วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 02:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2016, 06:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมนึกอยู่แล้ว..ว่า..บอกแค่หัวข้อ..อโสกะคงตามความคิดผมไม่ทัน..

:b12:
ผมไม่ตามความคิดของกบหรอกครับ แต่อยากเห็นกบแสดงวิธีปฏิบัติในการเดินตามทางสายกลางด้วยความรู้ความคิดเห็นและภาคปฏิบัติจริงๆที่กบกำลังเจริญอยู่ทุกวัน

บอกไม่ได้ใช่ไหม? หรือภูมิปฏิบัติยังไม่มีหรือมีไม่ถึง

:b13: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2016, 06:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้า..พระองค์ก็บอกหมดแล้ว..ว่าทำอย่างไร
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร...ทางสุดโต่ง สองส่วนที่ไม่ควรทำ...พระองค์ก็อธิบายชัดเจนแล้ว..ทางสายกลางคือมรรค8...ก็บอกแล้วทำอย่างไร...การพิจารณาทำอย่างไรพระองค์ก็บอกแล้วในอนัตตลักขณสูตร

อโสกะยังไม่สน...ยังสนแต่จะคิดค้นขึ้นมาเอง..อย่างนี้..ผมพูดอะไรไปมันจะมีประโยชน์อะไรละ


รู้จักมานะกิเลส..มั้ย?
เห็นมานะกิเลสมันทำงานในหัวใจตน..มั้ย?

อย่ามัวไปแปลมานะกิเลส..ตามตัวหนังสือแบบก้มหน้าก้มตาไม่มองฟ้ามองดินอยู่เลย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2016, 15:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
พระพุทธเจ้า..พระองค์ก็บอกหมดแล้ว..ว่าทำอย่างไร
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร...ทางสุดโต่ง สองส่วนที่ไม่ควรทำ...พระองค์ก็อธิบายชัดเจนแล้ว..ทางสายกลางคือมรรค8...ก็บอกแล้วทำอย่างไร...การพิจารณาทำอย่างไรพระองค์ก็บอกแล้วในอนัตตลักขณสูตร

อโสกะยังไม่สน...ยังสนแต่จะคิดค้นขึ้นมาเอง..อย่างนี้..ผมพูดอะไรไปมันจะมีประโยชน์อะไรละ


รู้จักมานะกิเลส..มั้ย?
เห็นมานะกิเลสมันทำงานในหัวใจตน..มั้ย?

อย่ามัวไปแปลมานะกิเลส..ตามตัวหนังสือแบบก้มหน้าก้มตาไม่มองฟ้ามองดินอยู่เลย...

:b12:
ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกนั้นใครๆก็รู้อยู่ แต่ที่ย้ำถามกบมาตลอดนี้ต้องการทราบว่ากบทำยังไง วิธีเจริญมรรค เจริญทางสายกลางของกบนั้นนะกบทำยังไง?

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้

ถามอีกครั้งยังไม่ตอบหรือตอบไม่ได้ เพราะตอบได้เฉพาะที่ลอกตำรามา ที่ปฏิบัติจริงๆยังไม่ได้ทำเองเลยบอกไม่ถูก

งั้นถ้าจนปัญญาจริงๆเดี๋ยวจะยกตัวอย่างวิธีเดินทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมาให้ฟังเพื่อเทียบกับที่อโศกะบอกไว้แต่แรกว่ามันใช่ทางเดียวกันหรือไม่
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2016, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b4:
กามสุขัลลิกานุโยโค = ยินดี

อัตตกิลมถานุโยโค = ยินร้าย

มัชฌิมาปฏิปทา = เฉย

เฉยมากเข้าๆจนเป็นนิสัยอุปนิสัย = ปกติ = ศีล

:b38:


กบนอกกะลา เขียน:
การสรุปง่าย ๆ แบบนี้...ดูท่าจะผิดความหมายไปมาก...และคงไม่เคยหรือมีประสพการน้อย...

จึงไม่เคยรู้ว่า...มันก็มีอารมณ์ยินร้าย...ในกามสุขัลลิกานุโยค..และยินดีใน..อัตตกิลมถานุโยค..ได้ด้วย

แค่นี้ไม่รูู้...จึงไม่ต้องไปพูดถึง...เรื่องเฉย..= มัชฌิมาปฏิปทา เพราะจะยิ่งเข้าป่าที่ไม่เคยเดินลึกมากไป
:b32: :b32:

กลับไปอ่านแล้วทำใจพิจารณาน้อมนำตามพระสูตร..ธัมมจักกัปปวัตนสูตร...อย่างมีสมาธิ..อย่ามีอารมณ์ดื้อ..อย่ายึดมั่นความคิดอย่างที่สรุปมานี้ของตนมากนัก...คิดว่าน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากนะคับ



กบนอกกะลา เขียน:

การสรุปง่าย ๆ แบบนี้...ดูท่าจะผิดความหมายไปมาก...และคงไม่เคยหรือมีประสพการน้อย...

(อโสกะ)จึงไม่เคยรู้ว่า...มันก็มีอารมณ์ยินร้าย...ในกามสุขัลลิกานุโยค..และยินดีใน..อัตตกิลมถานุโยค..
ได้ด้วย

แค่นี้ไม่รูู้...จึงไม่ต้องไปพูดถึง...เรื่องเฉย..= มัชฌิมาปฏิปทา เพราะจะยิ่งเข้าป่าที่ไม่เคยเดินลึกมากไป
:b32: :b32:

กลับไปอ่านแล้วทำใจพิจารณาน้อมนำตามพระสูตร..ธัมมจักกัปปวัตนสูตร...อย่างมีสมาธิ..อย่ามีอารมณ์ดื้อ..อย่ายึดมั่นความคิดอย่างที่สรุปมานี้ของตนมากนัก...คิดว่าน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากนะคับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2016, 20:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
http://board.palungjit.org/f17/%E0%B8%9 ... 74331.html
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
..................

เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ
ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์) ได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีในเวลานั้น พระองค์ได้ตรัสเตือนพระภิกษุเบญจวัคคีย์ว่า

เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ผู้ออกบวชแสวงหาความหลุดพ้น ไม่ควรปฎิบัติตน 2 ประการ คือ (1) การแสวงหาความสุขทางกามคุณ แบบสุดโต่ง ซึ่งทำให้จิตใจต่ำทราม เป็นเรื่องของชาวบ้านที่มีความใคร่ เป็นเรื่องของคนมีกิเลสหนาไม่ใช่เป็นสิ่งประเสริฐ คือ มีแต่จะก่อให้เกิดข้าศึกคือกิเลส ไม่มีสาระประโยชน์อันใด (2) การปฏิบัติตนแบบก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน เป็นสภาวะที่ทนได้ยาก ไม่ใช่สิ่งประเสริฐ คือ มีแต่จะก่อให้เกิดข้าศึก คือ กิเลสไม่มีสาระประโยชน์อันใด ฯ

เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถา คะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะ มายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย หลักปฏิบัติอันเป็น ทางสายกลาง หลีกเลี่ยงจากการปฏิบัติแบบสุดโต่ง ซึ่งเราตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยวดยิ่ง เห็นได้ด้วยตาใน รู้ด้วยญาณภายใน เป็นไปเพื่อความสงบกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้อย่างทั่วถึง เพื่อความดับกิเลสและกองทุกข์ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ (1) ความเห็นชอบ (2) ความดำริชอบ (3) วาจาชอบ (4) การงานชอบ (5) เลี้ยงชีวิตชอบ (6) ความเพียรชอบ (7) ความระลึกชอบ (8) ความตั้งจิตชอบ

อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะ เตนะ อะภิ สัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขา อะริยัะสัจจัง ชาติปิ ทุกข ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
ภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ คือ ความจริงที่ช่วยมนุษย์ให้เป็นผู้ประเสริฐเกี่ยวกับการพิจารณาเห็นทุกข์ เป็นอย่างนี้ คือ การเข้าใจว่า "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ล้วนแต่ เป็นทุกข์ แม้แต่ความโศรกเศร้าเสียใจ ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ทั้งความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปราถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ว่าโดยย่อ การยึดมั่นแบบฝังใจ ว่า เบญจขันธ์ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ว่าเป็น อัตตา เป็นตัวเรา เป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์แท้จริง
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุมะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภิ นันทินี ฯ เสยยะถีทัง ฯ กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เหตุทำให้เกิดความทุกข์ (สมุหทัย) มีอย่างนี้ คือ ความอยากเกินควร ที่เรียกว่า ทะยานอยาก ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นไปด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน มัวเพลิดเพลินอย่างหลงระเริงในสิ่งที่ก่อให้เกิดความกำหนัดรักใคร่นั้นๆ ได้แก่
(1) ความทะยานอยากในสิ่งที่ก่อให้เกิดความใคร่
(2) ความทะยานอยากในความอยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่
(3) ความทะยานอยากในความที่จะพ้นจากภาวะที่ไม่อยากเป็๋น เช่น ไม่อยากจะเป็นคนไร้เกียรติ ไร้ยศ เป็นต้น อยากจะดับสูญไปเลย ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้

อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจังฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะ นิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ
ภิกษุทั้งหลาย นิโรธ คือ ความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ ดับความกำหนัดอย่างสิ้นเชิง มิให้ตัณหาเหลือยู่ สละตัณหา ปล่อยวางตัณหาข้ามพ้นจากตัณหา ไม่มีเยื่อใยในตัณหา


อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะ สัจจัง ฯ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมา อาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ

ภิกษุทั้งหลาย ทุกขโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ได้แก่ (1) ความเห็นชอบ (2) ความดำริชอบ (3) วาจาชอบ (4) การงานชอบ (5) เลี้ยงชีวิตชอบ (6) ความเพียรชอบ (7) ความระลึกชอบ (8) ความตั้งจิตมั่นชอบ

อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้ เป็นทุกขอริยสัจจ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ภิกษุทั้งหลาย (บัดนี้) เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็นทุกขอริยสัจ เราได้กำหนดรู้แล้ว

อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทมะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็นทุกสมุทัยอริยสัจ เป็นสิ่งที่ควรละ ภิกษุทั้งหลาย (บัดนี้) เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็นทุกขสมุทัยอริยสัจเราละได้แล้ว

อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ฯ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็น ทุกขนิโรธอริยสัจ เป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ภิกษุทั้งหลาย (บัดนี้) เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่าเป็น ทุกขนิโรธอริยสัจ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว

อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ภิกษุทั้งหลาย (บัดนี้) เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่าเป็น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว

ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดการหยั่งรู้ การเห็นตามความเป็นจริง ว่าอริยสัจ 4 มี 3 รอบ มีอาการ 12 (ได้แก่ 1. หยั่งรู้อริยสัจ แต่ละอย่างตามความเป็นจริง 2. หยั่งรู้กิจของอริยสัจ 3. หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้ว ในอริยสัจ) ยังไม่หมดจดเพียงใด
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะ พราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง ไม่มีใครจะเทียบได้ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มาร พรหม แม้มวลมนุษย์ ทั้งที่เป็นสมณะเป็นพราหมณ์ ก็เทียบเท่ามิได้เพียงนั้น


ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดการหยั่งรู้ การเห็นตามความเป็นจริงดังกล่าวมาหมดจดดีแล้ว เมื่อนั้นเราได้ยืนยันตนเป็นผู้ตรัสรู้ชอบดังกล่าวแล้ว เช่นนั้น

ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิปุ นัพภะโวติ ฯ
การหยั่งรู้ การเห็นตามความเป็นจริงได้เกิดขึ้นแก่เราแล้วว่า ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกลับกำเริบอีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีก

.......




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2016, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะ..อาจจะคิดว่า...ตั้งสติใว้ที่เฉย...ก็เป็นสติในมรรค 8 แล้ว

อย่าลืมนะ...มีสติชอบ..กับสติไม่ชอบ

ไปตั้งสติให้เฉย..ไม่ปรุงแต่งต่อ..แล้วเข้าใจว่านี้เป็นมรรค
ผมถามว่า...ไปตั้งใว้ที่ผลคือเวทนา..เลยนี้่...มันเป็นสติชอบตรงไหน?

ถ้าเฉย..ที่เกิดจากวางสังขารลงด้วยการเห็นความจริงตามธรรม...เฉยแบบนี้จึงเรียกว่าผลที่ต้องการ

เห็นอย่างไรจึงว่าเห็นตามธรรม?...
ตามอนัตตลักขณสูตร..เลย
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... =479&Z=575
อ้างคำพูด:
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง
นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา
?

(อะไรประมาณนี้...จะว่าผุดขึ้น..หรืออุทานขึ้นก็แล้วแต่...แล้วสังขารไม่ต้องวาง...มันปล่อยไปเอง..นี้คนที่กำลังฝึกนะ...ส่วนคนที่ไม่ต้องฝึกแล้ว...ไม่รู้)

นี้เห็นโดยความเป็นไตรลักษณ์..นะ

บางท่านก็อาจเห็นด้วยความเป็นธาตุ...

บางเรื่องบางท่านก็อาจเห็นด้วยกฎของกรรม...เป็นต้น..

นี้...เฉย..เพราะวางสังขารลงด้วยการเห็นตามธรรม...มันเป็นอย่างนี้


แต่หาก..ทำเฉย...ทำเฉย...ไม่ปรุง...ไม่ปรุง...เพราะกลัวเป็นทุกข์...เข้าใจว่านี้คือทางสายกลางแล้ว..ละก้อ....อโสกะครับ..บอกได้เลย...ว่า..ยัง....ยังไม่เข้าจุดกลาง..เป็นสติธรรมดา....ดีไม่ดีก็เป็นสติไม่ชอบอีกด้วยหากเข้าใจว่านี้เป็นสังขารุเปกขาญาณแล้ว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2016, 23:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: :b14: :b14:

ตามหาทางสายกลาง

:b5: :b5: :b5:

นี่ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เราไปอาบน้ำกันเถอะ

:b32: :b32: :b32:

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2016, 05:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: :b14:
อาบน้ำจะเที่ยงคืน..นี้นะ..

huh huh
อากาศแบบนี้....
กระผมไม่เอาชีวิต..
ไปเสี่ยง...
กับน้ำไม่กี่ขันหรอก...
:b7: :b7:
(ลอกเขามา..) :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2016, 05:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แนะนำ...
หากอาบน้ำฝักบัว....ให้อาบน้ำสายกลางนะ...จะไม่หนาว..

:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2016, 09:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b13: :b13: :b13:
555555555๕๕๕๕๕ ขอหัวเราะทั้งแบบไทยและแบบฝรั่ง :b12: :b13:

คัดลอกมาแปะเสียยาวยืดเลยนะกบ

ก็ยังเป็นวิธีปฏิบัติตามตัวหนังสืออยู่ดี
ธัมมจักกัปปวัตน์ อนัตตลักขณะสูตร ยังขาด ภัทเทกรัตคาถา อนัตตา โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ก็จะได้เท่ากับที่อโศกะเคยสรุปให้ฟัง

ก็ดีและถูกต้องแล้วนะกบ มาถูกทางอยู่ แต่ยังไม่ถึงที่

เป็นธรรมดาของคนเรียนมาจากตำรายังประยุกต์ใช้ความรู้จากตำรามาสู่การปฏิบัติในชีวิตจริงยังไม่ได้ ก็ต้องพูดอิงตำราอย่างนี้แหละ อโศกะก็เคยเดินมาตามทางสายนี้เช่นกัน

ถ้าเป็นการฝึกเพลงดาบก็ยังเป็นการร่ายรำตามแบบและรูปภาพในกระดาษและตัวหนังสือ เมื่อลงสนามเจอกับสถานการณ์จริงบ่อยๆจนมีชั่วโมงบินมากพอแล้วจึงจะได้เข้าถึงสภาวะที่ว่า

"กระบี่อยู่ที่ใจ"

การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ถ้าถึงสภาวะกระบี่หรือธรรมะอยู่ที่ใจ จะหยิบจะจับอะไรขึ้นมาก็แสดงเป็นธรรมะได้หมด การแสดงธรรมของท่านเหล่านั้นจะใหลออกจากใจ ไม่ใช่ใหลออกมาจากสัญญาจากตำราอย่างที่กบกำลังเป็นตอนนี้
แต่อีกไม่นานกบก็จะผ่านด่านนี้ไปสู่ที่ๆดียิ่งขึ้น ถ้ายังไม่ทิ้งการปฏิบัติจริง อนุโมทนา

จะยกตัวอย่างที่พระบรมศาสดาทรงประยุกต์วิธีเดินทางสายกลางมาลงในสติปัฏฐาน 4 ในสติปัฏฐานสูตร

กบลองสังเกตดูให้ดีๆสิ

กาเยกายา เวทนาสุเวทนา จิตเตจิตตา ธัมเมสุธัมมา
นุปัสสีวิหารติ
อาตาปี สัมปฌาโน สติมา

วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง


ประเด็นของผลที่ต้องการนั้นคือ "เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดี ยินร้ายในโลก"


กบสังเกตตรงนี้ให้ถึงที่สุดสิ

ระหว่างความยินดี กับ ความยินร้าย หรือเราอาจจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า

"กลางระหว่างความยินดีกับความยินร้าย"

กบว่ามันคืออะไร?


ถ้าปฏิบัติจริงอยู่ในทุกสัมผัสของทวารทั้ง 6 โดยให้มาสิ้นสุดตรง ระหว่างกลางของความยินดียินร้าย นี่คือการปฏิบัติทางสายกลาง อย่างแท้จริงและชาญฉลาดหรือไม่


ถ้ากบว่ายังไม่ใช่สงสัยต้องไปเรียนวิชาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แล้วขึ้นไปเฝ้าถามพระพุทธเจ้าบนพระเกตแก้วจุฬามณีที่ดาวดึงส์แล้วละครับ

ชวนท่านเอก้อนไปด้วย เพราะที่นั่นไม่หนาวไม่ร้อนอากาศพอดี้พอดี อยู่สบายๆ
:b12:
555555555555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2016, 09:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แนะนำ...
หากอาบน้ำฝักบัว....ให้อาบน้ำสายกลางนะ...จะไม่หนาว..

:b9: :b9:


:b32: :b32: :b32:

อากาศเย็น ๆ ขนาดนี้ น้ำถูกตัว ก็ชาแล้ว

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2016, 09:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แนะนำ...
หากอาบน้ำฝักบัว....ให้อาบน้ำสายกลางนะ...จะไม่หนาว..

:b9: :b9:


:b32: :b32: :b32:

อากาศเย็น ๆ ขนาดนี้ น้ำถูกตัว ก็ชาแล้ว

:b16: :b16: :b16:

:b12:
อ้างคำพูด:
น้ำถูกตัวก็ชา
ท่านเอก้อนอยู่แถวไหนละนี่

ถ้าไมไกลนำพุร้อนสันกำแพงเชิญไปอาบไปแช่น้ำอุ่นที่นั่นนะ รับรองแตะน้ำแล้วไม่ชา ดีไม่ดีอาจจะร้องจ้ากด้วยซ้ำไปถ้าไม่ค่อยๆจุ่มตัวลงไปในอ่างน้ำแร่

ชวนกบไปด้วยล่ะครับ
:b13: smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2016, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...ฟังธรรมแก้หนาวหน่อยนะคะ...รู้แล้วจะหนาว...
...กิเลสเกิดเมื่อใดทำร้ายตนเมื่อนั้น...
https://m.youtube.com/watch?v=IzVZy2s5KX0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2016, 22:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แนะนำ...
หากอาบน้ำฝักบัว....ให้อาบน้ำสายกลางนะ...จะไม่หนาว..

:b9: :b9:


:b32: :b32: :b32:

อากาศเย็น ๆ ขนาดนี้ น้ำถูกตัว ก็ชาแล้ว

:b16: :b16: :b16:

:b12:
อ้างคำพูด:
น้ำถูกตัวก็ชา
ท่านเอก้อนอยู่แถวไหนละนี่

ถ้าไมไกลนำพุร้อนสันกำแพงเชิญไปอาบไปแช่น้ำอุ่นที่นั่นนะ รับรองแตะน้ำแล้วไม่ชา ดีไม่ดีอาจจะร้องจ้ากด้วยซ้ำไปถ้าไม่ค่อยๆจุ่มตัวลงไปในอ่างน้ำแร่

ชวนกบไปด้วยล่ะครับ
:b13: smiley


:b1: ... ท่าจะไกลนะ ...กว่าจะไปถึง ก็หมดหนาวกันพอดี ... :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2016, 06:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
โอ.! ...ท่านเอก้อนอยู่ไกลเชียงใหม่มาก คงไม่ได้ลงอาบน้ำแร่ แช่น้ำอุ่นที่น้ำพุร้อนสันกำแพงได้ง่ายๆ คงต้องอาศัยเครื่องทำน้ำอุ่นที่บ้านแทนไปพลางๆก่อนจนกว่าจะมีโอกาสนะครับ
:b16:
กลาง

ไม่สุขไม่ทุกข์

ไม่ตึงไม่หย่อน

เฉย อุเบกขา

หมดปฏิกิริยา

ปกติ

สงบเย็น

สมดุลย์

กับการเดินทางสายกลาง คล้ายคลึงกันมาก แต่มีความหยาบละเอียดของสภาวะต่างกันเท่านั้นเอง

บุคคลผู้ใดสามารทำใจให้เป็นกลางหรือวางเฉย หรือสมดุลย์ได้ทุกเวลา ทุกสถานการณ์และโอกาส ต้องถือว่ากำลังเดินอยู่บนทางสายกลาง

ทั้งนี้เพราะการที่จะประคองรักษาจิตใจให้อยู่ตรงกลางระหว่างความยินดี ยินร้ายจนเป็นปกติ สมดุลย์หรือวางเฉยได้นั้น ต้องอาศัยสติ ปัญญา สมาธิ ศีล และความสามารถอย่างมาก

กลาง กับมงคลข้อที่ 35 จิตไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม เกือบจะเป็นอันเดียวกัน

นี่คือข้อสังเกตจากการปฏิบัติจริง

ทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นน่าจะชี้ลงมาตรงนี้

สัมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง คือเห็นทุกข์ เห็นเหตุทุกข์ รู้วิธีดับเหตุทุกข์ ถ้าเหตุทุกข์ดับ ผลทุกข์ก็ดับ สิ่งที่เหลืออยู่และเป็นกลางเป็นสมดุลย์อย่างยิ่งก็คือนิโรธหรือนิพพาน

สัมมาสังกับปะ คิดออกจากความยินดี ยินร้าย คิดจะอยู่อย่างไม่เบียดเบียน ก็คืออยู่ตรงอุเบกขาความวางเฉย เฉยได้จนถึงเฉยโดยสมบูรณ์ ก็ถึงภาวะปกติ สมดุลย์ หรือนิพพาน

สัมมาวาจา วาจา ที่ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น ก็อยู่ตรงกลาง
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็คือการกระทำและอาชีพที่เป็นกลางๆ ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น

สัมมาวายามะ ความเพียรที่จะเฉยให้ได้กับทุกสิ่งทุกสถานการณ์จนไร้ปฏิกิริยาได้นิพพานเป็นผล

สัมมาสติ สติทีระลึกรู้อยู่แต่ปัจจุบัน ย่อมไร้มโนกรรม วจีกรรม กายกรรมเลยไม่เกิด ก็เป็นเฉยหรืออยู่ตรงกลาง

สัมมาสมาธิ จิตเป็นหนึ่ง ก็ถึงเฉย (ฌาณ 4) จิตหยุดปรุงแต่ง(สังขารุเปกขาญาณ) ก็ถึงเฉย หมดปฏิกิริยา

จงฝึกหัดปฏิบัติทำใจให้อยู่ที่เฉย หรือตรงกลางระหว่างความยินดียินร้ายให้ได้เสมอทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส ผลทั้งหมดจนถึงผลอันสูงสุดคือพระนิพพานย่อมเกิดแก่ท่านทุกๆคนอย่างแน่นอน

เพราะฉนั้นการปฏิบัติธรรม การเจริญมรรค 8 การเจริญสติปัฏฐาน 4 การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากกว่าวิธีภาวนาหรือทำบุญอื่นใด คือ

"นั่งเฉยๆ"

เฉยให้ได้ต่อการกระทบสัมผัสและแรงปฏิกิริยาทุกอย่างที่มากระทำต่อกายและใจ ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส จำได้เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับวิธีการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
onion
:b36:
:b38:
:b37:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร