วันเวลาปัจจุบัน 04 ต.ค. 2025, 20:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 13:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg
ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg [ 50.12 KiB | เปิดดู 1406 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
อัปปณาฌาณ ความสงบจนไม่มีลมหายใจแสดงให้เห็น เป็นความสงบที่หยุดนิวรณ์และสังขารความปรุงแต่งคิดนึกไปชั่วคราว ใครจะเชื่อไม่เชื่ออย่างไรก็ให้ปฏิบัติจริงไปเมื่อถึงตรงนั้นแล้วก็รู้เอง ส่วนจะเป็นสัทธัมปฏิรูปหรือไม่นั้นก็จะรู้ซึ้งเองเมื่อทำได้จริงๆแล้ว ใครจะลงอเวจีมหานรกหรือขึ้นสวรรค์ พรหม จนเข้าสู่นิพพานก็เป็นเรื่องของใครของมันไม่ต้องมาห่วงใยกันให้มากนัก


ก็เปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ นะ
:b32: :b32:

ดี..ดี...


asoka เขียน:
การสนทนาธรรมเป็นการนำความเห็นที่หลากหลายมาแสดงสู่กัน ส่วนใครจะเลือกเชื่อถืออย่างไรนั้นก็ย่อมขึ้นอยู่กับสติปัญญาและวินิจฉัยของใครของมันไม่อาจก้าวก่ายไปบังคับกันได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคล

แสดงเหตุผลกันต่อไป ๆ ๆ ไม่ต้องมาเบรคเบรมกันด้วยคำพูดอันมิใช่สัมมาวาจานะกบนะ
:b34:


อโศกะ..เองที่หาว่า..ผมกล่าวตู่ออโศกะ
asoka เขียน:

มีที่ไหนที่ว่าไปลบคำพระศาสดา กล่าวตู่เอาเองตามวิสัยของกบละมั้ง


ผมจึงต้องทวนความจำอันสั้น...ของคนแก่..ว่า..มันอยู่ที่ " อัปปนา = อะปานา ไม่มีลมหายใจ "

ถ้าความจำไม่สั้น...สำนึกสักนิด...ผมก็ไม่ต้องมาพูดซ้ำซาก..จนถูกกล่าวหาว่า..มาเบรก..มาเบลม..หรอก

huh huh

:b34:
กบเคยภาวนาไปจนลมหายใจหายไม้ ถ้ายัง อย่าเพิ่งวินิจฉัยตัดสินใจชี้ชัดอะไร

อนึ่งคำว่าอัปปณาฌาณนี้มีใช้ในหมู่พวกฤาษีมาก่อนสมัยของพระพุทธเจ้าเสียอีก
การจะมากล่าวว่าอโศกะทำสัทธรรมปฏิรูปก็ดูจะไม่เป็นธรรม

"เจตนาหัง กัมมังวทามิ" จะตัดสินสิ่งใดว่าเป็นการกระทำสำคัญที่เจตนา

อโศกะมีเจตนาจะทำให้ง่ายกับผู้ใหม่ ผู้หลงทั้งมวลที่ถูกกวนใจให้วกวนด้วยบัญญัติอันมากมายพิสดาร ได้พบพานทางออกอย่างง่ายๆ จึงมาสรุปให้ฟังว่า

การทำภาวนา เริ่มต้นให้เอาสติมากำหนดรู้ลมหายใจ ครั้นลมหายก็ให้เอาสติไปกำหนดที่ตัวรู้หรือผู้รู้ เพราะการกำหนดที่ผู้รู้นั้นก็คือการกำหนดที่ปัจจุบันอารมณ์นั่นเอง

บุคคลใดดำรงสติสัมปชัญญะไว้ที่ปัจจุบันอารมณ์ เขาจะได้พบเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันเป็นหัวใจของงานวิปัสสนาทันที มินานเนิ่นช้าถ้าทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นมาได้ในสามัญลักษณะทั้ง 3 ข้อใดข้อหนึ่งเขาก็ย่อมจะถึงความปล่อยทิ้ง สลัดคืน ความเห็นผิด (สักกายทิฏฐิ) ความยึดผิด(มานะทิฏฐิ)ออกเสียได้ตามประตูนิพพาน 3 ประตูประตูใดประตูหนึ่งตามภาพที่แสดง

เรื่องมันจะมาถึงตรงนี้ แต่กบมาชักใบให้เรือเฉเลยเอียงออกจากที่หมายไปนิดหนึ่ง วันนี้เลยดัดหัวเรือเข้ามาตรงนี้ ไม่รู้กบจะเข้าใจและรู้เรื่องได้หรือเปล่าน้อ?

:b36:
โพสต์ เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 14:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชักใบให้เรือเข้าที่เข้าทาง...ต่างหาก
ยัง...ยัง...ไม่รีบขอบคุณอีก
:b1: :b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ย. 2015, 05:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเคยบอกอโสกะ..มานานแล้ว..เรื่องที่..ตั้งดูการเกิดการดับไปของผัสสะใดใดในปัจจุบันขณะ..นั้นนะ...ได้สติ (สติสัมปชัญญะ)
(บางคนพอพูดคำว่า...แค่สติ..ก็รับไม่ได้...เพราะกลัวจะถูกจัดเข้าในสมถะภาวนา...ไม่รู้กลัวอะไรกับคำว่า..สมถะ..กันนักหน่านะ)

บังเอิญเช้านี้มาพบพระสูตรนี้เข้า..อธิบายใว้ชัดเจน...ครับ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 188&Z=1233

Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต


โรหิตัสสวรรคที่ ๕
สมาธิสูตร

[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้ ๔ ประการ
เป็นไฉน คือ สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันมีอยู่ ๑ สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่ ๑ สมาธิภาวนาอันบุคคล
เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ ๑ สมาธิภาวนา
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะมีอยู่ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็น
ไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก
อกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุ
ทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก
ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ มีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระ
อริยะสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคล
เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็น
ไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มนสิการอาโลก-
*สัญญา อธิษฐานทิวาสัญญา ๑- ว่า กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือน
กลางคืน มีใจอันสงัด ปราศจากเครื่องรัดรึง อบรมจิตให้มีความสว่างอยู่ ดูกร-
*ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็น
ไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ
@๑. ความสำคัญหมายว่ากลางวัน


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
รู้แจ้งเวทนาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งเวทนาที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งเวทนาที่ดับไป รู้แจ้งสัญญาที่
เกิดขึ้น รู้แจ้งสัญญาที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งสัญญาที่ดับไป รู้แจ้งวิตกที่เกิดขึ้น
รู้แจ้งวิตกที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งวิตกที่ดับไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคล
เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้น
อาสวะเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความ
เสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ว่า รูปเป็นดังนี้
ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้
ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาเป็นดังนี้ ความ
ดับแห่งเวทนาเป็นดังนี้ สัญญาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นดังนี้
ความดับแห่งสัญญาเป็นดังนี้ สังขารเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสังขารเป็นดังนี้
ความดับแห่งสังขารเป็นดังนี้ วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้
ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคล
เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง คำต่อไปนี้ เรากล่าวแล้ว
ในปุณณปัญหาในปรายนวรรค หมายเอาข้อความนี้ว่า
ความหวั่นไหวไม่มีแก่บุคคลใด ในโลกไหนๆ เพราะรู้ความ
สูงต่ำในโลก บุคคลนั้นเป็นผู้สงบปราศจากควันคือความโกรธ
เป็นผู้ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้หมดหวัง เรากล่าวว่า ข้าม
ชาติและชราได้แล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๑


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ย. 2015, 05:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... =293&Z=331

Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค


๕. สมาธิสูตร
ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา


[๒๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ. ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง. ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็น
จริงอย่างไร. ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป ความเกิดและความดับแห่งเวทนา ความ
เกิดและความดับแห่งสัญญา ความเกิดและความดับแห่งสังขาร ความเกิดและความดับแห่ง
วิญญาณ.
[๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความเกิดแห่งรูป อะไรเป็นความเกิดแห่ง
เวทนา อะไรเป็นความเกิดแห่งสัญญา อะไรเป็นความเกิดแห่งสังขาร อะไรเป็นความเกิดแห่ง
วิญญาณ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่.
ก็บุคคลย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ ซึ่งอะไร. ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง
ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความยินดีก็เกิดขึ้น ความยินดีในรูป
นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส. ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้น ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
.
บุคคลย่อมเพลิดเพลินซึ่งเวทนา ฯลฯ
ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสัญญา ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสังขาร ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง
ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ ความยินดีย่อมเกิดขึ้น
ความยินดีในวิญญาณ นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย นี่เป็นความเกิดแห่งรูป นี่เป็นความเกิดแห่งเวทนา นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา นี่เป็น
ความเกิดแห่งสังขาร นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ.

[๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป อะไรเป็นความดับแห่งเวทนา
อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา อะไรเป็นความดับแห่งสังขาร อะไรเป็นความดับแห่งวิญญาณ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่.
ก็ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งอะไร. ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อม
ไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความ
ยินดีในรูปย่อมดับไป เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ
ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ภิกษุย่อมไม่
เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำ ซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ...
ซึ่งวิญญาณ เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ...
ซึ่งวิญญาณ ความยินดีในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ ย่อมดับไป เพราะความ
ยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกอง
ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความดับแห่งรูป นี้เป็นความดับ
แห่งเวทนา นี้เป็นความดับแห่งสัญญา นี้เป็นความดับแห่งสังขาร นี้เป็นความดับแห่งวิญญาณ.

จบ สูตรที่ ๕
.


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ย. 2015, 05:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า..ตรัสใว้ชัดเจน..และ..ง่าย...ดีแล้ว

ไม่ทำอะไรให้..งง..งง...

อย่างแผนภาพ...


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ย. 2015, 06:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dd145_resize.jpg
dd145_resize.jpg [ 55.02 KiB | เปิดดู 1383 ครั้ง ]
grin
แสดงภูมิจากตำรามาเต็มที่จนผู้อ่านหูตาลาย

แต่ภาพไดอะแกรมง่ายกลับอ่านไม่ออก ดูไม่เป็น ไม่เห็นความหมาย เป็นกรรมของสัตว์โลกจริงๆ

:b7:
โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ย. 2015, 06:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะของพระองค์..พระองค์ก็ตรัสใว้ง่าย แล้ว..ชัดเจนดี..ตรงไปตรงมา...บอกด้วยว่า..ทำอย่างไร.

อโสกะ...มองแล้วดูวุ่นวายหรือคับ?

:b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ย. 2015, 06:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กระผมเคยบอกอโสกะ..มานานแล้ว..เรื่องที่..ตั้งดูการเกิดการดับไปของผัสสะใดใดในปัจจุบันขณะ..นั้นนะ...ได้สติ (สติสัมปชัญญะ)
(บางคนพอพูดคำว่า...แค่สติ..ก็รับไม่ได้...เพราะกลัวจะถูกจัดเข้าในสมถะภาวนา...ไม่รู้กลัวอะไรกับคำว่า..สมถะ..กันนักหน่านะ)


บังเอิญเช้านี้มาพบพระสูตรนี้เข้า..อธิบายใว้ชัดเจน...ครับ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 188&Z=1233

Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต


โรหิตัสสวรรคที่ ๕
สมาธิสูตร
.....

........
.........
จบสูตรที่ ๑


:b12: :b12: :b12:

อโสกะ....อ่านแล้วพิจารณาพระสูตรนี้..ให้ดีๆ..นะครับ

แล้วจะเข้าใจอะไรอะไรดีขึ้น
อาจทำให้อโสกะ...ต่อยอดไปได้อีก...ว่า..จากสติสัมปชัญญะ..จะต่อยอดไปสู่..ละอุปาทานขันธ์..อย่างไร
หากอ่านแบบ...ไม่มีมานะ...กลัวว่า...ถ้าอ่านตามที่ผมยกว่าจะแสดงว่าเก่งน้อยกว่าผม..อะไรอย่างนั้น...นะ

ผมไม่เก่งหรอกครับ..ไม่ต้องกลัว


โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ย. 2015, 06:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha2_resize.gif
buddha2_resize.gif [ 37.14 KiB | เปิดดู 1357 ครั้ง ]
:b12:
ทางใครทางมัน ถนัดใครถนัดมัน อุปนิสัยใคร อุปนิสัยมัน สร้างสมมาอย่างไรก็ไปตามทางของใครของมัน คงลอกเลียนแบบกันไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดนั้นก็ให้ถึงเป้าหมายเดียวกัน คือ นิพพานปัจจัยโยโหตุ
:b38:
ที่มาสนทนากันทุกวันนี้ก็เป็นเพียงธรรมทัศนะ เผื่อจะเป็นเครื่องช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาด ตัดทอนส่วนที่เกินของกันและกัน เพื่อให้เกิดสมดุลย์ของใครของมันแล้วทรงตัวได้ไปบนทางกลางกระแส แลหลุดพ้น
:b37:
โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ย. 2015, 18:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สะสมไปเรื่อย ๆ ...นะครับ

แล้วก็รู้จักขอขมาพระรัตนตรัย..บ่อย ๆ ด้วย


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ย. 2015, 04:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สะสมไปเรื่อย ๆ ...นะครับ

แล้วก็รู้จักขอขมาพระรัตนตรัย..บ่อย ๆ ด้วย

:b16:
กบ สิ ควรจะขอขมาพระอริยเจ้าบ่อยๆ เพราะมีวจีกรรม มโนกรรมทำประมาทะต่อพระอริยเจ้าบ่อยๆ ภาวนาปฏิบัติธรรมไม่ขึ้นหรอกนะจะบอกให้ ถ้าไม่แก้ไขด้วยการขอขมา
:b34:
จิตวิญญาณทุกดวง ไม่ย่ำเท้ากับที่มีแต่ก้าวหน้าไปทุกวัน ตามกำลังกรรมของตนเอง

ใครทำดีก็ได้ดี ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว

ใครทำกรรมเพื่อเวียนว่าย ก็รับผลเป็นความเวียนว่ายไม่รู้จบ

ใครทำกรรมเพื่อความหลุดพ้น ก็ย่อมจักได้ความหลุดพ้นเป็นผล

ทำกรรมอะไรไว้ก็รู้ตัว สำเหนียกและสำนึกตัวเอาเองนะกบ
:b19:


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ย. 2015, 06:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กบ สิ ควรจะขอขมาพระอริยเจ้าบ่อยๆ เพราะมีวจีกรรม มโนกรรมทำประมาทะต่อพระอริยเจ้าบ่อยๆ ภาวนาปฏิบัติธรรมไม่ขึ้นหรอกนะจะบอกให้ ถ้าไม่แก้ไขด้วยการขอขมา



อย่าเอาคำว่าอริยะเจ้า..มาขู่ให้หง๋อเลย..อโสกะ ถ้าพูดผิด..ก็ต้องว่า..ซิ

เพราะ..แม้อโสกะเองก็ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นอริยะ...ก็เห็นอยู่ว่า..อโสกะพูดดูถูกเขาไปทั่วในแห่งลานนี้นะ..

แต่กลับไปยกหางอริยะจิบเหล้าเข้าสังคมได้...นั้นนะ.. :b32:

แค่เขาพูดถูกใจตนแค่นั้นเอง...อะไรนะ....ดับต่อหน้าต่อตา...รึ!!

รีบเซถลาไปรับรองเชียว

แล้วอย่างนี้...ใครเป็นอริยะ..รึไม่เป็น..นี้...จะเชื่อตาอโสกะได้หรือ?


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ย. 2015, 12:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




dd141_resize.jpg
dd141_resize.jpg [ 44.8 KiB | เปิดดู 1307 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
กบ สิ ควรจะขอขมาพระอริยเจ้าบ่อยๆ เพราะมีวจีกรรม มโนกรรมทำประมาทะต่อพระอริยเจ้าบ่อยๆ ภาวนาปฏิบัติธรรมไม่ขึ้นหรอกนะจะบอกให้ ถ้าไม่แก้ไขด้วยการขอขมา



อย่าเอาคำว่าอริยะเจ้า..มาขู่ให้หง๋อเลย..อโสกะ ถ้าพูดผิด..ก็ต้องว่า..ซิ

เพราะ..แม้อโสกะเองก็ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นอริยะ...ก็เห็นอยู่ว่า..อโสกะพูดดูถูกเขาไปทั่วในแห่งลานนี้นะ..

แต่กลับไปยกหางอริยะจิบเหล้าเข้าสังคมได้...นั้นนะ.. :b32:

แค่เขาพูดถูกใจตนแค่นั้นเอง...อะไรนะ....ดับต่อหน้าต่อตา...รึ!!

รีบเซถลาไปรับรองเชียว

แล้วอย่างนี้...ใครเป็นอริยะ..รึไม่เป็น..นี้...จะเชื่อตาอโสกะได้หรือ?

:b12:
ที่กบตัดสินว่าผิดนั้น มันเพียงผิดไปจากความรู้ ความเห็นและสัญญาความจำของกบ แต่เขาถูกต้องตามธรรม

เข้าใจไหมคำว้า "ถูกต้องตามธรรม" ซึ่งมักไม่ค่อยมีบอกในตำรา ต้องประสบการณ์ด้วยตนเอง

กบภาวนาน้อยบางเรื่องจึงยากที่จะรู้เรื่องนะกบนะ

อุปมาเหมือนคนที่ยังไม่เคยชิมรส "มะต่อยแข่" ย่อมบอกไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร ทั้งๆที่มะต่อยแข่มันมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ
s006 s006 s004
โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=293&Z=331

Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค


๕. สมาธิสูตร
ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา


[๒๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ. ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง. ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็น
จริงอย่างไร. ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป ความเกิดและความดับแห่งเวทนา ความ
เกิดและความดับแห่งสัญญา ความเกิดและความดับแห่งสังขาร ความเกิดและความดับแห่ง
วิญญาณ.
[๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความเกิดแห่งรูป อะไรเป็นความเกิดแห่ง
เวทนา อะไรเป็นความเกิดแห่งสัญญา อะไรเป็นความเกิดแห่งสังขาร อะไรเป็นความเกิดแห่ง
วิญญาณ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่.
ก็บุคคลย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ ซึ่งอะไร. ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง
ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความยินดีก็เกิดขึ้น ความยินดีในรูป
นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส. ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้น ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
.
บุคคลย่อมเพลิดเพลินซึ่งเวทนา ฯลฯ
ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสัญญา ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสังขาร ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง
ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ ความยินดีย่อมเกิดขึ้น
ความยินดีในวิญญาณ นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย นี่เป็นความเกิดแห่งรูป นี่เป็นความเกิดแห่งเวทนา นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา นี่เป็น
ความเกิดแห่งสังขาร นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ.

[๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป อะไรเป็นความดับแห่งเวทนา
อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา อะไรเป็นความดับแห่งสังขาร อะไรเป็นความดับแห่งวิญญาณ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่.
ก็ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งอะไร. ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อม
ไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความ
ยินดีในรูปย่อมดับไป เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ
ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ภิกษุย่อมไม่
เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำ ซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ...
ซึ่งวิญญาณ เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ...
ซึ่งวิญญาณ ความยินดีในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ ย่อมดับไป เพราะความ
ยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกอง
ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความดับแห่งรูป นี้เป็นความดับ
แห่งเวทนา นี้เป็นความดับแห่งสัญญา นี้เป็นความดับแห่งสังขาร นี้เป็นความดับแห่งวิญญาณ.

จบ สูตรที่ ๕
.

ข้าพเจ้าเห็นว่าต้องเข้าถึงสมาธิที่เรียกว่าฌานจิตระดับจตุตฌานจึงเป็นการคงที่ของปรมัตถธรรมน๊า
ไม่ใช่อัปปนาสมาธินะที่จะดับอวิชชาได้ คงต้องทบทวนพุทธวจนะจากพระโอษฐ์ต้องดับกายหยาบ
สาธุกับท่านกบค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 06:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
อัปปณาสมาธิไม่ใช่ตัวดับอวิชชานะน้อง rosarin อย่าเข้าใจผิด มันเป็นเพียงฐานสำคัญของการเข้าไปดับอวิชชา
:b38:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร