วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 05:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 75, 76, 77, 78, 79, 80, 81 ... 95  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่อย่างไร

ภิกษุแผ่ไปโดยเมตตา หรือน้อมเข้าไปโดยความเป็นธาตุ ในสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่ อย่างนี้

ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่อย่างไร

ภิกษุแผ่ไปโดยความไม่งาม หรือน้อมเข้าไปโดยความเป็นของไม่เที่ยงในสิ่งที่น่าปรารถนา ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่ อย่างนี้

ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่ปฏิกูลและในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่อย่างไร

ภิกษุแผ่ไปโดยเมตตา หรือน้อมเข้าไปโดยความเป็นธาตุ ในสิ่งทั้งไม่น่าปรารถนาและน่าปรารถนา ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่ปฏิกูล และในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลว่า เป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่ อย่างนี้

ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและในสิ่งที่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่อย่างไร

ภิกษุแผ่ไปโดยความไม่งาม หรือน้อมเข้าไปโดยความเป็นของไม่เที่ยง ในสิ่งทั้งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและในสิ่งที่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่ อย่างนี้

ภิกษุเว้นสิ่งทั้งสองนั้น มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะในสิ่งที่ปฏิกูล และในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่อย่างไร

ภิกษุในศาสนานี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่

ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่

ภิกษุเว้นสิ่งทั้งสองนั้น มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะในสิ่งที่ปฏิกูล และในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลอยู่ อย่างนี้

นี้ฤทธิ์ของพระอริยะ ฯ


ปัญญาวรรค อิทธิกถา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=10090&Z=10320

แล้วมาต่อกันในคราวหน้า :b46: :b47: :b46:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
self-esteem เขียน:
วานผู้รู้ช่วยหน่อยนะครับ ผมสงสัยจริงๆ ?

ว่า...ถ้าเรารู้เหตุแห่งการเกิดทุกข์และการดับทุกข์ ซึ่งอยู่ในเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว

เราควรจะปฏิบัติอย่างไร? ให้ได้ผลและประสบความสำเร็จถึงขั้นดับทุกข์ ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

วานผู้รู้ช่วยตอบคำถามนี้ เพื่อให้ผมได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้องด้วยนะครับ :b8:

:b12:
sompong852 เขียน:
ก่อนอื่น ต้องขออภัย หากคำตอบกระทู้นี้ มีความคลาดเคลื่อนประการใด ก็ขอให้ผู้อ่านอโหสิกรรม ให้แก่ข้าพเจ้า ด้วย

:b43: ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม (การเกิดขึ้นของทุกข์)
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

:b42: ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม (การดับไปแห่งทุกข์)
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
........
สวัสดีครับ
ยางบง

:b20:
ทุกอย่างค่ะเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
ปุถุชนรู้ความจริงตามปกติเป็นตัวตนรู้
อ่านไปก็คิดไปในธรรมที่เป็นตัวตนคิดรู้
เรื่องกายกับจิตแบบการเกิดขึ้นของทุกข์
คิดไม่ออกว่าการดับไปแห่งทุกข์เกิดยังไง
ไม่รู้ความจริงตรงกายกับจิตแยกขาดกัน
:b16:
อริยบุคคลตั้งแต่ชั้นโสดาปัตติผลขึ้นไป
ดับจิตดวงที่เคยหลงกายเกิดจิตดวงใหม่ที่
รู้ความจริงในสติปัฏฐาน4แบบแยกส่วน
เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา
เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรม
รู้ความจริงซึ่งการดับกองทุกข์แล้ว
ไม่หลงกายไม่หลงตายไม่รู้ผิวเผิน
เป็นเรื่องของผู้รู้ที่รู้จิตตภาวนาล้วนๆ
:b1:
การปฏิบัติที่แท้จริงก็คือปกติในชีวิต
มีการเจตนาศีล5บริสุทธิ์ทำทานการกุศล
ในพระพุทธศาสนาเป็นอุปนิสัยเป็นประจำ
การเข้าวัดฟังธรรมปฏิบัติจิตตภาวนาสำคัญ
เพราะเป็นการดับเหตุอันแรกคือดับการดูทางตา
การรู้ทุกข์เกิดจากจิตไม่ใยดีความเป็นอยู่ตามปกติ
รู้ละวางจิตถูกต้องเป็นการละปล่อยวางความมีเป็นเห็นได้
อริยบุคคลรู้2ด้านคือ1.ปุถุชนยึดติดกาย2อริยบุคคลไม่ยึดกาย
การใช้ชีวิตตามปกติจิตของอริยบุคคลอยู่ตรงทางสายกลางมั่นคง
การดับความไม่รู้เกิดวิชชาดับกายหยาบเป็นจิตที่รู้และเจริญในธรรม
:b8:
onion onion onion


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 13 ก.ย. 2015, 19:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
การเจตนาศีล5ให้บริสุทธิ์
การให้ทานด้วยจิตบริสุทธิ์
การทำความสงบใจจิตตภาวนา
จิตตภาวนาที่สงบดิ่งเอกัคตารมณ์
ได้จิตบริสุทธิ์นั่งสมาธิจนกายหายหมด
เกิดจากความบริสุทธิ์ที่หมดอยากจึงปรากฎผล
:b12: :b4: :b20:


โพสต์ เมื่อ: 23 ก.ย. 2015, 14:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 02:51
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิสุทธิปาละ เขียน:
และเมื่อรู้เท่าทันความคิดที่ผุดขึ้น ความคิดก็จะสงบลง จิตใจก็จะปรอดโปร่งเป็นอิสระจากความคิด เหลือแต่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม :b46: :b47: :b46:

และนี่คือการมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง คือมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะให้ได้มากที่สุด รู้ตัวทั่วพร้อม รู้ลงที่กาย และโดยเฉพาะรู้ลงที่ใจ ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงาม :b50: :b49: :b51:

และเมื่อแรกได้สัมผัสถึงความบริสุทธิ์งดงามที่เป็นหนึ่งเดียวกัน จิตของนักปฏิบัติก็จะพบกับความอัศจรรย์ คือความเบิกบานดื่มด่ำอยู่กับปัจจุบันขณะ เหมือนในการปฏิบัติอานาปานสติจตุกกะที่ ๓ ข้อที่ ๒ นั่นคือการทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ ซึ่งเป็นความเบิกบานอย่างมีสติที่บริสุทธิ์ตามพระสูตร ต่างจากปีติ สุข ในสมาธิในฌานที่เป็นแบบจมแช่ :b47: :b48: :b47:

และถ้าประคองการมีสติ สัมปชัญญะ และสมาธิ อยู่กับปัจจุบันได้ยาวนานต่อเนื่องออกไปอีก การเดินจงกรมนี้ ก็จะนำพาจิตเข้าสู่สภาวะความมีจิตที่ตั้งมั่น (อานาปานสติ จตุกกะ ๓ ข้อที่ ๓) จนถึงการปล่อยจิตที่ตั้งมั่นแล้วนั้น ให้เป็นไปเช่นนั้นเองโดยไม่ต้องคอยประคองจิตให้ตั้งมั่นอยู่อีก (อานาปานสติ จตุกกะ ๓ ข้อที่ ๔) :b46: :b47: :b39:

ซึ่งตรงนี้คือการเจริญอานาปานสติผ่านการเดินจงกรมนั่นเอง :b46: :b47: :b46:

และณ.จุดที่จิต ปล่อยให้จิตตั้งมั่นได้เองโดยไม่ต้องประคองอีกแล้วนี้นั้น ก็จะเป็นจุดเชื่อมต่อจะหว่างจิต กับสัจจภาวะ :b46: :b47: :b46:


จิตไม่เกาะอะไร อิสระอย่างแท้จริง เป็นธรรมชาติของจิตแต่คนส่วนมากไม่รู้ หลงไปเกาะสิ่งภายนอกโดยการไหลไปทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ



จะเดิน นั่ง นอน วิ่ง แม้แต่อ่านหนังสือ ทุกอิริยาบทเลย ทำได้ นี่แหละสุขสบายของแท้จากภายในยากในการเริ่มต้นเท่านั้นเอง อานิสงค์นี้เห็นๆกันในชาตินี้ของทุกลมหายใจ

:b38: :b38: :b38: :b38:


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อกันครับ :b1:

คราวที่แล้วเล่าถึงปรัชญาในการเดินจงกรมแบบเซ็น :b46: :b47: :b41:

ซึ่งถ้าเข้าถึง "เซ็น" ได้จริงๆแล้ว ก็จะเห็น และเกิดความรู้สึกซาบซึ้งได้ในความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่ง โดยไม่มีการแบ่งแยก :b48: :b47: :b48:

หรืออย่างน้อย ถ้ายังไม่สามารถเข้าถึงเซ็น เพียงแค่เห็นว่า เรานั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในเจ็ดพันกว่าล้านคนที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ หรือเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งของธรรมชาติ เป็นเพียงสิ่งเล็กๆภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เป็นเพียงเศษธุลีของจักรวาล :b46: :b47: :b41:

เพียงแค่นี้ ก็ทำให้ลดละมานะอัตตาตัวตนลงไปได้มากแล้วละครับ :b1: :b46: :b39:


ซึ่งในการเดินจงกรมชมธรรมชาติในยามเช้า มีธรรมะให้สังเกตได้อีกอย่างก็คือ กายกับใจนั้น เป็นคนละส่วนกัน แต่ก็เป็นเหตุปัจจัยอาศัยอยู่ร่วมกัน พึ่งพิงซึ่งกันและกัน :b49: :b50: :b51:

บางสถานการณ์ อย่างเช่นการเดินจงกรมชมธรรมชาติในยามเช้าด้วยระยะทางยาวๆ หรือตอนที่ไปเที่ยวแล้วต้องปีนเขา หรือเดินทางด้วยเท้าเยอะหน่อย จะเห็นกายกับใจแยกกันอยู่ด้วยสภาวะคนละสภาวะ :b46: :b47: :b42:

คือเห็นใจที่เป็นสุข ซึ่งเป็นคนละสิ่ง แต่อยู่ร่วมกันกับกายที่กำลังถูกบีบคั้น เป็นทุกข์ :b48: :b49: :b48:


เคยเดิน + ปีนขึ้นภูกระดึงกันมั้ยครับ :b1: :b46: :b39:

ถ้าใครเคยเดิน + ปีนขึ้นภูกระดึงคงรู้ดีนะครับว่า แค่จุดพักต้นๆ เช่นซำแฮกนั้น มันก็เริ่มแฮกสมชื่อจริงๆ :b5: :b46: :b39:

แล้วถ้าแบกเป้ขึ้นภูไปด้วย ตอนถึงยอดภูที่หลังแปนั้น มันน่ายกมือไหว้คนตั้งชื่อที่ตั้งชื่อได้เหมาะสมจริงๆ :b5: :b46: :b39:

แต่เมื่อปีนขึ้นถึงหลังแปแล้ว จะเห็นได้เลยว่า ใจเกิดความสุขจากวิวที่สวยงามของธรรมชาติ และการประสบความสำเร็จที่สามารถปีนขึ้นได้ถึงยอดภู :b4: :b46: :b47: :b47:

แต่กายนั้นตกอยู่ในสภาวะตรงกันข้าม คือกำลังเป็นทุกข์เพราะโดนบีบคั้นจากการถูกใช้งานมาอย่างหนัก สะบักสะบอมจนขาตึงน่องระบม :b5: :b46: :b47:

ซึ่งณ.จุดนั้น จะเห็นได้เลยนะครับว่า กายกับใจนั้นเกิดอาการขึ้นคนละอาการ แยกกันอยู่คนละส่วน แต่ต่างก็พึ่งพิงอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ :b47: :b46: :b47:


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 27 ก.ย. 2015, 11:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หรือเหมือนกับตอนทานอาหารเผ็ดๆนะครับ ปากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น กำลังแสบร้อนเป็นทุกข์จากการโดนสาร Capsaicin ที่อยู่ในพริกแผดเผา แต่ใจเป็นสุข เอร็ดอร่อยจากการได้ทานอาหารที่ถูกปาก :b46: :b47: :b48:

หรือจะสังเกตการแยกกันระหว่างกายกับใจ ในตอนที่กายเป็นสุข ใจเป็นสุข (เช่น ตอนที่ได้รับการนวดเฟ้นให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย การได้นอนบนเตียงหนานุ่มเปิดแอร์เย็นสบาย), หรือกายเป็นสุข แต่ใจเป็นทุกข์ (เช่น ตอนทานอาหารอร่อยแต่ใจกังวลไปกับเรื่องงาน) :b47: :b48: :b49:

หรือกายเป็นทุกข์ และใจเป็นทุกข์ (เช่น ตอนปวดท้องหนักแล้วหาห้องน้ำไม่ได้ หรือตอนอากาศร้อนแล้วใจหงุดหงิด) ก็ได้นะครับ แต่จะสังเกตอาการแยกกันอยู่ของกายใจได้ยากกว่าในขณะที่กายเป็นทุกข์แต่ใจเป็นสุข :b46: :b42: :b46:

เพราะตอนที่ใจเป็นสุข แต่กายเป็นทุกข์ อาการของกายที่ตรงกันข้ามกับใจ จะทำให้ใจเกิดสติสัมปชัญญะสมาธิ เข้ามาสังเกตสภาวะที่ต่างกันออกไปได้ง่ายกว่าใจกับกายที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ :b46: :b47: :b48:

และใจที่เป็นสุข จะทำให้สติสัมปชัญญะสมาธิ เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าใจที่จมอยู่ในความทุกข์นะครับ :b1: :b49: :b51:

ดังนั้น ในขณะที่ใจเป็นสุข แต่กายเป็นทุกข์ เช่น ขณะเดินจงกรมชมธรรมชาติแล้วเมื่อยขา เราสามารถสังเกตเห็นได้เลยว่า ความเมื่อยไม่ได้อยู่ที่ใจ แต่อยู่ที่ขา :b51: :b50: :b49:

และความสุขนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่ขา แต่แช่มชื่นอยู่ในใจ :b46: :b47: :b41:


แต่ถ้าไม่ได้เดินจงกรมชมธรรมชาติ แต่เป็นการเดินในหน้าที่การงาน เช่น เดินไปขึ้นรถเมล์ตอนเช้า ก็จะเห็นอาการอีกอย่างที่เป็นเหตุปัจจัยกัน นั่นคือ กายที่ถูกบีบคั้นเป็นทุกข์ อาจจะนำพาให้ใจหงุดหงิด เป็นทุกข์ตามไปด้วย :b49: :b55: :b51:


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นคือสิ่งที่เล่าไว้ในคราวที่แล้วนะครับว่า :b46: :b47: :b39:

ทรัพยากร หรือเหตุปัจจัยที่ทำให้ใจเป็นสุขนั้น มีพร้อมอยู่แล้วในใจนั่นเอง ไม่ว่ากายจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เป็นสุขหรือเป็นทุกข์แค่ไหน :b48: :b47: :b46:

เพียงแต่ว่า เรามีความสามารถที่จะฝึก จนกระทั่งทรัพยากรหรือเหตุปัจจัยเหล่านั้น สามารถออกมาทำงานให้ใจเป็นสุข ในทุกสถานการณ์ได้อย่างไร :b49: :b50: :b51:


และการฝึกตรงนี้ จะมีประโยชน์มากเวลาที่กายป่วยไข้ไม่สบาย โดยใจที่ถูกฝึกดีแล้ว จะเฝ้าดูกายอยู่ห่างๆ ไม่เป็นทุกข์หรือป่วยตามกายไปด้วย อีกทั้งมีปัญญารักษากายให้หายป่วยไข้ไปตามเหตุปัจจัย เช่น สั่งกายให้พากายไปหาหมอ หรือเอายามาให้กายทาน ฯลฯ :b46: :b47: :b46:

และใจที่ไม่ป่วยตามกายไปด้วย ก็จะพาให้กายหายป่วยได้ไวขึ้น โดยเฉพาะนักปฏิบัติที่เข้าถึงธรรมปีติ ด้วยการสวดบทโพชฌงค์ หรือระลึกถึงสัญญาต่างๆที่นำให้เกิดธรรมปีติตามบทสวดในคิริมานนทสูตร ตามที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้นะครับ :b1: :b46: :b39:


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=35471&start=642

และเช่นเดียวกับการเฝ้าดูเวทนาทางกายในอิริยาบถใหญ่อื่นๆนะครับ ถ้าแยกใจได้เด็ดขาดออกจากกายด้วยสติสัมปชัญญะและกำลังของสมาธิที่เข้มแข็งต่อเนื่อง แล้วเฝ้ารู้กายอยู่ด้วยใจที่วางเฉย .. :b47: :b46: :b47:

จะเห็นเลยนะครับว่า ความบีบคั้นปวดเมื่อย หรือเวทนาทางกาย จะอยู่แค่ที่กาย ไม่ได้เข้ามาอยู่ที่ใจ ถ้าใจไม่เข้าไปจับและจมแช่เป็นทุกข์กับความบีบคั้นนั้น ใจจะโปร่งโล่งวางเฉย ดูธาตุขันธ์ทำงานภายใต้ความบีบคั้นอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติ "เช่นนั้นเอง" ตามเหตุตามปัจจัย :b46: :b47: :b46:

ซึ่งการฝึกแยกใจออกจากกายในอิริยาบถ "นอน" นี้ จะมีประโยชน์อีกประการหนึ่งที่ได้ใช้และเห็นได้ชัดสำหรับการนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็คือ .. :b50: :b55: :b50:

เมื่อขณะร่างกายป่วยไข้ไม่สบาย ความคุ้นชินในการแยกใจออกมาเป็นผู้ดูกายขณะที่ต้องนอนแบบอยู่บนเตียง จะสามารถลดความทุกข์ที่เกิดขึ้นลงได้ ทั้งทุกข์ทางใจที่ไม่เกิดขึ้นอยู่แล้วในขณะมีสติสมาธิเฝ้าดูกายอยู่ กับทุกข์ทางกายที่สามารถลดลงและหายจากอาการป่วยไข้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป :b39: :b39: :b39:


เนื่องจากจิตที่เฝ้าดูกายอันประกอบด้วยสมาธิ และถ้าเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิมาจนได้ฌาน เมื่อเฝ้าดูกายอย่างต่อเนื่องถึงจุดหนึ่งจิตจะเข้าฌาน (ฌานสมาบัติ) ทำให้เกิดปีติ สุข อุเบกขา อันเกิดแต่สมถะ :b1: :b46: :b39:

หรือถ้าไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ แต่เพียรพิจารณาขันธ์ที่เนื่องด้วยอาการป่วยไข้ด้วยสติปัฏฐาน (สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์) จนเกิดธรรมปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) และอาการผ่อนคลายคือปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) เข้าสู่สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) และอุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) จนเข้าถึงสภาพของความไม่มีตัวตนหรืออนัตตา/สูญญตา (วิชชาและวิมุตติ ซึ่งถ้าเคยเข้าได้แล้วตรงนี้ก็คือการเข้าผลสมาบัติ) แล้วละก็ :b1: :b46: :b39:

สภาวะปีติ สุข ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ฯลฯ ไม่ว่าด้วยกำลังของสมถะล้วนๆ (ฌานสมาบัติ) หรือสมถะร่วมกับวิปัสสนา (ผลสมาบัติ) ดังกล่าว จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสาร Endogenous Morphine หรือที่เรียกชื่อย่อว่า Endorphins จาก Pituitary Grand & Hypothalamus ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยลดความเจ็บปวดและช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับเข้าสู่สภาวะปรกติได้เร็วขึ้นด้วยนะครับ :b1: :b46: :b39:


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 27 ก.ย. 2015, 11:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และตรงนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่พระอริยเจ้าตั้งแต่ระดับโสดาบัน คือผู้ที่เคยเห็นแจ้งในพระนิพพานมาแล้ว เวลาป่วยไข้และได้ฟังโพชฌังคปริตร, อาพาธสูตร (คิริมานนทสูตร), หรือบทสวดใดก็ตามที่เนื่องด้วยเส้นทางที่เข้าสู่การเห็นแจ้งในพระนิพพาน จะเกิดธรรมปีติ เกิดความผ่อนคลายสงบลงทั้งกายใจคือปัสสัทธิ เข้าสู่สมาธิและอุเบกขาจนอาการป่วยไข้ทุเลาลงได้โดยเร็ว :b51: :b50: :b51:

แต่ก็ต้องทานยาปฏิบัติดูแลต่อร่างกายให้เหมาะสมกับอาการของการเจ็บป่วยด้วยนะครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ทำให้เจ็บไข้ เพราะเรื่องเจ็บไข้ พระบรมครูจำแนกคนไข้ไว้ ๓ จำพวกคือ :b8: :b46: :b44:


คนไข้ประเภทแรก ได้โภชนะที่สบายหรือไม่ได้ก็ตาม ได้เภสัชที่สบายหรือไม่ได้ก็ตาม ได้อุปัฏฐากที่สมควรหรือไม่ได้ก็ตาม ย่อมไม่หายจากอาพาธนั้นได้เลย (คือรักษาอย่างไรก็ไม่หาย) :b5: :b46: :b41:

คนไข้ประเภทที่ ๒ ได้โภชนะที่สบายหรือไม่ได้ก็ตาม ได้เภสัชที่สบายหรือไม่ได้ก็ตาม ได้อุปัฏฐากที่สมควรหรือไม่ได้ก็ตาม ย่อมหายจากอาพาธนั้นได้ (คือรักษาไม่รักษาก็หายได้เอง) :b4: :b46: :b39:

และ

คนไข้ประเภทที่ ๓ ได้โภชนะที่สบายจึงหายจากอาพาธนั้น เมื่อไม่ได้ย่อมไม่หาย ได้เภสัชที่สบายจึงหายจากอาพาธนั้น เมื่อไม่ได้ย่อมไม่หาย ได้อุปัฏฐากที่สมควรจึงหายจากอาพาธนั้น เมื่อไม่ได้ย่อมไม่หาย (คือ ต้องดูแลรักษาถึงหาย ไม่ดูแลรักษาก็ไม่หาย) :b1: :b46: :b39:

และเหตุปัจจัย (สมุฏฐาน) ของอาการเจ็บไข้ หรือความแปรปรวนไปของรูป ก็มีเหตุปัจจัยเดียวกับการเกิดขึ้นของรูป (รูปสมุฏฐาน) ได้แก่ กรรม จิต อุตุ อาหาร นั่นเอง :b48: :b47: :b46:

โดยการแก้ไข ก็ต้องดูว่าอาการเจ็บไข้นั้นเนื่องมาจากเหตุปัจจัยอะไร :b48: :b49: :b50:

ซึ่งการแยกใจออกจากกาย เฝ้าดูกายที่ถูกอาการป่วยไข้มากระทบเฉยอยู่ เป็นแค่การทำให้การกระทบถูกบีบคั้นจนปรวนแปรไปของรูป (ทุกขัง + อนิจจังแห่งรูป) ไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์กระแทกซ้ำขึ้นในจิตในใจเป็นดอกสองได้อีก ตามที่พระบรมครูทรงเปรียบเหมือนกับบุรุษที่ถูกยิงด้วยลูกศรเพียง ๑ ดอกในสัลลัตถสูตร :b46: :b39: :b46:

ซึ่งการใช้ฌานสมาบัติและผลสมาบัติเข้าช่วย อาจจะทำให้อาการป่วยไข้ทางกายดีขึ้นจนถึงหายได้บ้างในบาง case แต่ก็ต้องอย่าลืมที่จะจัดเตรียมโภชนะ เภสัช และอุปัฏฐากที่เหมาะสมกับสมุฏฐานของโรคด้วยนะครับ :b1: :b50: :b49: :b50:


คิลานสูตร พระผู้มีพระภาคหายประชวรด้วยโพชฌงค์ ๗
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=2549&Z=2568&pagebreak=0
คิลานสูตร พระมหาโมคคัลลานะหายอาพาธด้วยโพชฌงค์ ๗
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=2523&Z=2548&pagebreak=0
คิลานสูตร พระมหากัสสปหายอาพาธด้วยโพชฌงค์ ๗
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=2498&Z=2522&pagebreak=0
คิลานสูตร จิตตั้งมั่นในสติปัฏฐานทุกขเวทนาไม่ครอบงำ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=7436&Z=7457&pagebreak=0
อาพาธสูตร พระคิริมานนท์หายอาพาธด้วยสัญญา ๑๐
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=2597&Z=2711&pagebreak=0
ทุสีลยสูตร ท่านอนาถบิณฑิกหฤหบดีหายอาพาธด้วยการจำแนกโสตาปัตติยังคะ ๔ ด้วยอาการ ๑๐
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=19&A=9064
คิลานสูตร ว่าด้วยคนไข้ ๓ จำพวก
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=3167&Z=3200&pagebreak=0
สัลลัตถสูตร ว่าด้วยเวทนาเปรียบด้วยลูกศร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=5572&Z=5634&pagebreak=0


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คราวนี้หลังจากเดินจงกรมเสร็จ ก็คงต้องหาอาหารเช้ามาบำบัดความหิวกระหาย :b47: :b48: :b49:

ถ้าเป็นพระ ก็คือการฉันเช้าหลังจากออกเดินบิณฑบาตเสร็จนั่นเองครับ :b1: :b46: :b39:

ซึ่งการทานข้าวเช้า (หรือมื้อไหนๆก็ตาม) ก็เป็นกิจกรรมที่เอาไว้สำหรับฝึกสติสัมปชัญญะได้ดีมากอีกกิจกรรมหนึ่ง :b49: :b50: :b49:

แล้วฝึกทานข้าวอย่างมีสติอย่างไร ? :b46: :b47: :b48:

ก็เป็นดังตัวอย่างที่หลวงปู่นัท ฮันห์ท่านบอกไว้นะครับ คือทานข้าวเพื่อทานข้าว มีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่กับการเคลื่อนไหว มือที่จับช้อนส้อมเอาอาหารใส่เข้าปากให้พอดีคำโดยไม่ให้มีเสียง ทั้งเสียงช้อนส้อมกระทบจาน และเสียงในการบดเคี้ยวอาหาร :b46: :b47: :b46:

โดยค่อยๆบดย่อยค่อยๆเคี้ยวอาหารอย่างละเอียด ด้วยความอิ่มเอม เบิกบานกับการรับรู้รสชาติของอาหาร โดยไม่ฟุ้งคิดไปถึงเรื่องอื่นเรื่องใด ให้มีจิตใจที่จดจ่อ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่แต่การทานอาหารเท่านั้น :b49: :b50: :b51:

แต่ถ้าจิตฟุ้งออกจากการทานอาหารไปคิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ ก็ให้รู้ทันในการฟุ้ง และกลับมาสู่การทานข้าวเพื่อทานข้าว มีความสุขและความเบิกบานกับการทานข้าวต่อไป :b48: :b47: :b54:


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วฝึกทานข้าวอย่างมีสัมปชัญญะอย่างไร ? :b49: :b50: :b51:

ประการแรก ในขณะทานข้าวนั้น นักปฏิบัติจะต้องมีความรู้ชัดว่า เราทานข้าวไปเพื่ออะไร

ซึ่งถ้าเป็นพระ ก็จะต้องสวดบทตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ คือบทพิจารณาอาหารก่อนจะฉันข้าวนั่นเองครับ เพื่อเตือนตนให้มีปัญญาสัมปชัญญะ (สาตถกสัมปชัญญะ) ว่า จุดมุ่งหมายของการทานข้าวนั้น เป็นไปเพื่ออะไร


ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ
เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วฉันบิณฑบาต;

เนวะ ทะวายะ,
ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน;

นะ มะทายะ,
ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลัง พลังทางกาย;

นะ มัณฑะนายะ,
ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ;

นะ วิภูสะนายะ,
ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง;

ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา,
แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้;

ยาปะนายะ,
เพื่อความเป็นไปได้ของอัตภาพ;

วิหิงสุปะระติยา,
เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย;

พรัห๎มะจะริยานุคคะหายะ,
เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์;

อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ,
ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่าคือความหิว;

นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ,
และไม่ทำทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น;

ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ ฯ
อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วย ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุขด้วย จักมีแก่เรา ดังนี้;


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยนักปฏิบัติไม่จำเป็นที่จะต้องสวดเหมือนพระท่านหรอกนะครับ เพียงแค่ให้ระลึกและรู้ชัดก่อนทานข้าวและขณะทานข้าวได้ว่า เราทานข้าวไปเพื่ออะไร :b46: :b47: :b48:

ซึ่งถึงแม้อาหารจะไม่ค่อยอร่อย ไม่ค่อยถูกปากเพียงไหน แต่ถ้ามีมุมมองที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ต่อการทานข้าวเช่นนี้แล้ว การทานข้าวด้วยสติสัมปชัญญะและสมาธิ ก็จะเป็นการทานข้าวที่ก่อให้เกิดความอิ่มเอม เบิกบาน ในทุกขณะที่ทานข้าวได้ทุกเมื่อแล้วละครับ :b1: :b46: :b39:

ประการต่อมาในการฝึกสัมปชัญญะขณะทานข้าวก็คือ ผู้ทานจะต้องมีปัญญารู้ชัดในอาหารที่พอเหมาะพอดี คือถูกสุขลักษณะ มีธาตุอาหารครบถ้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และในปริมาณที่ไม่น้อยหรือไม่มากจนเกินไป เพื่อให้เกิดความสบายกายสบายท้อง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับการปฏิบัติ (สัปปายสัมปชัญญะ)
:b51: :b50: :b53:

โดยการทานข้าวให้พอดีอิ่มนั้น องค์พระสารีบุตรก่อนที่ท่านจะปรินิพพาน และพ่อแม่ครูอาจารย์สายวัดป่าท่านได้สอนไว้ว่า ให้ทานข้าวในปริมาณที่ว่า ถ้าทานอีก ๔-๕ คำแล้วอิ่ม ก็กะให้ได้ปริมาณที่ไม่รวม ๔-๕ คำนั้น แล้วจึงดื่มน้ำตาม ก็จะเป็นปริมาณที่อิ่ม ที่อยู่สบาย พอดีท้อง และเอื้อต่อการปฏิบัติในการละกามฉันทะด้วยนะครับ :b1: :b46: :b39:

สารีปุตตเถรคาถา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=26&item=396
อรรถกถาของสัมปันนสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=292
อรรกถานิกเขปกัณฑ์ http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... =34&i=836#อรรกถานิกเขปกัณฑ์


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมปชัญญะอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้ปฏิบัตินั้น จะต้องตระหนักชัดว่า เรากำลังทานอาหารเพื่อทานอาหาร :b46: :b47: :b46:

คือมีสติรู้ในแดนงานของตนในขณะนั้นว่ากำลังทำอะไร ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งไปกับความคิด :b48: :b49: :b50:

แต่ถ้าจิตฟุ้งออกจากการทานอาหารไปคิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ ก็ให้รู้ทันในการฟุ้ง และกลับมาสู่การทานข้าวเพื่อทานข้าว มีความสุขและความเบิกบานกับการทานข้าวต่อไป (โคจรสัมปชัญญะ)
:b46: :b47: :b39:

ส่วนข้อสุดท้าย คือรู้ชัดในรสชาติหรือโอชาของอาหาร รู้ชัดในขณะบดเคี้ยวว่า สิ่งที่กำลังทานอยู่นั้นคือการรวมกันของธาตุต่างๆ ซึ่งเมื่อกลืนลงท้องไปแล้ว ก็จะถูกย่อยจนเป็นส่วนหนึ่งของรูปกาย ส่วนที่เหลือก็จะกลายเป็นธาตุที่ถูกขับถ่ายออกไป

ซึ่งเมื่อแยกย่อยไปแล้ว ไม่เห็นมีส่วนไหนเป็นตัวตนของเราได้เลย เป็นเพียงก้อนธาตุที่พึ่งพิงอาศัยกันเปลี่ยนรูปร่างและสถานะไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร :b47: :b46: :b41: :b41:

คือ แม้อาหารก็เป็นศูนยตา แม้รูปกายก็เป็นศูนยตา (อสัมโมหสัมปชัญญะ) :b46: :b47: :b39:


และนี่คือการฝึกสติสัมปชัญญะในการทานอาหารด้วยคติตามแนวเถรวาทบวกเซ็นมหายาน :b49: :b50: :b51:

แล้วมาต่อกันในคราวหน้านะครับ :b1: :b46: :b39:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 08:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ความรู้สึกของนักปฏิบัติที่หาทางพ้นจากทุกข์ แนวทางที่หลากหลาย ความไม่เข้าใจนัยยะของแต่ละวิธีที่มีทั้งจุดดีและจุดด้อยในตัวเอง ผู้ลอยคอในห้วงน้ำที่หาทางเข้าฝั่ง ผู้พบกัลยาณมิตร ก็มีโอกาสได้ฟังธรรมปรับประยุกต์กับสภาพของตน โดยไม่มีวิธีที่ดีที่สุดที่ใช้ได้สำหรับทุกคน จึงต้องปรับความเข้าใจให้ตรงทาง และเมื่อวันที่ถูกทางมาถึงพบสภาวะความอิสระจากแรงงร้อยรัดของตัณหา (ไม่ใช่สมาธิที่เข้าสู่ความว่างที่ยังมีศุนย์กลางของความว่าง) ซึ่งเรียกว่านิพพานเทียม แต่พบความดับ(ความดับพิเศษที่ไม่ใช่ความเกิดดับทั่วไป)และเกิดผลความว่างพิเศษที่เป็นส่วนเดียวกับธรรมชาติไม่มีเขตแดน พร้อมจิตใจใหม่ที่ไม่กลับไปเป็นแบบเดิมๆอีก ความลังเลสงสัยในแนวทางปฏิบัติก็หมดไป เมื่อรู้แล้วจึงไม่สีลพตปรามาส ศูนย์กลางของจิตหายไป(อัตตาหายไปหรือสักกายทิฏฐิถูกทำลายไป)


โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2015, 09:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 10:09
โพสต์: 24

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


น่าสนใจ ... คงต้องอ่าน ศึกษา ปฏิบัติ ... อีกนาน

.....................................................
เรื่องเล่านิทานธรรมะ นิทานสั้น ๆ บทความธรรมะสั้น สนุก อ่านแล้วได้ความรู้ อ่านแล้วได้ความบันเทิง สนใจอ่าน นิทาน ธรรมะ คติ สอน ใจ สั้นๆ เชิญที่ นิทานธรรมะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 75, 76, 77, 78, 79, 80, 81 ... 95  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร