วันเวลาปัจจุบัน 07 พ.ย. 2025, 02:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 13 ส.ค. 2015, 21:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การไม่อ่านด้วยดี..ไม่ฟังด้วยดี...ก็จะไม่ได้เห็นธรรมไม่เคยเห็น...ไม่เข้าใจธรรมที่ไม่เคยเข้าใจ

คำว่า..ด้วยดี..นี้...มันคือ..เป็นกลาง...มานะทิฏฐิน้อย...อคติน้อย....น้อบน้อมสำนึกตนว่ายังไม่รู้อะไรอีกเยอะ...

ยิ่งการฟังจากคนที่เราไม่ชอบ...นี้มันก็ยิ่งแสดงออกมาชัด


โพสต์ เมื่อ: 13 ส.ค. 2015, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
การไม่อ่านด้วยดี..ไม่ฟังด้วยดี...ก็จะไม่ได้เห็นธรรมไม่เคยเห็น...ไม่เข้าใจธรรมที่ไม่เคยเข้าใจ

คำว่า..ด้วยดี..นี้...มันคือ..เป็นกลาง...มานะทิฏฐิน้อย...อคติน้อย....น้อบน้อมสำนึกตนว่ายังไม่รู้อะไรอีกเยอะ...

ยิ่งการฟังจากคนที่เราไม่ชอบ...นี้มันก็ยิ่งแสดงออกมาชัด
อะไรของคุณ คุณอวดว่ารู้ดีก็บอกมา ผมเห็นมีแต่พระศาสดาห้ามชัด. ทำเป็นเห็นธรรมกบคุณพล่านไปหมดอทำผิดมาตลอด ยังอวดมีดีมืดบอดจริงๆ ยังจะหาทางเพื่อเอาชนะ. ผมไม่คิดชนะคุณหรอกนะเพียงอยากจะเดินถูกทาง อะไรผิดเราก็ต้องห้ามปราม อะไรถูกเราก็ควรส่งเสริมให้ผู้คนได้รู้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 13 ส.ค. 2015, 22:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 13 ส.ค. 2015, 22:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อกระทู้....ทำกายสังขารให้รำงับ...นะ

ทำด้วย...
ทำแล้วค่อยอ่าน...

อุตส่า..เอามาแปะให้แล้ว...นะ


โพสต์ เมื่อ: 13 ส.ค. 2015, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ชื่อกระทู้....ทำกายสังขารให้รำงับ...นะ

ทำด้วย...
ทำแล้วค่อยอ่าน...

อุตส่า..เอามาแปะให้แล้ว...นะ
ช่วยอธิบายให้ชัดๆๆไม่มีใครเขาเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อได้หรอกนะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 14 ส.ค. 2015, 20:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอามาให้ดูชัด ๆ ปานนี้...แถมเน้นให้อีกต่างหาก... แล้วยังต้องอธิบายให้ฟังด้วยหรือ?
s006

My God... :b34:


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
walaiporn เขียน:
อังสะ
ผ้าที่ภิกษุใช้ห้อยเฉวียงบ่า
เป็นผ้าที่มีลักษณะเหมือนสไบเฉียงของผู้หญิง คือมีบ่าด้านเดียว เย็บติดกันด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งติดกระดุมบ้าง ติดสายสำหรับผูกให้กระชับในเวลาสวมบ้าง ติดกระเป๋าไว้ด้านหน้าบ้าง ด้านที่เย็บติดกันบ้าง เวลาใช้ สวมปิดบ่าซ้าย เปิดบ่าขวา
อังสะ มีคติเหมือนเสื้อกล้ามหรือเสื้อชั้นใน ใช้สวมใส่ขณะอยู่ตามลำพัง หรือ ทำงานเพื่อไม่ให้ดูเปลือยกายท่อนบน สมัยพุทธกาลไม่ปรากฏว่ามีการใช้ผ้าอังสะ แม้ในประเทศไทย พระสงฆ์สมัยเก่าก็ไม่นิยมสวมอังสะ คงถือคติแบบชายไทยสมัยโบราณที่ไม่นิยมสวมเสื้อเวลาอยู่ตามลำพัง
อังสะ มิใช่บริขารของภิกษุ สามเณรแต่เดิม เป็นของภิกษุณี สามเณรี และ สิกขมานา เนื่องจากเป็นสตรีจึงต้องมีเสื้อหรืออังสะใส่เพื่อปกปิดถันเอาไว้




ตอนตีความพระธรรมคำสอน


ใครทำ ใครรับ

กัสสปะ ! เมื่อบุคคลมีความสำคัญมั่นหมายมาแต่ต้น ว่า
“ผู้นั้นกระทำ ผู้นั้นเสวย (ผล)” ดังนี้เสียแล้ว

เขามีวาทะ (คือลัทธิยืนยันอยู่) ว่า “ความทุกข์ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง” ดังนี้ :
นั้นย่อมแล่นไปสู่ (คลองแห่ง) สัสสตะ (ทิฏฐิ ที่ถือว่าเที่ยง).

กัสสปะ ! เมื่อบุคคลถูกเวทนากระทบให้มีความสำคัญมั่นหมายว่า
“ผู้อื่นกระทำ ผู้อื่นเสวย (ผล)” ดังนี้เสียแล้ว

เขามีวาทะ (คือลัทธิยืนยันอยู่) ว่า “ความทุกข์ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำให้” ดังนี้ :
นั่นย่อมแล่นไปสู่ (คลองแห่ง) อุจเฉทะ (ทิฏฐิที่ถือว่าขาดสูญ).
กัสสะปะ ! ตถาคต ย่อม แสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วน
สุดทั้งสองนั้น คือ ตถาคตย่อมแสดงดังนี้ว่า

“เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ; ….ฯลฯ….ฯลฯ
….ฯลฯ…. เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :

ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,

จึงมีความดับแห่งสังขาร; เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ;
…. ฯลฯ…. ฯลฯ….ฯลฯ….เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล, ชรามรณะ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น :

ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.” ดังนี้.
– นิทาน. สํ. ๑๖/๒๔/๕๐.
(พุทธศาสนามิได้ถือว่าจิตเป็นบุคคล กระแสการปรุงแต่งทางจิตเป็นไปได้เองตามธรรมชาติ
ผลที่เกิดขึ้นเป็นความทุกข์จึงมิใช่การกระทำของบุคคลใด ;

ดังนั้น จึงมิใช่การกระทำของบุคคลผู้รู้สึกเป็นทุกข์ หรือการกระทำของบุคคลอื่นใด
ที่ทำให้บุคคลอื่นเป็นทุกข์.

นี้เป็นหลักสำคัญของพุทธศาสนาที่สอนเรื่องอนัตตา ไม่มีสัตว์บุคคลที่เป็นผู้กระทำหรือถูกกระทำ
มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตาซึ่งจิตรู้สึกได้เท่านั้น ;
เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในพุทธศาสนา ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงที่สุด).










หมายเหตุ:

สิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้นั้น ในบทความนี้ ไม่ได้กล่าวถึงอนัตตา
ไม่มีข้อความใด ที่เกี่ยวข้องกับอนัตตา

แต่หมายถึง เหตุและผล คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต(ผัสสะ)
และสิ่งที่กระทำลงไป(ตามความรู้สึกนึกคิด ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ)
ล้วนเกิดจากอวิชชา ที่มีอยู่ เป็นเหตุให้ สภาวะปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง

ท่านไม่ได้ตรัสถึงอนัตตา หรือเรื่องจิต แต่ตรัสแบบกลางๆ ไม่เข้าหาส่วนสุดทั้งสอง
ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า ทุกข์ทั้งสิ้นนี้ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต อะไรเป็นเหตุปัจจัย

“กัสสะปะ ! ตถาคต ย่อม แสดงธรรมโดยสายกลาง
ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือ ตถาคตย่อมแสดงดังนี้ว่า

“เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ; ….ฯลฯ….ฯลฯ
….ฯลฯ…. เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :
ความเกิดขึ้นพร้อม แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

อุปวาณะ! เรากล่าวว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
(ปฏิจจสมุปปันนธรรม).

ทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยอะไรเกิดขึ้นเล่า ?
อุปวาณะ ! ทุกข์อาศัยปัจจัยคือผัสสะเกิดขึ้น. ….

ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเอง ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น.

ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ผู้อื่นทำให้ ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น.

ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเองด้วยผู้อื่นทำให้ด้วย
ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น.

ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเองก็หามิได้ผู้อื่นทำให้ ก็หามิได้
ก็เป็นทุกข์ที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น.

– นิทาน. สํ. ๑๖/๔๙/๘๗.






(คำว่า ผัสสะ ในที่นี้ เป็นส่วนหนึ่งแห่งปฏิจจสมุปบาท หรือกระแสแห่งการปรุงแต่งในทางจิต, มิใช่บุคคล ;
ดังนั้นจึงกล่าวว่า ทุกข์นี้ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น เป็นเพียงกระแส แห่งการปรุงแต่งทางจิต).







หมายเหตุ:

คำกล่าวเช่นนี้ “ทุกข์นี้ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น เป็นเพียงกระแสแห่ง การปรุงแต่งทางจิต”

แสดงถึง ไม่เชื่อเรื่องกรรม(การกระทำ)
และผลของกรรม(ผลที่ได้รับจากการกระทำ)


แต่ไปกล่าวโทษว่า เป็นการปรุงแต่งของจิต

การปรุงแต่งของจิต เป็นเรื่องปลายเหตุ

ผัสสะ เป็นต้นเหตุ

เมื่อยังมีการเกิด ได้แก่ นามรูป สาฬยตนะ ย่อมมี ผัสสะ ย่อมมี
ตราบใด ที่ยังมีชีวิต เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงผัสสะต่างๆได้
นอกจากปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเท่านั้น

จึงควรศึกษาผัสสะให้ถ่องแท้ ว่าทำไม เมื่อผัสสะเกิด จึงมีความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้น
แม้กระทั่ง ไม่รู้สึกอะไรเลย(เฉยๆ)

นี่สิ เป็นสิ่งที่ควรศึกษา ไม่ใช่ไปกล่าวโทษนอกตัว(จิต)




พระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

[๑๒๕] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สักกายทิฐิ จะมีได้อย่างไร ฯ

พ. ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ
ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเล็งเห็นรูปโดย
ความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง เล็งเห็น
อัตตาในรูปบ้าง ย่อมเล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนา
บ้าง เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง ย่อมเล็งเห็นสัญญา
โดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้าง
เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง ย่อมเล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็น
อัตตาว่ามีสังขารบ้าง เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง
ย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง เล็ง
เห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง
ดูกรภิกษุ อย่างนี้แล สักกายทิฐิจึงมีได้ ฯ



[๑๒๖] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักกายทิฐิจะไม่มีได้อย่างไร ฯ

พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ได้เห็น
พระอริยะ ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็น
สัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมไม่เล็งเห็น
รูปโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง ไม่เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง
ไม่เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็ง
เห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง ไม่เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในเวทนา
บ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง
ไม่เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็น
สังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง ไม่เล็งเห็นสังขาร
ในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็น
อัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง ไม่เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง ไม่
เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง ดูกรภิกษุ อย่างนี้แล สักกายทิฐิจึงไม่มี ฯ


[๑๒๗] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นคุณเป็นโทษ เป็น
ทางสลัดออกในรูป อะไรเป็นคุณ เป็นโทษ เป็นทางสลัดออกในเวทนา อะไร
เป็นคุณ เป็นโทษ เป็นทางสลัดออกในสัญญา อะไรเป็นคุณ เป็นโทษ เป็น
ทางสลัดออกในสังขาร อะไรเป็นคุณ เป็นโทษ เป็นทางสลัดออกในวิญญาณ ฯ

พ. ดูกรภิกษุ อาการที่สุขโสมนัสอาศัยรูปเกิดขึ้น นี้เป็นคุณในรูป
อาการที่รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในรูป
อาการที่กำจัดฉันทราคะ ละฉันทราคะ ในรูปได้ นี้เป็นทางสลัดออกในรูป
อาการที่สุขโสมนัสอาศัยเวทนาเกิดขึ้น นี้เป็นคุณในเวทนา อาการที่เวทนาไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในเวทนา อาการที่กำจัด
ฉันทราคะ ละฉันทราคะในเวทนาได้ นี้เป็นทางสลัดออกในเวทนา อาการที่สุข
โสมนัสอาศัยสัญญาเกิดขึ้น นี้เป็นคุณในสัญญา อาการที่สัญญาไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในสัญญา อาการที่กำจัดฉันทราคะ
ละฉันทราคะในสัญญาได้ นี้เป็นทางสลัดออกในสัญญา อาการที่สุขโสมนัส
อาศัยสังขารเกิดขึ้น นี้เป็นคุณในสังขาร อาการที่สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มี
ความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในสังขาร อาการที่กำจัดฉันทราคะ
ละฉันทราคะในสังขารได้ นี้เป็นทางสลัดออกในสังขาร อาการที่สุขโสมนัสอาศัย
วิญญาณเกิดขึ้น นี้เป็นคุณในวิญญาณ อาการที่วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความ
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในวิญญาณ อาการที่กำจัดฉันทราคะ
ละฉันทราคะในวิญญาณได้ นี้เป็นทางสลัดออกในวิญญาณ ฯ




[๑๒๘] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เมื่อรู้ เมื่อเห็นอย่างไรจึงไม่มี
อนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเรา ว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหมดในภายนอก ฯ

พ. ดูกรภิกษุ บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า รูป
อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปใน
ภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่
ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของ
เรา เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายในหรือมีในภายนอก
ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา เห็นด้วย
ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต
ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม
หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้ง
หมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา เห็นด้วยปัญญาอัน
ชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็น
อนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือ
ละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความ
เป็นจริงดังนี้ว่า วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้ง
ที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม
เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา

ดูกรภิกษุ เมื่อรู้ เมื่อเห็นอย่างนี้แล จึงไม่มีอนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเราว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหมดในภายนอก ฯ


[๑๒๙] ลำดับนั้นแล มีภิกษุรูปหนึ่ง เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นอย่าง
นี้ว่า จำเริญละ เท่าที่ว่ามานี้ เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็น
อนัตตา กรรมที่อนัตตาทำแล้ว จักถูกตนได้อย่างไร ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรง
ทราบความปริวิตกแห่งใจของภิกษุรูปนั้นด้วยพระหฤทัย จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่โมฆบุรุษบางคนในธรรมวินัยนี้ ไม่รู้แล้ว ตกอยู่ในอวิชชา ใจ
มีตัณหาเป็นใหญ่ พึงสำคัญคำสั่งสอนของศาสดาอย่างสะเพร่า ด้วยความปริวิตกว่า
จำเริญละ เท่าที่ว่ามานี้ เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็น
อนัตตา กรรมที่อนัตตาทำแล้ว จักถูกตนได้อย่างไร เราจะขอสอบถาม ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เราได้แนะนำพวกเธอในธรรมนั้นๆ แล้วแล พวกเธอจะสำคัญความ
ข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควร
หรือหนอที่จะเล็งเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เวทนา
เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควร
หรือหนอที่จะเล็งเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สัญญา
เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควร
หรือหนอที่จะเล็งเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สังขารเที่ยง
หรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควร
หรือหนอที่จะเล็งเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน วิญญาณ
เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควร
หรือหนอที่จะเล็งเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล พวกเธอพึงเห็นด้วยปัญญาอัน
ชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต
ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียด
ก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่
ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความ
เป็นจริงดังนี้ว่า เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่
เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม
เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็น
ไปในภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม
อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่
อัตตาของเรา พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า สังขารเหล่าใด
เหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายใน
หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่
ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา
พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้ง
ที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายในหรือมีในภายนอก
ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้
ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะ
คลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค และเมื่อพระผู้มีพระภาคกำลังตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้
อยู่ ภิกษุประมาณ ๖๐ รูป ได้มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่นแล ฯ

จบ มหาปุณณมสูตร ที่ ๙



http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0

ในฐานะผมเป็นเจ้าของกระทู้ต้องขอบคุณมากที่นำพระสูตรดีๆมาให้อ่าน

Kiss
...Anu mo ta na satu ka...
ในฐานะเป็นผู้ชมย่อมชื่นชมอนุโมทนาทั้งผู้ถามและผู้ตอบ
ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาจากการอ่าน การฟัง การดูวิดีโอก็ตาม
ขอให้ตั้งจิตไว้ชอบโดยความไม่มีตัวเราเป็นแต่การคิดเห็นโดย
การแทงตลอดธรรมคือเข้าใจตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อรำงับกายเด๋วนี้เอง
ความคิดเห็นอันถูกต้องจักทำจิตนี้ให้รำงับสงบจากอกุศลมีสติระลึกตาม
เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นธรรมในธรรม เห็นจิตในจิตเองแล้ว
ย่อมเป็นการยังจิตให้มั่นคงโดยเข้าใจความไม่ใช่ของเราไม่ใช่เราจึงถอนอัตตาได้
:b17:
:b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:

กบนอกกะลา เขียน:
grin grin grin

กบให้ดูอะไรงง กบดูมหาศิลข้อ7 ชัดๆเลยภิกษุห้ามีอน้ำมนต์พ้นน้ำมนต์นะ. มัชฌิมศิลข้อ7มีอะไรเหรอ

ปล. แก้ไข..รายละเอียดอยู่ในมหาศีล..ไม่ใช่..มัชฌิมาศีล

ชัดเจนเลย..ครับ...Bigtoo คิดว่า..ท่านห้ามถือน้ำมน์..พ้นน้ำมนต์...ทันทีที่เห็นพระองค์ไหนทำ..ก็เหมือนตัวอย่างคลิ๊ปที่ Bigtoo ยกมา
...ที่ว่า...
นาที 1:37
...ไปเห็นพระกำลังรดน้ำมนต์...ว่าโอ้วพระพุทธเจ้าตรัสใว้ในสัมปันสีลาว่าห้ามภิกษุกระทำน้ำมนต์..ดูหมอ..ดูฤกษดูยาม..ถูกต้องมั้ย..พระจะปฏิเสธได้งัย..จริง ๆ พระต้องเลิก...ต้องหยุดเลย..

bigtoo เขียน:
https://m.youtube.com/watch?v=xZgLKVyO_fg


แต่ทำไม..พระพุทธเจ้าจึงสั่งพระอานนท์ทำน้ำมนต์เดินรดไปทั่วเมืองเวสาลี..ในรัตนสูตร...

ที่ห้ามในมหาศีล..กับที่พระอานนท์ทำ..นั้น..ขัดแย้งกันมั้ย?.....ไม่ขัดแย้งเลย..

ก็ต้องไปดู...ที่ห้ามนั้นนะ...ห้ามยังงัย

ไม่ใช่...พอเห็นพระที่ไหนกำลังรดน้ำมนต์อยู่..ก็รีบไปทักท้วงกล่าวว่า..เลย..อย่างที่ในคลิ๊ปสอน...ไม่ถูกต้องครับ.. Onion_R

ไปดูให้ละเอียด..นะครับ Bigtoo ...ว่าห้ามนั้น..ห้ามยังงัย...แล้วทำไมที่พระพุทธเจ้าสั่งให้อานนท์ทำจึงไม่ขัดแย้งกับที่ทรงห้ามใว้... :b31: :b31:

ถ้ายังไม่เห็น...ยกมือวันทามิ..กบนอกกะลา..ในใจก็ได้...เดียวจะบอกให้ :b9:
ถ้าเห็นแล้ว....จะขอบคุณผมหรือไม่ขอบคุณ..ก็ไม่ถือสา....ครับ

:b16: :b16: :b16:

:b20:
อนุโมทนากับพระไตรปิฎกที่ท่านกบเอามาโสต์ค่ะ :b8:
การจะคิดอะไรก็ตามให้นึกถึงประโยชน์แก่ส่วนรวม
อย่างการที่ภิกษุผู้มิได้ประกอบอาชีพสิ่งที่ไม่ควรทำคือ
การทำน้ำพุทธมนต์เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ส่วนตัวแต่ถ้าทำ
เพื่อส่วนรวมพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามแต่ประการใด ด้วยเหตุที่
มีภัยพิบัติเกิดแก่ส่วนรวมจึงอนุญาตให้ทำน้ำพุทธมนต์ปัดเสนียด
คงต้องคิดเหตุผลบนความเป็นทางสายกลางที่เป็นคุณและไม่มีโทษเลย
ต่อภิกษุในธรรมวินัยโดยการทำเพื่อสงเคราะห์/อนุเคราะห์แจกทานเป็นน้ำใจ
มิใช่ทำเพื่อโลภอยากได้ลาภสักการะโดยจิตที่รดได้ขอบคุณจิตที่รับได้นอบน้อม
เป็นความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างนี้คือทางสายกลางที่รู้ว่าสิ่งที่ทำแล้วมีแต่คุณ
:b12:
:b44: :b44: :b44:


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 07:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
wink
:b20:
อนุโมทนากับพระไตรปิฎกที่ท่านกบเอามาโสต์ค่ะ :b8:
การจะคิดอะไรก็ตามให้นึกถึงประโยชน์แก่ส่วนรวม
อย่างการที่ภิกษุผู้มิได้ประกอบอาชีพสิ่งที่ไม่ควรทำคือ
การทำน้ำพุทธมนต์เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ส่วนตัวแต่ถ้าทำ
เพื่อส่วนรวมพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามแต่ประการใด ด้วยเหตุที่
มีภัยพิบัติเกิดแก่ส่วนรวมจึงอนุญาตให้ทำน้ำพุทธมนต์ปัดเสนียด
คงต้องคิดเหตุผลบนความเป็นทางสายกลางที่เป็นคุณและไม่มีโทษเลย
ต่อภิกษุในธรรมวินัยโดยการทำเพื่อสงเคราะห์/อนุเคราะห์แจกทานเป็นน้ำใจ
มิใช่ทำเพื่อโลภอยากได้ลาภสักการะโดยจิตที่รดได้ขอบคุณจิตที่รับได้นอบน้อม
เป็นความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างนี้คือทางสายกลางที่รู้ว่าสิ่งที่ทำแล้วมีแต่คุณ
:b12:
:b44: :b44: :b44:


อนุโมทนาสาธุ..ครับ :b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
wink
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:

กบนอกกะลา เขียน:
grin grin grin

กบให้ดูอะไรงง กบดูมหาศิลข้อ7 ชัดๆเลยภิกษุห้ามีอน้ำมนต์พ้นน้ำมนต์นะ. มัชฌิมศิลข้อ7มีอะไรเหรอ

ปล. แก้ไข..รายละเอียดอยู่ในมหาศีล..ไม่ใช่..มัชฌิมาศีล

ชัดเจนเลย..ครับ...Bigtoo คิดว่า..ท่านห้ามถือน้ำมน์..พ้นน้ำมนต์...ทันทีที่เห็นพระองค์ไหนทำ..ก็เหมือนตัวอย่างคลิ๊ปที่ Bigtoo ยกมา
...ที่ว่า...
นาที 1:37
...ไปเห็นพระกำลังรดน้ำมนต์...ว่าโอ้วพระพุทธเจ้าตรัสใว้ในสัมปันสีลาว่าห้ามภิกษุกระทำน้ำมนต์..ดูหมอ..ดูฤกษดูยาม..ถูกต้องมั้ย..พระจะปฏิเสธได้งัย..จริง ๆ พระต้องเลิก...ต้องหยุดเลย..

bigtoo เขียน:
https://m.youtube.com/watch?v=xZgLKVyO_fg


แต่ทำไม..พระพุทธเจ้าจึงสั่งพระอานนท์ทำน้ำมนต์เดินรดไปทั่วเมืองเวสาลี..ในรัตนสูตร...

ที่ห้ามในมหาศีล..กับที่พระอานนท์ทำ..นั้น..ขัดแย้งกันมั้ย?.....ไม่ขัดแย้งเลย..

ก็ต้องไปดู...ที่ห้ามนั้นนะ...ห้ามยังงัย

ไม่ใช่...พอเห็นพระที่ไหนกำลังรดน้ำมนต์อยู่..ก็รีบไปทักท้วงกล่าวว่า..เลย..อย่างที่ในคลิ๊ปสอน...ไม่ถูกต้องครับ.. Onion_R

ไปดูให้ละเอียด..นะครับ Bigtoo ...ว่าห้ามนั้น..ห้ามยังงัย...แล้วทำไมที่พระพุทธเจ้าสั่งให้อานนท์ทำจึงไม่ขัดแย้งกับที่ทรงห้ามใว้... :b31: :b31:

ถ้ายังไม่เห็น...ยกมือวันทามิ..กบนอกกะลา..ในใจก็ได้...เดียวจะบอกให้ :b9:
ถ้าเห็นแล้ว....จะขอบคุณผมหรือไม่ขอบคุณ..ก็ไม่ถือสา....ครับ

:b16: :b16: :b16:

:b20:
อนุโมทนากับพระไตรปิฎกที่ท่านกบเอามาโสต์ค่ะ :b8:
การจะคิดอะไรก็ตามให้นึกถึงประโยชน์แก่ส่วนรวม
อย่างการที่ภิกษุผู้มิได้ประกอบอาชีพสิ่งที่ไม่ควรทำคือ
การทำน้ำพุทธมนต์เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ส่วนตัวแต่ถ้าทำ
เพื่อส่วนรวมพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามแต่ประการใด ด้วยเหตุที่
มีภัยพิบัติเกิดแก่ส่วนรวมจึงอนุญาตให้ทำน้ำพุทธมนต์ปัดเสนียด
คงต้องคิดเหตุผลบนความเป็นทางสายกลางที่เป็นคุณและไม่มีโทษเลย
ต่อภิกษุในธรรมวินัยโดยการทำเพื่อสงเคราะห์/อนุเคราะห์แจกทานเป็นน้ำใจ
มิใช่ทำเพื่อโลภอยากได้ลาภสักการะโดยจิตที่รดได้ขอบคุณจิตที่รับได้นอบน้อม
เป็นความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างนี้คือทางสายกลางที่รู้ว่าสิ่งที่ทำแล้วมีแต่คุณ
:b12:
:b44: :b44: :b44:
เห็นไส้เลยนะ. อีกไกล

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
wink
:b20:
อนุโมทนากับพระไตรปิฎกที่ท่านกบเอามาโสต์ค่ะ :b8:
การจะคิดอะไรก็ตามให้นึกถึงประโยชน์แก่ส่วนรวม
อย่างการที่ภิกษุผู้มิได้ประกอบอาชีพสิ่งที่ไม่ควรทำคือ
การทำน้ำพุทธมนต์เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ส่วนตัวแต่ถ้าทำ
เพื่อส่วนรวมพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามแต่ประการใด ด้วยเหตุที่
มีภัยพิบัติเกิดแก่ส่วนรวมจึงอนุญาตให้ทำน้ำพุทธมนต์ปัดเสนียด
คงต้องคิดเหตุผลบนความเป็นทางสายกลางที่เป็นคุณและไม่มีโทษเลย
ต่อภิกษุในธรรมวินัยโดยการทำเพื่อสงเคราะห์/อนุเคราะห์แจกทานเป็นน้ำใจ
มิใช่ทำเพื่อโลภอยากได้ลาภสักการะโดยจิตที่รดได้ขอบคุณจิตที่รับได้นอบน้อม
เป็นความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างนี้คือทางสายกลางที่รู้ว่าสิ่งที่ทำแล้วมีแต่คุณ
:b12:
:b44: :b44: :b44:


อนุโมทนาสาธุ..ครับ :b8: :b8: :b8:
มืดบอดทั้งคู่. เว้นขาด แม้นนี้ก็เป็นศิลของเธอ เข้าใจมั้ย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
wink
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:

กบนอกกะลา เขียน:
grin grin grin

กบให้ดูอะไรงง กบดูมหาศิลข้อ7 ชัดๆเลยภิกษุห้ามีอน้ำมนต์พ้นน้ำมนต์นะ. มัชฌิมศิลข้อ7มีอะไรเหรอ

ปล. แก้ไข..รายละเอียดอยู่ในมหาศีล..ไม่ใช่..มัชฌิมาศีล

ชัดเจนเลย..ครับ...Bigtoo คิดว่า..ท่านห้ามถือน้ำมน์..พ้นน้ำมนต์...ทันทีที่เห็นพระองค์ไหนทำ..ก็เหมือนตัวอย่างคลิ๊ปที่ Bigtoo ยกมา
...ที่ว่า...
นาที 1:37
...ไปเห็นพระกำลังรดน้ำมนต์...ว่าโอ้วพระพุทธเจ้าตรัสใว้ในสัมปันสีลาว่าห้ามภิกษุกระทำน้ำมนต์..ดูหมอ..ดูฤกษดูยาม..ถูกต้องมั้ย..พระจะปฏิเสธได้งัย..จริง ๆ พระต้องเลิก...ต้องหยุดเลย..

bigtoo เขียน:
https://m.youtube.com/watch?v=xZgLKVyO_fg


แต่ทำไม..พระพุทธเจ้าจึงสั่งพระอานนท์ทำน้ำมนต์เดินรดไปทั่วเมืองเวสาลี..ในรัตนสูตร...

ที่ห้ามในมหาศีล..กับที่พระอานนท์ทำ..นั้น..ขัดแย้งกันมั้ย?.....ไม่ขัดแย้งเลย..

ก็ต้องไปดู...ที่ห้ามนั้นนะ...ห้ามยังงัย

ไม่ใช่...พอเห็นพระที่ไหนกำลังรดน้ำมนต์อยู่..ก็รีบไปทักท้วงกล่าวว่า..เลย..อย่างที่ในคลิ๊ปสอน...ไม่ถูกต้องครับ.. Onion_R

ไปดูให้ละเอียด..นะครับ Bigtoo ...ว่าห้ามนั้น..ห้ามยังงัย...แล้วทำไมที่พระพุทธเจ้าสั่งให้อานนท์ทำจึงไม่ขัดแย้งกับที่ทรงห้ามใว้... :b31: :b31:

ถ้ายังไม่เห็น...ยกมือวันทามิ..กบนอกกะลา..ในใจก็ได้...เดียวจะบอกให้ :b9:
ถ้าเห็นแล้ว....จะขอบคุณผมหรือไม่ขอบคุณ..ก็ไม่ถือสา....ครับ

:b16: :b16: :b16:

:b20:
อนุโมทนากับพระไตรปิฎกที่ท่านกบเอามาโสต์ค่ะ :b8:
การจะคิดอะไรก็ตามให้นึกถึงประโยชน์แก่ส่วนรวม
อย่างการที่ภิกษุผู้มิได้ประกอบอาชีพสิ่งที่ไม่ควรทำคือ
การทำน้ำพุทธมนต์เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ส่วนตัวแต่ถ้าทำ
เพื่อส่วนรวมพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามแต่ประการใด ด้วยเหตุที่
มีภัยพิบัติเกิดแก่ส่วนรวมจึงอนุญาตให้ทำน้ำพุทธมนต์ปัดเสนียด
คงต้องคิดเหตุผลบนความเป็นทางสายกลางที่เป็นคุณและไม่มีโทษเลย
ต่อภิกษุในธรรมวินัยโดยการทำเพื่อสงเคราะห์/อนุเคราะห์แจกทานเป็นน้ำใจ
มิใช่ทำเพื่อโลภอยากได้ลาภสักการะโดยจิตที่รดได้ขอบคุณจิตที่รับได้นอบน้อม
เป็นความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างนี้คือทางสายกลางที่รู้ว่าสิ่งที่ทำแล้วมีแต่คุณ
:b12:
:b44: :b44: :b44:
เห็นไส้เลยนะ. อีกไกล

เค้าก็เห็นถึงกลาหลูกลำลื้อเลยอ่ะ555ปัญญาน่ะมีไหมมมมมมม
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
wink
:b20:
อนุโมทนากับพระไตรปิฎกที่ท่านกบเอามาโสต์ค่ะ :b8:
การจะคิดอะไรก็ตามให้นึกถึงประโยชน์แก่ส่วนรวม
อย่างการที่ภิกษุผู้มิได้ประกอบอาชีพสิ่งที่ไม่ควรทำคือ
การทำน้ำพุทธมนต์เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ส่วนตัวแต่ถ้าทำ
เพื่อส่วนรวมพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามแต่ประการใด ด้วยเหตุที่
มีภัยพิบัติเกิดแก่ส่วนรวมจึงอนุญาตให้ทำน้ำพุทธมนต์ปัดเสนียด
คงต้องคิดเหตุผลบนความเป็นทางสายกลางที่เป็นคุณและไม่มีโทษเลย
ต่อภิกษุในธรรมวินัยโดยการทำเพื่อสงเคราะห์/อนุเคราะห์แจกทานเป็นน้ำใจ
มิใช่ทำเพื่อโลภอยากได้ลาภสักการะโดยจิตที่รดได้ขอบคุณจิตที่รับได้นอบน้อม
เป็นความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างนี้คือทางสายกลางที่รู้ว่าสิ่งที่ทำแล้วมีแต่คุณ
:b12:
:b44: :b44: :b44:


อนุโมทนาสาธุ..ครับ :b8: :b8: :b8:
มืดบอดทั้งคู่. เว้นขาด แม้นนี้ก็เป็นศิลของเธอ เข้าใจมั้ย

ตะเองนั่นแหละบอดทั้งตาเนื้อและตาใจ
มาจากภพภูมิอะไรน้าถึงได้มืดมิดปิดตา
มะล่ำมะเหลือโพดหลาย=เหลือเกินจริงๆ
:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
wink
:b20:
อนุโมทนากับพระไตรปิฎกที่ท่านกบเอามาโสต์ค่ะ :b8:
การจะคิดอะไรก็ตามให้นึกถึงประโยชน์แก่ส่วนรวม
อย่างการที่ภิกษุผู้มิได้ประกอบอาชีพสิ่งที่ไม่ควรทำคือ
การทำน้ำพุทธมนต์เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ส่วนตัวแต่ถ้าทำ
เพื่อส่วนรวมพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามแต่ประการใด ด้วยเหตุที่
มีภัยพิบัติเกิดแก่ส่วนรวมจึงอนุญาตให้ทำน้ำพุทธมนต์ปัดเสนียด
คงต้องคิดเหตุผลบนความเป็นทางสายกลางที่เป็นคุณและไม่มีโทษเลย
ต่อภิกษุในธรรมวินัยโดยการทำเพื่อสงเคราะห์/อนุเคราะห์แจกทานเป็นน้ำใจ
มิใช่ทำเพื่อโลภอยากได้ลาภสักการะโดยจิตที่รดได้ขอบคุณจิตที่รับได้นอบน้อม
เป็นความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างนี้คือทางสายกลางที่รู้ว่าสิ่งที่ทำแล้วมีแต่คุณ
:b12:
:b44: :b44: :b44:


อนุโมทนาสาธุ..ครับ :b8: :b8: :b8:
มืดบอดทั้งคู่. เว้นขาด แม้นนี้ก็เป็นศิลของเธอ เข้าใจมั้ย

ตะเองนั่นแหละบอดทั้งตาเนื้อและตาใจ
มาจากภพภูมิอะไรน้าถึงได้มืดมิดปิดตา
มะล่ำมะเหลือโพดหลาย=เหลือเกินจริงๆ
:b32: :b32: :b32:

ต่อไป่นี่เป็นญาณญาท่านตางเหนือมาเน้อความว่า
บ่เคยพบบ่เคยพ้อบ่คึดว่าจะมีคนบ่ฮู้จักความปานนี่
จ่างมันเตอะปล่อยไป่ตามยถากรรมกะแล่วกั๋นเน้อ
:b12:
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
wink
:b20:
อนุโมทนากับพระไตรปิฎกที่ท่านกบเอามาโสต์ค่ะ :b8:
การจะคิดอะไรก็ตามให้นึกถึงประโยชน์แก่ส่วนรวม
อย่างการที่ภิกษุผู้มิได้ประกอบอาชีพสิ่งที่ไม่ควรทำคือ
การทำน้ำพุทธมนต์เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ส่วนตัวแต่ถ้าทำ
เพื่อส่วนรวมพระพุทธเจ้ามิได้ห้ามแต่ประการใด ด้วยเหตุที่
มีภัยพิบัติเกิดแก่ส่วนรวมจึงอนุญาตให้ทำน้ำพุทธมนต์ปัดเสนียด
คงต้องคิดเหตุผลบนความเป็นทางสายกลางที่เป็นคุณและไม่มีโทษเลย
ต่อภิกษุในธรรมวินัยโดยการทำเพื่อสงเคราะห์/อนุเคราะห์แจกทานเป็นน้ำใจ
มิใช่ทำเพื่อโลภอยากได้ลาภสักการะโดยจิตที่รดได้ขอบคุณจิตที่รับได้นอบน้อม
เป็นความสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับอย่างนี้คือทางสายกลางที่รู้ว่าสิ่งที่ทำแล้วมีแต่คุณ
:b12:
:b44: :b44: :b44:


อนุโมทนาสาธุ..ครับ :b8: :b8: :b8:
มืดบอดทั้งคู่. เว้นขาด แม้นนี้ก็เป็นศิลของเธอ เข้าใจมั้ย

ตะเองนั่นแหละบอดทั้งตาเนื้อและตาใจ
มาจากภพภูมิอะไรน้าถึงได้มืดมิดปิดตา
มะล่ำมะเหลือโพดหลาย=เหลือเกินจริงๆ
:b32: :b32: :b32:

ต่อไป่นี่เป็นญาณญาท่านตางเหนือมาเน้อความว่า
บ่เคยพบบ่เคยพ้อบ่คึดว่าจะมีคนบ่ฮู้จักความปานนี่
จ่างมันเตอะปล่อยไป่ตามยถากรรมกะแล่วกั๋นเน้อ
:b12:
:b32: :b32:

มีแต่คำกล่าวหาแต่หาหลักธรรมมาโต้ตอบไม่ได้. ทำบุญก็หวังแต่สวรรค์เศร้าหมอง. อยากได้ตังค์ก็ท่องคาถา. อยากกราบพระก็วิ่งหาอรหันต์ทั้งๆก็ไม่รู้ว่าใครเป็นอรหันต์. มันคือมืดเด้อ. พระองค์บอกทำบุญก็ให้มีจิตละความตระหนี่.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
มืดบอดทั้งคู่. เว้นขาด แม้นนี้ก็เป็นศิลของเธอ เข้าใจมั้ย


เอามาจากไหนครับ...ที่ผมยกมาไม่มี...

อ้อ....Bigtoo ถนัด..พูดเอง..แต่ชอบทำให้ดูเหมือนเป็นคำพระพุทธเจ้า..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร