วันเวลาปัจจุบัน 09 ส.ค. 2025, 09:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 29 มิ.ย. 2016, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

ธรรมะไม่ทุกข์ แต่ทุกข์เพราะไม่รู้ทุกข์ เพราะไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ



ไม่ทุกข์ก็ไม่ทุกข์เอา ว่าอะไรว่าตามกัน ถึงจะร่วมกันได้ คิกๆๆ


แต่ก็อดถามมิได้ว่า นี่มันอะไร

อ้างคำพูด:
ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทาง... คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

:b32:
รู้ตามปกติทุกอิริยาบท
ให้เปลี่ยนมาฟังธรรมไง
จะชวนทำเรื่องยากให้ง่าย
แสดงว่าเธอไม่เข้าใจคำสอนเลยค่ะ
พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง
พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้เข้าใจไม่ได้บอกให้ทำอย่างอื่น
ธัมมะมีแล้วทุกขณะในชีวิตประจำวันข้าพเจ้าก็จะบอกให้รักษาอาการเจ็บป่วยให้หาย
https://m.youtube.com/watch?v=k000zQH7ga8
:b4: :b4:



ถ้ายังจำได้กรัชกายเคยพูดประชด คุณโรสทำนองว่าฝนตกไม่เปียก แดดออกไม่ร้อน ฟ้าร้องไม่รู้ :b32: ฟ้าผ่าไม่ได้ยิน คือ ท่องแต่ธัมมะๆ มะ มะ มะ มะ มะ มะ (เสียงแอ๊คโค้)

เออ ก็เขาฝึกธัมมะ (สมาธิ) จนมีอาการยังงั้นๆ ยังจะว่า "ข้าพเจ้าจะบอกให้รักษารอาการเจ็บป่วยให้หาย"

ฮงกับชีวิตจริงๆ :b32:

Kiss
แล้วคุณกรัชกายคิดว่าตนเองคิดถูกหรือคะที่คิดว่าข้าพเจ้าท่องจำเอาน่ะ
สติสัมปชัญญะระลึกรู้สภาพธัมมะตรงปัจจุบันขณะทีละ1ที่สะสมของข้าพเจ้า
ตอนนี้เลยคุณกรัชกายเดาสิว่า1ขณะจิตที่สติข้าพเจ้าเกิดระลึกทางไหนใน6ทาง
รู้แต่ละ1ของแต่ละขณะตรงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าที่ตนกำลังเห็นน๊า
:b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 29 มิ.ย. 2016, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

ธรรมะไม่ทุกข์ แต่ทุกข์เพราะไม่รู้ทุกข์ เพราะไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ



ไม่ทุกข์ก็ไม่ทุกข์เอา ว่าอะไรว่าตามกัน ถึงจะร่วมกันได้ คิกๆๆ


แต่ก็อดถามมิได้ว่า นี่มันอะไร

อ้างคำพูด:
ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทาง... คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

:b32:
รู้ตามปกติทุกอิริยาบท
ให้เปลี่ยนมาฟังธรรมไง
จะชวนทำเรื่องยากให้ง่าย
แสดงว่าเธอไม่เข้าใจคำสอนเลยค่ะ
พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง
พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้เข้าใจไม่ได้บอกให้ทำอย่างอื่น
ธัมมะมีแล้วทุกขณะในชีวิตประจำวันข้าพเจ้าก็จะบอกให้รักษาอาการเจ็บป่วยให้หาย
https://m.youtube.com/watch?v=k000zQH7ga8
:b4: :b4:



ถ้ายังจำได้กรัชกายเคยพูดประชด คุณโรสทำนองว่าฝนตกไม่เปียก แดดออกไม่ร้อน ฟ้าร้องไม่รู้ :b32: ฟ้าผ่าไม่ได้ยิน คือ ท่องแต่ธัมมะๆ มะ มะ มะ มะ มะ มะ (เสียงแอ๊คโค้)

เออ ก็เขาฝึกธัมมะ (สมาธิ) จนมีอาการยังงั้นๆ ยังจะว่า "ข้าพเจ้าจะบอกให้รักษารอาการเจ็บป่วยให้หาย"

ฮงกับชีวิตจริงๆ :b32:

Kiss
แล้วคุณกรัชกายคิดว่าตนเองคิดถูกหรือคะที่คิดว่าข้าพเจ้าท่องจำเอาน่ะ
สติสัมปชัญญะระลึกรู้สภาพธัมมะตรงปัจจุบันขณะทีละ1ที่สะสมของข้าพเจ้า
ตอนนี้เลยคุณกรัชกายเดาสิว่า1ขณะจิตที่สติข้าพเจ้าเกิดระลึกทางไหนใน6ทาง
รู้แต่ละ1ของแต่ละขณะตรงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าที่ตนกำลังเห็นน๊า


คุณโรสเก่งยารีส :b1:

สรุปยังงี้แล้วกัน คุณโรสรู้ 1 ขณะ แค่กระพริบตา จิตเกิด ดับแล้วแสนโกฎิขณะ จบกิจ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย จะไม่ขอกลับมาเกิดอีกแล้ว เบือแมว คิกๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 29 มิ.ย. 2016, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

ธรรมะไม่ทุกข์ แต่ทุกข์เพราะไม่รู้ทุกข์ เพราะไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ



ไม่ทุกข์ก็ไม่ทุกข์เอา ว่าอะไรว่าตามกัน ถึงจะร่วมกันได้ คิกๆๆ


แต่ก็อดถามมิได้ว่า นี่มันอะไร

อ้างคำพูด:
ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทาง... คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

:b32:
รู้ตามปกติทุกอิริยาบท
ให้เปลี่ยนมาฟังธรรมไง
จะชวนทำเรื่องยากให้ง่าย
แสดงว่าเธอไม่เข้าใจคำสอนเลยค่ะ
พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง
พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้เข้าใจไม่ได้บอกให้ทำอย่างอื่น
ธัมมะมีแล้วทุกขณะในชีวิตประจำวันข้าพเจ้าก็จะบอกให้รักษาอาการเจ็บป่วยให้หาย
https://m.youtube.com/watch?v=k000zQH7ga8
:b4: :b4:



ถ้ายังจำได้กรัชกายเคยพูดประชด คุณโรสทำนองว่าฝนตกไม่เปียก แดดออกไม่ร้อน ฟ้าร้องไม่รู้ :b32: ฟ้าผ่าไม่ได้ยิน คือ ท่องแต่ธัมมะๆ มะ มะ มะ มะ มะ มะ (เสียงแอ๊คโค้)

เออ ก็เขาฝึกธัมมะ (สมาธิ) จนมีอาการยังงั้นๆ ยังจะว่า "ข้าพเจ้าจะบอกให้รักษารอาการเจ็บป่วยให้หาย"

ฮงกับชีวิตจริงๆ :b32:

Kiss
แล้วคุณกรัชกายคิดว่าตนเองคิดถูกหรือคะที่คิดว่าข้าพเจ้าท่องจำเอาน่ะ
สติสัมปชัญญะระลึกรู้สภาพธัมมะตรงปัจจุบันขณะทีละ1ที่สะสมของข้าพเจ้า
ตอนนี้เลยคุณกรัชกายเดาสิว่า1ขณะจิตที่สติข้าพเจ้าเกิดระลึกทางไหนใน6ทาง
รู้แต่ละ1ของแต่ละขณะตรงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าที่ตนกำลังเห็นน๊า


คุณโรสเก่งยารีส :b1:

สรุปยังงี้แล้วกัน คุณโรสรู้ 1 ขณะ แค่กระพริบตา จิตเกิด ดับแล้วแสนโกฎิขณะ จบกิจ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย จะไม่ขอกลับมาเกิดอีกแล้ว เบือแมว คิกๆๆ :b32:

Kiss
:b12:
วิปัสสนาญาณถึงเฉพาะความจริงที่สติกำลังรู้ว่ามีให้จิตรู้ปัจจุบันขณะตรงธัมมะคือรู้ตรงธัมมะจึงละตัวตน
ถ้าสติไม่ระลึก ไม่รู้ ไม่ละน๊า ต้องฟังให้เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสความจริงของสิ่งที่มี แต่ปัญญาไม่พอ
ต้องฟังอีกไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ทางสายกลางมีเส้นเดียวคือสะสมปัญญาเจตสิกทีละ1ขณะที่เข้าใจค่ะ
จำได้ทั้งหมดในพระไตรปิฏกแต่ไม่รู้กิเลสที่จิตตนสะสมแต่ละ1ขณะไม่มีทางละชั่วได้เพราะชั่วแล้วก็ไม่รู้
ทุกคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไม่มีตัวตนมีแต่ธัมมะเกิดดับสืบต่อแต่ละ1ทีละ1ขณะของแต่ละคนไม่ซ้ำ
หลากหลายมากและไม่มีขณะไหนย้อนกลับมาปรากฏได้อีกเป็นการสะสมขณะใหม่ทั้งหมดต้องรู้เดี๋ยวนี้
ว่าเป็นธัมมะมีการเกิดดับเป็นธรรมดาแต่ไม่เคยคิดเองได้ สาวกคือฟังแล้วรู้ตามเป็นจริงที่กำลังมีทุกขณะ
กว่ากุศลจะเพิ่มมากขึ้นไปเจริญขึ้นไปจนบรรลุอริยสัจจธรรมเป็นอริยบุคคลตามลำดับขั้นจึงจะดับกิเลสได้
เพิ่มกุศลคือรู้ในสิ่งที่จิตตนกำลังมีก่อน จึงจะสามารถดับทั้งกุศลและอกุศลถึงความเป็นพระอรหันต์ได้น๊า
:b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.ค. 2016, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังคายนา “การสวดพร้อมกัน” การร้อยกรองพระธรรมวินัย, การประชุมรวบรวมและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยพร้อมใจกันทบทวนสอบทานจนยอมรับ และวางลงเป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียว

“สังคายนา” คือ การสวดพร้อมกัน เป็นกิริยาแห่งการมาร่วมกันซักซ้อมสอบทานให้ลงกันแล้วสวดพร้อมกัน คือ ตกลงยอมรับไว้ด้วยกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว ตามหลักปาสาทิกสูตร (ที.ปา.11/108/139) ที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำแก่ท่านพระจุนทะ กล่าวคือ ท่านพระจุนทะปรารภเรื่องที่นิครนถนาฏบุตรสิ้นชีพแล้ว ประดานิครนถ์ตกลงในเรื่องหลักคำสอนกันไม่ได้ ก็ทะเลาะวิวาทกัน ท่านคำนึงถึงพระศาสนา จึงมาเฝ้า และ

พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “เพราะเหตุดังนี้แล จุนทะ ในธรรมทั้งหลายที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญอันยิ่ง เธอทั้งหมดทีเดียว พึงพร้อมเพรียงกันประชุมรวบรวมกล่าวให้ลงกัน (สังคายนา) ทั้งอรรถะกับอรรถะ ทั้งพยัญชนะกับพยัญชนะ ไม่พึงวิวาทกัน โดยประการที่พรหมจริยะนี้จะยั่งยืน ดำรงอยู่ตลอดกาลนาน เพื่อเกื้อกูลแก่พหุชน เพื่อความสุขแก่พหุชน เพื่อเกื้อการุณย์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวะ และมนุษย์ทั้งหลาย” และ

ในที่นั้น ได้ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายที่ทรงแสงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง หมายถึงธรรม ๗ หมวด (ที่มีชื่อรวมว่าโพธิปักขิยธรรม ๓๗) ในเวลาใกล้กันนั้น

เมื่อพระสารีบุตรได้รับพุทธดำรัสมอบหมายให้แสดงธรรมแก่ภิกษุสงฆ์ในที่เฉพาะพระพักตร์ ท่านก็ปรารภเรื่องที่นิครนถนาฏบุตรสิ้นชีพแล้ว ประดานิครนถ์ตกลงในเรื่องหลักคำสอน แล้วท่านแนะนำให้สังคายนา พร้อมทั้งทำเป็นตัวอย่าง โดยประมวลธรรมมาลับแสดงเป็นหมวดหมู่ ตั้งแต่หมวด ๑ ถึงหมวด ๑๐ เทศนาของพระสารีบุตรครั้งนี้ได้ชื่อว่า “สังคีติสูตร” (ที.ปา.11/221/222) เป็นพระสูตรว่าด้วยการสังคายนาที่ทำตั้งแต่พระบรมศาสดายังทรงพระชนม์อยู่

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปะ ผู้เป็นสังฆเถระ ก็ได้ชักชวนพระอรหันต์ทั้งหลายประชุมกันทำสังคายนาตามหลักการที่กล่าวมานั้น โดยประมวลพระธรรมวินัยทั้งหมดเท่าที่รวบรวมได้วางลงไว้เป็นแบบแผน ตั้งแต่หลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน เรียกว่า เป็นสังคายนาครั้งที่ ๑

ความหมายที่เป็นแกนสังคายนา คือ การรวบรวมพุทธพจน์ หรือคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ดังนั้น สังคายนาที่เต็มด้วยความหมายแท้จริง จึงมีได้ต่อเมื่อมีพุทธพจน์ที่จะพึงรวบรวม อันได้แก่สังคายนาเท่าที่กล่าวมาข้างต้น

ส่วนการสังคายนาหลังจากนั้น ซึ่งจัดขึ้นหลังพุทธปรินิพพานอย่างน้อย ๑ ศตวรรษ ชัดเจนว่าไม่อยู่ในวิสัยแห่งการรวบรวมพุทธพจน์ แต่เปลี่ยนจุดเน้นมาอยู่ที่การรักษาพุทธพจน์ และคำสั่งสอนเมที่ได้รวบรวมไว้แล้ว อันสืบทอดมาถึงตน ให้คงอยู่บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนั้น



สังคายนาในยุคหลังสืบมาถึงปัจจุบัน จึงมีความหมายว่าเป็นการประชุมตรวจชำระสอบทาน รักษาพระไตรปิฎกให้บริสุทธิ์ หมดจดจากความผิดพลาดคลาดเคลื่อน โดยกำจัดสิ่งปะปนแปลกปลอมหรือทำให้เจ้าใจสับสนออกไป ให้ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าคงอยู่เป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวที่เป็นของแท้แต่เดิม

ในบางยุคสมัย การสังคายนาเกิดขึ้นเนื่องกันกับเหตุการณ์ไม่ปกติที่มีการถือผิด ปฏิบัติผิด จากพระธรรมวินัย ทำให้การสังคายนาเสมือนมีความหมายซ้อนเพิ่มขึ้นว่าเป็นการซักซ้อมทบทวนสอบทานพระธรรมวินัยเพื่อจะได้เป็นหลักหรือเป็นมาตรฐานในการชำระสังฆมณฑลและสะสางกิจการพระศาสนา จากความหมายที่คลุมเครือสับสนนี้

ในภาษาไทยปัจจุบัน สังคายนาถึงกับเพี้ยนความหมายไป กลายเป็นการชำระสะสางบุคคลหรือกิจการ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.ค. 2016, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังคายนาในยุคต้น ซึ่งถือเป็นสำคัญในการรักษาสืบทอดพระธรรมวินัย คือ ครั้งที่ ๑ ถึง ๕ ดังนี้



ครั้งที่ ๑ปรารภเรื่องสุภัททภิกษุผู้บวชเมื่อแก่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย และปรารภที่จะทำให้ธรรมรุ่งเรื่องอยู่สืบไป พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน และเป็นผู้ถาม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระธรรม ประชุมสังคายนาที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภารบรรพต เมืองราชคฤห์ เมื่อหลังจากพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน โดยพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๗ เดือนจึงเสร็จ


ครั้งที่ ๒ ปรารภพวกภิกษุวัชชีบุตร แสดงวัตถุ ๑๐ ประการ นอกธรรม นอกวินัย พระยศกากัณฑกบุตรเป็นผู้ชักชวน ได้พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป พระเรวตะ เป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา ประชุมทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี เมื่อ พ.ศ. ๑๐๐ โดยพระเจ้ากาลาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๘ เดือนจึงเสร็จ


ครั้งที่ ๓ ปรารภเดียรถีย์มากมายปลอมบวช ในพระศาสนาเพราะมีลาภสักการะเกิดขึ้นมาก พระอรหันต์ ๑,๐๐๐ รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน ประชุมทำที่อโศการามเมืองปาฏลีบุตร เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ (พ.ศ. ๒๑๘ เป็นปีที่พระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์) โดยพระเจ้าอโศก หรือศีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๙ เดือนจึงเสร็จ


ครั้งที่ ๔ ปรารภให้พระศาสนาประดิษฐานมั่นคงในลังกาทวีป พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธาน และเป็นผู้ถาม พระอริฏฐะเป็นผู้วิสัชนา ประชุมทำที่ถูปาราม เมืองอนุราชบุรี เมื่อ พ.ศ.๒๓๖ โดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๑๐ เดือนจึงเสร็จ


ครั้งที่ ๕ ปรารภพระสงฆ์แตกกัน เป็น ๒ พวก คือ พวกมหาวิหาร กับ พวกอภัยคีรีวิหาร และ คำนึงว่าสืบไปภายหน้า กุลบุตรจะถอยปัญญา ควรจารึกพระธรรมวินัยลงในใบลาน พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ประชุมกันสวดซ้อมแล้วจารพุทธพจน์ลงในใบลาน ณ อาโลกเสณสถาน ในมลยชนบท ในลังกาทวีป เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ (ว่า ๔๓๖ ก็มี) โดยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย เป็นศาสนูปถัมภก์


บางคัมภีร์ว่า สังคายนาครั้งนี้จัดขึ้นในความคุ้มครองของคนที่เป็นใหญ่ในท้องถิ่น (ครั้งที่ ๔ ได้รับความยอมรับในแง่เหตุการณ์น้อยกว่าครั้งที่ ๕)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 11 ก.ค. 2016, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมังคี ผู้พรั่งพร้อม, ผู้พร้อม, (ด้วย...) ผู้ประกอบ (ด้วย....) มักใช้เป็นบทท้ายในคำสมาส เช่น กุศลสมังคี (ผู้ประกอบด้วยกุศล) โทสสมังคี (ผู้ประกอบด้วยโทสะ) มรรคสมังคี (ผู้ประกอบด้วยมรรค คือ ตั้งอยู่ในมรรค เช่น ในโสดาปัตติมรรค) ผลสมังคี (ผู้ประกอบด้วยด้วยผล คือ ได้บรรลุผล เช่น ถึงโสดาปัตติผล เป็นโสดาบัน เป็นต้น)


สมานฉันท์ มีฉันทะเสมอกัน, มีคามพอใจร่วมกัน, พร้อมใจกัน, มีความต้องการที่จะทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตรงกันหรือเสมอเหมือนกัน ในทางที่ร้ายหรือดีก็ได้, ในทางร้าย เช่น หญิงและชายที่มีสมานฉันท์ในการประกอบกาเมสุมิจฉาจาร (เป็นตัวอย่างที่ท่านใช้ในการอธิบายบ่อยที่สุด) และหมู่คนร้ายที่มีสมานฉันท์ในการทำโจรกรรม

ส่วนในทางดี เช่น หมู่คนดีสมานฉันท์ที่จะไปทำบุญร่วมกัน เช่น ไปปรับถนนหนทาง สร้างสะพาน ขุดสระ ปลูกสวน สร้างศาลาพักร้อน ให้ทาน รักษาศีล (ชา. อ.1/294 เป็นตัวอย่าง) เด็กกลุ่มหนึ่ง มีสมานฉันท์ที่จะบรรพชา ภิกษุหลายรูป มีสมานฉันท์ที่จะถือปฏิบัติธุดงค์ข้อนั้นข้อนี้, คนผู้มีสมานฉันท์ในทางร้ายนั้น ไม่ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณา เพียงชอบใจอยากทำก็ประกอบกรรมไปตามอำนาจของราคะ หรือโลภะ โทสะ และโมหะ

ส่วนคนที่จะมีสมานฉันท์ในทางดี เบื้องแรกมองเห็นด้วยปัญญาแล้วว่ากรรมดีงามเป็นประโยชน์มีเหตุผลควรทำ จึงเกิดฉันทะคือความพอใจใฝ่ปรารถนาที่จะทำ โดยเข้าใจตรงกัน และ พอใจเหมือนกัน ร่วมด้วยกัน

สมานัตตตา “ความเป็นผู้มีตนเสมอ” หมายถึง การทำตัวให้เข้ากันได้ ด้วยการร่วมสุขร่วมทุกข์ ไม่ถือตัว มีความเสมอภาค และวางตัวเหมาะสม (ข้อ๔ ในสังคหวัตถุ ๔)

สมุฏฐาน ที่เกิด, ที่ตั้ง, เหตุ


สโตการี “ผู้มีปกติกระทำสติ” คือ เป็นผู้มีสติ เป็นผู้ทำการอันพึงทำด้วยสติ หรือเป็นผู้ทำการด้วยสติที่มาพร้อมด้วยสัมปชัญญะทั้ง ๔

สติวินัย ระเบียบยกเอาสติขึ้นเป็นหลัก ได้แก่ กิริยาที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่พระอรหันต์ ว่าเป็นผู้มีสติเต็มที่ เพื่อระงับอนุวาทาธิกรณ์ ที่มีผู้โจทก์ท่านด้วยศีลวิบัติ หมายความว่าจำเลยเป็นพระอรหันต์ สงฆ์เห็นว่าไม่เป็นฐานะที่จำเลยจะทำการล่วงละเมิดดังโจทก์กล่าวหา จึงสวดกรรมวาจาประกาศความข้อนี้ไว้ เรียกว่าให้สติวินัย แล้วยกฟ้องของโจทก์เสีย ภายหลังจำเลยจะถูกผู้อื่นโจทก์ด้วยอาบัติอย่างนั้นอีก ก็ไม่ต้องพิจารณา ให้อธิกรณ์ระงับด้วยสติวินัย

สติสังวร สังวรด้วยสติ (ข้อ ๒ ในสังวร ๕)


สติสมฺโมสา อาการที่จะต้องอาบัติด้วยลืมสติ


สมาบัติ ภาวะสงบประณีต ซึ่งพึงเข้าถึง, สมาบัติมีหลายอย่าง เช่น ฌานสมาบัติ ผลสมาบัติ อนุปุพพวิหารสมาบัติ เป็นต้น สมาบัติที่กล่าวถึงบ่อยคือ ฌานสมาบัติ กล่าวคือ สมาบัติ ๘ อันได้แก่ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔ ถ้าเพิ่มนิโรธสมาบัติ ต่อท้ายสมาบัติ ๘ นี้ รวมเรียกว่า อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 ส.ค. 2016, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิกขาบท ข้อที่ต้องศึกษา, ข้อศีล, ข้อวินัย,บทบัญญัติข้อหนึ่งๆ ในพระวินัยที่ภิกษุพึงศึกษาปฏิบัติ, ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๓๑๑ แต่ละข้อๆ เรียกว่า สิกขาบท เพราะเป็นข้อที่จะต้องศึกษา หรือเป็นบทฝึกฝนอบรมตนของสาธุชน อุบาสก อุบาสิกา สามเณร สามเณรี ภิกษุ ภิกษุณี ตามลำดับ


สิกขาสมมติ ความตกลงยินยอมของภิกษุณีสงฆ์ที่จะให้สามเณรีผู้มีอายุ ๑๘ ปีเต็มแล้ว เริ่มรักษาสิกขาบท ๖ ประการ ตลอดเวลา ๒ ปี ก่อนที่จะได้อุปสมบท, เมื่อภิกษุณีสงฆ์สิกขาสมมติแล้ว สามเณรีนั้น ได้ชื่อว่า เป็นสิกขมานา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 ส.ค. 2016, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมานฉันท์ มีฉันทะเสมอกัน, มีความพอใจร่วมกัน, พร้อมใจกัน, มีความต้องการที่จะทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตรงกันหรือเสมอเหมือนกัน ในทางที่ร้าย หรือดี ก็ได้,

ในทางร้าย เช่น หญิงและชายที่มีสมานฉันท์ในการประกอบกาเมสุมิจฉาจาร (เป็นตัวอย่างที่ท่านใช้ในการอธิบายบ่อยที่สุด) และหมู่คนร้ายที่มีสมานฉันท์ในการทำโจรกรรม


ส่วนในทางดี เช่น หมู่คนดีสมานฉันท์ที่จะไปทำบุญร่วมกัน เช่น ไปปรับถนนหนทาง สร้างสะพาน ขุดสระ ปลูกสวน สร้างศาลาพักร้อน ให้ทาน รักษาศีล (ชา. อ.1/294 เป็นตัวอย่าง) เด็กกลุ่มหนึ่ง มีสมานฉันท์ที่จะบรรพชา ภิกษุหลายรูป มีสมานฉันท์ที่จะถือปฏิบัติธุดงค์ข้อนั้นข้อนี้,

คนผู้มีสมานฉันท์ในทางร้ายนั้น ไม่ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณา เพียงชอบใจอยากทำก็ประกอบกรรมไปตามอำนาจของราคะ หรือโลภะ โทสะ และโมหะ


ส่วนคนที่จะมีสมานฉันท์ในทางดี เบื้องแรกมองเห็นด้วยปัญญาแล้วว่ากรรมดีงามเป็นประโยชน์มีเหตุผลควรทำ จึงเกิดฉันทะคือความพอใจใฝ่ปรารถนาที่จะทำ โดยเข้าใจตรงกัน และ พอใจเหมือนกัน ร่วมด้วยกัน


สามัคคี ความพร้อมเพรียง, ความกลมเกลียว, ความมีจุดรวมตัวเข้าด้วยกัน หรือมุ่งไปด้วยกัน
(โดยวิเคราะห์ว่า อคฺเคน สิขเรน สงฺคตํ สมคิคํ สมคฺคภาโว สามคฺคี)

คำเสริมที่มักมาด้วยกันกับสามัคคี คือ สังคหะ (ความยึดเหนี่ยวใจให้รวมกัน)

อวิวาท (ความไม่วิวาทถือต่าง) และ

เอกีภาพ (ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)

เมื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมพรักพร้อมกัน เรียกว่า กายสามัคคี (สามัคคีด้วยกาย)

เมื่อบุคคลเหล่านั้น มีความชื่นชมยินดีเห็นชอบร่วมกัน พอใจรวมเป็นอย่างเดียวกัน แม้มิได้ไปร่วมประชุมทำสังฆกรรม แต่มอบให้ฉันทะ เรียกว่า จิตสามัคคี (สามัคคีด้วยใจ)

ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์ คือ สังฆสามัคคี เป็นหลักการสำคัญยิ่งในพระวินัย ที่จะดำรงพระพุทธศาสนา จึงมีพุทธบัญญัติหลายอย่างเพื่อให้สงฆ์มีวิธีปฏิบัติในการรักษาสังฆสามัคคีนั้น

ส่วนการทำให้สงฆ์แตกแยก ก็คือการทำลายสงฆ์ เรียกว่า สังฆเภท ถือว่าเป็นกรรมชั่วร้ายแรง ถึงขั้นเป็นอนันตริยกรรม

(ถ้ามีการทะเลาะวิวาทบาดหมาง กีดกั้นกัน ไม่เอื้อเฟื้อกัน ไม่ร่วมมือกัน ไม่ปฏิบัติข้อวัตรต่อกัน ยังไม่ถือว่าสงฆ์แตกกัน แต่เป็นความร้าวรานแห่งสงฆ์ เรียกว่า สังฆราชี แต่เมื่อใด ภิกษุทั้งหลายแตกแยกกันถึงขั้นคุมกันเป็นคณะ แยกทำอุโบสถ แยกทำปวารณา แยกทำสังฆกรรม แยกทำกรรมใหญ่น้อยภายในสีมา เมื่อนั้นเป็นสังฆเภท)

หลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงแสดดงไว้เพื่อให้สงฆ์มีสามัคคีเป็นแบบอย่าง ได้แก่ สาราณียธรรม ๖

ส่วนหลักธรรมสำคัญสำหรับเสริมสร้างสามัคคีในสังคมทั่วไป ได้แก่ สังคหวัตถุ ๔


สามัคคีปวารณา กรณีอย่างสามัคคีอุโบสถนั่นเอง เมื่อทำปวารณา เรียกว่า สามัคคีปวารณา และวันที่ทำนั้น ก็เรียก วันสามัคคี


สามัคคีอุโบสถ อุโบสถที่ทำขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เมื่อสงฆ์สองฝ่าย ซึ่งแตกกันกลับมาปรองดองสมานกันเข้าได้ สามัคคีอุโบสถไม่กำหนดด้วยวันที่ตายตัว สงฆ์พร้อมเพรียงกันเมื่อใด ก็ทำเมื่อนั้น เรียกวันนั้นว่า วันสามัคคี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2017, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สงกรานต์ การย้าย คือ ดวงอาทิตย์ย้ายราศี ในที่นี้หมายถึงมหาสงกรานต์คือพระอาทิตย์ย้ายเข้าสู่ราศีเมษ นับเป็นเวลาขึ้นปีใหม่อย่างเก่า จัดเป็นนักขัตฤกษ์ ซึ่งตามสุริยคติตกวันที่ ๑๓, ๑๔, ๑๕ เมษายน ตามปรกติ


สงคราม การรบกัน, เป็นโวหารทางพระวินัย เรียกภิกษุผู้จะเข้าสู่การวินิจฉัยอธิกรณ์ ว่าเข้าสู่สงคราม


สงเคราะห์ 1. การช่วยเหลือ, การเอื้อเฟื้อเกื้อกูล 2. การรวมเข้า,ย่นเข้า, จัดเข้า


สงฆ์ หมู่, ชุมนุม 1. หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า เรียกว่า สาวกสงฆ์ ดังคำสวดในสังฆคุณ ประกอบด้วยคู่บุรุษ ๔ บุรุษบุทคล (รายตัวบุคคล) ๘ เริ่มแต่ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จนถึงพระอรหันต์ ต่างจากภิกขุสงฆ์ คือหมู่แห่งภิกษุหรือชุมนุมภิกษุ
ต่อมา บางทีเรียกอย่างแรกว่า อริยสงฆ์ อย่างหลังว่า สมมติสงฆ์ 2. ชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ ตามกำหนดทางพระวินัย ต่างโดยเป็นสงฆ์จตุรวรรค บ้าง ปัญจวรรค บ้าง ทศวรรค บ้าง วีสติวรรค บ้าง ถ้าเป็นชุมนุมภิกษุ ๒ หรือ ๓ รูป เรียกว่า คณะ ถ้ามีภิกษุรูปเดียว เป็น บุคคล


สงฆ์จตุรวรรค สงฆ์พวก ๔ คือ มีภิกษุ ๔ รูปขึ้นไปจึงจะครบองค์กำหนด, สงฆ์จตุรวรรค ก็เขียน


สงสาร 1. การเวียนว่ายตายเกิด, การเวียนตายเวียนเกิด 2. ในภาษาไทยมักหมายถึงรู้สึกในความเดือดร้อนหรือความทุกข์ของผู้อื่น (= กรุณา)


สงสารทุกข์ ทุกข์ที่ประสบในภาวะแห่งการว่ายวนอยู่ในกระแสแห่ง กิเลส กรรม และวิบาก,(ตามหลักปฏิจจสมุปบาท), ทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2017, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สภา “ที่เป็นที่พูดร่วมกัน” ที่ประชุม, สถาบันหรือองค์การอันประกอบด้วยคณะบุคคลซึ่งทำหน้าที่พิจารณาวินิจฉัย หรืออำนวยกิจการ ด้วยการประชุมปรึกษาหารือออกความคิดเห็นร่วมกัน


สภาพ, สภาวะ ความเป็นเอง, สิ่งที่เป็นเอง, ธรรมดา


สภาวทุกข์ ทุกข์ที่เป็นเองตามคติแห่งธรรมดา ได้แก่ ทุกข์ประจำสังขาร คือ ชาติ ชรา มรณะ


สภาวธรรม หลักแห่งความเป็นเอง, สิ่งทีเป็นเองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย


สมชีวิตา มีความเป็นอยู่พอดี คือเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้ไม่ฝืดเคืองนัก ไม่ฟูมฟายนัก


สมณะ “ผู้สงบ” หมายถึงนักบวชทั่วไป แต่ในพระพุทธศาสนา ท่านใช้ความหมายจำเพาะ หมายถึงผู้ระงับบาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผู้ปฏิบัติเพื่อระงับบาป ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็น

(สมบัติ 2 ความหมาย)

สมบัติ ความถึงพร้อม, ความครบถ้วน, ความสมบูรณ์ 1. สิ่งที่ได้ที่ถึงด้วยดี, เงินทองของมีค่า, สิ่งที่มีอยู่ในสิทธิอำนาจของตน, ความพรั่งพร้อมสมบูรณ์,

สมบัติ ๓ ได้แก่ มนุษยสมบัติ สมบัติในขั้นมนุษย์ สวรรคสมบัติ สมบัติในสวรรค์ (เทวสมบัติหรือทิพยสมบัติก็เรียก) และนิพพานสมบัติ สมบัติคือนิพพาน 2. ความครบถ้วนของสังฆกรรม เช่น อุปสมบท เป็นต้น ที่จะทำให้สังฆกรรมนั้นถูกต้อง ใช้ได้ มีผลสมบูรณ์ มี ๔ คือ

๑. วัตถุสมบัติ วัตถุถึงพร้อม เช่น ผู้อุปสมบทเป็นชายอายุครบ ๒๐ ปี

๒. ปริสสมบัติ บริษัทคือที่ประชุมถึงพร้อม สงฆ์ครบองค์กำหนด

๓. สีมาสมบัติ เขตชุมนุมถึงพร้อม เช่น สีมามีนิมิตถูกต้องตามพระวินัย และประชุมทำให้เขตสีมา

๔. กรรมวาจาสมบัติ กรรมวาจาถึงพร้อม สวดประกาศถูกต้องครบถ้วน

(ข้อ ๔ อาจแยกเป็น ๒ ข้อ คือ เป็น ๔. ญัตติสมบัติ ญัตติถึงพร้อม คือคำเผดียงสงฆ์ถูกต้อง ๕. อนุสาวนาสมบัติ อนุสาวนาถึงพร้อม คือคำหารือตกลงถูกต้อง รวมเป็นสมบัติ ๕)


สมพงศ์ การร่วมวงศ์หรือตระกูลกัน, ร่วมวงศ์กันได้ ลงกันได้


สมภาร เครื่องประกอบ, ความดีหรือความชั่วที่ประกอบหรือสะสมไว้ (เช่น ในคำว่า สมภารกรรม และสมภารธรรม) , สัมภาระ ในภาษาไทย ใช้เป็นคำเรียกพระที่เป็นเจ้าอาวาส

(ผู้ศึกษาธรรมถ้าสังเกตจะเห็นว่า ภาษาธรรม กับ ภาษาไทยมักไปกันคนละทาง คนละความหมาย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2017, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมเพช ในภาษาไทย ใช้ในความหมายว่า สลดใจ ทำให้เกิดความสงสาร แต่ตามหลักภาษาตรงกับ สังเวช


สังเวช ความสลดใจให้ได้คิด, ความรู้สึกเตือนสำนึกหรือทำให้ฉุกคิด, ความรู้สึกกระตุ้นใจให้คิดได้ ให้คิดถึงธรรม ให้ตระหนักถึงความจริงของชีวิต และเร้าเตือนให้ไม่ประมาท

ตามความหมายที่แท้ของศัพท์ สังเวช คือ “สังเวค” แปลว่า แรงเร่ง แรงกระตุ้น หรือพลังที่ปลุกเร้า หมายถึง แรงกระตุ้นเร้าเตือนใจ ให้ได้คิดหรือสำนึกขึ้นมาได้ ให้คิดถึงธรรมหรือตระหนักถึงความจริง ความดีงาม อันทำให้ตื่นหรือถอนตัวขึ้นมาจากความเพลิดเพลิน ความหลงระเริงปล่อยตัวมัวเมา หรือความประมาท แล้วหักหันไปเร่งเพียรทำการที่ตระหนักรู้ว่าจะพึงทำด้วยความไม่ประมาทต่อไป
แต่ในภาษาไทย สังเวช มีความหมายหดแคบลงและเพี้ยนไป กลายเป็นความรู้สึกสลดใจ หรือเศร้าสลด แล้วหงอยหรือหดหู่เสีย ซึ่งกลายเป็นตรงข้าม กับ ความสังเวช ที่แท้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2017, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจกิริยา “การกระทำสัจจะ” การใช้สัจจะเป็นอานุภาพ, การยืนยันเอาสัจจะคือความจริงใจ คำสัตย์หรือภาวะที่เป็นจริงของตนเอง เป็นกำลังอำนาจที่จะคุ้มครองรักษาหรือให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ที่พระองคุลิมาลกล่าว แก่หญิงมีครรภ์แก่ว่า

ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่อาตมาเกิดแล้วในอริยชาติ มิได้รู้สึกเลยว่าจะจงใจปลงสัตว์เสียจากชีวิต ด้วยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด” แล้วหญิงนั้น ได้คลอดบุตรง่ายดายและปลอดภัย (คำบาลีของข้อความนี้ ได้นำมาสวดกันในชื่อว่า อังคุลิมาลปริตร) และ

เรื่องในวัฏฏกชาดกที่ ลูกนกคุ่มอ่อน ถูกไฟป่าล้อมใกล้รังเข้ามา ตัวเองยังบินไม่ได้ พ่อนกแม่นกก็บินหนีไปแล้ว จึงทำสัจกิริยา อ้างวาจาสัตย์ของตนเองเป็นอานุภาพ ทำให้ไฟป่าไม่ลุกลามเข้ามาในที่นั้น (เป็นที่มาของวัฎฎกปริตรที่สวดกันในปัจจุบัน)

ในภาษาบาลี สัจกิริยานี้เป็นคำหลัก บางแห่งใช้สัจจาธิษฐานเป็นคำอธิบายบ้าง

แต่ในภาษาไทยมักใช้คำว่าสัตยาธิษฐาน ซึ่งเป็นรูปสันสกฤตของ สัจจาธิฏฐาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2017, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจะ 1 ความจริง มี ๒ คือ ๑. สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น คน พ่อค้า ปลา แมว โต๊ะ เก้าอี้ ๒. ปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ์ เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 2. ความจริง คือจริงใจ ได้แก่ ซื่อสัตย์ จริงวาจา ได้แก่ พูดจริง และจริงการ ได้แก่ ทำจริง


สัจจญาณ ปรีชากำหนดรู้ความจริง, ความหยั่งรู้สัจจะ คือรู้อริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่างตามภาวะที่เป็นจริง ว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย เป็นต้น


สัจธรรม, สัจจธรรม ธรรมที่จริงแท้, หลักสัจจะ เช่น ในคำว่า “อริยสัจจธรรมทั้งสี่”


สัจจาธิฏฐาน 1. ที่มั่นคือสัจจะ, ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจให้เป็นฐานที่มั่น คือสัจจะ, ผู้มีสัจจะเป็นฐานที่มั่น 2. การตั้งความจริงเป็นหลักอ้าง, ความตั้งใจมั่นแน่วให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งโดยอ้างเอาสัจจะของตนเป็นกำลังอำนาจ ตรงกับคำว่า สัจกิริยา
แต่ในภาษาไทยมักใช้สัตยาธิษฐาน

สัจจานุโลมิกญาณ ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่การกำหนดรู้อริยสัจจ์, ญาณอันคล้อยต่อการตรัสรู้อริยสัจจ์ อนุโลมญาณ ก็เรียก


สัจฉิกรณะ การทำให้แจ้ง, การประสบ, การเข้าถึง, การบรรลุ เช่น ทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน คือ บรรลุนิพพาน



สันตติ การสืบต่อ คือ การเกิดดับต่อเนื่องกันไปโดยอาการที่เป็นปัจจัยส่งผลแก่กัน ในทางรูปธรรม ที่พอมองเห็นอย่างหยาบ เช่น ขนเก่าหลุดร่วงไปขนใหม่เกิดขึ้นแทน ความสืบต่อแห่งรูปธรรม จัดเป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง ในทางนามธรรม จิตก็มีสันตติ คือเกิดดับต่อเป็นปัจจัยสืบเนื่องต่อกันไป

สันติ ความสงบ, ความระงับดับหายหมดไปแห่งความพลุ่งพล่านเร่าร้อนกระวนกระวาย, ภาวะเรียบรื่นไร้ความสับสนวุ่นวาย, ความระงับดับไปแห่งกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว เป็นไวพจน์หนึ่งของ นิพพาน

ไวพจน์ คำที่มีรูปต่างกันแต่มีความหมายคล้ายกัน, คำสำหรับเรียกแทนกัน เช่น คำว่า มทนิมฺมทโน เป็นต้น เป็นไวพจน์ของวิราคะ คำว่าวิมุตติ วิสุทธิ สันติ อสังขตะ วิวัฏฏ์ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของนิพพาน ดังนี้เป็นต้น


อริยชาติ “เกิดเป็นอริยะ” คือ บรรลุมรรคผล กลายเป็นอริยบุคคล เปรียบเหมือนเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นพระอริยะ,
อีกอย่างหนึ่งว่า ชาติอริยะ หรือชาวอริยะ ซึ่งเป็นผู้เจริญ ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึงผู้กำจัดกิเลสได้ ซึ่งชนวรรณะไหน เผ่าไหน ก็อาจเป็นได้ ต่างจากอริยชาติ หรืออริยกชาติที่มีมาแต่เดิม ซึ่งจำกัดด้วยชาติคือกำเนิด

อริยกชาติ หมู่คนที่ได้รับการศึกษาอบรมดี,พวกที่มีความเจริญ, พวกชนชาติอริยกะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2017, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สันติภาพ ภาวะแห่งสันติ, ตามที่ใช้ในปัจจุบัน หมายถึงความสงบภายนอก คือ ภาวะที่สังคมหรือบ้านเมืองสงบ ไม่มีความปั่นป่วนวุ่นวาย, ภาวะที่ระงับหรือไม่มีความขัดแย้ง, ภาวะปราศจากสงครามหรือความมุ่งร้ายเป็นศัตรูกัน


สันติเกนิทาน “เรื่องใกล้ชิด” หมายถึงเรื่องราวหรือความเป็นมาเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตรัสรู้แล้วจนเสด็จปรินิพพาน


สันทัสสนา การให้เห็นชัดแจ้ง หรือชี้ให้ชัด คือ ชี้แจงให้เข้าใจชัดเจน มองเห็นเรื่องราวและเหตุผลต่างๆ แจ่มแจ้งเหมือนจูงมือไปดูเห็นประจักษ์กับตา, เป็นลักษณะอย่างแรกของการสอนที่ดีตามแนวพุทธจริยา


สันนิบาต การประชุม, ที่ประชุม


สนฺนิปาติกา อาพาธา ความเจ็บไข้เกิดจากสันนิบาต (คือประชุมกันแห่งสมุฏฐานทั้งสาม) ไข้สันนิบาต คือ ความเจ็บไข้ที่เกิดขึ้นแต่ดี เสมหะ และลม ทั้งสามเจือกัน


สันนิวาส ที่อยู่, ที่พัก, การอยู่ด้วยกัน, การอยู่ร่วมกัน


สันนิษฐาน ความตกลงใจ, ลงความเห็นในที่สุด, ไทยใช้ในความหมายว่า ลงความเห็นเป็นการคาดคะเนไว้ก่อน


สันยาสี ผู้สละโลกแล้วตามธรรมเนียมของศาสนาฮินดู


สันสกฤต ชื่อภาษาโบราณของอินเดียภาษาหนึ่ง ใช้ในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู และพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน


สัปปายะ สบาย, สภาพเอื้อ, สภาวะที่เกื้อหนุน, สิ่ง สถาน หรือบุคคล ซึ่งเป็นที่สบาย เหมาะกัน เกื้อกูล หรือ เอื้ออำนวย โดยเฉพาะที่ช่วยเกื้อหนุนการบำเพ็ญและประคับประคองรักษาสมาธิ ท่านแสดงไว้ ๗ ข้อ คือ อาวาส (ที่อยู่) โคจร (ที่บิณฑบาตหรือแหล่งอาหาร) ภัสสะ (เรื่องพูดคุยที่เสริมการปฏิบัติ) บุคคล (ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยแล้วช่วยให้จิตผ่องใสสงบมั่นคง) โภชนะ (อาหาร) อุตุ (อุณหภูมิและสภาพแวดล้อม) อิริยาบถ ทั้ง ๗ ข้อนี้ ที่เหมาะกันเป็นสัปปายะ (เช่นเป็น อาวาสสัปปายะ) ที่ไม่สบาย เป็นอสัปปายะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2017, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัปปุริสธรรม ธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมของคนดี, ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ มี ๗ ข้อ คือ

๑. ธัมมัญญุตา รู้หลักหรือรู้จักเหตุผล

๒. อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักเหตุผล

๓. อัตตัญญุตา รู้จักตน

๔.มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ

๕.กาลัญญุตา รู้จักกาล

๖.ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน

๗.ปุคคลัญญุตา รู้จักบุคคล


สัปปุริสบัญญัติ ข้อที่ท่านสัตบุรุษตั้งไว้, บัญญัติของคนดี มี ๓ คือ

๑. ทาน ปันสละของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น

๒. ปัพพัชชา ถือบวช เว้นจากการเบียดเบียนกัน

๓. มาตาปิตุอุปัฏฐาน บำรุงมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข


สัปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ, คบคนดี, ได้คนดีเป็นที่พึ่งอาศัย


สัปปุริสูปสังเสวะ คบสัตบุรุษ, คบคนดี คบท่านที่ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ เสวนาท่านผู้รู้ผู้ทรงคุณ


สัปปุรุษ เป็นคำเลือนปะปนระหว่าง สัปปุริส ที่เขียนอย่างบาลี กับ สัตบุรุษ ที่เขียนอย่างสันสกฤต มีความหมายอย่างเดียวกัน แต่ในภาษาไทยเป็นคำอยู่ข้างโบราณ ใช้กันในความหมายว่า คฤหัสถ์ผู้มีศรัทธาในพระศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไปร่วมกิจกรรมทางบุญทางกุศล รักษาศีลฟังธรรมเป็นประจำที่วัดใดวัดหนึ่ง บางทีเรียกตามความผูกพันกับวัดว่า สัปปุรุษวัดนั้น สัปปุรุษวัดนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron