วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 06:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2015, 10:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2015, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตไหมครับ

ถ้ายังเห็นว่า ธาตุ ขันธ์ นั้นเป็นเราอยู่ก็ไม่ได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2015, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตไหมครับ

อยู่กับสิ่งที่มีอย่างรู้เท่าทันโดยไม่หวัง
ไม่คำนึงถึงอดีตอนาคตก็ยังมาไม่ถึง
ปลูกฝังความดีทุกประการลงสู่จิต
ทุกขณะในชีวิตประจำวันแค่เริ่ม
เข้าใจว่าเริ่มคิดดีสิ่งดีก็ตามมา
เมื่อเริ่มคิดไม่ดีก็หยุดสิ่งนั้น
ความไม่ดีก็จะมาไม่ถึง
onion
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ถึงความทุกข์
ทรงตรัสให้เข้าใจความจริงที่มีจริง
และสอนให้ทำความจริงให้แจ้ง
ต้องฉลาดรู้ว่าตนสะสมอะไร
เพื่อให้จิตยอมรับความจริง
ทำเท่าที่กำลังจะทำได้ค่ะ
การบังคับตนมากเกิน
จะทำให้เสียอิสระ
ที่จิตจะถอน
ตัวตนไป
:b4:
ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ทางสายกลางคือ
เข้าใจจิตตน
ไม่ผิวเผิน
แค่คิดว่า
ทำได้
:b20:
เพราะพระพุทธเจ้าก็ทำไปจากมนุษย์
เทพพรหมเทวาดิรัจฉานเปรตอสุรกาย
ไม่ว่าจะเป็นจิตดีหรือไม่ดีก็ทำไว้แล้ว
เลือกได้ว่าจะสะสมแบบไหนให้ถึง
แต่ต้องไม่ทำเพราะอยากเกินไป
ต้องเข้มแข็งกล้าหาญอดทน
เพียรพยายามไม่ย่อท้อค่ะ
เป็นกำลังใจให้สู้ไม่ถอย
แค่นอนหลับกิเลส
ก็ครองใจได้แล้ว
จึงต้องเดิน
เมื่อตื่น
huh
ยังมีลมหายใจอยู่ก็พอแล้วที่รู้ว่า
ยังสามารถรู้สิ่งที่พระองค์บอก
:b20: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2015, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
พระพุทธเจ้าสมณโคดมบำเพ็ญบารมี
รวมแล้ว20อสงไขยกะแสนมหากัปป์
ทรงเคยเกิดเป็นทุกอย่างมาแล้วค่ะ
จึงทรงแสดงนรกสวรรค์พรหมโลก
และนิพพานตามความเป็นจริงไว้
สะสมบุญบารมีในพุทธศาสนา
เพื่อให้เข้าใจไปเรื่อยๆค่ะ
ใช้ชีวิตในการให้ทาน
สม่ำเสมอเข้าวัด
ฟังธรรมบ้าง
ทุกข์คือ
ไม่รู้
:b20:
ถ้าเริ่มเข้าใจทุกข์ที่มีจนจิตน้อมไปเอง
ที่จะเริ่มละความติดข้องในชีวิตประจำวัน
เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมไม่ทรมาณตน
รักษาใจตนไม่ให้ตกไปสู่อบายภูมิโดยคิดอะไร
เห็นอะไรล้วนเป็นครูสอนเราเห็นคนทะเลาะกันก็ฟัง
แล้วก็ปล่อยวางต่างคนต่างเขาทำกรรมของตนของตน
ตัวเราต้องคิดพิจารณาด้วยปัญญาให้เข้าใจเลือกแต่ดีไปนะ
:b13:
:b16: :b12: :b16: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2015, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กรรมฐานสี่สิบเลือกอันไหนก็ได้ จะพิจารณาความตายก็ใช้ได้ค่ะ
http://www.watpanakamnoi.com/sound/disc-70/02.mp3
http://www.watpanakamnoi.com/
:b8:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2015, 13:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การบรรลุธรรมให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่เกี่ยวกับการแยก เห็นดินโดยความเป็นดิน เห็นน้ำโดยความเป็นน้ำ เห็นไฟโดยความเป็นไฟ เห็นลมโดยความเป็นลม เห็นต้นเหตุของสิ่งเหล่านั้น จะคิดดับๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2015, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตไหมครับ

อยู่กับสิ่งที่มีอย่างรู้เท่าทันโดยไม่หวัง
ไม่คำนึงถึงอดีตอนาคตก็ยังมาไม่ถึง
ปลูกฝังความดีทุกประการลงสู่จิต
ทุกขณะในชีวิตประจำวันแค่เริ่ม
เข้าใจว่าเริ่มคิดดีสิ่งดีก็ตามมา
เมื่อเริ่มคิดไม่ดีก็หยุดสิ่งนั้น
ความไม่ดีก็จะมาไม่ถึง
onion
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ถึงความทุกข์
ทรงตรัสให้เข้าใจความจริงที่มีจริง
และสอนให้ทำความจริงให้แจ้ง
ต้องฉลาดรู้ว่าตนสะสมอะไร
เพื่อให้จิตยอมรับความจริง
ทำเท่าที่กำลังจะทำได้ค่ะ
การบังคับตนมากเกิน
จะทำให้เสียอิสระ
ที่จิตจะถอน
ตัวตนไป
:b4:
ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ทางสายกลางคือ
เข้าใจจิตตน
ไม่ผิวเผิน
แค่คิดว่า
ทำได้
:b20:
เพราะพระพุทธเจ้าก็ทำไปจากมนุษย์
เทพพรหมเทวาดิรัจฉานเปรตอสุรกาย
ไม่ว่าจะเป็นจิตดีหรือไม่ดีก็ทำไว้แล้ว
เลือกได้ว่าจะสะสมแบบไหนให้ถึง
แต่ต้องไม่ทำเพราะอยากเกินไป
ต้องเข้มแข็งกล้าหาญอดทน
เพียรพยายามไม่ย่อท้อค่ะ
เป็นกำลังใจให้สู้ไม่ถอย
แค่นอนหลับกิเลส
ก็ครองใจได้แล้ว
จึงต้องเดิน
เมื่อตื่น
huh
ยังมีลมหายใจอยู่ก็พอแล้วที่รู้ว่า
ยังสามารถรู้สิ่งที่พระองค์บอก
:b20: :b20:
เข้าข่าย รู้ทั้งแต่มันอดไม่ได้นะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 16:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
การแยกธาตุขันธ์ได้เกี่ยวข้องกับการบรรลุธรรมไหมครับ ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตระไหมครับ

s004
แยกได้ก็ดี แยกไม่ไก็ไม่เป็นไรครับ

คุณเปลี่ยนชื่อใหม่ เคยได้ยินเรื่องพระปัญญาทึบ นั่งรูดผ้าขาว แล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ไหมครับแล้วหลังจากบรรลุธรรมท่านกลับได้ปฏิสัมภิทาและอภิญญาตามมาด้วยหมดกลายเป็นพระที่เฉลียวฉลาดสติปัญญาดีแสดงธรรมได้เป็นยอดและมีอภิญญาทำฤทธิ์ต่างๆได้ด้วย ถ้าไม่เคยได้ยินได้อ่านเดี๋ยวท่านผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฏกคงจะยกมาให้อ่านให้ดูนะครับ

พระที่ท่านรูดผ้าขาวนั้นท่านรูดผ้าไปไม่นานผ้าที่ท่านรูดนั้นกลับดำเปื้อนเศร้าหมองจนทำให้ท่านเกิดธรรมสังเวชว่ากายนี้สกปรกไม่น่าเอาไม่น่ายึดถือถูกกับผ้าขาวแล้วยังทำให้เปื้อนดำได้ จึงเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยึดมั่นและคลายความเห็นผิดในกาย อัตตา สักกายทิฏฐิขาดหายได้ความเป็นพระโสดาบันและบรรลุธรรมต่อไปเป็นขั้นๆจนถึงความเป็นพระอรหันต์

ประเด็นสำคัญไม่เกี่ยวกับการแยกธาตุขันธ์ มันไปสำคัญอยู่ที่ สติปัญญาสังเกตพิจารณากายจนได้เห็นความจริงคือความเป็นอสุภะไม่ดีไม่งามไม่น่ายึดถือของกายจนเบื่อหน่ายคลายจางละวางความเห็นผิดเป็นตัวตน
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2015, 01:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตไหมครับ

การแยกธาตุนั้นคือการมองความจริงตามสภาวะของมัน

อันมีเหตุปัจจัยเกื้อหนุน

เราไปจับก้อนหินที่ไม่มีชีวิต เจอแดดมันก็ร้อน เจอลมหนาวมันก็เย็น

การแยกธาตุขันธ์ คือการฝึกเข้าไปรู้และสังเกตุ

โดยเอาความจริงมาเป็นตัวพิจารณาด้วย คือพระไตรลักษณ์

นักวิทยาศาสตร์แยกธาตุต่างๆ แต่ทำไมไม่บรรลุ เพราะขาดการพิจารณาธรรมที่นำไปสู่ความดับไปของเหตุ

เพราะอวิชชาจึงมีสังขาร จนถึง ชาติชรามรณะ

เพราะไม่มีหัวใจของการน้อมลงคือพระอริยสัจ4

และไม่มีกิจที่เป็นแนวทางคือมรรค

ดังนั้น กิจที่มีแนวทางเราก็เพียรแล้ว

หัวใจของการน้อมลงเราก็ลำดับแล้ว

ปัญญาที่เกิดจากการวิเคราะห์ธรรมนั่นเองควรทำให้แจ้ง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ถือว่าใกล้เข้าไป..ถ้าแยกรูป แยก นาม ได้ พิจารณา รูป นาม สภาวะที่เกิดดับ ในปัจจุบันขณะ เพราะธรรมทั้งหลายที่สุดแล้ว ก็มารวมอยู่ กะ รูป กะนาม หรือ ขันธ์๕ หรือ ปรมัตถธรรม :b8: เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตไหมครับ




ผัสสะ


[๑๙๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในนิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะพระนามว่าวัปปะ เป็นสาวกของนิครนถ์ เสด็จเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ทรงอภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวว่า

ดูกรวัปปะ บุคคลในโลกนี้ พึงเป็นผู้สำรวมด้วยกาย สำรวมด้วยวาจา สำรวมด้วยใจ เขาฆ่าตัวนี้ กลับไปฆ่าตัวอื่น เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น ท่านเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาไปตามบุคคลในสัมปรายภพ หรือไม่

วัปปศากยราชตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นฐานะนั้น
บุคคลกระทำบาปกรรมไว้ในปางก่อนซึ่งยังให้ผลไม่หมด อาสวะทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพอันมีบาปกรรมนั้นเป็นเหตุ


ท่านพระมหาโมคคัลลานะสนทนากับวัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ ค้างอยู่เพียงนี้เท่านั้น ครั้งนั้นแล เวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลา ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า

ดูกรโมคคัลลานะ บัดนี้ เธอทั้งหลายประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร และเธอทั้งหลายพูดอะไรค้างกันไว้ในระหว่าง ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ได้กล่าวกะวัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ว่า

ดูกรวัปปะ บุคคลในโลกนี้ พึงเป็นผู้สำรวมด้วยกาย สำรวมด้วยวาจา สำรวมด้วยใจ เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น ท่านเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่

เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว วัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ ได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นฐานะนั้น บุคคลกระทำบาปกรรมไว้ในปางก่อนซึ่งยังให้ผลไม่หมด อาสวะทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพ อันมีบาปกรรมนั้นเป็นเหตุ

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์สนทนากับวัปปศากยราช สาวกของนิครนถ์ค้างอยู่เพียงนี้แล

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคก็เสด็จมาถึง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับวัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ว่า


ดูกรวัปปะ ถ้าท่านจะพึงยินยอมข้อที่ควรยินยอม และคัดค้านข้อที่ควรคัดค้านต่อเรา
และท่านไม่รู้ความแห่งภาษิตของเราข้อใด
ท่านพึงซักถามในข้อนั้นยิ่งขึ้นไปว่า ข้อนี้อย่างไร
ความแห่งภาษิตข้อนี้อย่างไร ดังนี้ไซร้
เราพึงสนทนากันในเรื่องนี้ได้

วัปปศากยราชกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักยินยอมข้อที่ควรยินยอมและจักคัดค้านข้อที่ควรคัดค้านต่อพระผู้มีพระภาค

อนึ่ง ข้าพระองค์ไม่รู้ความแห่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคข้อใด
ข้าพระองค์จักซักถามพระผู้มีพระภาคในข้อนั้นยิ่งขึ้นไปว่า
ข้อนี้อย่างไร ความแห่งภาษิตข้อนี้อย่างไร
ขอเราจงสนทนากันในเรื่องนี้เถิด พระเจ้าข้า ฯ






พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน
เกิดขึ้นเพราะการกระทำทางกายเป็นปัจจัย

เมื่อบุคคลงดเว้นจากการกระทำทางกายแล้ว
อาสวะเหล่านั้นที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา

เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไปด้วย
นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา
วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ
อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่ ฯ
ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า ฯ






พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้น
เพราะการกระทำทางวาจาเป็นปัจจัย

เมื่อบุคคลงดเว้นจากการกระทำทางวาจาแล้ว
อาสวะเหล่านั้นที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา

เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไปด้วย
นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ...
วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ
อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไปตามบุคคลใน สัมปรายภพนั้นหรือไม่ ฯ
ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า ฯ





พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน
เกิดขึ้นเพราะการกระทำทางใจเป็นปัจจัย

เมื่อบุคคลงดเว้นจาก การกระทำทางใจแล้ว
อาสวะที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา

เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไปด้วย
นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ...
วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ
อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่ ฯ
ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า ฯ






พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน
เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น
อาสวะที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน เหล่านั้นย่อมไม่มีแก่เขา

เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้วทำให้สิ้นไปด้วย
นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ ...
อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ
อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่ ฯ
ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า ฯ





พ. ดูกรวัปปะ เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมบรรลุธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิตย์ ๖ ประการ

เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู...สูดกลิ่นด้วยจมูก...ลิ้มรสด้วยลิ้น...ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ
มีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะอยู่

เธอเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อกายแตกสิ้นชีวิตไป
เวทนาทั้งปวงอันไม่น่าเพลิดเพลินในโลกนี้ จักเป็นของเย็น




ดูกรวัปปะ เงาปรากฏเพราะอาศัยต้นไม้
ครั้งนั้น บุรุษพึงถือจอบและตะกร้ามา เขาตัดต้นไม้นั้นที่โคน
ครั้นแล้ว ขุดคุ้ยเอารากขึ้น โดยที่สุดแม้เท่าต้นแฝกก็ไม่ให้เหลือ
เขาตัดผ่าต้นไม้นั้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระทำให้เป็นซีกๆ แล้วผึ่งลมและแดด
ครั้นผึ่งลมและแดดแห้งแล้วเผาไฟ กระทำให้เป็นขี้เถ้า
โปรยในที่มีลมพัดจัดหรือลอยในกระแสน้ำอันเชี่ยวในแม่น้ำ

เมื่อเป็นเช่นนั้น เงาที่ปรากฏเพราะอาศัยต้นไม้นั้น
มีรากขาดสูญ ประดุจตาลยอดด้วน
ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา แม้ฉันใด
ดูกรวัปปะ ฉันนั้นเหมือนกันแล




เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมได้บรรลุธรรมเป็นเครื่องอยู่เนืองนิตย์ ๖ ประการ
เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู...สูดกลิ่นด้วยจมูก...
ลิ้มรสด้วยลิ้น...ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...
รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะอยู่

เธอเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนา มีกายเป็นที่สุด
เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด


ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อกายแตกสิ้นชีวิตไป
เวทนาทั้งปวงอันไม่น่าเพลิดเพลินในโลกนี้ จักเป็นของเย็น ฯ



จบมหาวรรคที่ ๕
จบจตุตถปัณณาสก์










๒. ปัญจัตตยสูตร (๑๐๒)

[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง
เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้
ย่อมเข้าถึงปีติอันเกิดแต่วิเวกอยู่

ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต คือปีติเกิดแต่วิเวกอยู่
ปีติเกิดแต่วิเวกนั้นของเธอย่อมดับไปได้
เพราะปีติเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดโทมนัส
เพราะโทมนัสดับ ย่อมเกิดปีติเกิดแต่วิเวก
เปรียบเหมือนร่มเงาละที่แห่งใด แดดย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น
แดดละที่แห่งใด ร่มเงาก็ย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น ฉันใดฉันนั้นเหมือนกันแล

เพราะปีติเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดโทมนัส
เพราะโทมนัสดับ ย่อมเกิดปีติเกิดแต่วิเวก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี ฯ




ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้แล
เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง
เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้
ย่อมเข้าถึงปีติอันเกิดแต่วิเวกอยู่

ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึง สิ่งที่ดี ประณีต
คือปีติเกิดแต่วิเวกอยู่ ปีติเกิดแต่วิเวกนั้นของเธอ ย่อมดับไปได้
เพราะปีติเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดโทมนัส เพราะโทมนัสดับ ย่อมเกิดปีติเกิดแต่วิเวก

เรื่องปีติเกิดแต่วิเวกดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ
และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่
ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกจากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น
เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้ ฯ



[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง
เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต
และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้
และเพราะก้าวล่วงปีติ เกิดแต่วิเวกได้
ย่อมเข้าถึงสุขเสมือนปราศจากอามิสอยู่

ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต คือนิรามิสสุขอยู่
สุขเสมือนปราศจากอามิสนั้นของเธอย่อมดับไปได้
เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ ย่อมเกิดปีติอันเกิดแต่วิเวก
เพราะปีติอันเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดสุขเสมือนปราศจากอามิส
เปรียบเหมือนร่มเงาละที่แห่งใด แดดย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น
แดดละที่แห่งใด ร่มเงาก็ย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล

เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ ย่อมเกิดปีติอันเกิดแต่วิเวก
เพราะปีติอันเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดสุขเสมือนปราศจากอามิส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี ฯ



ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้แล
เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง
เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต
และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้
และเพราะก้าวล่วงปีติอันเกิดแต่วิเวกได้
ย่อมเข้าถึงสุขเสมือนปราศจากอามิสอยู่

ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต
คือนิรามิสสุขอยู่ สุขเสมือนปราศจากอามิสนั้นของเธอ ย่อมดับไปได้
เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ
ย่อมเกิดปีติอันเกิดแต่วิเวก
เพราะปีติอันเกิดแต่วิเวกดับย่อม
เกิดสุขเสมือนปราศจากอามิส
เรื่องสุขเสมือนปราศจากอามิสดังนี้นั้น
อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ
และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่

ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกจากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น
เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้ ฯ







[๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง
เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต
และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้
และเพราะก้าวล่วงปีติอันเกิดแต่วิเวก
ก้าวล่วงสุขเสมือนปราศจากอามิสได้
ย่อมเข้าถึงเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่อยู่

ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต
คืออทุกขมสุขเวทนาอยู่
เวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่นั้นของเธอ ย่อมดับไปได้
เพราะเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ดับ
ย่อมเกิดสุขเสมือนปราศจากอามิส เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ
ย่อมเกิดเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่
เปรียบเหมือนร่มเงาละที่แห่งใด แดดย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น
แดดละที่แห่งใด ร่มเงาก็ย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล

เพราะเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุข ก็มิใช่ดับ
ย่อมเกิดสุขเสมือนปราศจากอามิส
เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ
ย่อมเกิดเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี ฯ



ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้แล
เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง
เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต
และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้
และเพราะก้าวล่วงปีติอันเกิดแต่วิเวก
ก้าวล่วงสุขเสมือนปราศจากอามิสได้
ย่อมเข้าถึงเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่อยู่

ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต
คืออทุกขมสุขเวทนาอยู่ เวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่
สุขก็มิใช่นั้นของเธอ ย่อมดับไปได้
เพราะเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ดับ
ย่อมเกิดสุขเสมือนปราศจากอามิส
เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ
ย่อมเกิดเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่

เรื่องเวทนาอันทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่
ดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ
และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่
ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกจากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น
เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้ ฯ



[๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้
เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง
เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต
และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้
และเพราะก้าวล่วงปีติอันเกิดแต่วิเวก
ก้าวล่วงสุขเสมือนปราศจากอามิส
ก้าวล่วงเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ได้

ย่อมเล็งเห็นตัวเองว่า เป็นผู้สงบแล้ว
เป็นผู้ดับแล้ว เป็นผู้ไม่มีอุปาทาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี ฯ



ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้แล
เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง
เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต
และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้
และเพราะก้าวล่วงปีติอันเกิดแต่วิเวก
ก้าวล่วงสุขเสมือนปราศจากอามิส
ก้าวล่วงเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ได้

ย่อมเล็งเห็นตัวเองว่า เป็นผู้สงบแล้ว เป็นผู้ดับแล้ว เป็นผู้ไม่มีอุปาทาน
ท่านผู้นี้ ย่อมกล่าวยืนยันปฏิปทาที่ให้สำเร็จนิพพานอย่างเดียวโดยแท้
แต่ก็ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้
เมื่อถือมั่นทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต
ก็ชื่อว่ายังถือมั่นอยู่

หรือเมื่อถือมั่นทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต
ก็ชื่อว่า ยังถือมั่นอยู่

หรือเมื่อถือมั่นกามสัญโญชน์
ก็ชื่อว่ายังถือมั่นอยู่

หรือเมื่อถือมั่นปีติอันเกิดแต่วิเวก
ก็ชื่อว่ายังถือมั่นอยู่

หรือเมื่อถือมั่นสุขเสมือนปราศจากอามิส
ก็ชื่อว่า ยังถือมั่นอยู่

หรือเมื่อถือมั่นเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่
ก็ชื่อว่ายังถือมั่นอยู่

และแม้ข้อที่ท่านผู้นี้เล็งเห็นตัวเองว่า เป็นผู้สงบแล้ว
เป็นผู้ดับแล้ว เป็นผู้ไม่มีอุปาทานนั้น
บัณฑิตก็เรียกว่า อุปาทานของท่านสมณพราหมณ์นี้

เรื่องอุปาทานดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ
และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่
ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกจากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น
เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้ ฯ



[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บทอันประเสริฐ สงบ ไม่มีบทอื่นยิ่งกว่า
ที่ตถาคตตรัสรู้เองด้วยปัญญาอันยิ่งนี้แล คือ
ความรู้เหตุเกิด เหตุดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไป
แห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ ตามความเป็นจริง
แล้วหลุดพ้นได้ด้วยไม่ถือมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บทอันประเสริฐ สงบ ไม่มีบทอื่นกว่านี้นั้น
คือ ความรู้เหตุเกิด เหตุดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไป
แห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ ตามความเป็นจริง แล้วหลุดพ้นได้ด้วยไม่ถือมั่น ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ










เมื่อผัสสะเกิด

สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และขณะทำความเพียร
มีผลกระทบทางใจ เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด



หัวใจคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้






การกำหนดรู้(โยนิโสมนสิการ)

ดูกรอัคคิเวสสนะ !
เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้
และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้
ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลายว่า


รูปไม่เที่ยง
เวทนาไม่เที่ยง
สัญญาไม่เที่ยง
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
วิญญาณไม่เที่ยง


รูปไม่ใช่ตน
เวทนาไม่ใช่ตน
สัญญาไม่ใช่ตน
สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตน
วิญญาณไม่ใช่ตน


สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ดังนี้


ดูกรอัคคิเวสสนะ !
เราแนะนำสาวกทั้งหลายอย่างนี้
และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้
ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลาย







ผลของการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน
เมื่อกำหนดรู้



อาหารของโพชฌงค์ ๗

[๓๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้

แม้ฉันใด โพชฌงค์ ๗ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.

[๓๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.

[๓๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและ
อกุศลที่มีโทษ และไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาว มีอยู่ การกระทำให้มาก
ซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.

[๓๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความริเริ่ม ความพยายาม ความบากบั่น
มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านี้ นี้เป็นอาหารให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.

[๓๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์
มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยัง
ไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.

[๓๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงบกาย ความสงบจิต
มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบนั้น นี้เป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.

[๓๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธินิมิต อัพยัคคนิมิต มีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.

[๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่ง
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหาร
ให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์.

[๓๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด

โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะ
อาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.








เมื่อไม่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน
ไม่มีการกำหนดรู้


เมื่อไม่กำหนดรู้(อโยนิโสมนสิการ)

[๓๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด

นิวรณ์ ๕ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร
ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.

[๓๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น
นี้เป็นอาหารให้กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น
นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร ความที่ใจหดหู่ มีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบใจมีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น
นี้เป็นอาหารให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด
เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

[๓๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้

แม้ฉันใด นิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 ส.ค. 2015, 14:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ผัสสายตนสูตรที่ ๓


[๘๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
ไม่ทราบชัดความเกิด ความดับ คุณ โทษ
และอุบายเครื่องสลัดออกแห่ง ผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง
พรหมจรรย์อันเธอไม่อยู่จบแล้ว เธอเป็นผู้ไกล จากธรรมวินัยนี้

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นผู้ฉิบหายแล้วในธรรมวินัยนี้
เพราะข้าพระองค์ไม่ทราบชัดความเกิด ความดับ คุณ โทษ
และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งผัสสายตนะ ๖ ตามความเป็นจริง ฯ

พ. ดูกรภิกษุ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือ ไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย
แม้ในจักษุ แม้ในหู แม้ในจมูก แม้ในลิ้น แม้ในกาย แม้ในใจ
เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น

เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว

รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว

กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ไม่ใช่จะไปตามคนอื่นไปจนจบต้นชนปลายไม่ถูกเลยนะคะ
การจะได้จะมีจะเป็นต้องครบองค์ประกอบทั้งเหตุปัจจัยที่มี
โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องรอบตัวคุณเปลี่ยนชื่อใหม่เท่านั้น
จะไม่ไปรู้สิ่งอื่นที่ไกลตัวเช่นความทุกข์ยากลำบากในชีวิต
:b16:
อยู่ที่สิ่งที่ตัวเราคิดว่ามีและยึดถือหลงพอใจไม่พอใจนั่นไง
ทางสายกลางของแต่ละคนก็แตกต่างกันอย่างบางคนมีเงิน
บางคนจนข้าวแทบจะไม่มีกิน เลือกไม่ได้เพราะเป็นไปแล้ว
ให้เข้าใจถึงความยากลำบากและความสะดวกต่างๆมีไม่เท่า
:b1:
ที่เท่ากันคือมีเห็นมีได้ยินมีได้กลิ่นมีรู้รสมีสัมผัสสุขทุกข์ที่
แต่ละคนคิดว่าไม่เท่ากัน อย่างคนรวยก็เห็นคนจนลำบาก
อย่างคนจนก็เห็นคนรวยสบายจริงไหม ที่ควรรู้ก็คือทุกคน
ต่างมีความทุกข์เพราะกิเลสปิดบัง ต่างๆกันไปนานาจิตตัง
:b20:
พระพุทธเจ้ามองว่าทุกคนเป็นโรคที่นิยามว่าจิตวิปลาศ
ป่วยทางจิตแต่ไม่หายารักษาให้ทุเลาเพื่อเปลื้องทุกข์
พระพุทธเจ้าเปรียบเป็นจิตแพทย์คนแรกที่คิดสูตรยา
ค้นพบยาที่เหมาะและตรงกับโรคที่แต่ละคนเป็น
:b27:
ทรงทราบว่าอดีตชาติของผู้ป่วยและปรุงยาให้
ตามเหตุปัจจัยของแต่ละบุุคคลที่ทรงช่วยยุคนั้น
ได้หายจากโรคที่เป็นคือได้บรรลุธรรมนั่นเองค่ะ
ฉะนั้นอย่างเราๆท่านๆทั้งหลายก็อยากหาย
:b12:
ต่างพยายามปรุงยาสูตรต่างๆและกำลัง
ทดลองยาเพื่อบรรเทาทุเลาอาการ
จนกว่าจะพบยาที่แท้จริงก็ตัวเรา
นี่แหละที่จะพอรู้ตัวว่าเหมาะที่
จะใช้ยาอะไรที่ไม่ทรมาณ
ร่างกาย+จิตใจไม่ลำบาก
ถ้าได้ยาดีแล้วก็บอกต่อไง
ว่าอันไหนดีไม่เกิดโทษ
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
บอกต่อสิ่งที่ดีค่ะ
:b20:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 20:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตไหมครับ

การแยกธาตุนั้นคือการมองความจริงตามสภาวะของมัน

อันมีเหตุปัจจัยเกื้อหนุน

เราไปจับก้อนหินที่ไม่มีชีวิต เจอแดดมันก็ร้อน เจอลมหนาวมันก็เย็น

การแยกธาตุขันธ์ คือการฝึกเข้าไปรู้และสังเกตุ

โดยเอาความจริงมาเป็นตัวพิจารณาด้วย คือพระไตรลักษณ์

นักวิทยาศาสตร์แยกธาตุต่างๆ แต่ทำไมไม่บรรลุ เพราะขาดการพิจารณาธรรมที่นำไปสู่ความดับไปของเหตุ

เพราะอวิชชาจึงมีสังขาร จนถึง ชาติชรามรณะ

เพราะไม่มีหัวใจของการน้อมลงคือพระอริยสัจ4

และไม่มีกิจที่เป็นแนวทางคือมรรค

ดังนั้น กิจที่มีแนวทางเราก็เพียรแล้ว

หัวใจของการน้อมลงเราก็ลำดับแล้ว

ปัญญาที่เกิดจากการวิเคราะห์ธรรมนั่นเองควรทำให้แจ้ง


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยน9ชื่อใหม่ เขียน:
ถ้าแยกไม่ได้ จะมีสิทธิ์ ข้ามไปฝั่ง โลกุตไหมครับ

การพิจารณา โดยความเป็นธาตุ หรือขันธ์ นั้นเป็นวิธีการอันฉลาดของพุทธสาวกประการหนึ่งในบรรดา สามอุบายวิธี.
การที่จะครอบโลกธาตุ หรืออยู่เหนือการครองงำของโลกธาตุนั้น ก็ต้องฝึกฝนในทางปัญญาต่อไป อีก 7 ประการ. ดั่งปรากฏเป็นพุทธวจนะ มีการบันทึกไว้ให้ศึกษา ในสัตตัฏฐานสูตร ครับ

สนใจประการใดเชิญชวญให้อ่านดูครับ

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... agebreak=0

พระไตรปิฏกเล่มที่ 17 พระสุตตันปิฏกเล่มที่ 9 สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค มัชฌิมปัณณาสก์ อุปายวรรค
สัตตัฏฐานสูตร

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron