วันเวลาปัจจุบัน 04 ต.ค. 2025, 22:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b34:
มั่วตรงไหนอธิบายและแจกแจงมาซิ?
s006


แนบไฟล์:
cats-crop.jpg
cats-crop.jpg [ 63.35 KiB | เปิดดู 2115 ครั้ง ]


ภาพมันมั่วตรงไหนมาดู...

๑. ในข้อนี้ มันไม่ใช่ปฐวี เตโช วาโย อาโป ...ถึงจะบอกธาตุทั้งสี่ได้ถูก
แต่สภาพความเป็นจริง มันไม่ได้มีแค่ธาตุสี่ เพราะมันยังมีธาตุที่สำคัญอีกก็คือ
ธาตุรู้และอากาศธาตุ.....ด้วยเหตุนี้จึงต้องเรียก ธรรมในข้อที่๑ว่า......มหาภูติรูปสี่

๒. ในข้อนี้ก็อ้างผิด แท้จริงแล้ว แทนที่จะเขียนว่า ปรมัตถ์รูปจะต้องเป็น ขันธ์ห้า

๓. ที่บอกว่าไม่รู้เป็นอัตตา นี่ก็มั่ว

ความไม่รู้เป็นกฎอิทัปปจยตา(ปฏิจจสมุปบาท) ส่วนอัตตาเป็นความยึดมั่นของกายใจที่มีต่อสมมติ

และคำว่ารู้แล้ว ก็ไม่ได้เป็นอนัตตา รู้แล้วคือวิชชา

คือรู้ในสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 14:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b34:
มั่วตรงไหนอธิบายและแจกแจงมาซิ?
s006


ประเภทของพระนิพพาน

พระนิพพาน มี ๑ ได้แก่

สันติลักษณะ คือ ความสงบจากกิเลส และขันธ์ทั้งหลาย

พระนิพพานมี ๒ ได้แก่

๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ยังเป็นไปกับขันธ์ หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์ ที่ยังมีชีวิตอยู่

๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ไม่เป็นไปกับขันธ์ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ ที่สิ้นชีวิตแล้วเรียกว่า "ปรินิพพาน"

พระนิพพาน มี ๓ ได้แก่

๑. อนิมิตตนิพพาน คือ ภาวะของนิพพานนั้น ไม่มีนิมิต เครื่องหมายใดๆ ย่อมปรากฏแก่ พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา เห็นว่านาม-รูปนั้น ไม่เที่ยง การตามเห็นความไม่เที่ยงนี้ เรียกว่า "อนิจจานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่ไม่มีเครื่องหมายนิมิตใดๆ เรียกว่า "อนิมิตตนิพพาน"

๒. อัปปณิหิตนิพพาน คือ ภาวะของพระนิพพานนั้น เห็นว่าไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสุข และความปราถนาใดๆ ย่อมปรากฏแก่ พระโยคาวจรที่เจริญวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ โดยความ เป็นทุกข์ เห็นว่า รูป-นามขันธ์ ๕ นี้ เป็นที่ตั้งของทุกข์โดยแท้ แล้วตามความเห็นเป็นทุกข์ด้วย "ทุกขานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่ไม่เป็นที่ตั้งของสุขใดๆเลย เรียกว่า "อัปปณิหิตนิพพาน"

๓. สุญญตนิพพาน คือภาวะของพระนิพพานนั้น ว่างจากตน ว่างจากกิเลส และขันธ์ ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา เห็นไตรลักษณ์โดยความเป็น อนัตตา เห็นว่ารูป-นาม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน ไม่เป็นสาระแก่นสาร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร และไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ แล้วตามเห็น อนัตตา ด้วย "อนัตตานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่เรียกว่า "สุญญตนิพพาน"

อีกนัยหนึ่ง นิพพานมี ๓ ประเภท คือ

๑. กิเลสนิพพาน หมายถึง อนุสัยกิเลสดับเป็น สมุจเฉทปหาน อันได้แก่ พระอรหันตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่

๒. ขันธนิพพาน หมายถึง พระอรหันต์ ที่ดับขันธปรินิพพาน ไม่มีการเกิดอีก หมายถึง พระอรหันต์ตายแล้ว คือดับทั้งกิเลส พร้อมทั้งขันธ์ ๕

๓. ธาตุนิพพาน หมายถึง อันตรธาน แห่งพระบรมธาตุ ของพระพุทธเจ้า ในกาลที่จะสิ้นพุทธศาสนา นับจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าอีก ๕.๐๐๐ ปี ธาตุที่อยู่ในที่ต่างๆก็จะมาประชุมร่วมกันเพื่อเข้า
สู่ธาตุปรินิิพาน

พระนิพพานนี้เป็นขันธวิมุตติ คือถูกปฏิเสธความเป็นขันธทุกอย่างว่า ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาน ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้า ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ศีล ไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่อะไรทุกๆอย่าง

การที่จะรู้ได้ว่า พระนิพพานนั้นมีจริง ก็ต้องอาศัยการบรรลุของบุคคล ผู้เข้าไปแจ้งได้ ด้วยการเจริญมรรค ที่สมควรแก่การบรรลุพระนิพพานนั้น มีอยู่...ถ้าพระนิพพานไม่มี ข้อปฏิบัติ คือมรรค หรือมัชฌิมาปฏิปทา ก็จะถึงความเป็นหมันไป คือไร้ผล

อีกประการหนึ่ง การที่จะเชื่อ หรือควรจะเห็นว่า พระนิพพานมีจริงนั้น ก็เพราะเหตุว่า คุณของพระนิพพานมีประจักษ์อยู่ ความดับกิเลสมีอยู่ ความหลุดพ้นมีอยู่ และผู้ดับกิเลสมีอยู่ หรือผู้หลุดพ้นก็มีอยู่ โดยนัยกล่าวนี้ การบัญญัตินามแห่งคุณของพระนิพพาน จึงมีอยู่โดยอเนกประการ

อธิบายกันมาข้างต้นนั้นก็ขออย่าให้ห่างไกลกับคำสอนมากนัก มันเกิดโทษมากกว่า


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมมา เมื่อ 11 เม.ย. 2016, 15:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
ประเภทของพระนิพพาน
พระนิพพาน มี ๑ ได้แก่

สันติลักษณะ คือ ความสงบจากกิเลส และขันธ์ทั้งหลาย

พระนิพพานมี ๒ ได้แก่

๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ยังเป็นไปกับขันธ์ หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์ ที่ยังมีชีวิตอยู่

๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ไม่เป็นไปกับขันธ์ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ ที่สิ้นชีวิตแล้วเรียกว่า "ปรินิพพาน"


เอาไงกันแน่พ่อคนฉลาด เดี๋ยวพระนิพพานมีหนึ่ง เดี๋ยวพระนิพพานมีสอง.....คุณเมาฉลองสงกรานต์หรือครับ :b32:
พระนิพพานโลกไหนกันที่บอกว่า พระนิพพานเป็นสันติลักษณะ

ลักษณะของนิพพานคือ....กายใจนั้นเป็นวิสังขาร ก็คือปราศจากความยึดมั่นปรุงแต่งนั้นเอง
อะไรมากระทบก็เพียงแค่รู้ว่าเป็นกฎธรรมชาติหรือเป็นอิทัปปจยตา

และสอุปาทิเสสนิพาน ก็ไม่ใช่เป็นไปกับขันธ์ห้า นิพพานกับขันธ์ห้ามันเป็นธรรมที่ตรงข้ามกัน
มีขันธ์ห้าย่อมไม่เกิดนิพพาน และเป็นนิพพานย่อมไม่มีขันธ์ห้า

สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง อรหันต์ผู้ปฏิบัติตามหลักโพธิปักขิยธรรมจนเกิด...ปัญญาวิมุตติ

ส่วนอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงผู้ปฏิบัติสมาบัติ จนเกิดเป็น ...เจโตวิมุตติ

ทั้งสอุปาทิเสสและอนุปาทิเสส ล้วนเป็นพระอรหันต์ที่ปราศจากแล้วซึ่งขันธ์ห้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 15:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่คนเจ้าชู้ ที่เที่ยวไปไข่เรี่ยไข่ราดไว้ที่ไหน
แล้วทำไมจะมาเรียกผมว่าพ่อ ลูกผมฉลาดกว่านี้เยอะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
ขอบอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่คนเจ้าชู้ ที่เที่ยวไปไข่เรี่ยไข่ราดไว้ที่ไหน
แล้วทำไมจะมาเรียกผมว่าพ่อ ลูกผมฉลาดกว่านี้เยอะ


สงสัยไม่ใช่คนไทยถึงได้ไม่รู้จักสำนวนไทย คนไทยรุ่นปู่ย่า ตายาย
เขาเรียกไอ้พวกเด็กที่ชอบอวดเก่งปากดีว่า ..."พ่อคนฉลาด"

พ่อคนฉลาดไม่ได้หมายถึงพ่อหรือฉลาด แต่ความหมายมันตรงข้ามกัน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 17:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg
ประตูทางออกสู่นิพพาน_.jpg [ 50.12 KiB | เปิดดู 2099 ครั้ง ]
ธรรมมา เขียน:
asoka เขียน:
:b34:
มั่วตรงไหนอธิบายและแจกแจงมาซิ?
s006


ประเภทของพระนิพพาน

พระนิพพาน มี ๑ ได้แก่

สันติลักษณะ คือ ความสงบจากกิเลส และขันธ์ทั้งหลาย

พระนิพพานมี ๒ ได้แก่

๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ยังเป็นไปกับขันธ์ หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์ ที่ยังมีชีวิตอยู่

๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ไม่เป็นไปกับขันธ์ ได้แก่ นิพพานของพระอรหันต์ ที่สิ้นชีวิตแล้วเรียกว่า "ปรินิพพาน"

พระนิพพาน มี ๓ ได้แก่

๑. อนิมิตตนิพพาน คือ ภาวะของนิพพานนั้น ไม่มีนิมิต เครื่องหมายใดๆ ย่อมปรากฏแก่ พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา เห็นว่านาม-รูปนั้น ไม่เที่ยง การตามเห็นความไม่เที่ยงนี้ เรียกว่า "อนิจจานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่ไม่มีเครื่องหมายนิมิตใดๆ เรียกว่า "อนิมิตตนิพพาน"

๒. อัปปณิหิตนิพพาน คือ ภาวะของพระนิพพานนั้น เห็นว่าไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสุข และความปราถนาใดๆ ย่อมปรากฏแก่ พระโยคาวจรที่เจริญวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ โดยความ เป็นทุกข์ เห็นว่า รูป-นามขันธ์ ๕ นี้ เป็นที่ตั้งของทุกข์โดยแท้ แล้วตามความเห็นเป็นทุกข์ด้วย "ทุกขานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่ไม่เป็นที่ตั้งของสุขใดๆเลย เรียกว่า "อัปปณิหิตนิพพาน"

๓. สุญญตนิพพาน คือภาวะของพระนิพพานนั้น ว่างจากตน ว่างจากกิเลส และขันธ์ ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา เห็นไตรลักษณ์โดยความเป็น อนัตตา เห็นว่ารูป-นาม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน ไม่เป็นสาระแก่นสาร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร และไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ แล้วตามเห็น อนัตตา ด้วย "อนัตตานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่เรียกว่า "สุญญตนิพพาน"

อีกนัยหนึ่ง นิพพานมี ๓ ประเภท คือ

๑. กิเลสนิพพาน หมายถึง อนุสัยกิเลสดับเป็น สมุจเฉทปหาน อันได้แก่ พระอรหันตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่

๒. ขันธนิพพาน หมายถึง พระอรหันต์ ที่ดับขันธปรินิพพาน ไม่มีการเกิดอีก หมายถึง พระอรหันต์ตายแล้ว คือดับทั้งกิเลส พร้อมทั้งขันธ์ ๕

๓. ธาตุนิพพาน หมายถึง อันตรธาน แห่งพระบรมธาตุ ของพระพุทธเจ้า ในกาลที่จะสิ้นพุทธศาสนา นับจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าอีก ๕.๐๐๐ ปี ธาตุที่อยู่ในที่ต่างๆก็จะมาประชุมร่วมกันเพื่อเข้า
สู่ธาตุปรินิิพาน

พระนิพพานนี้เป็นขันธวิมุตติ คือถูกปฏิเสธความเป็นขันธทุกอย่างว่า ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาน ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้า ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ศีล ไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่อะไรทุกๆอย่าง

การที่จะรู้ได้ว่า พระนิพพานนั้นมีจริง ก็ต้องอาศัยการบรรลุของบุคคล ผู้เข้าไปแจ้งได้ ด้วยการเจริญมรรค ที่สมควรแก่การบรรลุพระนิพพานนั้น มีอยู่...ถ้าพระนิพพานไม่มี ข้อปฏิบัติ คือมรรค หรือมัชฌิมาปฏิปทา ก็จะถึงความเป็นหมันไป คือไร้ผล

อีกประการหนึ่ง การที่จะเชื่อ หรือควรจะเห็นว่า พระนิพพานมีจริงนั้น ก็เพราะเหตุว่า คุณของพระนิพพานมีประจักษ์อยู่ ความดับกิเลสมีอยู่ ความหลุดพ้นมีอยู่ และผู้ดับกิเลสมีอยู่ หรือผู้หลุดพ้นก็มีอยู่ โดยนัยกล่าวนี้ การบัญญัตินามแห่งคุณของพระนิพพาน จึงมีอยู่โดยอเนกประการ

อธิบายกันมาข้างต้นนั้นก็ขออย่าให้ห่างไกลกับคำสอนมากนัก มันเกิดโทษมากกว่า

:b4:
ภาพที่นำมาแสดงอธิบายตามส่วนนี้ที่คุณธรรมายกมาพูด

พระนิพพาน มี ๓ ได้แก่

๑. อนิมิตตนิพพาน คือ ภาวะของนิพพานนั้น ไม่มีนิมิต เครื่องหมายใดๆ ย่อมปรากฏแก่ พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา เห็นว่านาม-รูปนั้น ไม่เที่ยง การตามเห็นความไม่เที่ยงนี้ เรียกว่า "อนิจจานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่ไม่มีเครื่องหมายนิมิตใดๆ เรียกว่า "อนิมิตตนิพพาน"

๒. อัปปณิหิตนิพพาน คือ ภาวะของพระนิพพานนั้น เห็นว่าไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสุข และความปราถนาใดๆ ย่อมปรากฏแก่ พระโยคาวจรที่เจริญวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ โดยความ เป็นทุกข์ เห็นว่า รูป-นามขันธ์ ๕ นี้ เป็นที่ตั้งของทุกข์โดยแท้ แล้วตามความเห็นเป็นทุกข์ด้วย "ทุกขานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่ไม่เป็นที่ตั้งของสุขใดๆเลย เรียกว่า "อัปปณิหิตนิพพาน"

๓. สุญญตนิพพาน คือภาวะของพระนิพพานนั้น ว่างจากตน ว่างจากกิเลส และขันธ์ ย่อมปรากฏแก่พระโยคาวจร ผู้เจริญวิปัสสนา เห็นไตรลักษณ์โดยความเป็น อนัตตา เห็นว่ารูป-นาม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน ไม่เป็นสาระแก่นสาร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร และไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ แล้วตามเห็น อนัตตา ด้วย "อนัตตานุปัสสนา" ย่อมเข้าถึงพระนิพพาน ที่เรียกว่า "สุญญตนิพพาน"

onion
ไม่มีตรงไหนมั่วแต่โฮฮับมามั่วคิดเอาเอง
คุณธรรมาก็คัดตำรามาแปะเสียหลายมุมเกินประเด็น

จากภาพที่นำมาแสดงเป็นการมองขันธ์ 5 นี้ในแง่ของความเป็นธาตุ 4 ซึ่งเป็นปรมัตถรูป ถ้าไม่รู้ หมายถึงอวิชชา ก็จะเห็นก้อนธาตุ 4 นี้เป็นกายใจ คน สัตว์ เป็นอัตตาตัวตน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

ถ้ารู้ หมายถึงวิชชา ก็จะเห็นเป็นเพียงก้อนธาตุหรือมหาภูตรูป 4 หรือเป็นเพียงปรมัตถรูป ในที่สุดจะเห็นปรมัตถรูปนี้ปรวนแปรไปตามกฏของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัดเจนชัดเจนมากทางไหนก็ออกสู่ประตูนิพพานทางนั้น

ไม่รู้เป็นอัตตา รู้ เป็นอนัตตา
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1444440075-lol-o.gif
1444440075-lol-o.gif [ 481.01 KiB | เปิดดู 2097 ครั้ง ]
asoka เขียน:
ไม่มีตรงไหนมั่วแต่โฮฮับมามั่วคิดเอาเอง
คุณธรรมาก็คัดตำรามาแปะเสียหลายมุมเกินประเด็น

จากภาพที่นำมาแสดงเป็นการมองขันธ์ 5 นี้ในแง่ของความเป็นธาตุ 4 ซึ่งเป็นปรมัตถรูป ถ้าไม่รู้ หมายถึงอวิชชา ก็จะเห็นก้อนธาตุ 4 นี้เป็นกายใจ คน สัตว์ เป็นอัตตาตัวตน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

ถ้ารู้ หมายถึงวิชชา ก็จะเห็นเป็นเพียงก้อนธาตุหรือมหาภูตรูป 4 หรือเป็นเพียงปรมัตถรูป ในที่สุดจะเห็นปรมัตถรูปนี้ปรวนแปรไปตามกฏของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัดเจนชัดเจนมากทางไหนก็ออกสู่ประตูนิพพานทางนั้น

ไม่รู้เป็นอัตตา รู้ เป็นอนัตตา
onion


ตลกดี! เถียงดะอุตสาห์บอกสิ่งที่ถูกให้ฟัง ก็ยังข้างๆคูๆบอกมองขันธ์ห้าด้วยความเป็นธาตุสี่ :b32:

มองขันธ์ห้ามันก็เป็นขันธ์ห้า มันจะเป็นธาตุสี่ไปได้อย่างไร ขันธ์ห้ามันเกิดจากกิเลส
การจะเห็นความเป็นธาตุสี่ได้ ต้องทำให้กิเลสที่ทำให้เกิดรูปขันธ์หมดไปซะก่อน จึงจะเห็นธาตุสี่ได้ :b32:

อโสกะนี่สุดติ่งกระดิ่งแห้ว แสดงธรรมอะไรใหม่ให้ฟัง ก็เอาไปผูกโยงกับความฟุ้งของตนซะเละ :b32:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 18:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ไม่มีตรงไหนมั่วแต่โฮฮับมามั่วคิดเอาเอง
คุณธรรมาก็คัดตำรามาแปะเสียหลายมุมเกินประเด็น

จากภาพที่นำมาแสดงเป็นการมองขันธ์ 5 นี้ในแง่ของความเป็นธาตุ 4 ซึ่งเป็นปรมัตถรูป ถ้าไม่รู้ หมายถึงอวิชชา ก็จะเห็นก้อนธาตุ 4 นี้เป็นกายใจ คน สัตว์ เป็นอัตตาตัวตน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

ถ้ารู้ หมายถึงวิชชา ก็จะเห็นเป็นเพียงก้อนธาตุหรือมหาภูตรูป 4 หรือเป็นเพียงปรมัตถรูป ในที่สุดจะเห็นปรมัตถรูปนี้ปรวนแปรไปตามกฏของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัดเจนชัดเจนมากทางไหนก็ออกสู่ประตูนิพพานทางนั้น

ไม่รู้เป็นอัตตา รู้ เป็นอนัตตา
onion


ตลกดี! เถียงดะอุตสาห์บอกสิ่งที่ถูกให้ฟัง ก็ยังข้างๆคูๆบอกมองขันธ์ห้าด้วยความเป็นธาตุสี่ :b32:

มองขันธ์ห้ามันก็เป็นขันธ์ห้า มันจะเป็นธาตุสี่ไปได้อย่างไร ขันธ์ห้ามันเกิดจากกิเลส
การจะเห็นความเป็นธาตุสี่ได้ ต้องทำให้กิเลสที่ทำให้เกิดรูปขันธ์หมดไปซะก่อน จึงจะเห็นธาตุสี่ได้ :b32:

อโสกะนี่สุดติ่งกระดิ่งแห้ว แสดงธรรมอะไรใหม่ให้ฟัง ก็เอาไปผูกโยงกับความฟุ้งของตนซะเละ :b32:


ไอ้โฮ่นี่ก็ไม่เรื่องก็ยังตระบี้ตระบันสอนเข้าไปได้
ทำให้คนที่เขาไม่รู้เรื่องอยู่แล้วโง่เข้าไปอีก ชี้ทางเเสงสว่างให้เขาซิมันถึงจะถูก
ตัวเองโง่อยู้แล้วก็จะชักชวนให้คนอื่นโง่ตามอีก ไม่ผิดอะไรกับนิทานอีสปเรื่องหมาหางด้วน

ทำไมธาตุ ๔ จะเป็นขันธ์ไม่ได้ ธาตุ ๔ มันก็ได้รูปขันธ์ใช่ไหมไอ้ควาย
ขันธ์ ๕ ที่ไหนเกิดจากกิเลส ไม่รู้เรื่องยังสะเออะสอน พระอรหันต์ที่ดำรงค์ชีวิตอยู่ก็ยังมีขันธ์ ๕ อยู่
เมื่อขันธ์ ๕ ยังอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเรียกว่าธาตุ ๔ ก็ยังอยู่ใช่ไหมไอ้โฮ่

ดันเป็นสุดติ่งกระดี่งควาย นึกว่าตัวเองเลิศเรอภูมิธรรมสูงเสียเต็มประดาเลยนะไอ้โฮ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2016, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




o2wvwwh1qVzbKtgd1q0-o.gif
o2wvwwh1qVzbKtgd1q0-o.gif [ 193.37 KiB | เปิดดู 2079 ครั้ง ]
ธรรมมา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ไม่มีตรงไหนมั่วแต่โฮฮับมามั่วคิดเอาเอง
คุณธรรมาก็คัดตำรามาแปะเสียหลายมุมเกินประเด็น

จากภาพที่นำมาแสดงเป็นการมองขันธ์ 5 นี้ในแง่ของความเป็นธาตุ 4 ซึ่งเป็นปรมัตถรูป ถ้าไม่รู้ หมายถึงอวิชชา ก็จะเห็นก้อนธาตุ 4 นี้เป็นกายใจ คน สัตว์ เป็นอัตตาตัวตน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

ถ้ารู้ หมายถึงวิชชา ก็จะเห็นเป็นเพียงก้อนธาตุหรือมหาภูตรูป 4 หรือเป็นเพียงปรมัตถรูป ในที่สุดจะเห็นปรมัตถรูปนี้ปรวนแปรไปตามกฏของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัดเจนชัดเจนมากทางไหนก็ออกสู่ประตูนิพพานทางนั้น

ไม่รู้เป็นอัตตา รู้ เป็นอนัตตา
onion


ตลกดี! เถียงดะอุตสาห์บอกสิ่งที่ถูกให้ฟัง ก็ยังข้างๆคูๆบอกมองขันธ์ห้าด้วยความเป็นธาตุสี่ :b32:

มองขันธ์ห้ามันก็เป็นขันธ์ห้า มันจะเป็นธาตุสี่ไปได้อย่างไร ขันธ์ห้ามันเกิดจากกิเลส
การจะเห็นความเป็นธาตุสี่ได้ ต้องทำให้กิเลสที่ทำให้เกิดรูปขันธ์หมดไปซะก่อน จึงจะเห็นธาตุสี่ได้ :b32:

อโสกะนี่สุดติ่งกระดิ่งแห้ว แสดงธรรมอะไรใหม่ให้ฟัง ก็เอาไปผูกโยงกับความฟุ้งของตนซะเละ :b32:


ไอ้โฮ่นี่ก็ไม่เรื่องก็ยังตระบี้ตระบันสอนเข้าไปได้
ทำให้คนที่เขาไม่รู้เรื่องอยู่แล้วโง่เข้าไปอีก ชี้ทางเเสงสว่างให้เขาซิมันถึงจะถูก
ตัวเองโง่อยู้แล้วก็จะชักชวนให้คนอื่นโง่ตามอีก ไม่ผิดอะไรกับนิทานอีสปเรื่องหมาหางด้วน

ทำไมธาตุ ๔ จะเป็นขันธ์ไม่ได้ ธาตุ ๔ มันก็ได้รูปขันธ์ใช่ไหมไอ้ควาย
ขันธ์ ๕ ที่ไหนเกิดจากกิเลส ไม่รู้เรื่องยังสะเออะสอน พระอรหันต์ที่ดำรงค์ชีวิตอยู่ก็ยังมีขันธ์ ๕ อยู่
เมื่อขันธ์ ๕ ยังอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเรียกว่าธาตุ ๔ ก็ยังอยู่ใช่ไหมไอ้โฮ่

ดันเป็นสุดติ่งกระดี่งควาย นึกว่าตัวเองเลิศเรอภูมิธรรมสูงเสียเต็มประดาเลยนะไอ้โฮ่
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2016, 19:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ไม่มีตรงไหนมั่วแต่โฮฮับมามั่วคิดเอาเอง
คุณธรรมาก็คัดตำรามาแปะเสียหลายมุมเกินประเด็น

จากภาพที่นำมาแสดงเป็นการมองขันธ์ 5 นี้ในแง่ของความเป็นธาตุ 4 ซึ่งเป็นปรมัตถรูป ถ้าไม่รู้ หมายถึงอวิชชา ก็จะเห็นก้อนธาตุ 4 นี้เป็นกายใจ คน สัตว์ เป็นอัตตาตัวตน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

ถ้ารู้ หมายถึงวิชชา ก็จะเห็นเป็นเพียงก้อนธาตุหรือมหาภูตรูป 4 หรือเป็นเพียงปรมัตถรูป ในที่สุดจะเห็นปรมัตถรูปนี้ปรวนแปรไปตามกฏของไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัดเจนชัดเจนมากทางไหนก็ออกสู่ประตูนิพพานทางนั้น

ไม่รู้เป็นอัตตา รู้ เป็นอนัตตา
onion


ตลกดี! เถียงดะอุตสาห์บอกสิ่งที่ถูกให้ฟัง ก็ยังข้างๆคูๆบอกมองขันธ์ห้าด้วยความเป็นธาตุสี่ :b32:

มองขันธ์ห้ามันก็เป็นขันธ์ห้า มันจะเป็นธาตุสี่ไปได้อย่างไร ขันธ์ห้ามันเกิดจากกิเลส
การจะเห็นความเป็นธาตุสี่ได้ ต้องทำให้กิเลสที่ทำให้เกิดรูปขันธ์หมดไปซะก่อน จึงจะเห็นธาตุสี่ได้ :b32:

อโสกะนี่สุดติ่งกระดิ่งแห้ว แสดงธรรมอะไรใหม่ให้ฟัง ก็เอาไปผูกโยงกับความฟุ้งของตนซะเละ :b32:


ไอ้โฮ่นี่ก็ไม่เรื่องก็ยังตระบี้ตระบันสอนเข้าไปได้
ทำให้คนที่เขาไม่รู้เรื่องอยู่แล้วโง่เข้าไปอีก ชี้ทางเเสงสว่างให้เขาซิมันถึงจะถูก
ตัวเองโง่อยู้แล้วก็จะชักชวนให้คนอื่นโง่ตามอีก ไม่ผิดอะไรกับนิทานอีสปเรื่องหมาหางด้วน

ทำไมธาตุ ๔ จะเป็นขันธ์ไม่ได้ ธาตุ ๔ มันก็ได้รูปขันธ์ใช่ไหมไอ้ควาย
ขันธ์ ๕ ที่ไหนเกิดจากกิเลส ไม่รู้เรื่องยังสะเออะสอน พระอรหันต์ที่ดำรงค์ชีวิตอยู่ก็ยังมีขันธ์ ๕ อยู่
เมื่อขันธ์ ๕ ยังอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเรียกว่าธาตุ ๔ ก็ยังอยู่ใช่ไหมไอ้โฮ่

ดันเป็นสุดติ่งกระดี่งควาย นึกว่าตัวเองเลิศเรอภูมิธรรมสูงเสียเต็มประดาเลยนะไอ้โฮ่


:b32: :b32: :b32:
ลืมกินยารึงัย?...แต๋วแตกไวจัง..

:b22: :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2016, 20:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
สถานะการณ์ที่กำลังเกิดในกระทู้นี้ตอนนี้ก็ชวนให้เกิดนิพพิทาญาณเช่นกัน
เพราะมันวกวนกันอยู่ตรงเนี้ยะ

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2016, 17:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
โฮฮับ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาศึกษาและเรียนรู้กันง่ายๆจากบทสวดติลักขณคาถานี้ ไม่ต้องไปลึกลับซับซ้อนอะไรถึงเรื่องขันธ์ 5 หรือพิลึกกึกกืออะไรที่โฮฮับไปอ้างอิงมานะครับ


ลักขณาทิคาถา
(หันทะ มะยัง ติลักขะณาคาถาโย ภะณามะ เส)
เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงพระไตรลักษณ์เป็นเบื้องต้นเถิด

สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคล เห็นด้วยปัญญาว่า, สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด
อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย, ผู้ที่ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อยนัก
อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ
หมู่มนุษย์นอกนั้นย่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งในนี่เอง
เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน
ก็ชนเหล่าใดประพฤติสมควรแก่ธรรมในธรรมที่ตรัสรู้ไว้ชอบแล้ว
เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง
ชนเหล่าใดจักถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน, ข้ามพ้นบ่วงแห่งมัจจุราชที่ข้ามได้ยากนัก
กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต
จงเป็นบัณฑิตละธรรมดำเสีย, แล้วเจริญธรรมขาว
โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง,
ตัต๎ราภิระติมิจเฉยยะ หิต๎วา กาเม อะกิญจะโน
จงมาถึงที่ไม่มีน้ำ, จากที่มีน้ำ, จงละกามเสีย, เป็นผู้ไม่มีความกังวล,
จงยินดีเฉพาะต่อพระนิพพาน, อันเป็นที่สงัดซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2016, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
โฮฮับ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาศึกษาและเรียนรู้กันง่ายๆจากบทสวดติลักขณคาถานี้ ไม่ต้องไปลึกลับซับซ้อนอะไรถึงเรื่องขันธ์ 5 หรือพิลึกกึกกืออะไรที่โฮฮับไปอ้างอิงมานะครับ


อโสกะเป็นนกแก้วนกขุนทองหรือเปล่าละ ไอ้ที่พูดน่ะมันเป็นการแสดงออกของนกแก้วนกขุนทอง

ตลกดี! อ้างเรื่อยเปื่อยก๊อปปี้มาทั้งดุ้น ไม่รู้จักอธิบายความ :b32:

แล้วจะบอกให้ว่า กฎไตรลักษณ์เขาต้องศึกษาจาก หลักของธรรมฐิติ ธรรมนิยาม งงละซิ!!! :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2016, 00:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
onion
โฮฮับ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาศึกษาและเรียนรู้กันง่ายๆจากบทสวดติลักขณคาถานี้ ไม่ต้องไปลึกลับซับซ้อนอะไรถึงเรื่องขันธ์ 5 หรือพิลึกกึกกืออะไรที่โฮฮับไปอ้างอิงมานะครับ


อโสกะเป็นนกแก้วนกขุนทองหรือเปล่าละ ไอ้ที่พูดน่ะมันเป็นการแสดงออกของนกแก้วนกขุนทอง

ตลกดี! อ้างเรื่อยเปื่อยก๊อปปี้มาทั้งดุ้น ไม่รู้จักอธิบายความ :b32:

แล้วจะบอกให้ว่า กฎไตรลักษณ์เขาต้องศึกษาจาก หลักของธรรมฐิติ ธรรมนิยาม งงละซิ!!! :b32:

grin
ติลักขณะคาถานี่ละหรือที่โฮฮับว่าเป็นนกแก้วนกขุนทอง ถือว่าประมาทธรรมเชียวนะ

เรื่องง่ายๆพื้นๆบอกความหมายชัดเจนขนาดนี้ แค่นี้ยังไม่เข้าใจยังจะไปเอาศัพท์แสงเรื่อง ธรรมฐิติ ธรรมนิยามอะไรมาพูดอวดภูมิอีก ช่างน่าเวทนาจริงๆนะโฮฮับ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2016, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
onion
โฮฮับ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาศึกษาและเรียนรู้กันง่ายๆจากบทสวดติลักขณคาถานี้ ไม่ต้องไปลึกลับซับซ้อนอะไรถึงเรื่องขันธ์ 5 หรือพิลึกกึกกืออะไรที่โฮฮับไปอ้างอิงมานะครับ


อโสกะเป็นนกแก้วนกขุนทองหรือเปล่าละ ไอ้ที่พูดน่ะมันเป็นการแสดงออกของนกแก้วนกขุนทอง

ตลกดี! อ้างเรื่อยเปื่อยก๊อปปี้มาทั้งดุ้น ไม่รู้จักอธิบายความ :b32:

แล้วจะบอกให้ว่า กฎไตรลักษณ์เขาต้องศึกษาจาก หลักของธรรมฐิติ ธรรมนิยาม งงละซิ!!! :b32:

grin
ติลักขณะคาถานี่ละหรือที่โฮฮับว่าเป็นนกแก้วนกขุนทอง ถือว่าประมาทธรรมเชียวนะ


ธรรมไม่ได้เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่คนที่เอาธรรมมาโพสนั้นแหล่ะเป็นนกแก้วนกขุนทอง
เอาธรรมมาโพสแบบไม่เข้าใจความหมายของธรรม เห็นแค่ว่า มีตัวอักษรเหมือนกันก็เอามาโพสดะ
หารู้ไม่ว่า....มันเป็นคนละเรื่องคนละประเด็น :b32:

asoka เขียน:
เรื่องง่ายๆพื้นๆบอกความหมายชัดเจนขนาดนี้ แค่นี้ยังไม่เข้าใจยังจะไปเอาศัพท์แสงเรื่อง ธรรมฐิติ ธรรมนิยามอะไรมาพูดอวดภูมิอีก ช่างน่าเวทนาจริงๆนะโฮฮับ


เข้าใจไงถึงได้บอกว่า อโสกะเป็นนกแก้ว โพสธรรมมั่ว
แล้วเราก็พยายามชี้แนะธรรมที่ถูกต้องให้ก็ยังทำตัวเป็นโมฆะบุรุษดื่อรั้นดันทุรัง :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร