วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 17:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2016, 05:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
อ้างคำพูด:
ผมว่าน่าจะเกี่ยวกับการพิจารณาสามัญลักษณะเป็นฐานของจิต

การไม่ยึดถือเพราะจิตไม่ติดและยึดถือ แต่ปล่อยวางได้ในทุกขณะเมื่อเล็งเห็นว่า ผลที่เกิดเพราะอำนาจของกิเลส หรือ วิปัสสนาญาณ จึงเป็น กุศล15 และอัพยากฤต3


:b38:
มีที่น่าสังเกตอยู่ ตามที่คาดสีแดงไว้นะครับ

ไม่ยึดถือ

ไม่ติด

ยึดถือ

ปล่อยวาง


ใครยึด.....ใครติด.......ใครถือ......ใครปล่อยวาง

อะไรทำให้ยึด.......อะไรทำให้ติด......อะไรทำให้ถือ.......
อะไรทำให้วาง.........

ถ้ายังมีผู้กระทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้อยู่ อัพยยกฤตที่เกิดให้เห็นให้รู้ เป็นอัพยากฤตที่สร้างทำขึ้นมา

แต่ถ้าหมดผู้กระทำ ทุกอย่างหากเป็นไปตามกำลังแห่งเหตุและปัจจัย

เช่นเหตุหมดแล้ววางเองคลายเอง

ปัจจัยหมดกำลังแล้วความวางความปล่อยเกิดเองเป็นเอง

นั่นถึงจะเป็นอัพยากฤต หรืออัพยากตาโดยธรรม
onion
เข้าใจยากหน่อยนะครับถ้าคิดเอา
แต่ถ้าทำเอาจะเข้าใจทันทีครับ
:b39: :b37:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2016, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


หรืออาจจะเป็นเหตุปัจจัย
เพราะอินทรีย์5สมบูรณ์

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2016, 05:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
หรืออาจจะเป็นเหตุปัจจัย
เพราะอินทรีย์5สมบูรณ์

smiley
นั่นเป็นการพิจารณามาจากอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งก็ใช่นะครับ

การปฏิบัติธรรมที่พยายามไปทำ พยายามไปเปลี่ยน ไปแก้ไข มีเจตนาสอดใส่ไปทุกที่ การปฏิบัติอย่างนี้ดีอยู่สำหรับเบื้องต้น แต่จะได้ผลที่ปลอมหรือคล้ายจริง ไม่ใช่ของจริง

แต่

การปฏิบัติธรรมที่ไร้เจตนา มีแต่สติปัญญาทำหน้าที่เฝ้าดูเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามกำลังแห่งเหตุและปัจจัย หรือตามกำลังแก่งกรรมและวิบาก จนเขาหมดกำลังกันไปเองต่อหน้าต่อาของสติและปัญญา นั่นแหละมันถึงจะเกิดการจางคลาย สลายความยึดเกาะและสลัดคืน โดยธรรม

ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่มีเป้าหมายถูกต้องแน่ชัดตรงประเด็นจึงพึงควรชี้เน้นไปที่การทำลายผู้ทำ ผู้ใส่เจตนาลงให้ได้ก่อนเป็นสำคัญ ผลตอบแทนกลับคืนมาทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องของผล


"เหตุมี ผล เกิด เหตุดับ ผล ดับ"
onion


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2016, 07:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
:b17:
เอก้อนคงจะพยายามใบ้บอกกบว่า "คนไม่ชอบตำรา มาอ้างตำราแล้วละโว้ย! 55555555

การไม่ชอบตำรานั้นหาใช่ว่าจะทิ้งตำราไปทั้งหมดเสียเลยก็หาไม่นะครับ แต่จะนำมาใช้ให้น้อยที่สุดและใช้เมื่อเวลาจำเป็นจริงๆ ใช้เมื่อไม่ต้องมาพิมพ์ให้เมื่อยมือเท่านั้นหละครับ
:b13: :b13: :b13:


ก็ปรุงไปเรื่อย....อย่างนี้..เป็นอาการของสัญชาติญานการป้องกันตนเอง..

ทน..เงียบไม่ได้...จนต้องพูดออกมา...นี้อาการหนัก

ไม่ใช่อาการผู้มีสติทันกิเลส..ในผัสสะ...นี้แค่สตินะ...ยังไม่เข้าขั้นญาน

เฉยไร้เหตุ...ที่ตนคิด....จึงเป็นเรื่องที่..คิดเอาเอง...


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2016, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อ้างคำพูด:
อะไรทำให้ยึด.......อะไรทำให้ติด......อะไรทำให้ถือ.......

...ก็จิตขณะใดก็ตามในชีวิตประจำวันที่ลืมว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ...
...มีตัวตนที่คิดวางแผนการกระทำหลงลืมสภาพธัมมะเป็นปกติอกุศลศีล...
...ก็เป็นจิตอกุศลจิต+อกุศลเจตสิก+ด้วยความเป็นเราคิด/พูด/ทำที่ไม่มีปัญญาสละละวางตัวตน...
อ้างคำพูด:
อะไรทำให้วาง.........

...ก็จิตขณะใดก็ตามในชีวิตประจำวันที่มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นสัจจะทีละ 1 ขณะ...
...ก็เป็นสภาพธัมมะที่จิตขณะนั้นเองประกอบด้วยปัญญาเจตสิก...
...เป็นธัมมะที่เป็นกุศลจิตที่มีความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎ...
...โดยการระลึกเป็นไปในสภาพธัมมะที่กำลังปรากฎตรงความจริงเป็นอริยสัจจธรรม...
...ขณะนั้นเองที่วางความยึดมั่นถือมั่นแต่ก็ยังติดข้องต้องการสืบต่อเพื่อรู้ความจริงต่อไป...
...เป็นสติระลึกรู้สภาพธัมมะทีละ1ขณะทีละอย่างทีละทางจนกว่าจะไม่ลืมว่าทุกอย่างไม่มีเรา...
...เฉยไร้เหตุ...เพราะขณะที่รู้ความจริงขณะนั้นเป็นจิต+เจตสิกที่เป็นกุศลเป็นปัญญาด้วยเข้าใจความจริง...
:b16: :b12:
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2016, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...นี้ทุกข์คือเดี๋ยวนี้เองที่จิตแต่ละดวงมีความประพฤติเป็นไปต่างๆ...
...สภาพธัมมะทุกขณะที่มีจิตเป็นใหญ่เป็นประธานคือวิญญาณจริยา...
...สภาพธัมมะทุกขณะที่เต็มไปด้วยตัวตนด้วยความไม่รู้ความจริงคืออัญญาณจริยา...
...สภาพธัมมะที่ทุกขณะประกอบด้วยปัญญารู้ความจริงเป็นสัจญาณที่รู้ความจริงคือญาณจริยา...
...มีแต่สภาพจิตรู้และไม่รู้ที่ประกอบด้วยเหตุ6คือเหตุที่จิตเป็นอกุศล3คือโลภะ/โทสะ/โมหะ...
...และเหตุที่จิตเป็นกุศล3คืออโลภะ/อโทสะ/อโมหะ...ศึกษาธัมมะเข้าใจเพื่อรู้จิตที่ตนสะสมเหตุให้เกิด...
...ตกลงว่ารู้ยังว่าจิตที่เป็นญาณจริยาคือจิตที่ไม่สะสมเหตุทั้งกุศลและอกุศลไม่ใช่ฌานจิต/รู้ขณะตื่นไม่ง่วงไม่หลับ...
...เพราะสภาพธัมมะที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงรู้ได้ขณะที่มีการประชุมของอายตนะ6...
...ปัญญาแรกเกิดจากการฟังเพราะขณะนี้จิตทุกดวงเป็นสาวกคือผู้ฟังคำสอนอย่าคิดเองมันผิดนะคะ...
...ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจขณะนั้นเป็นกุศลจิตแล้วดับสะสมในจิตและขณะที่ไม่ได้ฟังธััมมะก็ลืมว่าเป็นธัมมะ...
https://www.youtube.com/watch?v=04D8wXXIDXM
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.พ. 2016, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
อ้างคำพูด:
อะไรทำให้ยึด.......อะไรทำให้ติด......อะไรทำให้ถือ.......

...ก็จิตขณะใดก็ตามในชีวิตประจำวันที่ลืมว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ...
...มีตัวตนที่คิดวางแผนการกระทำหลงลืมสภาพธัมมะเป็นปกติอกุศลศีล...
...ก็เป็นจิตอกุศลจิต+อกุศลเจตสิก+ด้วยความเป็นเราคิด/พูด/ทำที่ไม่มีปัญญาสละละวางตัวตน...
อ้างคำพูด:
อะไรทำให้วาง.........

...ก็จิตขณะใดก็ตามในชีวิตประจำวันที่มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นสัจจะทีละ 1 ขณะ...
...ก็เป็นสภาพธัมมะที่จิตขณะนั้นเองประกอบด้วยปัญญาเจตสิก...
...เป็นธัมมะที่เป็นกุศลจิตที่มีความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎ...
...โดยการระลึกเป็นไปในสภาพธัมมะที่กำลังปรากฎตรงความจริงเป็นอริยสัจจธรรม...
...ขณะนั้นเองที่วางความยึดมั่นถือมั่นแต่ก็ยังติดข้องต้องการสืบต่อเพื่อรู้ความจริงต่อไป...
...เป็นสติระลึกรู้สภาพธัมมะทีละ1ขณะทีละอย่างทีละทางจนกว่าจะไม่ลืมว่าทุกอย่างไม่มีเรา...
...เฉยไร้เหตุ...เพราะขณะที่รู้ความจริงขณะนั้นเป็นจิต+เจตสิกที่เป็นกุศลเป็นปัญญาด้วยเข้าใจความจริง...
:b16: :b12:
onion onion onion


อนุโมทนาครับคุณ rosarin

ความเห็นผมเกี่ยวกับข้อความข้างบนคือการ มีสติระลึกรู้

ในขณะเดียวกัน บางอย่างก็นอกเหนือจากอำนาจของสติ. เช่น กรรม ผลของกรรม เหตุของกรรม

ปฎิจจสมุปบาท อย่างนี้คือ ต้องประกอบด้วยวิชชา เพื่อตัดภพ จึงมีคำสอนในเรื่องมรรค เช่น สัมมาทิฎฐิ คือการปรับความเห็น ทำให้ละความเห็นผิด เช่นเราเชื่อในผลของกรรม
เมื่อมีสติ เราระลึกรู้ปรมัตถ์ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ยังไม่เป็นอริยสัจธรรมจนกว่า จะพิจารณาลงในอริยสัจ4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

สมมุติเรามีความเห็นถูกแล้ว. จากนี้ไปเราจะไม่มีวันลืมความเห็นถูกตัวนี้เพราะเป็นวิชชา แต่บางทีเราเผลอ ขาดสติในเรื่องการงาน หยิบฉวยผิดไปบ้าง วางผิดบ้าง แต่เราไม่ได้ขาดสัมมาทิฎฐิ เป็นผู้ไม่เผลอในเรื่องความเห็น ไม่หลงทำกาลกิริยา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
อ้างคำพูด:
อะไรทำให้ยึด.......อะไรทำให้ติด......อะไรทำให้ถือ.......

...ก็จิตขณะใดก็ตามในชีวิตประจำวันที่ลืมว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ...
...มีตัวตนที่คิดวางแผนการกระทำหลงลืมสภาพธัมมะเป็นปกติอกุศลศีล...
...ก็เป็นจิตอกุศลจิต+อกุศลเจตสิก+ด้วยความเป็นเราคิด/พูด/ทำที่ไม่มีปัญญาสละละวางตัวตน...
อ้างคำพูด:
อะไรทำให้วาง.........

...ก็จิตขณะใดก็ตามในชีวิตประจำวันที่มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นสัจจะทีละ 1 ขณะ...
...ก็เป็นสภาพธัมมะที่จิตขณะนั้นเองประกอบด้วยปัญญาเจตสิก...
...เป็นธัมมะที่เป็นกุศลจิตที่มีความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎ...
...โดยการระลึกเป็นไปในสภาพธัมมะที่กำลังปรากฎตรงความจริงเป็นอริยสัจจธรรม...
...ขณะนั้นเองที่วางความยึดมั่นถือมั่นแต่ก็ยังติดข้องต้องการสืบต่อเพื่อรู้ความจริงต่อไป...
...เป็นสติระลึกรู้สภาพธัมมะทีละ1ขณะทีละอย่างทีละทางจนกว่าจะไม่ลืมว่าทุกอย่างไม่มีเรา...
...เฉยไร้เหตุ...เพราะขณะที่รู้ความจริงขณะนั้นเป็นจิต+เจตสิกที่เป็นกุศลเป็นปัญญาด้วยเข้าใจความจริง...
:b16: :b12:
onion onion onion


อนุโมทนาครับคุณ rosarin

ความเห็นผมเกี่ยวกับข้อความข้างบนคือการ มีสติระลึกรู้

ในขณะเดียวกัน บางอย่างก็นอกเหนือจากอำนาจของสติ. เช่น กรรม ผลของกรรม เหตุของกรรม

ปฎิจจสมุปบาท อย่างนี้คือ ต้องประกอบด้วยวิชชา เพื่อตัดภพ จึงมีคำสอนในเรื่องมรรค เช่น สัมมาทิฎฐิ คือการปรับความเห็น ทำให้ละความเห็นผิด เช่นเราเชื่อในผลของกรรม
เมื่อมีสติ เราระลึกรู้ปรมัตถ์ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ยังไม่เป็นอริยสัจธรรมจนกว่า จะพิจารณาลงในอริยสัจ4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

สมมุติเรามีความเห็นถูกแล้ว. จากนี้ไปเราจะไม่มีวันลืมความเห็นถูกตัวนี้เพราะเป็นวิชชา แต่บางทีเราเผลอ ขาดสติในเรื่องการงาน หยิบฉวยผิดไปบ้าง วางผิดบ้าง แต่เราไม่ได้ขาดสัมมาทิฎฐิ เป็นผู้ไม่เผลอในเรื่องความเห็น ไม่หลงทำกาลกิริยา

Kiss
การสนทนาทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงค่ะ
ขณะที่อ่านเป็นขณะที่คิดเรื่องที่อ่าน
ไม่ได้เข้าใจจิตทีละ1ขณะที่ผ่านไป
ขณะที่ผ่านไปนั่นแหละที่เคยไม่รู้นั้น
จะรู้ได้เพราะเข้าไปรู้ตรงที่มีนั้นทันที
เช่นรู้สึกแข็งตรงนิ้วจิ้มและคิดไปด้วย
ขณะที่สติรู้ตรงแข็งเป็นความจริงที่รู้
ตรงสภาพธัมมะเป็นปัจจุบันขณะค่ะ
ถามว่าขณะนั้นได้รู้ความจริงถูกต้อง
ใช่การทำความเห็นให้ตรงหรือเปล่า
แล้วคิดว่านั่งหลับตาคืออะไรคือจริง
อย่าลืมว่าธัมมะความจริงคือปัญญา
ที่เห็นถูกเข้าใจถูกธัมมะที่กำลังมีนั้น
ถึงเฉพาะธัมมะที่เป็นปะติปัตติรึยังคะ
เป็นการเจริญปัญญาถูกต้องหรือยัง
:b12:
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การมีสติเพื่อเข้าไปรู้หน้าที่ของธรรมะส่วนที่เป็นเอก
เช่น หูเอาไว้ฟังเสียง ตาเอาไว้มอง จมูกเอาไว้ดมกลิ่น
ลิ้นไว้รับรส กายเอาไว้สัมผัส ใจเอาไว้คิด

ส่วนที่เป็นเอกปรากฎคือนิ้วจิ้มครีบอร์ด เป็นสภาวะละส่วนที่เป็นเอกส่วนอื่นๆ เช่น นิ้วจิ้มสัมผัส ละการมอง
การดม แล้วมาพิจารณาการสัมผัส ว่าตั้งอยู่เพียงแค่แตะเดียว ดับไป เป็นสามัญลักษณะเพราะเหตุปัจจัย
แต่ส่วนมากละอาการแตะได้ เพราะความอยู่ปกติสุขของสังขาร หากแต่เจ็บนิ้วขึ้นมาแตะทีเจ็บที มันเกิดความชอบไม่ชอบเสียแล้ว อยากพ้นจากอำนาจความเจ็บปวด เพราะความไม่ปกติสุขได้เกิดขึ้นแล้ว เราละตัวความอยากหายนี้ยากขึ้น สติจึงมีส่วนในการทำหน้าที่ละประการหนึ่ง นั่นคืออินทรีย์5 รวมทั้งทำความเพียรให้เกิด.
แล้วตัญหา ต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มีอำนาจ ย่อมต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก ในการละ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
การมีสติเพื่อเข้าไปรู้หน้าที่ของธรรมะส่วนที่เป็นเอก
เช่น หูเอาไว้ฟังเสียง ตาเอาไว้มอง จมูกเอาไว้ดมกลิ่น
ลิ้นไว้รับรส กายเอาไว้สัมผัส ใจเอาไว้คิด

ส่วนที่เป็นเอกปรากฎคือนิ้วจิ้มครีบอร์ด เป็นสภาวะละส่วนที่เป็นเอกส่วนอื่นๆ เช่น นิ้วจิ้มสัมผัส ละการมอง
การดม แล้วมาพิจารณาการสัมผัส ว่าตั้งอยู่เพียงแค่แตะเดียว ดับไป เป็นสามัญลักษณะเพราะเหตุปัจจัย
แต่ส่วนมากละอาการแตะได้ เพราะความอยู่ปกติสุขของสังขาร หากแต่เจ็บนิ้วขึ้นมาแตะทีเจ็บที มันเกิดความชอบไม่ชอบเสียแล้ว อยากพ้นจากอำนาจความเจ็บปวด เพราะความไม่ปกติสุขได้เกิดขึ้นแล้ว เราละตัวความอยากหายนี้ยากขึ้น สติจึงมีส่วนในการทำหน้าที่ละประการหนึ่ง นั่นคืออินทรีย์5 รวมทั้งทำความเพียรให้เกิด.
แล้วตัญหา ต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มีอำนาจ ย่อมต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก ในการละ

Kiss
จะเอกขณะไหนคะถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ที่กำลังอ่านเป็นคิดค่ะ
แยกออกไหมคะว่าคนละขณะกับนิ้วแตะสัมผัสเพราะจิต
เป็นประธานการรู้ตัวทั่วพร้อมที่เคยรู้รวมมันแยกกันรู้โดย
ไม่ต้องอธิบายเป็นคำหรือชื่อต่างๆเลยณเวลาที่กำลังรู้ค่ะ
รู้ปัจจุบันทันทีทั้ง6ทางรู้การเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอดเลย
โดยลืมความเป็นตัวตนเห็นสักว่าเห็นแต่คิดสิ่งที่พิมพ์แล้ว
ก็รู้สึกสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวโดยไม่ปรุงชอบไม่ชอบ
โดยการระลึกรู้ที่ต่อเนื่องนั้นไร้ตัวตนทันทีมีแต่ธัมมะทั้งหมด
ณปัจจุบันขณะเป็นปัจจุบันธรรมที่สติระลึกรู้ความจริง จริงๆ
ขณะที่รู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้เป็นสัมมาทิฐิสัมมาสมาธิสัมมาวาจา
เพราะคิดคือการพูดไม่ออกเสียงทั้งหมดไม่ได้บังคับเป็นเองค่ะ
สิ่งที่มีจริงเป็นปัจจุบันขณะมีการประชุมของอายตนะ6อยู่ครบค่ะ
มีทุกอย่างที่มีจริงๆเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยตรงตามคำสอนขันธ์5ก็มี
ที่ประชุมรวมกันกายก็มีจิตก็มีรูปธรรมนามธรรมก็มีต้องรู้ตอนตื่นทั้ง6ทาง
เป็นปัญญาไหมหรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยเป็นญาณไหมมีจริงๆรึยังเป็นธัมมะไหมคะ
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...พระพุทธเจ้าให้ดำรงคำสอนที่สามารถเข้าใจจริงๆในจิตตนที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง...
...ทุกคำในพระไตรปิฎกตรัสเพื่อแสดงความจริงที่กำลังมีแก่ผู้ที่เคยสะสมปัญญามาแล้ว...
...จะตรัสคำไหนไม่ใช่ให้จดจำคำแล้วเอาไปท่องจำจนขึ้นใจแต่ไม่รู้ว่ากำลังปรากฎให้รู้อยู่...
...ไม่คิดเอง...ทรงตรัสรู้ความจริงและเปล่งพระวาจาเป็นคำเพื่อแยกรายละเอียดว่าเป็นธัมมะ...
...อ่านแล้วคิดเองแล้วไม่รู้ความจริงที่มีอยู่แล้วก็คืออวิชชา(กิเลสแปลว่าไม่รู้ทุกอย่างที่มีแล้ว)...
...ถ้าผู้ที่ได้ฟังคำของพระองค์แล้วเข้าใจจริงๆ...จะรู้ว่าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่แล้วทั้งนั้นคิดเองไม่ได้...
...สมัยนี้เป็นศาสนาพุทธในพระพุทธเจ้าสมณโคดมใช่ไหม...มีใครรู้เท่าพระองค์ไหม...มีแค่2ใน3...
...ที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่สัตว์โลกมีได้เอง...1พระพุทธเจ้า2พระปัจเจกพุทธเจ้า/ที่เหลือคือสาวก...
...แล้วจิตทุกคนเป็นอะไรใน3ที่ยกมาตอบให้ค่ะเป็นสาวกใช่ไหมแล้วฟังคำของพระองค์เข้าใจแค่ไหน...
...ธัมมะที่มีทุกคำในพระไตรปิฎกไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำได้ทั้งหมดเพราะเป็นจริงทุกคำเดี๋ยวนี้ที่เข้าใจถูก...
...ธัมมะมีอยู่แล้วทุกขณะจิต...กระพริบตาอยู่นี่แหละมีแล้วเกิดดับตามเหตุปัจจัยแต่เป็นเราคิดเรื่องราว...
...ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ6...เป็นความดีของคนอื่นหมดแต่จิตตนไม่รู้ว่าจะดีได้ยังไงก็ไม่รู้จริงไหม...
...จะฟังไหมว่ามีผู้ที่สามารถแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เป็นพระพุทธพจน์ให้ค่อยๆเข้าใจขึ้นได้...
https://www.youtube.com/watch?v=4MjmMxoHswA
:b16: :b12:
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
student เขียน:
การมีสติเพื่อเข้าไปรู้หน้าที่ของธรรมะส่วนที่เป็นเอก
เช่น หูเอาไว้ฟังเสียง ตาเอาไว้มอง จมูกเอาไว้ดมกลิ่น
ลิ้นไว้รับรส กายเอาไว้สัมผัส ใจเอาไว้คิด

ส่วนที่เป็นเอกปรากฎคือนิ้วจิ้มครีบอร์ด เป็นสภาวะละส่วนที่เป็นเอกส่วนอื่นๆ เช่น นิ้วจิ้มสัมผัส ละการมอง
การดม แล้วมาพิจารณาการสัมผัส ว่าตั้งอยู่เพียงแค่แตะเดียว ดับไป เป็นสามัญลักษณะเพราะเหตุปัจจัย
แต่ส่วนมากละอาการแตะได้ เพราะความอยู่ปกติสุขของสังขาร หากแต่เจ็บนิ้วขึ้นมาแตะทีเจ็บที มันเกิดความชอบไม่ชอบเสียแล้ว อยากพ้นจากอำนาจความเจ็บปวด เพราะความไม่ปกติสุขได้เกิดขึ้นแล้ว เราละตัวความอยากหายนี้ยากขึ้น สติจึงมีส่วนในการทำหน้าที่ละประการหนึ่ง นั่นคืออินทรีย์5 รวมทั้งทำความเพียรให้เกิด.
แล้วตัญหา ต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มีอำนาจ ย่อมต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก ในการละ

Kiss
จะเอกขณะไหนคะถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ที่กำลังอ่านเป็นคิดค่ะ
แยกออกไหมคะว่าคนละขณะกับนิ้วแตะสัมผัสเพราะจิต
เป็นประธานการรู้ตัวทั่วพร้อมที่เคยรู้รวมมันแยกกันรู้โดย
ไม่ต้องอธิบายเป็นคำหรือชื่อต่างๆเลยณเวลาที่กำลังรู้ค่ะ
รู้ปัจจุบันทันทีทั้ง6ทางรู้การเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอดเลย
โดยลืมความเป็นตัวตนเห็นสักว่าเห็นแต่คิดสิ่งที่พิมพ์แล้ว
ก็รู้สึกสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวโดยไม่ปรุงชอบไม่ชอบ
โดยการระลึกรู้ที่ต่อเนื่องนั้นไร้ตัวตนทันทีมีแต่ธัมมะทั้งหมด
ณปัจจุบันขณะเป็นปัจจุบันธรรมที่สติระลึกรู้ความจริง จริงๆ
ขณะที่รู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้เป็นสัมมาทิฐิสัมมาสมาธิสัมมาวาจา
เพราะคิดคือการพูดไม่ออกเสียงทั้งหมดไม่ได้บังคับเป็นเองค่ะ
สิ่งที่มีจริงเป็นปัจจุบันขณะมีการประชุมของอายตนะ6อยู่ครบค่ะ
มีทุกอย่างที่มีจริงๆเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยตรงตามคำสอนขันธ์5ก็มี
ที่ประชุมรวมกันกายก็มีจิตก็มีรูปธรรมนามธรรมก็มีต้องรู้ตอนตื่นทั้ง6ทาง
เป็นปัญญาไหมหรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยเป็นญาณไหมมีจริงๆรึยังเป็นธัมมะไหมคะ
onion onion onion


ขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติครับ จะรู้ทีละอย่าง อย่างถ้าผมปฎิบัติ จะรู้ทีละขณะครับ โสตก็พิจารณาโสต จักษุก็พิจารณาจักษุ

จะพิจารณาต่อเนื่องก็ถือเป็นแนวปฎิบัติครับ ที่อายตนะอยู่ครบไม่ได้หมายถึงจิต (วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)ตั้งอยู่ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5จะตั้งอยู่จนเกิดผัสสะ เพราะ วิญญาณ+ อายตนะภายนอก+อายตนะภายใน )

การที่บอกรู้หมดเพราะอายตนะ6อยู่ครบ ผมเข้าใจว่าเกิดไม่พร้อมกันครับ ไม่ได้เกิดพร้อมกัน
และเกิดที่ปัจจุบันขณะทีละแห่งครับ ไม่อย่างนั้นจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)จะเกิดดับได้อย่างไร?
ที่ผู้ปฎิบัติรู้พร้อมกันว่าเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอด เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)เกิดดับด้วยการอาศัยเหตุปัจจัยคือสามัญลัษณะ (สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์, สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา)
เรียกว่ารู้ธรรมเฉพาะหน้า

ทุกอย่างมีจริงไหม? เป็นความเห็นของผู้ปฎิบัติครับ ความเห็นคุณเป็นอย่างไร คุณก็เข้าใจอย่างนั้น

ถามว่าเป็นปัญญาไหม หรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยญาณ มันก็เป็นความเห็นของคุณ ถึงตอนนี้ก็ต้องเทียบกับคำสอนของพระศาสดาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
...พระพุทธเจ้าให้ดำรงคำสอนที่สามารถเข้าใจจริงๆในจิตตนที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง...
...ทุกคำในพระไตรปิฎกตรัสเพื่อแสดงความจริงที่กำลังมีแก่ผู้ที่เคยสะสมปัญญามาแล้ว...
...จะตรัสคำไหนไม่ใช่ให้จดจำคำแล้วเอาไปท่องจำจนขึ้นใจแต่ไม่รู้ว่ากำลังปรากฎให้รู้อยู่...
...ไม่คิดเอง...ทรงตรัสรู้ความจริงและเปล่งพระวาจาเป็นคำเพื่อแยกรายละเอียดว่าเป็นธัมมะ...
...อ่านแล้วคิดเองแล้วไม่รู้ความจริงที่มีอยู่แล้วก็คืออวิชชา(กิเลสแปลว่าไม่รู้ทุกอย่างที่มีแล้ว)...
...ถ้าผู้ที่ได้ฟังคำของพระองค์แล้วเข้าใจจริงๆ...จะรู้ว่าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่แล้วทั้งนั้นคิดเองไม่ได้...
...สมัยนี้เป็นศาสนาพุทธในพระพุทธเจ้าสมณโคดมใช่ไหม...มีใครรู้เท่าพระองค์ไหม...มีแค่2ใน3...
...ที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่สัตว์โลกมีได้เอง...1พระพุทธเจ้า2พระปัจเจกพุทธเจ้า/ที่เหลือคือสาวก...
...แล้วจิตทุกคนเป็นอะไรใน3ที่ยกมาตอบให้ค่ะเป็นสาวกใช่ไหมแล้วฟังคำของพระองค์เข้าใจแค่ไหน...
...ธัมมะที่มีทุกคำในพระไตรปิฎกไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำได้ทั้งหมดเพราะเป็นจริงทุกคำเดี๋ยวนี้ที่เข้าใจถูก...
...ธัมมะมีอยู่แล้วทุกขณะจิต...กระพริบตาอยู่นี่แหละมีแล้วเกิดดับตามเหตุปัจจัยแต่เป็นเราคิดเรื่องราว...
...ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ6...เป็นความดีของคนอื่นหมดแต่จิตตนไม่รู้ว่าจะดีได้ยังไงก็ไม่รู้จริงไหม...
...จะฟังไหมว่ามีผู้ที่สามารถแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เป็นพระพุทธพจน์ให้ค่อยๆเข้าใจขึ้นได้...
https://www.youtube.com/watch?v=4MjmMxoHswA
:b16: :b12:
onion onion onion


พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นโทษของการเกิดแก่เจ็บตายครับ

ให้เข้าใจถึงการเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ และแนะนำให้ปฎิบัติด้วยความไม่ประมาทเพื่อดับทุกข์ ดับภพชาติไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

ทุกคำในพระไตรปิฎกแสดงถึงแนวทางในการฝึกตน โดยแสดงเหตุผล ที่อิงอาศัยกัน มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

อ่านแล้วคิดเองก็เป็นกุศลทางหนึ่ง เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เชื่อโดยทันทีทันใดอยู่แล้ว จัดเป็นศรัทธาครับ คนที่ไม่เห็นด้วยเพราะความเห็นและทิฎฐิ อย่างนั้นจัดเป็นอวิชชา

ความเข้าใจความจริงของสัตว์โลกนั้น เป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เหล่าสาวกทั้งหลายให้เข้าใจแค่ทุกข์ เหตุเกิดของทุกข์ วิธีการดับทุกข์ ผลของการดับทุกข์ เป็นถือว่าเพียงพอแล้ว

ธรรมะในพระไตรปิฎกมีไว้เพื่อวางแนวทางคือปริยัติครับ ใครที่มีความศรัทธาก็น้อมเข้ามาศึกษาเพื่อให้เข้าถึงปฎิเวธ

ทุกขณะจิตดำเนินไปตามปฎิจจสมุปบาทครับ

ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ6 คือ ทุกข์ ครับ

ผมศึกษาทุกสื่อเป็นปกติอยู่แล้วครับ อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
...พระพุทธเจ้าให้ดำรงคำสอนที่สามารถเข้าใจจริงๆในจิตตนที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง...
...ทุกคำในพระไตรปิฎกตรัสเพื่อแสดงความจริงที่กำลังมีแก่ผู้ที่เคยสะสมปัญญามาแล้ว...
...จะตรัสคำไหนไม่ใช่ให้จดจำคำแล้วเอาไปท่องจำจนขึ้นใจแต่ไม่รู้ว่ากำลังปรากฎให้รู้อยู่...
...ไม่คิดเอง...ทรงตรัสรู้ความจริงและเปล่งพระวาจาเป็นคำเพื่อแยกรายละเอียดว่าเป็นธัมมะ...
...อ่านแล้วคิดเองแล้วไม่รู้ความจริงที่มีอยู่แล้วก็คืออวิชชา(กิเลสแปลว่าไม่รู้ทุกอย่างที่มีแล้ว)...
...ถ้าผู้ที่ได้ฟังคำของพระองค์แล้วเข้าใจจริงๆ...จะรู้ว่าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่แล้วทั้งนั้นคิดเองไม่ได้...
...สมัยนี้เป็นศาสนาพุทธในพระพุทธเจ้าสมณโคดมใช่ไหม...มีใครรู้เท่าพระองค์ไหม...มีแค่2ใน3...
...ที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่สัตว์โลกมีได้เอง...1พระพุทธเจ้า2พระปัจเจกพุทธเจ้า/ที่เหลือคือสาวก...
...แล้วจิตทุกคนเป็นอะไรใน3ที่ยกมาตอบให้ค่ะเป็นสาวกใช่ไหมแล้วฟังคำของพระองค์เข้าใจแค่ไหน...
...ธัมมะที่มีทุกคำในพระไตรปิฎกไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำได้ทั้งหมดเพราะเป็นจริงทุกคำเดี๋ยวนี้ที่เข้าใจถูก...
...ธัมมะมีอยู่แล้วทุกขณะจิต...กระพริบตาอยู่นี่แหละมีแล้วเกิดดับตามเหตุปัจจัยแต่เป็นเราคิดเรื่องราว...
...ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ6...เป็นความดีของคนอื่นหมดแต่จิตตนไม่รู้ว่าจะดีได้ยังไงก็ไม่รู้จริงไหม...
...จะฟังไหมว่ามีผู้ที่สามารถแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เป็นพระพุทธพจน์ให้ค่อยๆเข้าใจขึ้นได้...
https://www.youtube.com/watch?v=4MjmMxoHswA
:b16: :b12:
onion onion onion


พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นโทษของการเกิดแก่เจ็บตายครับ

ให้เข้าใจถึงการเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ และแนะนำให้ปฎิบัติด้วยความไม่ประมาทเพื่อดับทุกข์ ดับภพชาติไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

ทุกคำในพระไตรปิฎกแสดงถึงแนวทางในการฝึกตน โดยแสดงเหตุผล ที่อิงอาศัยกัน มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

อ่านแล้วคิดเองก็เป็นกุศลทางหนึ่ง เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เชื่อโดยทันทีทันใดอยู่แล้ว จัดเป็นศรัทธาครับ คนที่ไม่เห็นด้วยเพราะความเห็นและทิฎฐิ อย่างนั้นจัดเป็นอวิชชา

ความเข้าใจความจริงของสัตว์โลกนั้น เป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เหล่าสาวกทั้งหลายให้เข้าใจแค่ทุกข์ เหตุเกิดของทุกข์ วิธีการดับทุกข์ ผลของการดับทุกข์ เป็นถือว่าเพียงพอแล้ว

ธรรมะในพระไตรปิฎกมีไว้เพื่อวางแนวทางคือปริยัติครับ ใครที่มีความศรัทธาก็น้อมเข้ามาศึกษาเพื่อให้เข้าถึงปฎิเวธ

ทุกขณะจิตดำเนินไปตามปฎิจจสมุปบาทครับ

ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ6 คือ ทุกข์ ครับ

ผมศึกษาทุกสื่อเป็นปกติอยู่แล้วครับ อนุโมทนาครับ

Kiss
...เกิด แก่ เจ็บ ตาย...ทุกคนพูดได้เข้าใจพื้นๆใครก็พูดได้...
...แต่ทุกคำที่ทรงแสดงเพื่อให้เห็นโทษของการเกิดทั้ง 31 ภพภูมิ...
...ทรงแสดงให้ละความเห็นผิดเพื่อทำความเห็นให้ตรงความจริงที่กำลังมี...
...และสอนให้เห็นโทษของเหตุให้เกิดทุกข์ 6 ประการทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลค่ะ...
...อกุศลจิตที่เป็นเหตุมี3คือ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งโลภะกับโทสะเกิดเป็นเส้นขนาน...
...เพราะโมหะที่หลงว่ามีตัวตนปกปิดความจริงทำให้เกิดโลภะและโทสะเป็นปกติจิตของปุถุชน...
...กุศลจิตที่ีเป็นเหตุมี3คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ พระโสดาบันดับโมหะเป็นอโมหะเป็นกุศลเบื้องต้น...
...สำหรับผู้ที่ดับโทสะได้เป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระอนาคามีบุคคลก็ยังเกิดในอรูปพรหมที่ไม่สรรเสริญ...
...ที่ทรงสรรเสริญคือการดับความไม่รู้ทั้งหมดถึงความเป็นพระอรหันต์เพราะดับเหตุทั้งกุศลและอกุศลทั้ง6...
...ไม่มีเหตุที่จะทำให้ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะคือไม่เกิดอีกเลยเป็นอัพยากตาจิตถึงความสิ้นกิเลส...
...เพราะจิตที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เองที่มีความประพฤติเป็นไปของจิตตามกำลังของปัญญา...
...ซึ่งทรงแสดงความประพฤติของจิตไว้ 3 ประการคืือ...
...1)อัญญาณจริยา...ความประพฤติเป็นไปของจิตด้วยความไม่รู้ว่าไม่มีตัวตน...
...2)วิญญาณจริยา...ความประพฤติเป็นไปของจิตที่เป็นประธานในการรู้แจ้งคือมีจิตที่เกิดดับ...
...3)ญาณจริยา...ความประพฤติเป็นไปของจิตที่ถึงปัญญาว่าทุกอย่างเป็นธัมมะเป็นอนัตตา...
...ศึกษาธัมมะเข้าใจเพื่อรู้ว่าขณะนี้เป็นความประพฤติของจิตแบบไหนที่กำลังเป็นไปเดี๋ยวนี้เอง...
...ไม่มีใครเลยทุกอย่างเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยของจิต โลกไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เห็นความว่างเปล่าไหม...
...ว่าอยู่ในโลกของความคิดเป็นชื่อสมมุติคนสัตว์สิ่งของและจำทุกอย่างไม่เว้นโดยไม่เข้าใจจิต...
...นี้ทุกข์คือเดี๋ยวนี้เองที่ไม่รู้ความประพฤติเป็นไปของจิตที่เป็นกุศลจิต อกุศลจิต อัพยากตาจิต...
...ไปวัดฟังสวดพระอภิธรรมเข้าใจไหมว่าอะไร กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา โลกว่างอย่างนี้...
:b16: :b12:
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 20 ก.พ. 2016, 01:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

เยี่ยมไปเลย

อ่านดูตอนท้ายๆ จึงได้รู้ว่า พูดถึงจิตคนละตัว

คือจิต วิญญาณขันธ์ในขันธ์5 ในความหมายผม

กับจิต สังขารขันธ์ในขันธ์5 ในความหมายคุณ Rosarin

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร