วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 15:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


หลายท่านที่ฝึกสมาธิวิปัสสนา ด่านที่ยากที่สุดคืออานาปานสติ แต่เชื่อว่าทุกๆท่านในที่นี้ก็พยายามฝึกลมหายใจเข้าออก

อยากถามความเข้าใจในความหมายของอานาปานสติ ว่า ท่านเอาอะไรเข้าไปฝึกรู้

เอาจิตเข้าไปรู้หรือเอาสังขารเข้าไปรู้ เช่น ถ้าเอาจิตเข้าไปตั้ง เราเองตั้งอยู่ที่ลมหายใจ หรือตั้งอยู่ที่อก หรือตั้งอยู่ที่ท้อง หากถามผมเอง ผมตั้งอยู่ที่อะไรก็ได้ที่จิตแล่นไปกระทบ แต่ขอให้มีสติ แต่วกกลับมาตั้งอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก คือไม่บังคับจิตไว้ที่เดียว เพราะธรรมชาติของจิตคือแล่นไป คือลมหายใจเข้าออกนั้น เกิดดับช้ากว่าจิต คือจิตมีช่องที่จะแล่นไป เช่น หูได้ยินเสียง ผิวกระทบ ร้อนหนาวของกาย กลิ่น และต่างๆ

ทีนี้ ผมใช้สังขารขันธ์เข้าไปรู้ คือรู้ว่า อยาบ หรือละเอียด ของลมหายใจอย่างเดียว คือตั้งเจตนาอยู่ที่ลมหายใจ ไม่หลงลืม และรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้าออก

ผมได้พิจารณาตอนนั่งสมาธิ และมีความเห็นว่า เราตั้งสังขารขันธ์ที่ลมหายใจเข้าออกได้ แต่เราไม่สามารถบังคับจิต(วิญญาณขันธ์)ให้ตั้งอยู่ที่ลมหายใจตลอดเวลาได้โดยไม่แล่นไปที่อื่นเลย

ทุกท่านมีความเห็นว่าอย่างไรครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 17:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ถ้าจะเจริญอานาปานสติให้สมบูรณ์แบบตามอานาปานสติสูตร จะต้องเป็นไปตาม 16. ขั้นตอนของอานาปานสติ

แต่อานาปานสติอย่างที่student พูดนั้นเป็นอานาปานสติประยุกต์ คือแค่เอาลมหายใจเข้าออกเป็นกรรมฐาน ถ้ามีบริกรรมพุทโธ หรือหนอตามด้วยก็เป็นพุทธานุสติและสมถะกรรมฐาน

อันที่จริงการเจริญอานาปานสตินั้นเป็นการเจริญสมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนา

ถ้าจิตยึดลมเป็นสมถะภาวนา

ถ้าจิตสังเกตพิจารณาลมและผลของการสงบรำงับไปของลม จะเป็นวิปัสสนาภาวนา ลองไปวิเคราะห์ดูจาก 16. ขั้นตอนของอานาปานสตินะครับ

onion


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 18:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
.
ถ้าจิตยึดลมเป็นสมถะภาวนา

ถ้าจิตสังเกตพิจารณาลมและผลของการสงบรำงับไปของลม จะเป็นวิปัสสนาภาวนา ลองไปวิเคราะห์ดูจาก 16. ขั้นตอนของอานาปานสตินะครับ
onion


:b8: :b8: :b8:
ถ้าใครจะช่วยอธิบายความแตกต่างให้ชัดเจนกว่านี้ได้
เอาประมาณ....อารมณ์จริงๆเลยยิ่งจะทำให้เข้าใจง่าย
:b20: จะเป็นความกรุณามากเลยค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 18:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45:


หลักปฏิบัติอานาปานสติสูตร..โดยท่านพุทธทาส

อานาปานสติ เป็นหลักในการดำเนินชีวิต และเป็นจิตภาวนาวิธีที่มีความสำคัญมากในพระพุทธศาสนา คืออำนวยประโยชน์ให้ทั้งสมถะและวิปัสสนา
ทำให้ชีวิตสงบเย็นและสว่างไสวด้วยธรรมะที่จำเป็นแก่การดำเนินชีวิต คือ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ และปัญญา พระบรมศาสดาจึงทรงชี้ชวนแนะนำ
ให้ภิกษุปฏิบัติให้มาก กระทำให้มาก โดยที่พระพุทธองค์ทรงเป็นอยู่ด้วย อานาปานสติวิหาร ทั้งเมื่อกาลตรัสรู้หรือหลังจากนั้น

ระบบปฏิบัติอานาปานสติภาวนาอันนี้ เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจ เพราะว่าเป็นระบบเดียวเท่านั้นที่ง่ายที่สุด ที่สะดวกที่สุด ที่สมบูรณ์ที่สุด ในการจะปฏิบัติ
ระบบอื่นจะไม่สมบูรณ์บ้าง จะกระท่อนกระแท่นบ้าง จะยากลำบากในการที่ต้องรื้อขนบ้าง ลมหายใจไม่ต้องรื้อถอน เพราะมันมีอยู่ในตัวเราแล้ว.
แต่ถ้าเราไปกำหนดกสิณ หรืออสุภะ จะต้องมีการรื้อขนไปมา ไปหา-มาหา ส่วนลมหายใจนี้มันมีอยู่ในตัวเราแล้ว ไปที่ไหนก็อยู่ที่นั่น กำหนดได้ง่าย
แล้วสบาย พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญในข้อนี้ คือว่าสะดวกและง่าย ทั้งไม่น่าหวาดเสียว ภาวะที่น่าหวาดเสียวจะไม่ปรากฏในระบบของ
อานาปานสติภาวนา ผิดจากระบบอื่นเช่น อสุภะ เป็นต้น จะมีอาการน่าหวาดเสียว.

ฉะนั้นจึงทรงแนะนำ อานาปานสติภาวนา แม้แก่ภิกษุที่เบื่อความเป็นอยู่จนถึงไปคิดฆ่าตัวเอง พระองค์ก็ทรงแนะนำกัมมัฏฐานระบบนี้
เพราะเป็นกัมมัฏฐานที่สัปปายะ ทำให้ มีความสบายยิ่งกว่ากัมมัฏฐานระบบใดหมด.

Tag : สติ สัมปชัญญะ สมาธิ หลักปฏิบัติ อา นา ปาน สติ สูตร พุทธ ทาส ภิกขุ หลักปฏิบัติ อา นา ปาน สติ สูตร อา นา ปาน สติ วิหาร ท่าน พุทธ ทาส อา นา ปาน สติ เป็นหลัก อา นา ปาน สติ ภาวนา อันนี้ อา นา ปาน สติ ภาวนา

ถูกใจ: 0

1 0 0
ความคิดเห็น
24 ตุลาคม 2553 เวลา 05:08 น.
ความคิดเห็นที่ 1

BoB
(เจ้าของกระทู้)
อานาปานสติ เป็นหลักในการดำเนินชีวิต และเป็นจิตภาวนาวิธีที่มีความสำคัญมากในพระพุทธศาสนา คืออำนวยประโยชน์ให้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ทำให้ชีวิตสงบเย็นและสว่างไสวด้วยธรรมะที่จำเป็นแก่การดำเนินชีวิต คือ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ และปัญญา พระบรมศาสดาจึงทรงชี้ชวนแนะนำให้ภิกษุปฏิบัติให้มาก กระทำให้มาก โดยที่พระพุทธองค์ทรงเป็นอยู่ด้วย อานาปานสติวิหาร ทั้งเมื่อกาลตรัสรู้หรือหลังจากนั้น

พระพุทธองค์ทรงเป็นอยู่ด้วยอานาปานสติ
ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ ย่อมมีอานิสงส์ใหญ่

ภิกษุทั้งหลาย ! แม้เราเอง เมื่อยังไม่ตรัสรู้ ก่อนกาลตรัสรู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นอันมาก

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นอันมาก กายก็ไม่ลำบาก ตาก็ไม่ลำบาก และจิตของเราก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน

ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุปรารถนาว่า “กายของเราไม่พึงลำบาก ตาของเราไม่พึงลำบาก และจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน” ดังนี้แล้วไซร้ อานาปานสติสมาธินี่แหละ อันภิกษุนั้น พึงทำไว้ในใจให้เป็นอย่างดี

พุทธพจน์ … เอกธัมมวัคค์ อานาปานสังยุตต์ … มหาวาร.ส. (19/400/1324)

“อานาปานสติภาวนา” แบ่งเป็น 4 หมวด หมวดละ 4 ขั้น รวมเป็น 16 ขั้น
หมวดที่ 1 กำหนดเรื่อง กาย คือลมหายใจ
หมวดที่ 2 กำหนดเรื่องเวทนา
หมวดที่ 3 กำหนดเรื่องจิต
หมวดที่ 4 กำหนดในเรื่องธรรมที่ปรากฏแก่จิต

จึงเป็นสติปัฏฐานสี่ มีการปฏิบัติติดต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดระยะ ทั้ง 16 ขั้น ระบบปฏิบัติอานาปานสติภาวนาอันนี้ เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจ เพราะว่าเป็นระบบเดียวเท่านั้นที่ง่ายที่สุด ที่สะดวกที่สุด ที่สมบูรณ์ที่สุด ในการจะปฏิบัติ ระบบอื่นจะไม่สมบูรณ์บ้าง จะกระท่อนกระแท่นบ้าง จะยากลำบากในการที่ต้องรื้อขนบ้าง ลมหายใจไม่ต้องรื้อถอน เพราะมันมีอยู่ในตัวเราแล้ว. แต่ถ้าเราไปกำหนดกสิณ หรืออสุภะ จะต้องมีการรื้อขนไปมา ไปหา-มาหา ส่วนลมหายใจนี้มันมีอยู่ในตัวเราแล้ว ไปที่ไหนก็อยู่ที่นั่น กำหนดได้ง่ายแล้วสบาย พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญในข้อนี้ คือว่าสะดวกและง่าย ทั้งไม่น่าหวาดเสียว ภาวะที่น่าหวาดเสียวจะไม่ปรากฏในระบบของ อานาปานสติภาวนา ผิดจากระบบอื่นเช่น อสุภะ เป็นต้น จะมีอาการน่าหวาดเสียว. ฉะนั้นจึงทรงแนะนำ อานาปานสติภาวนา แม้แก่ภิกษุที่เบื่อความเป็นอยู่จนถึงไปคิดฆ่าตัวเอง พระองค์ก็ทรงแนะนำกัมมัฏฐานระบบนี้ เพราะเป็นกัมมัฏฐานที่สัปปายะ ทำให้ มีความสบายยิ่งกว่ากัมมัฏฐานระบบใดหมด.
อ้างถึง
24 ตุลาคม 2553 เวลา 05:11 น.
ความคิดเห็นที่ 2

BoB
(เจ้าของกระทู้)
อานาปานสติ ที่ยกเอาพระสูตรมาโดยเฉพาะนี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้องและสิ้นเชิง หากไปพบชื่อกัมมัฏฐานที่กล่าวถึงอานาปานสติในแห่งอื่น เช่นในบัญชีชื่อหนึ่งในสิบ ของอนุสสติ 10 เป็นต้น ในนั้นเขาไม่อธิบายอย่างนี้. แม้ใน “วิสุทธิมรรค” ก็ไม่อธิบายอานาปานสติอย่างข้อความที่เป็นพุทธภาษิตในอานาปานสติสูตรนี้ ได้แต่กล่าวถึงเพียงในฐานะเป็นอนุสสติ. และยังมีที่อื่นๆ เขาก็อธิบายอานาปานสติเพียงแค่ขั้นที่ 4 เท่านั้น ขั้นที่สูงกว่าขั้น 4 ไม่มี ถึงในอานาปานสติปัพพะของมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุด ก็อธิบายเพียงแค่ขั้นที่ 4 เท่านั้น.

ทั้ง 16 ขั้น ของอานาปานสติสูตรที่เราถือเป็นแนวนี้ มีขั้นคล้องจอง ลงตัวกันกับความเป็นจริง แม้บางคนบางแห่งเขาอาจจะกล่าวถึงขั้นปีติ และสุขว่าต้องผ่านขั้น 5 ก่อน จึงเป็น อัปปนาสมาธิ แต่ที่แท้ต้องเป็นฌานได้อัปปนาสมาธิที่ขั้นที่ 4 ก่อน แล้วจึงจะได้ปีติและสุขมาพิจารณา เรื่องนี้พวกเราต้องระมัดระวังมาก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวเท่านั้น จะเอาตัวรอดได้ คือแนวที่มาในอานาปานสติสูตรแห่งมัชฌิมนิกายนี้.

การปฏิบัติตามแนวของ อานาปานสติสูตร แห่งมัชฌิมนิกาย ในพระไตรปิฎก

เนื่องจากต้องมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง รู้ความที่มันสัมพันธ์กันแต่ต้นจนปลาย รู้ความมุ่งหมาย รู้มูลเหตุ คือความที่มองเห็นอยู่ว่า ไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่น เพราะไม่เที่ยง เป็นต้น และต้องการให้ความรู้สึกว่า ไม่เที่ยงและไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนี้ อยู่ในใจของเราประจำอยู่ตลอดเวลา แล้วเราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะจิตมันไม่ยอมทำ ไม่ยอมให้มีความเห็นอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา มันดิ้นรนที่จะเป็นอย่างอื่นเสีย ฉะนั้นจึงต้องมีวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจะบังคับปรับปรุงจิตให้อยู่ในวิสัยที่ยอมไปในทางจะมองเห็นความไม่เที่ยง หรือความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นนี้อยู่ตลอดเวลา ในวิธีการที่ว่านั้นก็คือ ระบอบของอานาปานสติ 16 ขั้น หรือที่เรียกว่า สติปัฏฐานสี่ ที่อยู่ใน รูปของอานาปานสติ 16 ขั้นนี้ (มาในอานาปานสติสูตร มัชฌิมนิกาย)

ขอให้เข้าใจเสียก่อนว่า สติปัฏฐานสี่นั้น ที่มีอยู่ในรูปอื่นอีกก็ยังมี เช่น กล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรทีฆนิกาย เป็นต้น ซึ่งในที่นั้น ก็เห็นแล้วว่าเพียงพูดถึงบัญชีรายชื่อหัวข้อธรรมเชิงปริยัติ ไม่ได้แสดงถึงแนวปฏิบัติโดยตรง และที่เป็นแนวติดต่อเนื่องกัน ฉะนั้นจึงยกไว้ในฐานะเป็นสติปัฏฐานสี่ทางปริยัติ ส่วนในอานาปานสติสูตร มัชฌิมนิกาย กล่าวถึงอานาปานสติ 16 ขั้นนั้นเป็นสติปัฏฐานสี่ที่อำนวยทางปฏิบัติ เพราะว่าในนั้นแสดงแนวของการปฏิบัติต่อกันมาตามลำดับ ตั้งแต่ต้นจนถึงอันดับสุดท้าย กล่าวคือ การบรรลุมรรคผล ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อง เปลี่ยนแนว เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องโน้น แต่ให้ทำในเรื่องเดียวกันตลอดเนื่องติดต่อกันไปอย่างที่จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่าอานาปานสติ หรือสติปัฏฐานสี่แห่งอานาปานสติสูตรนี้เป็นสติปัฏฐานในทางปฏิบัติ เป็นหลักในทางปฏิบัติ จึงได้นำมาแสดงให้เห็น ชี้ให้เห็นลำดับขั้น ดังนี้

ขั้นที่
1 เมื่อหายใจออก-เข้ายาว ก็รู้ (รู้จักการหายใจยาว) (ปชานาติ)
2 เมื่อหายใจออก-เข้าสั้น ก็รู้ (รู้จักการหายใจสั้น) (ปชานาติ)
3 รู้ “กายทั้งปวง” (รู้ข้อเท็จจริงทั้งปวงของกาย) (สพฺพกายปฏิสํเวที)
4 ระงับ “กายสังขาร (ทำกายสังขารให้รำงับ ๆๆ จนสมาธิปรากฏ) (ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ)
( 1-4 = หมวดที่ 1 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน)

ขั้นที่
5 รู้พร้อมเฉพาะปีติ (เป็นผลของการรำงับกายสังขาร) (ปีติปฏิสํเวที)
6 รู้พร้อมเฉพาะสุข (เป็นผลของการรำงับกายสังขาร) (สุขปฏิสํเวที)
7 รู้พร้อมเฉพาะจิตสังขาร (คือ ปีติ สุข ฯลฯ) (จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที)
8 ระงับ “จิตสังขาร” (ทำให้จิตสังขารรำงับลง ๆๆ) (ปสฺสมฺภยํ จิตฺสงฺขารํ)
(5-8 = หมวดที่ 2 เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน)

ขั้นที่
9 รู้พร้อมเฉพาะจิต (รู้ทั่วถึงลักษณะของจิตทุกชนิด) (จิตฺตปฏิสํเวที)
10 ทำจิตให้ปราโมทย์ (บังคับจิตให้ปราโมทย์ตามต้องการ) (ปโมทยํ จิตฺตํ)
11 ทำจิตให้ตั้งมั่น (บังคับจิตให้ตั้งมั่น ตามต้องการ) (สมาทหํ จิตฺตํ)
12 ทำจิตให้ปล่อย (บังคับจิตให้ปล่อยอารมณ์ในขณะนั้น) (วิโมจยํ จิตฺตํ)
(9-12 = หมวดที่ 3 จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน)

ขั้นที่
13 เห็นความไม่เที่ยง (เห็นธรรม คือ ความไม่เที่ยง) (อนิจฺจานุปัสฺสี)
14 เห็นความจางคลาย (เห็นธรรม คือ จางคลาย) (วิราคานุปสฺสี)
15 เห็นความดับ (เห็นธรรม คือ ดับกิเลส-ทุกข์) (นิโรธานุปสฺสี)
16 เห็นความสละคืน (เห็นธรรม คือ สลัดคืน) (ปฏินิสฺสคานุปสฺสี)
(13-16 = หมวดที่ 4 ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
อ้างถึง

คัดมาให้อ่านบางส่วนนะครับ

ลองเข้าไปพิมพ์ว่า อานาปานสติสูตรในกูเกิ้ลเขาจะค้นออกมาให้อ่านหลายสำนวนนะครับ ลองอ่านดูนะครับ

ให้สังเกต 16 ขั้นตอนให้ดีๆ สาระสำคัญอยู่ที่นั่นครับ
onion


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 20:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
ขอบคุณค่ะ
บทความนี้มีประโยชน์มาก


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ถ้าจะเจริญอานาปานสติให้สมบูรณ์แบบตามอานาปานสติสูตร จะต้องเป็นไปตาม 16. ขั้นตอนของอานาปานสติ

แต่อานาปานสติอย่างที่student พูดนั้นเป็นอานาปานสติประยุกต์ คือแค่เอาลมหายใจเข้าออกเป็นกรรมฐาน ถ้ามีบริกรรมพุทโธ หรือหนอตามด้วยก็เป็นพุทธานุสติและสมถะกรรมฐาน

อันที่จริงการเจริญอานาปานสตินั้นเป็นการเจริญสมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนา

ถ้าจิตยึดลมเป็นสมถะภาวนา

ถ้าจิตสังเกตพิจารณาลมและผลของการสงบรำงับไปของลม จะเป็นวิปัสสนาภาวนา ลองไปวิเคราะห์ดูจาก 16. ขั้นตอนของอานาปานสตินะครับ

onion


คำว่ายึดติดลม หมายถึงยึดติดการหายใจเข้าออก หรือยึดติดลม(อากาศธาตุ)

หรือยึดติดอารมณ์ที่เกิดจากการตั้งมั่นที่การหายใจ

หรือพิจารณาการหายใจ สั้นยาวก็รู้

จิตสังขารระงับก็รู้ (จิตสังขารระงับคืออะไร ก็คือ การที่มีติตตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน มีปัจจุบันเป็นฐานและมีความแน่วแน่)

การที่เรามีจิตตั้งมั่น นี่คือคำถามว่า มีวิญญาณขันธ์อยู่ที่เดียวหรือมีสังขารขันธ์ระงับ(คือเป็นปัจจุบันที่การหายใจหรือลมหายใจ)?

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


นักปฎิบัติบางคน เวลากำหนดลมหายใจ

มักจะอึดอัด คำว่าอึดอัดเป็นสังขารที่ระงับ

เพราะมีจิตตั้งมั่นที่ลมหายใจ เห็นความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง

แต่เนื่องจากมุ่งหวังความสงบ จึงรู้สึกว่าไม่ดี ทำผิด ควรหยุด ละจากลมหายใจ

แต่หากพิจารณาแล้ว

จะเห็นได้ว่ามีประโยชน์ เพราะกำหนดรู้ได้ทั้งวัน โดยจิตเป็นปัจจุบันอยู่อย่างนั้น แต่หากนั่งสมาธิอยู่เฉย
ก็จะรับรู้ถึงความละเอียดและธรรมต่างๆจะปรากฎขึ้นนั่นเอง ตามพระสูตรอานาปานสติ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 04:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
asoka เขียน:
ถ้าจะเจริญอานาปานสติให้สมบูรณ์แบบตามอานาปานสติสูตร จะต้องเป็นไปตาม 16. ขั้นตอนของอานาปานสติ

แต่อานาปานสติอย่างที่student พูดนั้นเป็นอานาปานสติประยุกต์ คือแค่เอาลมหายใจเข้าออกเป็นกรรมฐาน ถ้ามีบริกรรมพุทโธ หรือหนอตามด้วยก็เป็นพุทธานุสติและสมถะกรรมฐาน

อันที่จริงการเจริญอานาปานสตินั้นเป็นการเจริญสมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนา

ถ้าจิตยึดลมเป็นสมถะภาวนา

ถ้าจิตสังเกตพิจารณาลมและผลของการสงบรำงับไปของลม จะเป็นวิปัสสนาภาวนา ลองไปวิเคราะห์ดูจาก 16. ขั้นตอนของอานาปานสตินะครับ

onion


คำว่ายึดติดลม หมายถึงยึดติดการหายใจเข้าออก หรือยึดติดลม(อากาศธาตุ)

หรือยึดติดอารมณ์ที่เกิดจากการตั้งมั่นที่การหายใจ

หรือพิจารณาการหายใจ สั้นยาวก็รู้

จิตสังขารระงับก็รู้ (จิตสังขารระงับคืออะไร ก็คือ การที่มีจิตตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน มีปัจจุบันเป็นฐานและมีความแน่วแน่)

การที่เรามีจิตตั้งมั่น นี่คือคำถามว่า มีวิญญาณขันธ์อยู่ที่เดียวหรือมีสังขารขันธ์ระงับ(คือเป็นปัจจุบันที่การหายใจหรือลมหายใจ)?

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 06:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
student เขียน:
asoka เขียน:

ถ้าจะเจริญอานาปานสติให้สมบูรณ์แบบตามอานาปานสติสูตร จะต้องเป็นไปตาม 16. ขั้นตอนของอานาปานสติ

แต่อานาปานสติอย่างที่student พูดนั้นเป็นอานาปานสติประยุกต์ คือแค่เอาลมหายใจเข้าออกเป็นกรรมฐาน ถ้ามีบริกรรมพุทโธ หรือหนอตามด้วยก็เป็นพุทธานุสติและสมถะกรรมฐาน

อันที่จริงการเจริญอานาปานสตินั้นเป็นการเจริญสมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนา

ถ้าจิตยึดลมเป็นสมถะภาวนา

ถ้าจิตสังเกตพิจารณาลมและผลของการสงบรำงับไปของลม จะเป็นวิปัสสนาภาวนา ลองไปวิเคราะห์ดูจาก 16. ขั้นตอนของอานาปานสตินะครับ

onion


คำว่ายึดติดลม หมายถึงยึดติดการหายใจเข้าออก หรือยึดติดลม(อากาศธาตุ)

หรือยึดติดอารมณ์ที่เกิดจากการตั้งมั่นที่การหายใจ

หรือพิจารณาการหายใจ สั้นยาวก็รู้

จิตสังขารระงับก็รู้ (จิตสังขารระงับคืออะไร ก็คือ การที่มีจิตตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน มีปัจจุบันเป็นฐานและมีความแน่วแน่)

การที่เรามีจิตตั้งมั่น นี่คือคำถามว่า มีวิญญาณขันธ์อยู่ที่เดียวหรือมีสังขารขันธ์ระงับ(คือเป็นปัจจุบันที่การหายใจหรือลมหายใจ)?

:b12:
ที่ว่าลมนั้นคือลมหายใจเข้าออก ขออภัยที่เป็นภาษาพูดมากเกินไปครับ
smiley
16 ขั้นตอนในอานาปานสติสูตรนั้นสังเกตดูให้ดีนะครับจะมีการตั้งสติสมาธิทุกลมหายใจเข้าออก สลับกับการพิจารณาธรรม(วิปัสสนา)ตลอดเวลาตลอดทางตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบรรลุธรรมเสร็จสิ้นในข้อ 16. สุดท้าย

ถ้าคุณstudent วิเคราะห์ไปเป็นตอนๆตาม16 ข้อของอานาปานสติก็จะถูกต้องถูกทางและเป็นไปตามธรรม ตามลำดับแห่งธรรมอันพึงจะเกิดขึ้นกับผู้เจริญอานาปานสติภาวนาทุกคน

smiley


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
หลายท่านที่ฝึกสมาธิวิปัสสนา
ด่านที่ยากที่สุดคืออานาปานสติ แต่เชื่อว่าทุกๆท่านในที่นี้ก็พยายามฝึกลมหายใจเข้าออก



ไม่มีคำว่า ยากหรือง่าย
ขึ้นอยู่กับสัญญา(ของเก่าที่เคยกระทำมา) ของคนๆนั้น
กล่าวคือ เป็นเรื่องของ เหตุและปัจจัยในแต่ละคน


ด่านที่ยากที่สุดสำหรับวลัยพร คือ ใจ



student เขียน:
อยากถามความเข้าใจในความหมายของอานาปานสติ ว่า ท่านเอาอะไรเข้าไปฝึกรู้



ใจ


student เขียน:
เอาจิตเข้าไปรู้หรือเอาสังขารเข้าไปรู้


จิตเป็นธาตุรู้

สังขาร คือ การปรุงแต่ง





student เขียน:
ทีนี้ ผมใช้สังขารขันธ์เข้าไปรู้


สังขารขันธ์ คือ การปรุงแต่ง



student เขียน:
คือรู้ว่า อยาบ หรือละเอียด ของลมหายใจอย่างเดียว คือตั้งเจตนาอยู่ที่ลมหายใจ ไม่หลงลืม และรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้าออก



เป็นเรื่องของ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ที่มีเกิดขึ้น ขณะนั้นๆ




student เขียน:
ผมได้พิจารณาตอนนั่งสมาธิ และมีความเห็นว่า เราตั้งสังขารขันธ์ที่ลมหายใจเข้าออกได้


สังขารขันธ์ คือ การปรุงแต่ง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 23:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2015, 21:52
โพสต์: 32

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอเล่าอานาปานสติที่ผมความเข้าใจและใช้ฝึกอยู่นะครับ
แรกทีเดียวผมฝึกสติโดยใช้พุท-โธ แต่ด้วยความไม่เข้าใจก็เลยได้แค่ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ทำได้ระยะหนึ่งก็เลิก ตอนหลังมาเริ่มทำใหม่ เมื่อได้มาอ่านมหาสติปัฏฐานสูตร แต่ก็ทำไปแบบเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ต้องแปลความหมายเอง คิดเอาเอง ก้เลยกระท่อนกระแท่น ไปได้ไม่เท่าไร เมื่อไม่นานมานี้ได้ศึกษาเพิ่มเติมในอรรถกถา ก็ทำให้รู้มากขึ้นและปัจจุบันใช้เป็นหลักยึดในการเจริญสติอยู่ ผมก็เลยอยากแบ่งปันแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกัลยาณมิตรทั้งหลาย

ธรรมชาติของจิต
จิตของสัตว์ที่อยู่ในวัฏสงสาร ยังซ่านไปในสังขาร มีความยึดมั่นถือมั่น มีความยินดียินร้าย มีกิเลส ตัณหา เมื่อเราเห็นภัย ต้องการให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา เลยต้องฝึกเจริญสติ ในอรรถกถา ได้อุปมาธรรมชาติของจิตได้อย่างน่าฟัง คือเขาเปรียบเทียบจิตเหมือนลูกโคที่คึกคะนองเที่ยววิ่งเล่นไป เมื่อต้องการฝึกลูกโคก็ต้องล่ามไว้ด้วยเชือกผูกกับหลักไว้ ลูกโคเมื่อถูกล่ามก็วิ่งเล่นไม่ได้สุดท้ายก็ต้องนอนนิ่งไปกับหลักที่ผูกเชือกไว้นั้น จิตก็เปรียบได้กับลูกโค สติเปรียบได้กับเชือก ลมหายใจเข้า ออก เปรียบได้กับหลัก (พูดถึงกรณีอานาปานสติ) การฝึกเจริญสติ คือการเอาสติผูกกับจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน หรือเพลิดเพลินไปกับกามคุณ เมื่อเราฝึกบ่อย ๆ จิตมันฟุ้งซ่าน มันแล่นออกไปไม่ได้ก็เลยอยู่กับสติ และดูลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น

ที่ผมฝึกสติ ฝึกอย่างไร
ของผมใช้การกำหนดจิตอยู่ที่ปลายจมูก ให้มีสติรู้ตัวเวลาที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกมากระทบที่ปลายจมูก คือใช้ตำแหน่งปลายจมูกเป็นฐานที่ตั้งของสติ ที่ผมศึกษาจากอานาปาณกถา (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๓) ฐานหรือที่ตั้งของสติ มี 3 ฐาน คือ ปลายจมูก กึ่งกลางอก หรือ ใจ และท้อง มีข้อความที่กล่าวถึงอุปกิเลส 18 (ในอานาปาณกถา) คือ " เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจออก กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่าน ณ ภายใน" ซึ่งในอรรถกถาได้อธิบายเพิ่มเติมคือ ปลายจมูก กึ่งกลางอก หรือ ใจ และท้อง เมื่อหายใจเข้า ปลายจมูกจะเป็นเบื้องต้น กึ่งกลางอก เป็นท่ามกลาง และท้องเป็นปลายสุด เมื่อหายใจออก ท้องจะเป็นเบื้องต้น กึ่งกลางอก เป็นท่ามกลาง และปลายจมูกเป็นปลายสุดของลมหายใจออก การกำหนดจิตที่ฐานนี้ บางท่านอาจกำหนดได้ฐานเดียว บางท่านอาจกำหนดได้สองฐาน บางท่านอาจกำหนดได้สามฐาน แล้วแต่ความสามารถครับ ของผมตอนนี้กำหนดที่ปลายจมูกอย่างเดียว
การกำหนดจิตให้ตั้งมั่นที่ฐานใดฐานหนึ่งมีอุปมาที่เข้าท่ามากคือ เขาเปรียบเทียบกับคนเลื่อยไม้ คือเวลาเลื่อยไม้จิตเราจะตั้งมั่นอยู่ที่ตำแหน่งที่เลื่อย จิตจะไม่สนใจฟันเลื่อนที่ชักไป มา ว่ามันชักไปอย่างไร ชักไปที่ไหน เวลาเราฝึกสติก็เช่นเดียวกันเราจะตั้งจิตไว้ที่ฐานใดฐานหนึ่งและดูลมหายใจเข้า หายใจออก จิตต้องไม่ตามลมหายใจ (จิตที่แล่นไปตามลมหายใจเข้าออก เป็นอุปกิเลส)

วัตถุ 16
ผมคิดว่าคนที่เริ่มฝึกสติใหม่ ๆ เป็นกันทุกคน (แต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น) คือ นั่งได้ประเดี๋ยวเดียว มันอึดอัด คับข้องใจ คันเนื้อคันตัว สารพัดจะเป็น บางทีตั้งสติหายใจได้ 3 ครั้ง จิตกับสติเตลิดไปไหนก็ไม่รู้ (มารู้ตัวอีกทีตอนหลวงพ่อบอกว่า พักได้) บางครั้งนั่งได้ไม่ถึง 5 นาที จิตดิ่งวูบไป สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็งง ๆว่า เอ๊ะจิตเราเป็นสมาธิหรือเปล่า... (หลับครับแต่ไม่รู้ว่าละเมอหรือเปล่า) อาการเหล่านี้ในอานาปานกถาท่านว่าไว้คือ วัตถุ 16 ซึ่งแบ่งเป็น ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย ๘ และญาณในธรรมเป็นอุปการะ ๘ คือ เป็นธรรมที่ตรงข้ามกัน ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย ๘ ได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา อวิชชา อรติ อกุศลธรรมทั้งปวง ส่วนญาณในธรรมเป็นอุปการะ ๘ ได้แก่ เนกขัมมะ ความไม่พยาบาท อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน ความกำหนดธรรม ญาณ ความปราโมทย์ กุศลธรรมทั้งปวง เวลาที่นั่งสมาธิแล้วมี ญาณในธรรมอันเป็นอันตรายเกิดขึ้น เราก็ต้องข่มด้วยญาณในธรรมเป็นอุปการะ ซึ่งมันจะคู่กัน เช่น กามฉันทะ ก็ใช้เนกขัมมะ เป็นต้น
นอกจากวัตถุ 16 แล้ว สิ่งที่เป็นอันตรายแก่สมาธิที่อาจเกิดขึ้นได้ อีก คือ อุปกิเลส 18 (ลองศึกษาดูใน อานาปานกถานะครับ)

นิมิตในสมาธิ
(ที่อ่านมาในคัมภีวิสุทธิมรรค และอรรกถา) นิมิตในสมาธิที่ควรสนใจมี 3 อย่างคือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก และสติตั้งมั่น ส่วนนิมิตอื่น ๆ เช่นเห็นแสง สี หรืออื่น ๆ ครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าอย่าสนใจ (เดี๋ยวจะหลงแสง สีเสียง ... อันนี้ผมว่าเอง) ให้สนใจแต่ลมหายใจ เมื่อเราฝึกจนได้ระดับหนึ่ง เราจะรู้ตัวอยู่ตลอดว่ากำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก สติจะตั้งมั่น และจะเริ่มพิจารณาว่าเราหายใจสั้น หรือหายใจยาว หรือหยาบหรือละเอียด และมีอารมณ์ปิติเกิดขึ้น มีความรู้สึกที่เป็นสุขเกิดขึ้น การที่ สติจะตั้งมั่น และรู้ตัวอยู่ตลอดว่ากำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก คือวิตก การที่รู้ตัวว่าเรากำลังหายใจสั้น หายใจยาว หยาบหรือละเอียด คือวิจารณ์ ส่วนปิติที่เกิดขึ้นเรารับรู้ได้จากอาการที่เกิด อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ อาจจะหลาย ๆ อย่าง คือ
1 มีการขนลุกขนชัน ท่านเรียกว่าขนพองสยองเกล้า
2 มีน้ำตาไหลจากตาโดยไม่มีอะไรไปทำให้ตาระคายเคือง
3 ร่างกายโยกโคลง คล้ายเรือกระทบคลื่น
4 ร่างกายลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง บางรายลอยไปได้ไกลๆ และลอยสูงมาก
5 อาการกายซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง และใหญ่โตสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
ตอนนี้ผมทำได้ประมาณนี้ ที่สูงกว่านี้ต้องให้ท่านอื่น ๆ มาแบ่งปันประสบการณ์แล้วละครับ


โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2015, 00:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับทุกท่าน

คุณวลัยพรให้ความเห็นว่า ใช้ใจ

คุณบ้านสวนสุขใจใช้สติ

อยากถามว่าคำว่าใจ สติหรือปล่าวครับ หรือ หทัย หรือ จิต

แล้วถ้าเป็นสติ สติจัดเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต

แต่เมื่อมีสติระลึกรู้ จิตก็ตั้งอยู่ แต่จิตก็ไม่เที่ยง

การที่มีสติระลึกรู้ สามารถระลึกรู้ช่วงเกิดดับของการหายใจเข้าออก

แล้วเมื่อดับลง จิตไปตั้งอยู่ที่ไหน?

เพราะจิตแล่นไปกระทบทวารทั้ง6ตลอด

ที่ความเห็นผมเป็นสังขาร เพราะมีทั้งสังขารฝ่ายกุศล และ อกุศล

ยกตัวอย่างความเห็นเป็น สัมมาทิฎฐิ ก็คือใช้สังขารขันธ์เป็นส่วนร่วมในการพิจารณาธรรม

คือที่กล่าวว่าสังขาร เพราะเกิดร่วมกัน อิงอาศัยกันนั่นเองครับ หรือ นามรูป

เช่น จิตอิงอาศัยจิตในการเป็นตัวรู้ สังขารอิงอาศัยตัวรู้ พิจารณาธรรม เป็นกุศล หรือไม่กุศลอะไรก็ว่าไป

แต่ความกลมกลืนอิงอาศัยของนามรูป ก็สามารถจำแนกออกได้ดังคำสอนนั่นเอง

ถ้าไม่มีการจำแนกขันธ์ 5 ของพระพุทธองค์ โลกคงจะวุ่นวายนั่นเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2015, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างคำว่าสังขารคือการปรุงแต่ง

คำว่าหายใจเข้าออกสั้นยาวก็รู้ คำว่าสั้นยาวเป็นปรุงแต่งธรรมหรือปล่าวครับ

คำว่าหายใจเข้าออก หยาบก็รู้ ละเอียดก็รู้ คำว่าอยาบละเอียด เป็นธรรมปรุงแต่งหรือปล่าวครับ

ถ้าเราไม่เข้าไปเห็นการปรุงแต่งธรรม เราจะบอกได้อย่างไรว่า ธรรมอยาบหรือละเอียด

และอื่นๆตามลำดับของ อานาปานสติ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2015, 00:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:


อยากถามว่าคำว่าใจ สติหรือปล่าวครับ หรือ หทัย หรือ จิต




สติ เป็นคนละสภาพธรรมที่เรียกว่า จิต
แตกต่างกันทั้งคำเรียก และลักษณะอาการเกิดขึ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 03 ต.ค. 2015, 01:38, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2015, 01:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อย่างคำว่าสังขารคือการปรุงแต่ง

คำว่าหายใจเข้าออกสั้นยาวก็รู้ คำว่าสั้นยาวเป็นปรุงแต่งธรรมหรือปล่าวครับ

คำว่าหายใจเข้าออก หยาบก็รู้ ละเอียดก็รู้ คำว่าอยาบละเอียด เป็นธรรมปรุงแต่งหรือปล่าวครับ




"หายใจเข้าออกสั้นยาวก็รู้ หยาบก็รู้ ละเอียดก็รู้"

เป็นเรื่องของ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ที่มีเกิดขึ้นขณะนั้นๆ





หากพยามทำลมให้สั้น ให้ยาว แบบนี้ถึงจะเรียกว่า ปรุงแต่ง
คือ ปรุงแต่งลมหายใจให้เป็นตามที่ต้องการ





student เขียน:
ถ้าเราไม่เข้าไปเห็นการปรุงแต่งธรรม
เราจะบอกได้อย่างไรว่า ธรรมอยาบหรือละเอียด และอื่นๆตามลำดับของ อานาปานสติ




"ธรรมอยาบหรือละเอียด และอื่นๆตามลำดับ"

เป็นเรื่องของ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ที่มีเกิดขึ้นขณะนั้นๆ

เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ชัด ธรรมหยาบหรือละเอียด และอื่นๆตามลำดับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 03 ต.ค. 2015, 01:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร