วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 06:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2016, 13:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
หวานชื่นกันจังเลยนะครับ

ขอแสดงความยินดีด้วย

แต่คงเลยกลาง ตกขอบกระทู้นี้กันไปเยอะแล้วละกระมังครับ?
55555555


โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2016, 22:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
หวานชื่นกันจังเลยนะครับ

ขอแสดงความยินดีด้วย

แต่คงเลยกลาง ตกขอบกระทู้นี้กันไปเยอะแล้วละกระมังครับ?
55555555


:b1: :b1: :b1:

ถ้าคุณอโศกะกำหนดว่า กลาง ของกระทู้ต้องอยู่ตรงไหน
และตรงไหนขอบกระทู้ คุณอโศกะก็ย่อมเห็นตำแหน่งต่าง ๆ นานา

สำหรับเอกอน
เมื่อเห็นเพื่อนกัลยานมิตรมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี
เอกอนก็แสดงความยินดีออกไปตามที่ใจนั้นก็รู้สึกยินดีกับเขา

เพราะ คุณ student เป็นคนที่ศึกษาปฏิบัติธรรม และได้มาร่วมเสวนาในลานแห่งนี้ประจำ
ทุกคนที่เป็นเพื่อนสมาชิกที่ได้อยู่ร่วมกันในลานแห่งนี้มา
ย่อมเห็นช่วงเวลาชีวิตของคุณ student ที่มีทั้งการปฏิบัติที่ค่อย ๆ ก้าว ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมา
เห็นช่วงเวลาต่าง ๆ และได้รับรู้เรื่องราวที่ทุกข์ของคุณ student
การที่ได้เห็นคุณ student มีความสุข และดูมีกำลังกาย กำลังใจที่แข็งแรง สดใส
เอกอนก็เห็นว่า คุณ student ได้เติบโตแข็งแรงเป็นกำลังต้นกล้าแห่งพุทธศาสนาคนหนึ่งแล้ว
เอกอนก็รู้สึกยินดีต่อทั้งคุณ student และ ต่อพุทธศาสนา

และที่สำคัญ คุณ student ก็จะเป็นเสาหลักในทางธรรมให้กับภรรยาได้
และก็พลอยจะงอกงามไปสู่บริวารคนใกล้ชิดได้อีก
เพราะเอกอนเห็นเรื่องที่น่ายินดีหลายอย่าง จึงยินดี

หรือ ท่านเห็นว่าเมื่อมีสิ่งที่น่ายินดีปรากฎอย่างนี้
ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องทำใจให้เฉยเมยกับมันล่ะ

:b1:

เอกอนว่า ที่เอกอนแสดงความยินดี
ก็ยังอยู่ในขอบข่ายแห่ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นะ
ก็ยังอยู่ในขอบข่ายแห่งธรรมที่ควรเจริญ และควรมีประดับไว้

ซึ่งการจะไปให้ถึง ทางสายกลาง ก็คงไม่ได้หมายว่าจะต้องละทิ้ง
ความมีจิตเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรอกเน๊อะ

ธรรม ยังไงก็ต้องมี ธรรมที่ควรเจริญ ก็ย่อมต้องมี

:b1: :b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 30 ม.ค. 2016, 21:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
555555
ผมก็พลอยยินดีด้วยด้วยแหละครับที่เห็นคนมีความสุขในกระทู้ที่ผมตั้ง

ที่กระตุกนิดหน่อยก็เพียงทำหน้าที่รักษาเรื่องราวให้เป็นไปตามประเด็นของกระทู้เท่านั้นเองแหละครับ

อนุโมทนาในความก้าวหน้าในธรรมของคุณ student อนุโมทนาในความพลอยยินดีของคุณeragon ด้วยครับ

แล้วเราก็มาคุยเรื่องกลางกันต่อนะครับ
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 31 ม.ค. 2016, 03:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งสติ..ที่เฉย...ไม่ปรุงต่อหลังผัสสะ...นี้..

จะแน่ใจได้อย่างไรว่า..มันไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา(อทุกขมสุขเวทนา)
แล้วอย่างไรจึงจะเป็นเฉยที่เป็นอุเบกขาในโพชฌงค์ 7


โพสต์ เมื่อ: 31 ม.ค. 2016, 03:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนากับคุณ อโสกะ

ที่คุยกันเมื่อกี้ ก็ได้แง่คิดในการเดินสายกลางอีกแง่มุมหนึ่ง

คือชื่นชมบุคคลที่ควรชื่นชมให้กำลังใจ

ตำหนิบุคคลที่ควรตำหนิเพื่อสร้างทัศนคติใหม่

การตั้งใจศึกษาทำความเพียรให้เป็นปกติทุกวันนั้น ทำได้ยาก เมื่อมีผู้ที่มีความตั้งใจ ก็ชื่นชมยินดี

บางคนมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ค่อยฟังใคร ถูกอยู่คนเดียว ก็ลดความมานะของเขาลงก่อน คือตำหนิคนที่ควรตำหนิ

จริงๆผมพึ่งอ่านตำรา พระสุตันตปิฎก 3-4วันก่อน ที่พระพุทธเจ้าโปรดเทวดาที่เข้ามาถามคำถาม

มีบาลีด้วย ถ้าค้นเจอจะเอามาให้อ่านกันครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 31 ม.ค. 2016, 05:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ตั้งสติ..ที่เฉย...ไม่ปรุงต่อหลังผัสสะ...นี้..

จะแน่ใจได้อย่างไรว่า..มันไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา(อทุกขมสุขเวทนา)
แล้วอย่างไรจึงจะเป็นเฉยที่เป็นอุเบกขาในโพชฌงค์ 7

:b38:
"เฉย" เป็นเพียงชื่อสั้นๆของกระบวนการเดินทางสายกลาง เบื้องหลังคำว่า "เฉย"
นั้นจะมีกระบวนการอีกมากมายที่เกิดขึ้นทำงานตามธรรมชาติหรือตามธรรมด้วย

คุณกบอยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ลองตั้งใจ (มนสิการ) ตั้งสติปัญญา(โยนิโส) ขึ้นมาไว้ตรงหน้า(ปริมุขังสติงอุปัฎฐเปตวา) หมายใจหมายตา(ปณิธายะ) ไว้ที่เฉยแต่เพียงอย่างเดียว ปล่อยกายปล่อยใจให้ทุกสิ่งทุกอย่างไหลไปเองตามธรรมชาติ ตามกำลังของเหตุปัจจัย คงไว้แต่เพียงผู้รู้ที่นิ่งรู้นิ่งสังเกตปรากฏการทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติในรูป นาม กาย ใจ หรือธาตุขันธ์ 5 ก้อนที่มีจิตดวงนี้ครองอยู่

สังเกตุ สำคัญมาก สังเกตเป็นพระเอกของการเจริญสติและปัญญา
ไม่มีสังเกต สติจะไม่ทันปัจจุบันอารมณ์
ไม่มีสังเกต ปัญญา จะไม่รู้ ดู เห็น ปัจจุบันอารมณ์ การภาวนานั้นจะไร้ค่าความหมาย

สังเกต เป็นอะไรในมรรค 8 ?
สังเกต คือปัญญาสัมมาสังกัปปะ ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ สังเกต พิจารณา(คิด)

ดู เห็น และ รู้ เป็นอะไรในมรรค 8 ?
ดู เห็น รู้ เป็น สัมมาทิฏฐิ ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ รู้ หลังจากการดู เห็น สังเกต พิจารณาแล้ว รู้ จึงจะเกิดขึ้นมา
หมายเหตุ:สังเกต ไม่ใช้ความคิด
พิจารณา ใช้ความคิด วิตก วิจารณ์

กบสังเกตให้ดี ปุถุชนคนที่ยังหนาด้วยกิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิทั้งหลายเขาจะนั่งให้มันเหลือแต่ เฉย ให้ได้ นั้นมันเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง ยากยังไง กบลองทำดูไม่ถึงนาทีก็จะรู้ด้วยตนเอง

สิ่งต่างๆทั้งผัสสะภายนอกและภายในนั้นมันจะมารุมเร้าให้จิตปุถุชนผู้นั้นมันตั้งเฉยอยู่ไม่ได้ ผัสสะ อารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหล่านั้นแหละคืองานของผู้ปฏิบัติธรรมที่จะต้องเอามรรคทั้ง 8 มาเจริญ มาเคลียร์ให้จนปฏิกิริยาทุกอย่างมาจบลงตรงคำว่า "เฉย"

เอาเบื้องหลังมาเล่าให้เห็นโครงสร้างคร่าวๆแล้วจากนี้ก็จะตอบคำถามข้างต้นของกบไว้สักนิดหนึ่งก่อนให้กบคลายความรุ่มร้อนใจ

อ้างคำพูด:
จะแน่ใจได้อย่างไรว่า..มันไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา(อทุกขมสุขเวทนา)


เมื่อหมดเหตุ หรือตัวเหตุ ที่คอยตอบโต้มีปฏิกิริยากับผัสสะและเวทนาทั้งปวงเขาถอยไปหรือตายลง (ถอยไปจากความยินดียินร้าย) เฉยที่ปราศจากเหตุเขาจะเกิดขึ้นมาแทนเองโดยธรรมชาติ นี่คือเฉยตัวจริง
อ้างคำพูด:
แล้วอย่างไรจึงจะเป็นเฉยที่เป็นอุเบกขาในโพชฌงค์ 7


เฉย ที่ปราศจากเหตุ นั่นแหละ คือ อุเบกขาสัมโพชงค์

ในอธิบายทั้งหมดของตอนนี้ ได้ทิ้งปัญหาไว้เป็นการบ้านให้กบไปค้นคิด พิจารณาดูให้ดีๆว่า

ตัวเหตุ ที่คอยตอบโต้มีปฏิกิริยากับผัสสะและเวทนาทั้งปวงนั้น คืออะไร?

s004
:b36:
:b12: :b12: :b12:
อ้อ! เกือบลืมเรื่องสำคัญ
ต้องขอขอบใจมากที่กบมาเป็นผู้คอยกระตุ้นต่อมสติ ปัญญา สมาธิ ศีล ของผมให้ลุกขึ้น ตื่นตัวทำงานดลบันดาลให้ธรรมะจากใจหลั่งใหลออกมาได้ไม่ขาดสายเสมอๆ

นี่เป็นประโยชน์และคุณความดีของกบที่กบอาจจะยังไม่รู้นะครับ

(นี่ พูดจากใจขอบใจขอบคุณจริงๆ ไม่ได้แสร้งพูดเพื่อถากถางเหน็บแนมอย่างที่กบคอยพยายามจะเข้าใจผิดไปนะครับ)
smiley


โพสต์ เมื่อ: 31 ม.ค. 2016, 06:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อ้อ! เกือบลืมเรื่องสำคัญ
ต้องขอขอบใจมากที่กบมาเป็นผู้คอยกระตุ้นต่อมสติ ปัญญา สมาธิ ศีล ของผมให้ลุกขึ้น ตื่นตัวทำงานดลบันดาลให้ธรรมะจากใจหลั่งใหลออกมาได้ไม่ขาดสายเสมอๆ

นี่เป็นประโยชน์และคุณความดีของกบที่กบอาจจะยังไม่รู้นะครับ


คำนี้..กระผมก็รู้สึกได้ว่า..อโสกะพูดจริง..

อ้างคำพูด:
(นี่ พูดจากใจขอบใจขอบคุณจริงๆ ไม่ได้แสร้งพูดเพื่อถากถางเหน็บแนมอย่างที่กบคอยพยายามจะเข้าใจผิดไปนะครับ)
smiley

ส่วนอีกกระทู้..ที่ถามว่า..ออกจากใจจริงอะป้าว?..นั้น

ว่ากันไปเป็นกรณี..กรณี..ครับ...

ไม่ได้คอยเพื่อที่จะพยายามตำนิใคร...นะ


โพสต์ เมื่อ: 31 ม.ค. 2016, 07:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

เอาเบื้องหลังมาเล่าให้เห็นโครงสร้างคร่าวๆแล้วจากนี้ก็จะตอบคำถามข้างต้นของกบไว้สักนิดหนึ่งก่อนให้กบคลายความรุ่มร้อนใจ

:b32: :b32: :b32:
ถ้าพูดเล่น ๆ ...ก็พอขำขำ
ถ้ารู้สึกอย่างที่พูดจริง....จะขำไม่ออก...สงสารแทน

asoka เขียน:

กบนอกกะลา เขียน:
จะแน่ใจได้อย่างไรว่า..มันไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา(อทุกขมสุขเวทนา)


เมื่อหมดเหตุ หรือตัวเหตุ ที่คอยตอบโต้มีปฏิกิริยากับผัสสะและเวทนาทั้งปวงเขาถอยไปหรือตายลง (ถอยไปจากความยินดียินร้าย) เฉยที่ปราศจากเหตุเขาจะเกิดขึ้นมาแทนเองโดยธรรมชาติ นี่คือเฉยตัวจริง

กบนอกกะลา เขียน:
แล้วอย่างไรจึงจะเป็นเฉยที่เป็นอุเบกขาในโพชฌงค์ 7


เฉย ที่ปราศจากเหตุ นั่นแหละ คือ อุเบกขาสัมโพชงค์


s006 s006 ตกลง..อโสกะมีความเห็นว่า...เฉยที่เป็นอทุกขมสขเวทนา..กับ..เฉย..ที่เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์...คืออย่างเดียวกันหรือคับ??...คือ..เฉยปราศจากเหตุ


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.พ. 2016, 06:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b3:
อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา เขียน:
จะแน่ใจได้อย่างไรว่า..มันไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา(อทุกขมสุขเวทนา)

s004
ผมตอบตามประเด็นคำถามที่กบถามนี้นะครับ

"ไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา"

ซึ่งมันก็ไปตรงกับ อุเบกขาสัมโพชงค์เสียด้วย

ส่วนเฉยเวทนานั้น ตัวเหตุยังมีอยู่เต็มๆเลยครับ

"เฉยที่ปราศจากเหตุ"

น่าสนใจไหมครับคุณกบ เป็นวลีใหม่ของยุคสมัยครับ คงไม่เหมือนบาลีในคัมภีร์ตรงๆนะครับ
s004
แต่ เอ ! คุณกบยังไม่ได้ตอบคำถามของผมเลยนะครับ

อ้างคำพูด:
ในอธิบายทั้งหมดของตอนนี้ ได้ทิ้งปัญหาไว้เป็นการบ้านให้กบไปค้นคิด พิจารณาดูให้ดีๆว่า

ตัวเหตุ ที่คอยตอบโต้มีปฏิกิริยากับผัสสะและเวทนาทั้งปวงนั้น คืออะไร?


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.พ. 2016, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b3:
อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา เขียน:
จะแน่ใจได้อย่างไรว่า..มันไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา(อทุกขมสุขเวทนา)

s004
ผมตอบตามประเด็นคำถามที่กบถามนี้นะครับ

"ไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา"

ซึ่งมันก็ไปตรงกับ อุเบกขาสัมโพชงค์เสียด้วย

ส่วนเฉยเวทนานั้น ตัวเหตุยังมีอยู่เต็มๆเลยครับ



เฉย..ที่ตัวเหตุยังมีอยู่....นี้...สังเกตได้จากอะไรคับ

เพราะ..อโสกะว่า..นิ่งสังเกตไม่ปรุงต่อจนมันดับไปเองเพราะหมดเหตุ...


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.พ. 2016, 11:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b3:
อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา เขียน:
จะแน่ใจได้อย่างไรว่า..มันไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา(อทุกขมสุขเวทนา)

s004
ผมตอบตามประเด็นคำถามที่กบถามนี้นะครับ

"ไม่ใช่เฉยที่เป็นเวทนา"

ซึ่งมันก็ไปตรงกับ อุเบกขาสัมโพชงค์เสียด้วย

ส่วนเฉยเวทนานั้น ตัวเหตุยังมีอยู่เต็มๆเลยครับ



เฉย..ที่ตัวเหตุยังมีอยู่....นี้...สังเกตได้จากอะไรคับ

เพราะ..อโสกะว่า..นิ่งสังเกตไม่ปรุงต่อจนมันดับไปเองเพราะหมดเหตุ...

:b3:
ยังไม่ตอบคำถามผมเลยถามต่อใหม่ซะแล้ว
:b7:
เฉยตัวที่ยังมีเหตุอยู่นี่คือเฉยแบบชาวบ้านทั่วๆไป เป็นเฉยเพราะทนเอาหรือไม่สนใจ เฉยแบบนี้ตัวเหตุมันยังมีและมันพร้อมจะยินดียินร้ายตอบโต้อยู่ตลอดเวลา

แต่ถ้าเป็นเฉยเพราะนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนยินดีหรือยินร้ายมันดับไปต่อหน้าต่อตานั้นมันเฉยแบบหมดปฏิกิริยาเพราะตัวเหตุมันดับไป
สังเกตที่ใจเจ้าของ เฉยมีเหตุมันจะหนัก ตึง ต้องคอยระวัง

เฉยหมดเหตุ มันจะเบา สบาย ไม่ต้องคอยเกรงคอยระวังอะไร
onion
:b39:


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.พ. 2016, 12:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เฉย...เบาสบาย..เป็นสุข.. ยังงัย..ยังงัย..ก็ถือว่าดี

แต่หากเข้าใจ..ว่า..นี้ตนเกิดปัญญา..แล้ว...นี้ก็น่าเป็นห่วง..

เฉย...เพราะมีสติ...ไม่ปรุงแต่งต่อ...กับ...เฉย...ไม่ปรุงต่อเพราะรู้สึกตามวิปัสสนาญาน9..ต่างก็เบาสบาย..เหมือนๆกัน...เพียงแต่..อันแรก..เมื่อไรขาดสติ..อารมณ์ปรุงแต่งก็เกิดเพราะไม่ได้ปะหานกิเลสอะไร...ต่างกับคนที่รู้สึกตามวิปัสสนาญาน...กิเลสจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ...


โพสต์ เมื่อ: 01 ก.พ. 2016, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นผมนั้น

เฉย เพราะความเห็นแห่งความเป็นอนัตตา นั้นน่าจะเป็นทางเดินสายกลาง

แต่เฉยที่ความเห็นเป็นอัตตาอยู่ ยังไงก็เป็นตัวเราตัวเขา

เฉยที่ปราศจากเหตุ ต้องปราศจากเหตุของ โลภะ โทสะ โมหะ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.พ. 2016, 06:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เพราะกบไม่ยอมตอบคำถามหรือไม่ยอมค้นหาคำตอบตามที่ผมถามเรื่องมันจึงยืดยาว ฟุ้งปรุงไปทั่ว

วันนี้คุณ student มาตอบแทนคุณกบเสียแล้ว ว่าเฉยโดยอนัตตา

นั้นใช่เลย

เหตุคือ "อัตตา"ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน กู เรา และ "มานะทิฏฐิ" ความยึดผิด คือยึดกาย ยึดจิต ว่าเป็นอัตตาตัวตน

แค่ทำลายความเห็นผิดได้เสียก่อน เฉย ก็เป็นเฉยที่ไร้เหตุได้ 25-50%
เมื่อไหร่ทำลายความยึดผิดในกายในจิตได้หมดเกลี้ยงเมื่อนั้นก็จะเข้าถึงความเฉยไร้เหตุได้ถึง75และ100%

onion


โพสต์ เมื่อ: 02 ก.พ. 2016, 06:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เฉย...เบาสบาย..เป็นสุข.. ยังงัย..ยังงัย..ก็ถือว่าดี

แต่หากเข้าใจ..ว่า..นี้ตนเกิดปัญญา..แล้ว...นี้ก็น่าเป็นห่วง..

เฉย...เพราะมีสติ...ไม่ปรุงแต่งต่อ...กับ...เฉย...ไม่ปรุงต่อเพราะรู้สึกตามวิปัสสนาญาน9..ต่างก็เบาสบาย..เหมือนๆกัน...เพียงแต่..อันแรก..เมื่อไรขาดสติ..อารมณ์ปรุงแต่งก็เกิดเพราะไม่ได้ปะหานกิเลสอะไร...ต่างกับคนที่รู้สึกตามวิปัสสนาญาน...กิเลสจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ...


การเห็นอนัตตา...เป็นส่วนหนึ่ง..ภังคานุปัสสนาญาณ...ในวิปัสสนาญาณ 9

การเห็นนี้...ต้องเห็นด้วยปัญญา...จึงจะเรียกว่าญาณ....ไม่ใช่เห็นด้วยผัสสะ.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร