วันเวลาปัจจุบัน 14 ต.ค. 2025, 06:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้โฮฮับฮงหนักขึ้นไปอีก จะได้ขยายหลักธรรมออกไปอีก จะได้รู้ว่า ธรรมะทิ่มตา ทิ่มหู ฯลฯ อยู่ทุกๆขณะดังกล่าว
คนเราจะสุข จะทุกข์ จะเหนือสุขเหนือทุกข์ก็อยู่ที่ตรงนี้แหละ

ดูนะ

-ตา+รูป+จักขุวิญญาณ+ผัสสะ
-หู + เสียง +โสตวิญญาณ...
-จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ...
-ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ...
-กาย+สัมผัส+กายวิญญาณ...
-ใจ+ธัมมารมณ์+มโนวิญญาณ...


ทุกข์เกิด (ทางตา เป็นตัวอย่าง)

"อาศัยตา และรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี บุคคลเสวยอารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (= สัญญา) หมายรู้อารมณ์ใด ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น ตริตรึกอารมณ์ใด ย่อมผันพิสดารซึ่งอารมณ์นั้น (= ปปัญจ) บุคคลผันพิสดารซึ่งอารมณ์ใด เพราะการผันพิสดารนั้นเป็นเหตุ ปปัญจสัญญาแง่ต่างๆ ย่อมผุดพลุ่งสุมรุมเขา ในเรื่องรูปทั้งหลาย ที่พึงรู้ได้ด้วยตา ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน"

ทุกข์ดับ

"ความดับแห่ง โลกเป็นไฉน ? อาศัยตา และรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งสิ่งทั้ง ๓ นั้น คือ ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหานั้นแหละสำรอกดับไปไม่เหลือ ความดับอุปาทานจึงมี เพราะดับอุปาทาน ความดับภพจึงมี เพราะดับภพ ความดับชาติจึงมี เพราะดับชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งหมด ย่อมมีได้อย่างนี้ นี้เรียกว่าความดับแห่งโลก"


ปปัญจสัญญา = สัญญาที่ซับซ้อนหลากหลาย

คิกๆๆ โฮฮับ ที่ีกรัชกายนำมานี่ถูกหรือผิด

อ้างคำพูด:
อาศัยตา และรูปเกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ....

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ก.พ. 2016, 07:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2016, 03:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เพื่อให้โฮฮับฮงหนักขึ้นไปอีก จะได้ขยายหลักธรรมออกไปอีก จะได้รู้ว่า ธรรมะทิ่มตา ทิ่มหู ฯลฯ อยู่ทุกๆขณะดังกล่าว
คนเราจะสุข จะทุกข์ จะเหนือสุขเหนือทุกข์ก็อยู่ที่ตรงนี้แหละ


พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้สุขหรือให้ทุกข์ พระพุทธองค์ทรงชี้แนะเรื่องตัณหา
ความอยากในสุขหรือทุกข์......เป็นกิเลสต้องละวาง

คำพูดประโยคนี้ของกรัชกายเป็นคำพูดเลื่อนเปื้อน เอาพระธรรมไปขยายความจน
หาสาระทางธรรมผิดเพี้ยน ....แนะนำเมื่อเราอ่านพระธรรมแล้วจะต้องใช้ปัญญาเลือกเฟ้นแต่
แก่นหรือพิจารณาหาพระสัทธรรมเพื่อให้รู้ถึงความเป็นธรรมแท้.....ไม่ใช่เอาไปขยายความแบบนี้

กรัชกาย เขียน:
ดูนะ
-ตา+รูป+จักขุวิญญาณ+ผัสสะ
-หู + เสียง +โสตวิญญาณ...
-จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ...
-ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ...
-กาย+สัมผัส+กายวิญญาณ...
-ใจ+ธัมมารมณ์+มโนวิญญาณ...


มั่ว! ดูแล้วเหมือนเด็ก๒ขวบกำลังหัดบวกเลข :b32:

ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ดันเอาผัสสะไปบวกรวมเข้าไปด้วย หารู้ไม่หาอะไรเป็นต้นเหตุ
อะไรเป็นองค์รวมของธรรม ความเป็นจริงของธรรมเป็นดังนี้......

ผัสสะ = สัมผัส
นามรูป = ตา+รูป
วิญญาน = จักขุวิญญาน
สัมผัส = ตา+รูป+จักขุวิญญาน

องค์ธรรมอื่นๆก็เช่นกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2016, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ทุกข์เกิด (ทางตา เป็นตัวอย่าง)

"อาศัยตา และรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี บุคคลเสวยอารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (= สัญญา) หมายรู้อารมณ์ใด ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น ตริตรึกอารมณ์ใด ย่อมผันพิสดารซึ่งอารมณ์นั้น (= ปปัญจ) บุคคลผันพิสดารซึ่งอารมณ์ใด เพราะการผันพิสดารนั้นเป็นเหตุ ปปัญจสัญญาแง่ต่างๆ ย่อมผุดพลุ่งสุมรุมเขา ในเรื่องรูปทั้งหลาย ที่พึงรู้ได้ด้วยตา ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน"

ทุกข์ดับ

"ความดับแห่ง โลกเป็นไฉน ? อาศัยตา และรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งสิ่งทั้ง ๓ นั้น คือ ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหานั้นแหละสำรอกดับไปไม่เหลือ ความดับอุปาทานจึงมี เพราะดับอุปาทาน ความดับภพจึงมี เพราะดับภพ ความดับชาติจึงมี เพราะดับชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งหมด ย่อมมีได้อย่างนี้ นี้เรียกว่าความดับแห่งโลก"

ปปัญจสัญญา = สัญญาที่ซับซ้อนหลากหลาย


พี่โฮจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้ ไอ้ที่กรัชกายเอาเรื่องปปัญจสัญญามาละเลงมั่ว
นั้นเพราะไม่รู้ไม่เข้าคำว่า....ปปฺจธมฺม (ปปัญจธรรม ) ก็เลยเอาปปัญจธรรม
มาละเลงกับสัญญาซะเละ

คำว่า. ปปัญจสัญญา มันไม่ใช่คำเดียวกัน แต่มันมีเหตุปัจจัยสองเหตุปัจจัย
นั้นก็คือ ปปัญจธรรม๑ และสัญญา๑

ความหมายของ ปปัญจสัญญาก็คือ สัญญาที่ไปยึดหน่วงเอาปปัญจธรรมไว้
ทำให้เนิ่นช้าต่อการพ้นทุกข์ ทุกข์ในที่นี้หมายถึงสังสารวัฏ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2016, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"อาศัยตา และรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ


ขนาดยกเอาพุทธพจน์ให้เห็นโต้งๆ โฮฮับยังแถไปน้ำขุ่นๆ

จักขุ+รูป+จักขุวิญญาณ+ผัสสะ+เวทนา+ตัณหา+อุปาทาน (พอ คิกๆๆพูดไปก็ไม่เข้าใจ)

แล้วยังต่อเรื่องการดับทุกข์ไว้ว่า ต้องกำจัดตัณหา (ดับตัณหา) แล้วข้างท้ายๆ ก็ดับตามกัน

เมื่อพูดถึงตัณหา ก็โยงเข้าอริยสัจ 4 (ข้อ) ได้เลย (ถ้าเข้าใจหลักธรรมแล้วโยงถึงกันหมด)

อริยสัจ 4 (เรียกสั้นๆ) ได้แก่

1. ทุกข์ =ปัญหา

2. สมุทัย <=> ตัณหา = เหตุแห่งทุกข์

3. นิโรธ <=> นิพพาน = ทุกข์ดับ

4. มรรค <=> วิธีปฏิบัติ ซึ่งเป็นเหตุที่ทำนิโรธให้แจ้ง

มรรค แปลว่า วิธีปฏิบัติ ข้อปฏิบัติ เรียก เต็มๆ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ซึ่งก็มีอยู่แล้ว ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 ข้อ

ปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน 4 อย่างถูกวิธีก็อยู่จบพรหมจรรย์แล.

ถ้าปฏิบัติผิดเพี้ยนไป ก็จบที่ศรีธัญญาแล.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2016, 04:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
"อาศัยตา และรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ


ขนาดยกเอาพุทธพจน์ให้เห็นโต้งๆ โฮฮับยังแถไปน้ำขุ่นๆ

จักขุ+รูป+จักขุวิญญาณ+ผัสสะ+เวทนา+ตัณหา+อุปาทาน (พอ คิกๆๆพูดไปก็ไม่เข้าใจ)


ในพระสูตรประะโยคที่กรัชกายเอามาอ้างเขียนว่า....."ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ"

ท่านบอกว่าการประจวบกันของธรรมทั้ง๓ นั้นก็คือ จักขุ+รูป+จักขุวิญญาณ ...เป็นผัสสะ
การเขียนผังมันต้องแบบนี้ จักขุ+รูป+จักขุวิญญาณ =ผัสสะ
นี่ดันเอาผัสสะ+รวมเข้าไปด้วย......มั่วจริงๆ

กรัชกาย เขียน:
แล้วยังต่อเรื่องการดับทุกข์ไว้ว่า ต้องกำจัดตัณหา (ดับตัณหา) แล้วข้างท้ายๆ ก็ดับตามกัน

เมื่อพูดถึงตัณหา ก็โยงเข้าอริยสัจ 4 (ข้อ) ได้เลย (ถ้าเข้าใจหลักธรรมแล้วโยงถึงกันหมด)

อริยสัจ 4 (เรียกสั้นๆ) ได้แก่

1. ทุกข์ =ปัญหา

2. สมุทัย <=> ตัณหา = เหตุแห่งทุกข์

3. นิโรธ <=> นิพพาน = ทุกข์ดับ

4. มรรค <=> วิธีปฏิบัติ ซึ่งเป็นเหตุที่ทำนิโรธให้แจ้ง

มรรค แปลว่า วิธีปฏิบัติ ข้อปฏิบัติ เรียก เต็มๆ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ซึ่งก็มีอยู่แล้ว ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 ข้อ

ปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน 4 อย่างถูกวิธีก็อยู่จบพรหมจรรย์แล.

ถ้าปฏิบัติผิดเพี้ยนไป ก็จบที่ศรีธัญญาแล.


นั้นแหล่ะถ้าผิดเพี้ยนไปก็จบที่ศรีธัญญา ฉะนั้นกลับไปแก้ให้มันถูกก่อน ตามที่พี่โฮแก้ไขให้ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2016, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เพื่อให้โฮฮับฮงหนักขึ้นไปอีก จะได้ขยายหลักธรรมออกไปอีก จะได้รู้ว่า ธรรมะทิ่มตา ทิ่มหู ฯลฯ อยู่ทุกๆขณะดังกล่าว
คนเราจะสุข จะทุกข์ จะเหนือสุขเหนือทุกข์ก็อยู่ที่ตรงนี้แหละ

ดูนะ

-ตา+รูป+จักขุวิญญาณ+ผัสสะ
-หู + เสียง +โสตวิญญาณ...
-จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ...
-ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ...
-กาย+สัมผัส+กายวิญญาณ...
-ใจ+ธัมมารมณ์+มโนวิญญาณ...


ทุกข์เกิด (ทางตา เป็นตัวอย่าง)

"อาศัยตา และรูป เกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี บุคคลเสวยอารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (= สัญญา) หมายรู้อารมณ์ใด ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น ตริตรึกอารมณ์ใด ย่อมผันพิสดารซึ่งอารมณ์นั้น (= ปปัญจ) บุคคลผันพิสดารซึ่งอารมณ์ใด เพราะการผันพิสดารนั้นเป็นเหตุ ปปัญจสัญญาแง่ต่างๆ ย่อมผุดพลุ่งสุมรุมเขา ในเรื่องรูปทั้งหลาย ที่พึงรู้ได้ด้วยตา ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน"

ทุกข์ดับ

"ความดับแห่ง โลกเป็นไฉน ? อาศัยตา และรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งสิ่งทั้ง ๓ นั้น คือ ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี เพราะตัณหานั้นแหละสำรอกดับไปไม่เหลือ ความดับอุปาทานจึงมี เพราะดับอุปาทาน ความดับภพจึงมี เพราะดับภพ ความดับชาติจึงมี เพราะดับชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งหมด ย่อมมีได้อย่างนี้ นี้เรียกว่าความดับแห่งโลก"


ปปัญจสัญญา = สัญญาที่ซับซ้อนหลากหลาย


กดผิดจะกดอ้างอิง ผ่าไปกดแก้ไข เอาใหม่

โฮฮับ ที่ีกรัชกายยกมานี่ถูกหรือผิด ย้ำอีกที

อ้างคำพูด:
อาศัยตา และรูปเกิดจักขุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้นเป็นผัสสะ....

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2016, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผัสสะ = สัมผัส
นามรูป = ตา+รูป
วิญญาน = จักขุวิญญาน
สัมผัส = ตา+รูป+จักขุวิญญาน


นามรูป = ตา+รูป

ผิดแล้วโฮฮับ

ตา+รูป = รูป ไม่ใช่นาม

วิญญาณ นี่สิเป็นนาม

ตา+รูป+จักขุวิญญาณ (นี่=รูปนาม) ตา+รูป=รูป ตากับรูปกระทบกันจักขุวิญญาณเกิด จักขุวิญญาณ =นาม เมื่อสิ่งทั้งสาม คือ ตา + รูป +จักขุวิญญาณ กระทบกันเรียกว่าผัสสะ

่ต่อจากผัสสะ เป็นเวทนา ....

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2016, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ผัสสะ = สัมผัส
นามรูป = ตา+รูป
วิญญาน = จักขุวิญญาน
สัมผัส = ตา+รูป+จักขุวิญญาน


นามรูป = ตา+รูป

ผิดแล้วโฮฮับ
ตา+รูป = รูป ไม่ใช่นาม
วิญญาณ นี่สิเป็นนาม.


พี่โฮเขียนว่า...นามรูป ดันมั่วว่า รูป
นามรูปเป็นองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาท นามรูปทำให้เกิด อุปาทายรูปคือ ตา(ปสาทรูป)และรูป(แสงสีโคจรรูป)
ความหมายของนามรูป(ปฏิจจฯ) ทำให้บุคคลปรุงแต่งมหาูติรูปสี่จนเกิดเป็น...
ตากับรูป(แสงสี) หูกับเสียง ลิ้นกับรสฯลฯ

ส่วนวิญญานเป็นธรรมชาติในปฏิจจฯเช่นกัน วิญญานทำให้กายใจเกิดการรับรู้เมื่อมีการกระทบระหว่าง
ปสาทรูปและโคจรรูป(วิสยรูป)

โดยทั้งหมดเรากำลังสนทนากันในเรื่องของความเป็น.....นามธรรม
กรัชกายไม่เข้าใจเรื่องรูปธรรมและนามธรรมก็เลยเกิดอาการมั่ว(งงเต็ก)

กรัชกาย เขียน:

ตา+รูป+จักขุวิญญาณ (นี่=รูปนาม) ตา+รูป=รูป ตากับรูปกระทบกันจักขุวิญญาณเกิด จักขุวิญญาณ =นาม เมื่อสิ่งทั้งสาม คือ ตา + รูป +จักขุวิญญาณ กระทบกันเรียกว่าผัสสะ

่ต่อจากผัสสะ เป็นเวทนา ....

มั่วเละเทะ! กรัชกายไม่รู้เรื่องเลยพูดจาส่งเดช เรื่องของเรื่องคำว่า รูปนามมันเป็นหลักในเรื่อง
ของกาย นั้นก็คือ.....คำว่า นามกายกับรูปกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2016, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ผัสสะ = สัมผัส
นามรูป = ตา+รูป
วิญญาน = จักขุวิญญาน
สัมผัส = ตา+รูป+จักขุวิญญาน


นามรูป = ตา+รูป

ผิดแล้วโฮฮับ
ตา+รูป = รูป ไม่ใช่นาม
วิญญาณ นี่สิเป็นนาม.


พี่โฮเขียนว่า...นามรูป ดันมั่วว่า รูป
นามรูปเป็นองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาท นามรูปทำให้เกิด อุปาทายรูปคือ ตา(ปสาทรูป)และรูป(แสงสีโคจรรูป)
ความหมายของนามรูป(ปฏิจจฯ) ทำให้บุคคลปรุงแต่งมหาูติรูปสี่จนเกิดเป็น...
ตากับรูป(แสงสี) หูกับเสียง ลิ้นกับรสฯลฯ

ส่วนวิญญานเป็นธรรมชาติในปฏิจจฯเช่นกัน วิญญานทำให้กายใจเกิดการรับรู้เมื่อมีการกระทบระหว่าง
ปสาทรูปและโคจรรูป(วิสยรูป)

โดยทั้งหมดเรากำลังสนทนากันในเรื่องของความเป็น.....นามธรรม
กรัชกายไม่เข้าใจเรื่องรูปธรรมและนามธรรมก็เลยเกิดอาการมั่ว(งงเต็ก)

กรัชกาย เขียน:

ตา+รูป+จักขุวิญญาณ (นี่=รูปนาม) ตา+รูป=รูป ตากับรูปกระทบกันจักขุวิญญาณเกิด จักขุวิญญาณ =นาม เมื่อสิ่งทั้งสาม คือ ตา + รูป +จักขุวิญญาณ กระทบกันเรียกว่าผัสสะ

่ต่อจากผัสสะ เป็นเวทนา ....

มั่วเละเทะ! กรัชกายไม่รู้เรื่องเลยพูดจาส่งเดช เรื่องของเรื่องคำว่า รูปนามมันเป็นหลักในเรื่อง
ของกาย นั้นก็คือ.....คำว่า นามกายกับรูปกาย



ดูเหมือนเคยพูดแล้วว่า พูดกับคนรู้อะไรแง่เดียวด้านเดียวแล้วหนักใจจริงๆ :b13:

จะเรียกรูปนาม หรือนามรูปก็อันเดียวกัน คือ นามส่วนหนึ่ง รูปส่วนหนึ่ง

จักขุ (ตา) นี่ก็ส่วนรูป รูป (นี่ชัดแล้ว) จักษุ เห็นรูป โสตะ (หู) ได้ยินเสียง ฯลฯ พอไม่ไหวเบืออธิบาย เห็นอยู่โต้งๆ ยังไม่เข้าใจ หึๆๆ ทำไปทำมาโฮฮับไม่รู้จักตัวเอง

ไหนลองเอาชัดๆซิ รูปกาย กับ นามกาย ที่ว่าอะไร ชัดๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2016, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


ดูเหมือนเคยพูดแล้วว่า พูดกับคนรู้อะไรแง่เดียวด้านเดียวแล้วหนักใจจริงๆ :b13:

จะเรียกรูปนาม หรือนามรูปก็อันเดียวกัน คือ นามส่วนหนึ่ง รูปส่วนหนึ่ง

จักขุ (ตา) นี่ก็ส่วนรูป รูป (นี่ชัดแล้ว) จักษุ เห็นรูป โสตะ (หู) ได้ยินเสียง ฯลฯ พอไม่ไหวเบืออธิบาย เห็นอยู่โต้งๆ ยังไม่เข้าใจ หึๆๆ ทำไปทำมาโฮฮับไม่รู้จักตัวเอง

ไหนลองเอาชัดๆซิ รูปกาย กับ นามกาย ที่ว่าอะไร ชัดๆ


รูปนามที่กรัชกายมั่วนะ มันเป็นเรื่องของกาย
แต่นามรูป มันเป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาท(อิทัปปจยตา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2016, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:


ดูเหมือนเคยพูดแล้วว่า พูดกับคนรู้อะไรแง่เดียวด้านเดียวแล้วหนักใจจริงๆ :b13:

จะเรียกรูปนาม หรือนามรูปก็อันเดียวกัน คือ นามส่วนหนึ่ง รูปส่วนหนึ่ง

จักขุ (ตา) นี่ก็ส่วนรูป รูป (นี่ชัดแล้ว) จักษุ เห็นรูป โสตะ (หู) ได้ยินเสียง ฯลฯ พอไม่ไหวเบืออธิบาย เห็นอยู่โต้งๆ ยังไม่เข้าใจ หึๆๆ ทำไปทำมาโฮฮับไม่รู้จักตัวเอง

ไหนลองเอาชัดๆซิ รูปกาย กับ นามกาย ที่ว่าอะไร ชัดๆ


รูปนามที่กรัชกายมั่วนะ มันเป็นเรื่องของกาย
แต่นามรูป มันเป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาท(อิทัปปจยตา)


ที่ถามไม่ตอบ

รูปนาม เรียกเต็มๆว่า รูปธรรม (= กาย,ร่างกาย) นามธรรม (ฝ่ายจิตใจ)

วางหลักที่ท่านจำแนกไว้ชัดๆ ก็นี่เลย

1. รูป
2. เวทนา
3. สัญญา
4. สังขาร
5. วิญญาณ

ข้อ 1 รูปธรรม (กาย,ร่างกาย) ข้อ 2-5 ฝ่ายนามธรรม (จิตใจ) :b16:

เรียกจาก 5-1 ก็นามรูป (นามธรรม รูปธรรม) คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2016, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ที่ถามไม่ตอบ

เขาตอบไปแล้ว ที่คิดว่าไม่ตอบก็เพราะตัวเองเอาความเข้าใจผิด(มั่ว)มาถามนั้นเอง

กรัชกาย เขียน:

รูปนาม เรียกเต็มๆว่า รูปธรรม (= กาย,ร่างกาย) นามธรรม (ฝ่ายจิตใจ)

เลอะเทอะ! รูปนามเป็นลักษณะของปรมัตถธรรม
รูปนามเป็นคนละเรื่องกับกับรูปธรรมและนามธรรม

รูปธรรมคือ..... สิ่งที่รู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อันได้แก่ รูปเสียง กลิ่น รส
และสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ด้วยกาย

นามธรรม...... คือสิ่งที่รู้ได้เฉพาะทางใจเท่านั้น ไม่สามารถรับรู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย

*สรุปก็คือ รูปนามแตกต่างจากรูปธรรมและนามธรรมตรงที่.....
รูปธรรมและนามธรรมเป็นสิ่งที่มากระทบกายใจ แต่รูปนามเป็นอารมณ์ที่เกิดหลังการกระทบ

กรัชกาย เขียน:
วางหลักที่ท่านจำแนกไว้ชัดๆ ก็นี่เลย
1. รูป
2. เวทนา
3. สัญญา
4. สังขาร
5. วิญญาณ
ข้อ 1 รูปธรรม (กาย,ร่างกาย) ข้อ 2-5 ฝ่ายนามธรรม (จิตใจ) :b16:
เรียกจาก 5-1 ก็นามรูป (นามธรรม รูปธรรม) คิกๆๆ

ไม่ใช่! ๑-๕ ไม่ใช่รูปธรรมและนามธรรม แต่เป็นอารมณ์ปรมัตถ์
รูปธรรมและนามธรรม เป็นธรรมที่มากระทบกายใจ(ทวาร)
รูปนาม(๑-๕)เป็นธรรมที่เกิดหลังจากการกระทบ(ทวาร)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร