วันเวลาปัจจุบัน 14 ต.ค. 2025, 01:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2016, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีตำราบางตำราไปยกเอาจิตมาเป็นตัวตนแล้วก็บอกว่า จิตเป็นดวงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกอีกว่า จิตมี๑๒๑ดวง แบบนี้ผมว่าถ้าจะมโนเลอะเทอะไปกันใหญ่
นี่แสดงให่เห็นว่า ผู้ยกเอาคำว่าจิตขึ้นมากล่าว ไม่ได้มีความเข้าใจในความเป็นพระอภิธรรมเลย

ถ้าเราจะศึกษาเรื่องของจิต เราต้องเอาพระอภิธรรมปิฎกเป็นหลัก ถ้าตำราเล่มใดกล่าวขัดแย้ง
กับพระอภิธรรมปิฎกให้ถือว่า ตำรานั้นกล่าวิดเพี้ยนจากธรรม(อภิธรรม)

ในอภิธรรมปิฎกกล่าวบัญญัติเรื่องจิตไว้ดังนี้.......


......................พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑
..............................ธรรมสังคณีปกรณ์

[๗๖๗] ธรรมเป็นจิต เป็นไฉน?
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นจิต.


พิจารณาจากพระอภิธรรมปิฎกแล้วจะเห็นได้ว่า อะไรคือจิตและจิตมีองค์ธรรมจำนวนเท่าไร
หาใช่๑๒๑ตามตำราบางเล่มไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 01:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


คงจะรวมเอาจิตเจตสิกเข้ามานับด้วยหรือปล่าวครับ

แต่แนวทางในการเรียนการตั้งอยู่ของจิต อย่างคุณโฮฮับอธิบาย ก็ชัดเจนและง่ายต่อการศึกษาด้วยครับผมว่า

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
คงจะรวมเอาจิตเจตสิกเข้ามานับด้วยหรือปล่าวครับ

แต่แนวทางในการเรียนการตั้งอยู่ของจิต อย่างคุณโฮฮับอธิบาย ก็ชัดเจนและง่ายต่อการศึกษาด้วยครับผมว่า


จะนับวนไปมาสองสามรอบ อย่างไรก็ไม่ถึง๑๒๑หรอกครับ และในความเป็นจริงนั้น
ความเป็นเจตสิกที่บัญญัติไว้ในพระอภิธรรมปิฎกมีดังนี้....

[๗๖๘] ธรรมเป็นเจตสิก เป็นไฉน?
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นเจตสิก.


ธรรมไม่เป็นเจตสิก เป็นไฉน?
จิต รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นเจตสิก.


ธรรมหรือสภาวธรรมที่เป็นเจตสิกมีแค่ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์๑ สังขารขันธ์๑

การที่จะบอกว่าเอาจิตเจตสิกไปนับรวมกัน....ทำไม่ได้ครับ
เพราะในอรรถของพระอภิธรรมท่านบอกว่า จิตไม่ใช่เจตสิก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 04:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่ศึกษาพระธรรมจากตำราโดยเข้าใจไปเองว่า สามารถเรียนรู้กันได้หรือจะเกิดปัญญาได้เพราะตำรา
เช่นนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก

การจะเข้าใจธรรมะได้นั้นตนจะต้องมีปัญญาเสียก่อน
ปัญญาที่ว่าก็ไม่ได้แปลกประหลาดเกินความสามารถของเรา
แต่ทิฐิมานะทำให้เกิดความหยิ่งยโส ไม่ยอมรับความเห็นของคนที่เขาเข้ามาชี้แนะ นี่ไม่เป็นไร
เพียงแต่ไอ้เรื่องย้อนไปดูถูกดูแคลนพูดจาประชดประชดเขานี่ซิ
แบบนี้ไม่มีทางเข้าใจธรรมะที่แท้จริงหรอกครับ

ปัญญาเบื้องตนที่ผมอยากจะนำมากล่าวเพื่อให้เรารู้...สภาพที่แท้จริงของธรรมที่เรากำลังกล่าวถึง
ในสภาพความเป็นจริงของธรรมนั้น มันเป็นไตรลักษณ์

สภาพธรรมหรือสภาวธรรมในกายใจของบุคคล.....มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปในทันทีทันใด
มันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ฉะนั้นการมาบอกว่า จิตมี๑๒๑ดวงนั้นมันเป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่น
จนเกิดการปรุงแต่งจิต ซึ่งการจะกล่าวถึงจิตจะต้องกล่าวแต่ในความเป็นขันธ์ห้าเท่านั้น
และเจตสิกก็เช่นกัน ล้วนอยู่ในกระบวนการขันธ์ห้า

ผมไม่ได้ว่าครูบาอาจารย์ู้แต่งตำราหรอกนะครับ เพียงแต่ผมเห็นว่าผู้ศึกษาตำรา
ขาดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้แต่งตำราต้องการจะสื่อ ก็ด้วยเหตุนี้การเอาเนื้อหาของตำรา
มากล่าวต่อจึงเกิดการเข้าใจผิดต่อครูบาอาจารย์ผู้แต่งตำรา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 05:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
ผมว่าคุณโฮฮับไปยกธรรมในคัมภีร์มาเฉพาะส่วนที่คุณโฮฮับรู้และเข้าใจเท่านั้น

เรื่องอภิธรรมที่เขาแยกจิต เจตสิกเป็นดวงๆนั้นเป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งลงไปอีกยากที่คุณโฮหรือผู้คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจ ต้องนักเรียนอภิธรรมทั้งหลายที่จะสามารถเข้าใจได้ โดยหลักทฤษฎี และพระอริยเจ้าผู้ประกอบด้วยปฏิสัมภิทาญาณจึงจะเข้าใจได้ด้วยการพบเห็นอภิธรรมจริงๆ

พระอภิธรรมปิฎกนี้มีมากที่สุดคือ 42,000 พระธรรมขันธ์เชียวนะครับ อย่าเอาแค่มุมใดมุมหนึ่งมาตีความแล้วตีขลุมเอาให้คนเห็นตามที่เราเห็นนะครับ มันจะผิดธรรม


เรื่องนี้คงต้องเชิญลุงหมานผู้เชี่ยวชาญด้านอภิธรรมมาแสดงความเห็นและร่วมสนทนาชี้แจงให้คุณโฮอับคลายความเห็นผิดยึดผิดในเรื่องพระอภิธรรมนี้นะครับ

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ
จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ

อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ
จิตที่อาศัยโสตวัตถุ ได้ยินเสียงที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ

............ฯลฯ


ข้อความข้างบนผมอ้างอิงเอามาเป็นตัวอย่างครับว่านักศึกษาท่านนี้ ขาดความเข้าใจในธรรมที่ตน
กำลังศึกษาตรงไหนอย่างไร

บาลีท่านว่า............"อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ"
แต่นักศึกษาท่านนี้กลับเอาไปแปลเป็นอีกอย่าง ซึ่งมันผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาของบาลี

ในความหมายของบาลีไม่ได้แปลว่า..."จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ"

ความหมายที่แท้จริงของบาลีที่ว่า....อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ
ถ้าจะแปลชนิดตรงตัวยังไม่อธิบายความนั้นก็คือ.....อุเบกขาอันเกิดร่วมกับจักขุวิญญาน

อธิบายความ คำพูดนี้เป็นคำที่ครูบาอาจารย์ใช้สื่อเพื่อให้รู้ว่า การนำเอาองค์มรรคในโพชฌงค์มาเจริญ
นั้นก็คือ...อุเบกขา มาเจริญเมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่ตาหรือจักขุ เพื่อให้ปล่อยวางในสิ่งที่ที่ตาไปรู้เห็น
พูดใหตรงธรรมก็คือปล่อยวาง ความเป็นจักขุวิญญานเพื่อไม่ได้เกิดวิญญานขันธ์ในขันธ์ห้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
ผมว่าคุณโฮฮับไปยกธรรมในคัมภีร์มาเฉพาะส่วนที่คุณโฮฮับรู้และเข้าใจเท่านั้น

เรื่องอภิธรรมที่เขาแยกจิต เจตสิกเป็นดวงๆนั้นเป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งลงไปอีกยากที่คุณโฮหรือผู้คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจ ต้องนักเรียนอภิธรรมทั้งหลายที่จะสามารถเข้าใจได้ โดยหลักทฤษฎี และพระอริยเจ้าผู้ประกอบด้วยปฏิสัมภิทาญาณจึงจะเข้าใจได้ด้วยการพบเห็นอภิธรรมจริงๆ

พระอภิธรรมปิฎกนี้มีมากที่สุดคือ 42,000 พระธรรมขันธ์เชียวนะครับ อย่าเอาแค่มุมใดมุมหนึ่งมาตีความแล้วตีขลุมเอาให้คนเห็นตามที่เราเห็นนะครับ มันจะผิดธรรม


เรื่องนี้คงต้องเชิญลุงหมานผู้เชี่ยวชาญด้านอภิธรรมมาแสดงความเห็นและร่วมสนทนาชี้แจงให้คุณโฮอับคลายความเห็นผิดยึดผิดในเรื่องพระอภิธรรมนี้นะครับ

:b12:


ผมยินดีจะคุยกับลุงหมานครับ แต่มีเงื้อนไข ห้ามใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือเอาความเป็นอาวุโส
มาข่มขู่มด้วยคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาระธรรมที่กำลังคุย

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ
จิตที่อาศัยโสตวัตถุ ได้ยินเสียงที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ


ริจะอ้างบาลีต้องรู้และเข้าใจความหมายของบาลี....เช่นนั้นการแปลบาลีเป็นไทยจึงจะสอดคล้องกัน
การเข้าใจธรรมะย่อมจะต้องไม่ผิดเพี้ยน ตรงข้ามแม้บาลียังไม่เข้าใจ แปลบาลีด้วยความสับสน
ธรรมะที่ได้ย่อมิดเพี้ยนลงเหว

อย่างเช่น บาลีประโยคนี้ ผู้อ้างอิงแปลด้วยความิดเพี้ยน
ถ้าจะแปลให้ตรงความหมายของบาลีก็คือ

อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ

อุเปกขา(อุเปกฺขา) แปลเป็นไทยได้ว่า...........ความวางเฉยหรือวางใจเป็นกลาง

สหคตํ(สหคต) แปลเป็นไทยได้ว่า........เกิดพร้อมกันหรือประกอบกันอยู่

โสต(โสตายตน) แปลเป็นไทยได้ว่า.......อายตนะคือหู

วิญฺญาณํ(วิญญาน)แปลเป็นไทยว่า.........ความรู้แจ้งหรือรู้สึกตัว

แปลทั้งประโยคได้ง่ายๆว่า ...."การทำใจเป็นกลางต่อเสียงที่ได้ยินหรือรู้สึกต่อเสียงนั้น"

แล้วจะเข้ามาบอกว่า ผู้แปลไม่รู้ไม่มีความเข้าใจพระอภิธรรมตรงไหนอย่างไร
ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบาลี ...แต่เป็นผู้ที่แปลบาลี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2016, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อ้างคำพูด:
อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ
จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ

อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ
จิตที่อาศัยโสตวัตถุ ได้ยินเสียงที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ

............ฯลฯ


ข้อความข้างบนผมอ้างอิงเอามาเป็นตัวอย่างครับว่านักศึกษาท่านนี้ ขาดความเข้าใจในธรรมที่ตน
กำลังศึกษาตรงไหนอย่างไร

บาลีท่านว่า............"อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ"
แต่นักศึกษาท่านนี้กลับเอาไปแปลเป็นอีกอย่าง ซึ่งมันผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาของบาลี

ในความหมายของบาลีไม่ได้แปลว่า..."จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ"

ความหมายที่แท้จริงของบาลีที่ว่า....อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ
ถ้าจะแปลชนิดตรงตัวยังไม่อธิบายความนั้นก็คือ.....อุเบกขาอันเกิดร่วมกับจักขุวิญญาน

อธิบายความ คำพูดนี้เป็นคำที่ครูบาอาจารย์ใช้สื่อเพื่อให้รู้ว่า การนำเอาองค์มรรคในโพชฌงค์มาเจริญ
นั้นก็คือ...อุเบกขา มาเจริญเมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่ตาหรือจักขุ เพื่อให้ปล่อยวางในสิ่งที่ที่ตาไปรู้เห็น
พูดใหตรงธรรมก็คือปล่อยวาง ความเป็นจักขุวิญญานเพื่อไม่ได้เกิดวิญญานขันธ์ในขันธ์ห้า


ผมว่า เพื่อไม่ได้เกิดวิญญาณในขันธ์5นั้น ดูแปลกๆไปครับ

ผมว่าน่าจะเกี่ยวกับปฎิจจสมุปบาท คือ เพื่อ ดับ เวทนา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2016, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
โฮฮับ เขียน:
อ้างคำพูด:
อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ
จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ

อุเปกขาสหคตํ โสตวิญฺญาณํ
จิตที่อาศัยโสตวัตถุ ได้ยินเสียงที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ

............ฯลฯ


ข้อความข้างบนผมอ้างอิงเอามาเป็นตัวอย่างครับว่านักศึกษาท่านนี้ ขาดความเข้าใจในธรรมที่ตน
กำลังศึกษาตรงไหนอย่างไร

บาลีท่านว่า............"อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ"
แต่นักศึกษาท่านนี้กลับเอาไปแปลเป็นอีกอย่าง ซึ่งมันผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากเนื้อหาของบาลี

ในความหมายของบาลีไม่ได้แปลว่า..."จิตที่อาศัยจักขุวัตถุ เห็นรูปารมณ์ที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นพร้อมด้วยความเฉยๆ"

ความหมายที่แท้จริงของบาลีที่ว่า....อุเปกฺขาสหคตํ จกฺขุวิญฺญาณํ
ถ้าจะแปลชนิดตรงตัวยังไม่อธิบายความนั้นก็คือ.....อุเบกขาอันเกิดร่วมกับจักขุวิญญาน

อธิบายความ คำพูดนี้เป็นคำที่ครูบาอาจารย์ใช้สื่อเพื่อให้รู้ว่า การนำเอาองค์มรรคในโพชฌงค์มาเจริญ
นั้นก็คือ...อุเบกขา มาเจริญเมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่ตาหรือจักขุ เพื่อให้ปล่อยวางในสิ่งที่ที่ตาไปรู้เห็น
พูดใหตรงธรรมก็คือปล่อยวาง ความเป็นจักขุวิญญานเพื่อไม่ได้เกิดวิญญานขันธ์ในขันธ์ห้า


ผมว่า เพื่อไม่ได้เกิดวิญญาณในขันธ์5นั้น ดูแปลกๆไปครับ

ผมว่าน่าจะเกี่ยวกับปฎิจจสมุปบาท คือ เพื่อ ดับ เวทนา


ไม่แปลกหรอกครับ! เมื่อเกิดการกระทบขึ้นที่จักขุทวาร จะเกิดเป็นจักขุวิญญานขึ้น((วิญญาน)
เมื่อเกิดแล้วเรารู้แล้วด้วยอุเบกขา กายใจก็จะปล่อยวางตัวจักขุวิญญานนั้น(วิญญาน) ไม่ยึดมั่นจนเกิดเป็นขันธ์ตามมา

ส่วนเรื่องเวทนาในปฏิจจสมุปบาทที่คุณว่า อย่าลืมว่า ปฏิจจฯเป็น.....อัญญมัญญปัจจัย
องค์ธรรมในปฏิจจฯทั้งหมดต่างอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ (จะขาดตัวหนึ่งตัวใดไม่ได้)
วิญญานก็เป็นองค์ธรรมหนึ่งในปฏิจจฯ การดับเวทนานั้นวิญญานย่อมดับไปด้วย
หรือดับวิญญาน เวทนาย่อมดับตาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2016, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คันปากอีก

จิตมีรูปวิเคราะห์ดังนี้

ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าจิต

จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 04:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คันปากอีก
จิตมีรูปวิเคราะห์ดังนี้


อย่าตลกจะพูดอะไรคิดก่อนหรือเปล่า พูดมาได้ "จิตมีรูปวิเคราะ"
จิตมันเป็นนามธรรม และในอภิธัมมัตถฯท่า่นก็แยกแยะจิตกับรูปออกจากกันต่างหาก
ดันบอกมาได้ว่า จิตมีรูปวิเคราะ

กรัชกาย เขียน:
ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าจิต

จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน


ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ ..........

[๗๖๖] ธรรมมีอารมณ์ เป็นไฉน?
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมี
อารมณ์.


ธรรมไม่มีอารมณ์ เป็นไฉน?
รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีอารมณ์.


[๗๖๗] ธรรมเป็นจิต เป็นไฉน?
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นจิต.

ธรรมไม่เป็นจิต เป็นไฉน?
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นจิต.

กรัชกาย เขียน:
จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน


ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะในพระอภิธรรมปิฎกแยกแยะธรรมไว้เป็นลักษณะเฉพาะด้วยเหตุปัจจัย

จิตก็คือ....จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ

มโนก็คือ.....มโนทวาร

มนะก็คือ.....มโนทวารที่เกิดความคิดปรุงแต่งแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คันปากอีก
จิตมีรูปวิเคราะห์ดังนี้


อย่าตลกจะพูดอะไรคิดก่อนหรือเปล่า พูดมาได้ "จิตมีรูปวิเคราะ"
จิตมันเป็นนามธรรม และในอภิธัมมัตถฯท่า่นก็แยกแยะจิตกับรูปออกจากกันต่างหาก
ดันบอกมาได้ว่า จิตมีรูปวิเคราะ

กรัชกาย เขียน:
ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าจิต

จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน


ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ ..........

[๗๖๖] ธรรมมีอารมณ์ เป็นไฉน?
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมี
อารมณ์.


ธรรมไม่มีอารมณ์ เป็นไฉน?
รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีอารมณ์.


[๗๖๗] ธรรมเป็นจิต เป็นไฉน?
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นจิต.

ธรรมไม่เป็นจิต เป็นไฉน?
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นจิต.

กรัชกาย เขียน:
จิตก็ดี มโนก็ดี มนะ เป็นต้นก็ดี เป็นไวพจน์ คือ ใช้แทนกันได้ ใช้ศัพท์ไหนก็ได้ บางทีเรียกซ้ำว่า จิตใจ ก็อันเดียวกัน


ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะในพระอภิธรรมปิฎกแยกแยะธรรมไว้เป็นลักษณะเฉพาะด้วยเหตุปัจจัย

จิตก็คือ....จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนธาตุ
มโนวิญญาณธาตุ

มโนก็คือ.....มโนทวาร

มนะก็คือ.....มโนทวารที่เกิดความคิดปรุงแต่งแล้ว


จิต ใจ มโน มานัส มนะ วิญญาณ เป็นไวพจน์กัน

ตา+รูป+จักขุวิญญาณ
หู + เสียง +โสตวิญญาณ
จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ
ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ
กาย+สัมผัส+กายวิญญาณ
ใจ+ธัมมารมณ์+มโนวิญญาณ

ธรรมะ ธรรมชาติ ก็ทิ่มหูทิ่มตา ลั๊นล้าๆแอ่นแอ๊นอยู่ทุกวัน เวลา นาที วินาที เสี้ยววินาที ทุกๆขณะที่เห็นได้ยินเป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จิต ใจ มโน มานัส มนะ วิญญาณ เป็นไวพจน์กัน


รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ล่องเรือหารัก จอดไม่ต้องแจว คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร