 10:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ...เป็นเรื่องยากเกินจะอธิบาย...

เอกอนก็ดันยังไม่ค่อยจะปฏิบัติได้เรื่องซะด้วย... :b9: :b9: :b9:

อิอิ ละไว้เพียงเท่านี้ดีกว่า ...

ขอผู้รู้จริงออกมาโชว์ฝีไม้ลายมือดีก่า... :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 10:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
tongue
eragon_joe เขียน:
ในยุคนี้...

มีใคร ที่ปฏิบัติแล้วมีทัศนะไปเห็นถึงเรื่องเกี่ยวกับ จริมจิต ได้บ้าง

:b14: :b14: :b14:

จริมจิตน่าจะเป็นพุทธวิสัยค่ะ
คำว่าจิตเกิดและดับคือจิตที่เป็นขันธ์
จิตพระอรหันต์คือไม่เกิดไม่ดับเพราะรู้
ดับคือมีรู้ดับไม่รู้คือปัญญาหรือวิชชาดับอวิชชา
มีทุกอย่างครบหมดที่สูญสิ้นคืออวิชชาตายจากบ่แม่นจิตตายจากเน้อ...
:b13:

:b12: :b12: :b13:
นี่เป็นฝ่ายที่กล่าวว่า "จิตเที่ยง" โดยไปอ้างเหตุผลว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่จิต
:b20:
อ้างคำพูด:
บ่แม่นจิตตายจากเน้อ...


สมัยเริ่มสังคายนาและต่อๆมาก็เป็นกันอย่างงี้หละครับ
เพราะฉนั้นเอาปัจจุบัน เอาเหตุเอาผลของคนปัจจุบัน เป็นเบื้องต้น แล้วเอาปัจจุบันธรรมจริงๆที่พิสูจน์รู้กันได้ เป็นเครื่องตัดสิน ดีไหมครับ
s004

...เอ๊าอธิบายสั้นไปก็คิดไปเอง...มันดึกแล้วเลยเขียนสั้นๆ...ละไว้ในฐานที่เข้าใจ...งั้นอ่านใหม่...
...คำไหนที่เห็นว่าจิตเที่ยงไม่มีคำอยู่ในประโยคไหนเลย...คิดเองมันผิด...ต้องถามคนเขียนห้ามเดา...
Onion_L
...เบญจขันธ์...ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ..ขันธ์คือว่าง=ทั้ง5มีอยู่แต่ไม่ใช่ตัวตน...
...รูป=รูปขันธ์(กาย)เป็นรูปธรรม(อาการ32)...กะ...นามขันธ์(จิต)เป็นนามธรรมมี4ขันธ์คือ...
...จิตในบัญญัติของเบญจขันธ์ประกอบด้วยเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์...
...จิตที่เกิด-ดับ(ปุถุชน)ไม่ใช่จิตล้วนๆที่เกิดดับเพราะแยกเป็น4อย่างที่รับรู้ผ่านทางอายตนะ6...
...ฉะนั้นวิญญาณขันธ์เป็นเพียง1ขันธ์จาก4ขันธ์ข้างต้น...ที่ลวงให้หลงในรูปธรรมและนามธรรม...
...จิตที่เกิดและดับก็คือจิตในเบญจขันธ์ของปุถุชนนั้นจึงมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดาตามการยึดมั่น...
...ส่วนจิตที่เที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ...ไม่ใช่จิตในเบญจขันธ์แต่เป็นจิตในจิต เจตสิก รูป นิพพานเจ้าค่ะ...
:b5: :b9:
:b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron