วันเวลาปัจจุบัน 04 ต.ค. 2025, 20:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
อัปปณาสมาธิไม่ใช่ตัวดับอวิชชานะน้อง rosarin อย่าเข้าใจผิด มันเป็นเพียงฐานสำคัญของการเข้าไปดับอวิชชา
:b38:

Kiss
พี่Asokaคะ
น้องเขียนความจริงของจิตตน
ที่ถึงเฉพาะผลการปฏิบัติแล้วค่ะ
ต้องถึงดับกายหยาบจึงเหลือปรมัตถ์
ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกผลของท่านน๊า
:b12:
rolleyes rolleyes rolleyes


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2015, 06:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
:b16:
อัปปณาสมาธิไม่ใช่ตัวดับอวิชชานะน้อง rosarin อย่าเข้าใจผิด มันเป็นเพียงฐานสำคัญของการเข้าไปดับอวิชชา
:b38:

Kiss
พี่Asokaคะ
น้องเขียนความจริงของจิตตน
ที่ถึงเฉพาะผลการปฏิบัติแล้วค่ะ
ต้องถึงดับกายหยาบจึงเหลือปรมัตถ์
ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกผลของท่านน๊า
:b12:
rolleyes rolleyes rolleyes

:b8:
อนุโมทนากับผลปฏิบัติของน้องรสริน ข้อให้เป็นพลปัจจัยส่งให้ถึงผลที่ยิ่งๆขึ้นไปเทอญ
:b27:
สิ่งที่จะดับอวิชชาได้ คือ ปัญญา

อวิชชากับปัญญานี้เขาเป็นคู่ปรับกันและอยู่ตรงกันข้ามกัน

อวิชชา หมายความว่า มืด ไม่รู้

ปัญญา คือ วิชชา หรือแสงสว่างหรือรู้ หรือ ผู้รู้

กายหยาบเช่นลมหายใจเป็นเครื่องปิดบังธรรม

ทำลมหายใจให้ระงับหรือหยุดไป กายก็ละเอียด ไม่ปิดบังธรรม

ปัญญา วิชชาก็เกิดขึ้นมาเห็นธรรมตามความเป็นจริง หรือเห็นปรมัตถ์จนละทิ้งความเห็นผิดยึดผิดได้


:b38:
"เอาบัญญัติ หาบัญญัติ เห็นบัญญัติ ได้บัญญัติ

เอาปรมัตถ์ หาปรมัตถ์ เห็นปรมัตถ์ ได้ปรมัตถ์ เป็นปรมัตถ์"


วาทะของหลวงพ่อธี
:b37:


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ย. 2015, 15:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
เอาบัญญัติ หาบัญญัติ เป็นอย่างไร?

เอาบัญญัติ ก็คือการไปกำหนด ตั้งกฏเกณฑ์ต่างๆบังคับควบคุมธรรมชาติ เช่น กำหนดลมหายใจพร้อมกับคำบริกรรมต่างๆ กำหนดสติให้ไประลึกรู้อยู่กับ วัตถุ รูปนิมิตร คำบริกรรมหรืออารมณ์ต่างๆ

โดยสรุปก็คือสมถะภาวนาทั้งปวงเป็นการเอาบัญญัติไปหาบัญัติ ผลที่ได้คือ สมาธิ นิมิตและฌาณ
:b41:
เอาปรมัตถ์หาปรมัตถ์ คือการเอาสติ ปัญญา ซึ่งเป็นเจตสิก เป็นปรมัตถธรรม ไปกำหนดรู้ ไปสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ สังเกตสภาวธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นเองเป็นเองตามธรรมชาติ ย่อมจะได้เห็นปรมัตถ์ เช่นผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ทุกข์ สุข ต่างๆ ตามความเป็นจริง ตามที่มันเป็น (ตถตา) ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่ไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ผลตามมาก็จะได้ปรมัตถ์ คือความกลัวทุกข์ เบื่อหน่ายในทุกข์ ดิ้นรนออกจากทุกข์ ทำลายเหตุทุกข์ลุถึงผลสุขคือนิพพาน

โดยสรุปก็คือวิปัสสนาภาวนา หรือการเจริญสติปัฏฐาน 4 เจริญมรรค 8 หรือเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ประการนั่นเอง

:b37:


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ย. 2015, 05:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




เหตุ ปัจจัย นิพพาน_82kb_resize.jpg
เหตุ ปัจจัย นิพพาน_82kb_resize.jpg [ 35.2 KiB | เปิดดู 958 ครั้ง ]
:b37:
เหตุที่ได้ชื่อว่า "อนัตตา"

อนัตตา ที่ขันธ์ 5 ได้ชื่อนี้ เพราะมีอนัตตลักษณะดังนี้

เป็นสภาพว่างเปล่า คือหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ เพราะประกอบด้วยธาตุ 4 เมื่อแยกธาตุออก สภาวะที่แท้จริงก็ไม่มี
หาเจ้าของมิได้ คือไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง สงวนรักษามิให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ไม่อยู่ในอำนาจ คือไม่อยู่ในบัญชาของใคร ใครบังคับไม่ได้ เช่นบังคับมิให้แก่ไม่ได้
แย้งต่ออัตตา คือตรงข้ามกับอัตตา
อนัตตา กับ อนัตตลักษณะ ไม่เหมือนกัน แก้ไข

อนัตตา กับ อนัตตลักษณะ เป็นคนละอย่างกัน เพราะเป็น ลักขณวันตะ และ ลักขณะ ของกันและกัน[1][2][3][4][5]

อนัตตลักษณะทำให้เราทราบได้ว่าขันธ์ 5 ไม่มีตัวตน ไร้อำนาจ ไม่มีเนื้อแท้แต่อย่างใด ได้แก่ อาการที่ไร้อำนาจบังคับตัวเองให้ไม่เปลี่ยนแปลงไปของขันธ์ 5 เช่น อาการที่ขันธ์ 5 บังคับตนไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ให้เสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่ไม่ได้, อาการที่ขันธ์ 5 บังคับตนไม่ให้มีขึ้นไม่ได้ ไม่ให้กลับไปไม่มีอีกครั้งไม่ได้ (บังคับให้ไม่หมดไปไม่ได้) เป็นต้น.

ในวิสุทธิมรรค ท่านได้ยกอนัตตลักษณะจากปฏิสัมภิทามรรคมาแสดงไว้ 5 แบบ เรียกว่า โต 5 และในพระไตรปิฎกยังมีการแสดงอนัตตลักษณะไว้ในแบบอื่นๆอีกมากมาย. แต่คัมภีร์ที่รวบรวมไว้เป็นเบื้องต้นเหมาะสำหรับเป็นคู่มือสำหรับปฏิบัติธรรมได้แก่ คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะสามารถจะจำคำที่คนโบราณใช้กำหนดกันจากคัมภีร์นี้แล้วนำไปใช้ได้ทันที ดังที่ท่านแสดงไว้เป็นต้นว่า "จกฺขุ อหุตฺวา สมฺภูตํ หุตฺวา น ภวิสฺสตีติ ววตฺเถติ - นักปฏิบัติธรรมย่อมกำหนดว่า "จักขุปสาทที่ยังไม่เกิดก็เกิดมีขึ้น พอมีขึ้นแล้วต่อไปก็จะกลายเป็นไม่มีไปอีก"เป็นต้น (ให้เพ่งเล็งถึงลักษณะที่ไรอำนาจบังคับตัวเองใหไม่เปลี่ยนไปไม่ได้ ก็จะกลายเป็นการกำหนดอนัตตขลักษณะ).

การแปลอนตฺตา

การแปลคำว่า อนัตตานั้น ใช้ได้ทั้งคำว่า ไม่มีอัตตา, ไม่มีตัวตน, มิใช่อัตตา, มิใช่ตัวตน เพราะ

สามารถแปลเข้ากันได้กับพระพุทธพจน์ที่ว่า "สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา, สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา, สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา - สังขาร (ขันธ์ 5) ทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นสิ่งไม่เที่ยง,สังขาร (ขันธ์ 5) ทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นตัวทุกข์, สรรพสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง (ขันธ์ 5, นิพพาน, บัญญัติ) มันไม่ใช่ตัวตน"ดังนี้. ซึ่งในพระคัมภีร์ต่างๆ เช่น อภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 8 และ อภิธัมมาวตาร บัญญัตินิทเทส เป็นต้น ท่านได้ระบุไว้ว่า ไม่มีอะไรพ้นไปจาก ขันธ์ 5, นิพพาน, บัญญัติ ดังนั้นขันธ์ 5 จังไม่ใช่ตัวตน เพราะตัวตนไม่มีอยู่ในที่ใดๆเลย.
สามารถแปลเข้ากันได้กับสักกายทิฏฐิ 4 หรือ 20 ดังที่ตรัสไว้ทั้ง 4 อย่าง คือ
ความเข้าใจผิดว่า ขันธ์ 5 เป็นตัวตนเราเขา,
ความเข้าใจผิดว่า ตัวตนเราเขามีขันธ์ 5 อยู่,
ความเข้าใจผิดว่า มีขันธ์ 5 อยู่ในตัวตนเราเขา,
ความเข้าใจผิดว่า มีตัวตนเราเขาในขันธ์ 5[1]
ในทิฏฐิวิสุทธินิทเทส คัมภีร์วิสุทธิมรรค ก็กล่าวปฏิเสธิอัตตาให้ไม่มีอยู่ในที่ใดๆโดยประการทั้งปวง.
ฉะนั้น พึงทราบว่า สามารถแปลได้ทั้งคำว่า อนัตตตา แปลว่า ไม่มีอัตตา , ไม่มีตัวตน , มิใช่อัตตา, และ มิใช่ตัวตน ดังอธิบายมานี้.

จากวิถีพีเดีย
โพสต์ เมื่อ: 05 ธ.ค. 2015, 06:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
"สัพเพธัมมา อนัตตา"
:b4:


โพสต์ เมื่อ: 07 ธ.ค. 2015, 06:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
สุญญตากับอนัตตา

ในคำสอนของพุทธศาสนา สุญญตา หมายถึง ความเป็นสภาพที่ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือ ภาวะที่ขันธ์เป็นอนัตตา คือ ไร้ตัวตน มิใช่ตน ว่างจากความเป็นตน ว่างจากสาระต่างๆ เช่น ความสวยงาม ความสุข ความทุกข์ ความว่างจากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ สภาวะที่ว่างจากสังขารการปรุงแต่งจิตทั้งหลาย ความว่าง ที่เกิดจากความกำหนดหมายในใจถึงภาวะว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เป็นส่วนหนึ่งของไตรลักษณ์
สรุปความว่าสุญญตา เป็นแก่นของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์ได้รู้จักและเข้าใจความจริงของชีวิตว่า ขันธ์ มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน ไม่จีรังยั่งยืน มีความผันแปร เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ และที่สุดเป็นมายา ไร้ตัวตน ไม่ควรที่จะยึดมั่น ถือมั่น จนเกิดอัตตา คือ ความเห็นแก่ตนเอง เห็นแก่ได้ เห็นแก่ญาติและพวกพ้องจนทำความเสียหายแก่โลก สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยยึดมั่นว่าเป็นตัวกู-ของกู ตลอดเวลา

:b48:


โพสต์ เมื่อ: 08 ธ.ค. 2015, 05:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
"ผู้ใดเห็นอนัตตา ผู้นั้นเห็นธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอน"

วิธีทำให้เห็นและเข้าถึง อนัตตา คือ การเจริญมรรคมีองค์ 8 หรือการเดินบนทางสายกลาง หรือที่เรียกว่า "วิปัสสนาภาวนา"

เดินอย่างไรจึงจะเรียกว่าเดินทางสายกลาง

ทางสายกลางคือทางที่อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างความยินดีกับความยินร้าย
ซึ่งก็คือ อุเบกขา ความวางเฉย นั่นเอง

ความวางเฉย เมื่อมีมากเข้าๆ น้อมให้เกิดในตัวในใจมากเข้าๆเมื่อมากพอสมควรแล้วย่อมจะส่งผลให้จิตหลุดพ้นเข้าถึงนิพพานได้เองโดยอัตโนมัติและโดยธรรม

เพราะฉนั้นการทำวิปัสสนาภาวนาจึงเป็สิ่งที่ง่ายมากๆเพราะก็คือ

"วิปัสสนาภาวนาคือการนั่งและยืน เดิน นอน เฉยๆ" เฉยให้ได้ในทุกโอกาส เวลาและสถานที่ อะไรที่มาทำให้จิตและกายไม่เฉย เอามันออกให้ได้ให้หมด นั่นแหละคืองานของวิปัสสนาภาวนา งานเจริญมรรค 8 งานเดินทางสายกลาง
onion


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2015, 04:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
วิปัสสนาภาวนา การเจริญมรรค 8 การเดินทางสายกลาง การนั่ง ยืน เดิน นอน เฉยๆ เอาเฉยเป็นหลักยึดใจ ทั้งหมดนี้เป็นอันเดียวกัน แถมยังไปพ้อง คล้องจองกับการเจริญสติปัฏฐานสี่ได้อย่างพอดีอีกด้วย เพราะงานเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็คือ การทำใจให้มาอยู่ตรงกลางระหว่างความยินดีกับความยินร้ายดังบาลีที่ว่า

"วิเนยยะ โลเกอภิชฌา โทมนัสสัง" อันแปลว่า เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

โลกที่กล่าวในสติปัฏฐาน 4 นี้หมายถึง ผัสสะของทวารทั้ง 6 นั่นเอง
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2015, 06:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b39:
อารมณ์เฉยที่อยู่ตรงกลางระว่างยินดีกับยินร้ายนั้น มันคือ อุเบกขาเวทนา มันยังเป็นเวทนา ความรู้สึกที่ยังสามารถกลับกลอกพลิกไปเกิดเป็นตัณหาความทะยานอยากได้อยู่ตลอดเวลาถ้าเผลอสติหรือขาดสัมปชัญญะ

การทรงและรักษาอารมณ์ไว้ที่เฉยต่อการกระทบสัมผัสของทวารทั้ง 6 ได้นั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัวและเป็นเครื่องชี้วัดถึงระดับความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้แต่ยังไม่ใชความสำเร็จ มันเป็นเพียงบันไดหรือทางผ่านไปสู่ความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม

มีสิ่งที่เราจะต้องวิเคราะห์และศึกษากันต่อไปในเรื่องนี้ครับ

s004


โพสต์ เมื่อ: 13 ธ.ค. 2015, 05:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
[size=150]อารมณ์ เฉย หรือการเฉยต่อผัสสะของทวารทั้ง 6 นั้น มีได้ตั้งหลายวิธีคือ

1.ใช้ความไม่สนใจ ปัดทิ้งอารมณ์ต่างๆที่จะเกิดจากผัสสะ

2.ใช้ความอดทนบังคับไม่ให้เกิดอารมณ์

3.ใช้การใคร่ครวญคิด พิจารณาเหตุผลต่างมาตัดอารมณ์

4.ใช้คำบริกรรมหรือกรรมฐานต่างๆมาปิดกั้นและสกัดอารมณ์

5.ใช้สติรู้ทัน ตัด ไม่ให้เกิดอารมณ์ตอบโต้กับผัสสะนั้นๆ


[size=150]
s004
6.ใช้วิปัสสนาปัญญาขุดถอนเหตุ ปัจจัย ที่ทำให้เกิดอารมณ์และความรู้สึก
:b36:


โพสต์ เมื่อ: 17 ธ.ค. 2015, 05:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s006
ทั้ง 6 วิธีที่ทำให้เกิดการ เฉย ต่ออารมณ์และความรู้สึกนั้น น่าสนใจขยายความกันใน วิธีที่ 5 และวิธีที 6 นะครับ

5.ใช้สติรู้ทัน ตัด ไม่ให้เกิดอารมณ์ตอบโต้กับผัสสะนั้นๆ

วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมทำกันเป็นอย่างมากและเป็นหลักใหญ่ในการปฏิบัติของสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ คือการเอาสติไปกั้นระหว่างผัสสะ กับ เวทนา ทำให้หยุดปัจจัยที่จะไปก่อให้เกิด ตัณหา อันเป็นสมุทัยหรือต้นเหตุแห่งทุกข์เมื่อมีผัสสะของทวารทั้ง 6


วิธีนี้เป็นการกั้น ปัจจัย ไม่ให้กระทบ เหตุ เป็นการ

ระงับเหตุทุกข์ไว้ชั่วคราว

ต่างจากวิธีที่ 6 คือวิปัสสนาภาวนา ซึ่งเป็นการไป ถอน เหตุทุกข์

onion


โพสต์ เมื่อ: 18 ธ.ค. 2015, 05:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
ทำไม? สติจึงเป็นเพียงการกั้นเหตุทุกข์ ไม่สามารถถอนเหตุทุกข์ออกได้

ทั้งนี้เพราะเหตุทุกข์ที่แท้จริงนั้นมันซ่อนอยู่ภายใต้ ตัณหา ซึ่งความจริงแล้วตัณหาเป็นผลมาจากการกระทบกันของปัจจัย กับเหตุทุกข์ที่แท้จริง

ปัจจัย คือการกระทบกันของอายตนะ ทั้ง 12 คือ ตา เป็นอายตนะภายใน กระทบ รูป อายตนะภายนอก หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และใจ ก็เช่นกัน

ตัวเหตุที่แท้จริง คือ

ความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน เป็นกู เป็นเราหรือ สักกายทิฏฐิ

ความยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน เป็นกู เป็นเรา หรือ มานะทิฏฐิ

มันซ่อนอยู่ภายในจิตใจของปุถุชนทุกคน

เมื่อเอาสติ อันจะเป็นสติตรงๆ หรือคำกำหนดบริกรรมต่างที่มาเป็นเครื่องยึดของสติให้ระลึกได้มากำหนดปิดกั้นณ จุดกระทบกันของอายตนะ สัญญาณต่างๆที่จะส่งสายไปแปลความหมายที่ทวารใจ หรือมโนวิญญาณธาตุก็ขาดลงเสียก่อนที่จะไปแปลและกระทบกับเหตุคือสักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิในใจ ตัณหาใหม่ก็จึงไม่เกิด เพราะสังขารมันปรุงไม่ขึ้น

แต่ตัวเหตุที่แท้จริงคือความเห็นผิดกับความยึดผิดเขายังอยู่ครบเท่าเดิม

วิธีใช้สติกั้นนี้ ความจริงก็ได้ผลอยู่แต่ต้องใช้กำลังมาก ใช้เวลามาก เป็นการงดการรับรู้ของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจซึ่งทำยาก แต่เพราะด้วยความยากจึงช่วยทำให้ผู้ปฏิบัติวิธีนี้มีพลังจิตที่เข้มแข็งมาก ถึงทีสุดเหตุทุกข์ที่แท้จริงก็อาจตายได้ด้วยกำลังจิตที่เข้มแข็ง ที่ท่านเรียกว่า "เจโตวิมุติ"

คอยฟังตอน "ปัญญาวิมุติ" หรือการขุดถอนเหตุทุกข์ออกด้วยปัญญาต่อไปนะครับ

:b36:
:b37:
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 18 ธ.ค. 2015, 06:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไม..ต้องก๊อป..ข้อความตัวเองจากอีกกระทู้ มาใส่ละคับ

s006 s006
viewtopic.php?f=1&t=51021&start=270
asoka เขียน:
s004
ทำไม? สติจึงเป็นเพียงการกั้นเหตุทุกข์ ไม่สามารถถอนเหตุทุกข์ออกได้

ทั้งนี้เพราะเหตุทุกข์ที่แท้จริงนั้นมันซ่อนอยู่ภายใต้ ตัณหา ซึ่งความจริงแล้วตัณหาเป็นผลมาจากการกระทบกันของปัจจัย กับเหตุทุกข์ที่แท้จริง

ปัจจัย คือการกระทบกันของอายตนะ ทั้ง 12 คือ ตา เป็นอายตนะภายใน กระทบ รูป อายตนะภายนอก หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และใจ ก็เช่นกัน

ตัวเหตุที่แท้จริง คือ

ความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน เป็นกู เป็นเราหรือ สักกายทิฏฐิ

ความยึดผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน เป็นกู เป็นเรา หรือ มานะทิฏฐิ

มันซ่อนอยู่ภายในจิตใจของปุถุชนทุกคน


เมื่อเอาสติ อันจะเป็นสติตรงๆ หรือคำกำหนดบริกรรมต่างที่มาเป็นเครื่องยึดของสติให้ระลึกได้มากำหนดปิดกั้นณ จุดกระทบกันของอายตนะ สัญญาณต่างๆที่จะส่งสายไปแปลความหมายที่ทวารใจ หรือมโนวิญญาณธาตุก็ขาดลงเสียก่อนที่จะไปแปลและกระทบกับเหตุคือสักกายทิฏฐิและมานะทิฏฐิในใจ ตัณหาใหม่ก็จึงไม่เกิด เพราะสังขารมันปรุงไม่ขึ้น

แต่ตัวเหตุที่แท้จริงคือความเห็นผิดกับความยึดผิดเขายังอยู่ครบเท่าเดิม

วิธีใช้สติกั้นนี้ ความจริงก็ได้ผลอยู่แต่ต้องใช้กำลังมาก ใช้เวลามาก เป็นการงดการรับรู้ของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจซึ่งทำยาก แต่เพราะด้วยความยากจึงช่วยทำให้ผู้ปฏิบัติวิธีนี้มีพลังจิตที่เข้มแข็งมาก ถึงทีสุดเหตุทุกข์ที่แท้จริงก็อาจตายได้ด้วยกำลังจิตที่เข้มแข็ง ที่ท่านเรียกว่า "เจโตวิมุติ"

คอยฟังตอน "ปัญญาวิมุติ" หรือการขุดถอนเหตุทุกข์ออกด้วยปัญญาต่อไปนะครับ

:b36:
:b37:
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 18 ธ.ค. 2015, 18:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เพราะพอดีมันเป็นเนื้อหาเดียวกันครับ

smiley


โพสต์ เมื่อ: 23 ธ.ค. 2015, 06:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
เรื่องของเจโตวิมุติ ลุงหมานได้กรุณานำภาพ พรานหนีหมามาให้ดูแล้วคงเห็นกันทั่วนะครับ

หมาไม่ตายเฝ้าคอยจังหวะที่จะขยำนายพรานอยูตลอดเวลาถ้านายพรานเผลอจึงเป็นเรื่องที่ต้องเหนื่อยและระวังอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้านายพรานทนได้มีสะเบียงกรังเพียงพอในที่สุดเอาชนะหมาได้ หมาก็จะจากไปหรือตายเพราะความหิวหมดภาระได้เหมือนกัน

ส่วนเรื่องของปัญญาวิมุติ อันเปรียบเหมืนนายพรานฆ่าหมาตายเสียด้วยลูกศรแห่งปัญญานั้น นายพรานเสียแรงเสียเวลาน้อยและไม่ต้องคอยหวาดระแวงระวังหมาอีกต่อไป ใช้ชีวิตได้อย่างสบายเบาสิ้นกังวล

นี่เป็นสำนวนและความหมายของเจโตวิมุติและปัญญาวิมุตของหลุงหมาน

แต่สำนวนที่อโศกะจะนำมาเล่าสู่กันฟังนั้นเป็นอีกนัยยะหนึ่งพึงลองอ่าน ฟัง ดูเป็นธรรมทัศนะนะครับ

:b43: :b43: :b44: :b44:
เจโตวิมุต คือการเจริญสติสมาธิให้มีกำลังมากจนสามารถกำหราบ สยบ กิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิต่างๆให้ฝ่อตาย ท่านทั้งหลายที่เจริญแนวนี้จะใช้สติระวังที่ผัสสะ (สมุทัยตายด้วยพลังสติสมาธิ)ออกแรงมาก ลงทุนลงแรงและเวลาเยอะ
เหนื่อยหนัก แต่ได้ความแข็งแรง ได้พลังทางใจทางกายเยอะ มีของแถมมาก

ปัญญาวิมุติ คือการเจริญปัญญา ตามรู้ตามสังเกตปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์ โดยมีสติสมาธิเป็นกองหนุนจนรู้ทันเหตุทันผลของความเกิดขึ้นดับไปของอารมณ์ความรู้สึกต่างๆตามความเป็นจริง แล้วถอนเหตุ หรือเหตุเกิดของอารมณ์ ความรู้สึกสลายไปด้วยตัวของมันเอง (สมุทัยสลายตัวด้วยปัญญาพ้นความหลงเห็นผิดยึดผิด)ออกแรงน้อย ลงทุนลงแรงน้อย เรียบง่าย แต่ไม่ค่อยมีของแถม

onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 168 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร