วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 16:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2016, 07:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ศีลที่แท้จริง มันไม่เกี่ยวต้องทำหรือห้ามทำ กาารจะทำให้เกิดศีลได้นั้น
เราต้องคำนึ่งถึงสังคมที่เราอาศัยอยู่เป็นอันดับแรก เช่นว่า ในสังคมที่เราอาศัยอยู่นั้น
มีกฎข้อบังคับว่า ห้ามทารุณกรรมสัตว์และยังมีข้อกำหนดว่า ให้ทุกบ้านช่วยกันกำจัดยุ่งลาย
หนูและแมลงสาป เช่นนี้เราก็ต้องปฎิบัติตามสังคม คือห้ามฆ่าหรือรังแกสัตว์พร้อมกันไปกับการฆ่าและ
ทำลายสตว์ควบคู่กันไป.........นี่เรียกการเอาสัมมาอาชีวะเป็นที่ตั้ง

ส่วนการไม่ทารุณกรรมสัตว์และการกำจัดสัตว์ที่เป็นพาหะของโรค.....นี่เป็นการกระทำเรียกว่า สัมมากัมมันตะ
ส่วนสัมมาวาจาก็คือการบอกกล่าวสื่อสารให้คนอื่นกระทำตามนี่แหละคือ ศีลบริสุทธิ


จะไม่ให้ว่า...งัยคับ

จั่วหัว..ว่า...ศีลบริสุทธ์ของฆราวาสคือศีล5..หรือ?

แล้วมาพูดว่า..ศีลต้องมาดูกฎของสังคม..

มันก็เลอะ..ซิคับ...นี้ถ้าไปอยู่ในสังคมทึ่เขาฆ่าสัตว์บูชายันต์...แล้วจะเอาศีลอะไรมาว่ากันถึงความบริสุทธ์..
จะ5..หรือ..จะเอาสังคมเป็นบรรทัด...

ผมถึงว่า...ศีลกะปิ...

โฮเลย..ก็พูด..งง..งง..ไปงั้น

อย่าพูดเลยคับว่าสีซอ...เพราะตัวเองกะลังจับด้ามจอบอยู่..

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2016, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Duangrat เขียน:
ความเป็นปุถุชนที่ยึดมั่นในศีล คือ ไม่ทำโน่น นี่ นั่น โดยความยึดถือ แล้วคิดว่าตนบริสุทธิ์ในศีล มันเป็นศีลลัพพรตปรามาส

ซึ่งการยึดไว้ว่าอย่าทำอย่างนั้น มันอาจเกิดความร้อนใจได้ เช่น
ไม่ยอมฆ่ายุงในบ้าน แต่ลูกเป็นไข้เลือดออก ก็ต้องมานั่งกลุ้มใจ
ขโมยเข้าบ้านถามว่าเงินอยู่ไหน คงต้องพูดความจริงบอกที่เก็บเงินให้ขโมย แล้วก็ต้องเสียใจ

ไม่ฆ่างู ไม่พูดปดกะขโมยเพื่อให้ศีลบริสุทธิ์ แต่กลุ้มใจ เสียใจทีหลัง มันก็เปรียบกะนรกตั้งแต่ยังไม่ตาย
เชิญแก้ใข ขยายความต่อ ครับท่าน


นี้ก็ปนกัน..ซะ
คนถือศีล..เอามาปนกะคนมีกิเลส...ซะ
มันคนละประเด็นกัน...


คุณดวงรัตน์แกกำลังอธิบายให้ฟังว่า...แท้จริงของคำว่าศีลคืออะไร
ไอ้ที่ป้ากบคิดว่ามันเป็นคนละประเด็นก็เพราะ ป้ากบเข้าใจว่า วินัย(๕)คือศีล
ซึ่งคุณดวงรัตน์แกว่าไม่ใช่........

ที่ป้ากบว่ามันเป็นคนละประเด็น เป็นเพราะป้ากบคิดว่าวินัย(๕)คือศีล
แต่คุณดวงรัตน์กำลังสื่อว่า วินัย(๕)ไม่ใช่ศีลของพระพุทธองค์
แต่มันเป็นข้อห้ามของปุถุชนที่กำหนดขึ้นเอง

และอีกอย่างที่คุณดวงรัตน์แกสื่อก็คือ....วินัย(๕)ที่ปุถุชนหลงยึดแล้วเข้าใจว่าเป็นศีลนั้น
แท้ที่จริงมันเป็นกิเลสสังโยชน์

ป้ากบเข้าใจว่าวินัย(๕)คือศีล พอคุรดวงรัตน์แกอธิบายในลักษณะที่จะให้เห็นว่า
วินัย(๕)ที่ว่าไม่ใช่ศีลแต่เป็นกิเลสสังโยชน์ ...ด้วยสักายะ วิจิกิจฉาและศีลพรตปรามาสของป้ากบ
ทำให้เข้าใจว่า คุณดวงรัตน์เอาศีลและกิเลสมาปนกัน แท้ที่จริงแล้วป้ากบต่างหากที่เอากิเลสสังโยชน์
มาเป็นศีล


กบนอกกะลา เขียน:

เขาไม่ฆ่ายุง....เขาก็ยึดถือเอาศีลมาปฏิบัติ..มันก็ถูกแล้ว..ถูกในระดับของเขา...รึคุณดวงจะฆ่ายุงแล้วตัวเองคิดว่าตัวเองไม่ผิดศีลข้อปานา..ละคับ


ป้ากบพูดไม่รู้ฟังครับ ไอ้ที่คุณดวงรัตน์แกพูดหมายความว่า"ห้ามฆ่าแล้วไม่ฆ่า"มันไม่ใช่ประเด็นของศีล
เพราะคุณดวงรัตน์ถือว่า วินัยห้ามฆ่าสัตว์มันไม่ใช่ศีลของพุทธองค์

ป้ากบไปเอาสิ่งที่ปุถุชนกำหนดขึ้นแล้วยึดเอามาเป็นศีล....นีคือความหลงในธรรมทำให้หลงประเด็น
คุณดวงรัตน์แกฆ่ายุงนั้นย่อมไม่ผิด เพราะแกไม่ได้ยึดเอาวินัย(ข้อห้าม)ของปุถุชนมาเป็นอารมณ์
แต่คุณดวงรัตน์เจริญธรรมเพื่อให้เกิดวิเวก๓ ตามที่พระพุทธองค์สอน ...คือกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดโดยคำนึงถึงความสงบของกายใจตนเอง

กบนอกกะลา เขียน:


[color=#FF0000]ลูกเป็นไข้เลือดออก...เขาก็ทุกข์ใจ.
..มันก็อีกเรื่องหนึ่ง...มันไม่ใช่เรื่องศีลแล้ว...นี้มัน..ผัสสะ..เวทนา..ตัณหา...แสดงตัวตนของมัน...ปฏิจจะ..แสดงออกมา..ก็เขายังไม่ใช่พระอรหันต์..จะไม่ให้ทุกข์ใจอย่างไร..:b9: :b9:


ก็ป้ากบดันทุรังที่จะเอากฎข้อห้ามมาเป็นศีล มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
คุณดวงรัตน์แกกำลังอธิบายให้ฟังว่า แท้จริงศีลคืออะไร

การที่ลูกเป็นไข้เลือดออกนั้นน่ะ มันเป็นเพราะสาเหตุมาจากเราไปยึดเอากฎข้อห้ามมาเป็นใหญ่
เช่นนี้จึงทำให้เกิดโทษต่อตนและลูกหลาน......ก็ด้วยเหตุนี้การเอาวินัยมานำหน้าในการปฏิบัติ
มันจึงเป็นกิเลสแทนที่จะเป็นมรรค.....เข้าใจมั้ยป้ากบ อย่าดูลิเกและบ้าการเมืองให้น้อยหน่อย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2016, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ศีลที่แท้จริง มันไม่เกี่ยวต้องทำหรือห้ามทำ กาารจะทำให้เกิดศีลได้นั้น
เราต้องคำนึ่งถึงสังคมที่เราอาศัยอยู่เป็นอันดับแรก เช่นว่า ในสังคมที่เราอาศัยอยู่นั้น
มีกฎข้อบังคับว่า ห้ามทารุณกรรมสัตว์และยังมีข้อกำหนดว่า ให้ทุกบ้านช่วยกันกำจัดยุ่งลาย
หนูและแมลงสาป เช่นนี้เราก็ต้องปฎิบัติตามสังคม คือห้ามฆ่าหรือรังแกสัตว์พร้อมกันไปกับการฆ่าและ
ทำลายสตว์ควบคู่กันไป.........นี่เรียกการเอาสัมมาอาชีวะเป็นที่ตั้ง

ส่วนการไม่ทารุณกรรมสัตว์และการกำจัดสัตว์ที่เป็นพาหะของโรค.....นี่เป็นการกระทำเรียกว่า สัมมากัมมันตะ
ส่วนสัมมาวาจาก็คือการบอกกล่าวสื่อสารให้คนอื่นกระทำตามนี่แหละคือ ศีลบริสุทธิ


จะไม่ให้ว่า...งัยคับ
จั่วหัว..ว่า...ศีลบริสุทธ์ของฆราวาสคือศีล5..หรือ?


ตรงไหนที่พี่โฮจั่วหัวว่า.."ศีลบริสุทธ์ของฆราวาสคือศีล5..หรือ?"

คำจั่วหัวของพี่โฮคือ... "ศีลหรืออวิชชากันแน่"

แล้วไอ้คำที่ป้ากบเอามามั่วตีเนียนน่ะพี่โฮเอากลับมาให้อ่านอีกรอบ....

โฮฮับ เขียน:
มีชาวพุทธหลายคนบอกว่า ศีลบริสุทธิของฆราวาสคือศีลห้า ตายไปจะไม่พบกับอบายภูมิ
ผมเลยอย่างรู้ใครก็ได้ที่ถือศีลห้าหรือรู้เรื่องศีลห้า ช่วยบอกผมที่ว่า ไอ้ที่ว่าบริสุทธิมันบริสุทธิอย่างไร


กบนอกกะลา เขียน:
แล้วมาพูดว่า..ศีลต้องมาดูกฎของสังคม..
มันก็เลอะ..ซิคับ...นี้ถ้าไปอยู่ในสังคมทึ่เขาฆ่าสัตว์บูชายันต์...แล้วจะเอาศีลอะไรมาว่ากันถึงความบริสุทธ์..
จะ5..หรือ..จะเอาสังคมเป็นบรรทัด...
ผมถึงว่า...ศีลกะปิ...
โฮเลย..ก็พูด..งง..งง..ไปงั้น
อย่าพูดเลยคับว่าสีซอ...เพราะตัวเองกะลังจับด้ามจอบอยู่..:b32:


ความหมายของสังคมท่านให้เอากฎหมายของสังคมเป็นหลัก ไม่ใช่เอาเรื่องของศาสนาเป็นหลัก
ในสังคมหนึ่งย่อมมีผู้นับถือศาสนาแตกต่างกัน เหตุนี้ทุกศาสนาต้องยึดเอากฎหมายของสังคมนั้นเป็นหลัก


เราเป็นพุทธไปอยู่ในสังคมบูชายันตฺ์(ที่ไม่ใช่พุทธ) แล้วเราต้องไปบูชายันต์กับเขาหรือ
คนละศาสนาดันทลึ่งเอามามั่ว
สังคมที่ของคนพุทธก็คือการปฏิบัติตามหลักพุทธภายใต้กฎหมายของสังคมนั้น
ก็คือจะฆ่าสัตว์ก็เมื่อมันไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายของกายใจ .....ไม่ใช่ฆ่าเพื่อบูชายันต์


อีกฝ่ายเขาบอกว่า วินัย(๕)ไม่ใช่ศีล แต่ป้ากบก็ดันทุรังว่า วินัย(๕)คือศีล
พี่โฮว่าป้ากบถูกกรัชกายด่าเรื่องประชาธิปไตยจนมึนแล้วมั้ง

แยกแยะหน่อยซิครับ อีกฝ่ายเขากำลังอธิบายในสิ่งที่เขาเห็นว่าอย่างไรจึงเป็นศีล
และที่สำคัญเขากำลังบอกว่า ไอ้วินัย(๕)ที่ป้ากบยึดนั้นน่ะมันไม่ใช่ศีลมันเป็นกิเลส

ป้ากบเอาวินัยของป้ากบมาเป็นที่ตั้งแล้วก็ไปมโนเอาเรื่องบูชายันต์(คนละศาสนา)มามั่ว
แบบนี้ไงถึงเถียงกับกรัชกายไม่รู้จบ

หลักของพุทธศาสนา ท่านสอนเรื่องพรหมวิหาร ให้เมตาตากรุณาต่อสัตว์
ท่านไม่ได้บอกว่าห้ามฆ่าสัตว์ การจะฆ่าหรือไม่ฆ่าของชาวพุทธท่านคำนึงถึงผลที่จะตามมา
เช่นไม่ฆ่าสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค นี้ก็เป็นโทษ หรือฆ่าสัตว์ที่เป็นสัตว์เลี้ยงนี้ก็ย่อมถูกติเตียน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2016, 18:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ตรงข้ามถ้าเราเตือนเพื่อนว่าไม่ควรไปทำร้ายหมา เพราะสังคมท่านห้าม
ความเป็นสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะและ สัมมาวาจา ย่อมเกิดขึ้นกับเรา

สัมมาอาชีวะ คือ เรารู้ว่าสังคมท่านห้าม

สัมมากัมมัตตะ คือเราไม่ไปทำลายหมา

สัมมาวาจาคือเรารู้ว่าสังคมท่านห้ามแล้วเราได้เตือนเพื่อน

การทำให้เกิดสัมมาศีล(วิเวก)นั้น เราจะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
จะทำหรือไม่ทำสิ่งใดก็ให้เอาสภาพแวดล้อมของสังคมเป็นหลัก
การปฏิบัติและการพูดจาก็ให้อยู่ภายใต้กฎเกณท์ของสังคม


โฮ...พลาดท่าเอง....
ดันไปพูด..ว่าเอาสภาพแวดล้อมสังคมเป็นหลัก..

แล้วจะไปโทษใคร.. :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2016, 18:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมันพลาดไปแล้ว....ก็แล้วไป.. :b9:

มาเข้าเรื่องศีล 5 บริสุทธิ์...ต่อ...

มาขำขำ...ที่โฮโยง...ศีล...กับ...สัมมาทั้งหลายแหล่...ดีกว่า..

นี้ก็ขำได้อีก..

เอ้า..ว่าต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2016, 18:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ศีลที่แท้จริง มันไม่เกี่ยวต้องทำหรือห้ามทำ กาารจะทำให้เกิดศีลได้นั้น
เราต้องคำนึ่งถึงสังคมที่เราอาศัยอยู่เป็นอันดับแรก เช่นว่า ในสังคมที่เราอาศัยอยู่นั้น
มีกฎข้อบังคับว่า ห้ามทารุณกรรมสัตว์และยังมีข้อกำหนดว่า ให้ทุกบ้านช่วยกันกำจัดยุ่งลาย
หนูและแมลงสาป เช่นนี้เราก็ต้องปฎิบัติตามสังคม
คือห้ามฆ่าหรือรังแกสัตว์พร้อมกันไปกับการฆ่าและ
ทำลายสตว์ควบคู่กันไป.........นี่เรียกการเอาสัมมาอาชีวะเป็นที่ตั้ง

ส่วนการไม่ทารุณกรรมสัตว์และการกำจัดสัตว์ที่เป็นพาหะของโรค.....นี่เป็นการกระทำเรียกว่า สัมมากัมมันตะ
ส่วนสัมมาวาจาก็คือการบอกกล่าวสื่อสารให้คนอื่นกระทำตามนี่แหละคือ ศีลบริสุทธิ


มันผิดศีล...ก็ยอมรับไปเถอะ...ว่า..ผิดศีล

อยากให้ศีลบริสุทธิ์..ก็ไม่ต้องพยายามตะแบง..ว่ามันไม่ผิดหรอก.. :b32: :b32:

ปุถุชน..คนกลัวตายอยู่....มันไม่ผิดศีลเลยตลอด 24 ชั่โมง..ยาก

มันก็มีด่าง..มีพร้อย..เป็นธรรมดา...

แต่หากในช่วงไหนที่เราตั้งใจรักษาศีล....ก็ให้รู้จักอดทน..ไม่ล่วงศีล...แค่นี้สำหรับปุถุชนก็นับว่ารักษาศีลได้แล้ว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 00:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
มีชาวพุทธหลายคนบอกว่า ศีลบริสุทธิของฆราวาสคือศีลห้า ตายไปจะไม่พบกับอบายภูมิ
ผมเลยอย่างรู้ใครก็ได้ที่ถือศีลห้าหรือรู้เรื่องศีลห้า ช่วยบอกผมที่ว่า ไอ้ที่ว่าบริสุทธิมันบริสุทธิอย่างไร


บริบท เกี่ยวกับ ชาวพุทธ สงสัยเกี่ยวกับ ศีล 5 และความ บริสุทธิ์.
พุทธศาสนา บัญญัติคำว่า "ศีล" อย่างไร?
ในพระไตรปิฎกมี อธิบายไว้ว่า
Quote Tipitaka:
[๘๙] อะไรเป็นศีล ศีลมีเท่าไร ศีลมีอะไรเป็นสมุฏฐาน ศีลเป็น
ที่ประชุมแห่งธรรมอะไร ฯ
อะไรเป็นศีล คือ เจตนาเป็นศีล เจตสิกเป็นศีล ความสำรวมเป็น
ศีล ความไม่ล่วงเป็นศีล ฯ
ศีลมีเท่าไร คือ ศีล ๓ คือ กุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล ฯ
ศีลมีอะไรเป็นสมุฏฐาน คือ กุศลศีลมีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน อกุศลศีล
มีอกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน อัพยากตศีลมีอัพยากตจิตเป็นสมุฏฐาน ฯ
ศีลเป็นที่ประชุมแห่งธรรมอะไร คือ ศีลเป็นที่ประชุมแห่งสังวร เป็น
ที่ประชุมแห่งการไม่ก้าวล่วง เป็นที่ประชุมแห่งเจตนา อันเกิดในความเป็น
อย่างนั้น ชื่อว่าศีล

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=951&Z=1087&pagebreak=0

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 02 ส.ค. 2016, 01:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฆราวาสชาวพุทธ เมื่อสมาทานศีล 5 ข้อ คือ
1.การเว้นจากการฆ่าสัตว์
2.การเว้นจากการลักของๆผู้อื่นที่มิใช่ของตน
3.การเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4.การเว้นจากการพูดเท็จ เพ้อเจ้อ คำหยาบ ส่อเสียด
5.การเว้นจากการเสพย์น้ำเมาสิ่งมึนเมา

ก็เป็นการแสดงเจตจำนงในการรักษาศีลไว้ให้ดี

การฆ่าสัตว์ การลักของๆผู้อื่นที่มิใช่ของตน การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ เพ้อเจ้อ คำหยาบ ส่อเสียด
เป็นกรรมกิเลส 4
อยู่ในกลุ่มอกุศลกรรมบถ 10
การเสพย์น้ำเมาสิ่งมึนเมา เป็นทางแห่งความเสื่อม
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=3923&Z=4206&pagebreak=0

บาปกรรม 5 ประการนี้ วิญญูชนไม่สรรเสริญ พระพุทธองค์ทรงติเตียน
เพราะนำมาซึ่งความไม่สงบ นำไปสู่ทุคติ อบาย วินิบาต นรก

เมื่อฆราวาส สมาทานมาเพียง 5 ข้อ
การสมาทานเอามาเพียง 5 ข้อ จึงเป็น ปริยันตปาริสุทธิศีล คือศีลของบุคคลผู้ที่มิได้บวช

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 02 ส.ค. 2016, 01:54, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 01:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อคำที่ว่า "ไอ้ที่ว่ามันบริสุทธิ์ บริสุทธิ์อย่างไร"
ศีลที่สมาทานไว้ บริสุทธิ์
เพราะ
-ศีลที่สมาทานไว้ เป็นกุศลศีล
-ไม่ขาด คือเจตนาที่จะเว้น จะละ ก็ไม่ขาด ไม่ตั้งเจตนาไปในอกุศลศีล
-ไม่ทะลุเป็นช่อง คือไม่เลือกว่า วันนี้ ตอนนี้จะตั้งเจตนาเฉพาะข้อนั้นข้อนี้ เว้นข้อนั้นข้อนี้จากที่ได้สมาทานไว้ 5 ข้อ
-ไม่ด่างพร้อย คือไม่ลืมตัวพลั้งเผลอลูบคลำศีล เช่นการทรมานสัตว์ แม้สัตว์ไม่ตายก็เป็นการทำให้ศีลด่างพร้อยเป็นต้น.
-เป็นไท จาก ทิฏฐิ ตัณหา มานะ คือ สมาทานโดยรู้ว่าเพื่อขัดเกลา เพื่ออนุเคราะห์ต่อมรรคต่อผล ไม่ได้สมาทานเพื่อลาภสักการะ เพื่อยศ เป็นต้น และไม่ได้สมาทานเอาโดยยกตนข่มท่าน หรือเปรียบเทียบกัน
-เป็นศีลที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ คือ กุศลศีลทั้งหลายนั่นเอง

ความบริสุทธิ์ของศีลจึงเป็นอย่างที่อธิบายไปนั้น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 01:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Duangrat เขียน:
ความเป็นปุถุชนที่ยึดมั่นในศีล คือ ไม่ทำโน่น นี่ นั่น โดยความยึดถือ แล้วคิดว่าตนบริสุทธิ์ในศีล มันเป็นศีลลัพพรตปรามาส

ซึ่งการยึดไว้ว่าอย่าทำอย่างนั้น มันอาจเกิดความร้อนใจได้ เช่น
ไม่ยอมฆ่ายุงในบ้าน แต่ลูกเป็นไข้เลือดออก ก็ต้องมานั่งกลุ้มใจ
ขโมยเข้าบ้านถามว่าเงินอยู่ไหน คงต้องพูดความจริงบอกที่เก็บเงินให้ขโมย แล้วก็ต้องเสียใจ
ไม่ฆ่างู ไม่พูดปดกะขโมยเพื่อให้ศีลบริสุทธิ์ แต่กลุ้มใจ เสียใจทีหลัง มันก็เปรียบกะนรกตั้งแต่ยังไม่ตาย
เชิญแก้ใข ขยายความต่อ ครับท่าน

การสมาทานศีล ให้บริสุทธิ์ จึงต้องรู้จักความรู้อันถูกต้องว่าเมื่อสมาทานอย่างไร ราคะ โทสะ โมหะจะเบาบางลง
เป็นไปในส่วนของความรู้คือวิชชา

อกุศลศีล เมื่อสมาทานแล้ว มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากก็มี
อกุศลศีล เมื่อสมาทานแล้ว มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากก็มี
กุศลศีล เมื่อสมาทานแล้ว มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากก็มี
กุศลศีลเมือสมาทานแล้ว มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากก็มี

สำหรับกรณีของคุณ Duangrat จำจะต้องศึกษาจาก มหาธรรมสมาทานสูตร นะครับ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=9701&Z=9903&pagebreak=0
Quote Tipitaka:
[๕๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้มี ๔ อย่าง

๔ อย่างเป็นไฉน?
ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไปก็มี
ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไปก็มี
ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไปก็มี
ธรรมสมาทานที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไปก็มี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 01:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
[๕๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมสมาทานที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป
เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเว้นขาดจากปาณาติบาต พร้อม
ด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากปาณาติบาตเป็น
ปัจจัย. เป็นคนเว้นขาดจากอทินนาทาน พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวย
ทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากอทินนาทานเป็นปัจจัย. เป็นคนเว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากกาเม-
*สุมิจฉาจารเป็นปัจจัย. เป็นคนเว้นขาดจากมุสาวาท พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากมุสาวาทเป็นปัจจัย. เป็นคนเว้นขาดจากปิสุณาวาจา
พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากปิสุณาวาจา
เป็นปัจจัย เป็นคนเว้นจากผรุสวาจา พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวย-
*ทุกขโทมนัส เพราะการเว้นจากผรุสวาจาเป็นปัจจัย. เป็นคนเว้นขาดจากสัมผัปปลาปะ พร้อม
ด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะเว้นจากสัมผัปปลาปะเป็น
ปัจจัย. เป็นคนไม่มีอภิชฌามาก พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัส
เพราะอนภิชฌาเป็นปัจจัย. เป็นคนมีจิตไม่พยาบาท พร้อมด้วยทุกข์บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง
ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะการไม่พยาบาทเป็นปัจจัย เป็นคนมีความเห็นชอบ พร้อมด้วยทุกข์
บ้าง พร้อมด้วยโทมนัสบ้าง ย่อมเสวยทุกขโทมนัส เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย. เบื้องหน้าแต่
ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าว
ว่า มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป.


Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น บุคคลไม่รู้จักธรรมสมาทานที่มีทุกข์
ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในอวิชชา ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
ธรรมสมาทานนี้แล มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป เมื่อไม่รู้จักธรรมสมาทานนั้น
ไปแล้วในอวิชชา ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง จึงเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทาน
นั้น เมื่อเสพธรรมสมาทานนั้น ไม่ละเว้นธรรมสมาทานนั้น ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่
ไม่น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเสื่อมไป นั่นเป็น
เพราะเหตุอะไร? เป็นเพราะบุคคลนั้นไม่รู้ถูกต้อง.


Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาธรรมสมาทานเหล่านั้น บุคคลรู้จักธรรมสมาทานที่มีทุกข์ใน
ปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป ไปแล้วในวิชชา ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ธรรมสมาทาน
นี้แล มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป. เมื่อรู้จักธรรมสมาทานนั้น ไปแล้วในวิชชา
รู้ชัดตามความเป็นจริง จึงไม่เสพธรรมสมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น เมื่อไม่เสพธรรม-
*สมาทานนั้น ละเว้นธรรมสมาทานนั้น ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าชอบใจ ย่อม
เสื่อมไป ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ย่อมเจริญยิ่ง. นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร? เป็น
เพราะบุคคลนั้นรู้ถูกต้อง.


ธรรมสมาทาน คือศีลที่สมาทาน พระพุทธองค์ตรัสไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติแล้วครับ คุณDuanrat
ขึ้นอยู่กับว่า คุณDuanrat จะตัดสินใจอย่างไรครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Duangrat เขียน:
ศีล ความหมาย คือ ความสงบ(วิเวก)ของ กาย วาจา ใจ
เป็นองค์มรรคที่ควรปฏิบัติให้เกิดขึ้น ประกอบด้วย สัมมาอาชีวะ,สัมมากัมมันตะ,สัมมาวาจา ไม่ใช่ ข้อห้าม ๕ข้อที่เรียกว่ากันว่าศีล๕

ศีล๕ ที่เรียกกันนั้น แท้จริงเป็นวินัย ๕ข้อที่ฆราวาสควรปฏิบัติ เพื่อความสงบของสังคม และเพื่อผู้ปฏิบัติไม่เกิดความวุ่นวาย กังวลเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง


อธิบายไปแล้วข้างบน
ศีล เป็นเรื่องเฉพาะตน
กรรมบถที่เป็นอกุศล ย่อมทำให้อกุศลนั้นเจริญขึ้น
กุศลศีลจึงมีความสำคัญในการระงับภัยอันเกิดจาก อกุศลกรรมบถเหล่านั้น

ส่วนความสงบของสังคมเป็นเพียงผลกระทบอันเกิดจากการที่บุคคลหลายๆ บุคคลร่วมใจกันสมาทานกุศลกรรมบถซึ่งพระอริยะเจ้าทั้งหลายไม่ติเตียน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ตรงข้ามถ้าเราเตือนเพื่อนว่าไม่ควรไปทำร้ายหมา เพราะสังคมท่านห้าม
ความเป็นสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะและ สัมมาวาจา ย่อมเกิดขึ้นกับเรา

สัมมาอาชีวะ คือ เรารู้ว่าสังคมท่านห้าม

สัมมากัมมัตตะ คือเราไม่ไปทำลายหมา

สัมมาวาจาคือเรารู้ว่าสังคมท่านห้ามแล้วเราได้เตือนเพื่อน

การทำให้เกิดสัมมาศีล(วิเวก)นั้น เราจะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
จะทำหรือไม่ทำสิ่งใดก็ให้เอาสภาพแวดล้อมของสังคมเป็นหลัก
การปฏิบัติและการพูดจาก็ให้อยู่ภายใต้กฎเกณท์ของสังคม


โฮ...พลาดท่าเอง....
ดันไปพูด..ว่าเอาสภาพแวดล้อมสังคมเป็นหลัก..

แล้วจะไปโทษใคร.. :b9: :b9:


พี่โฮจะสื่อแบบนั้นแล้วมันจะพลาดยังไง ถ้าสภาพแวดล้อมของสังคมมีกฎว่าทุกคนต้องฆ่าเพื่อบูชายันต์
เราก็ฆ่าไปตามกฎเกณท์หรือสภาพแวดล้อมนั้ ......แต่ศาสนาเป็นเรื่องของใจ ฆ่าได้แต่ไม่ใช่ฆ่าเพื่อบูชายันต์
เพราะเรานับถือพุทธ ซึ่งใจเราจะคิดอย่างไรคนอื่นย่อมหารู้ไม่


ป้ากบอย่าพูดเองเออเองซิ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อมันพลาดไปแล้ว....ก็แล้วไป.. :b9:


จะตลกไปถึงไหน ตัวเ้องไม่รู้เรื่องแล้วมาตัดสินเองว่าคู้โต้แย้งพลาดไปแล้ว
พูดเองเออเองแบบนี้ก็มีด้วยวุ๊ย!

เหมือนคุณดวงรัตน์สอนป้ากบว่า วินัย(๕)ไม่ใช่ศีล แล้วก็บอกว่าไม่ใช่อย่างไร
ป้ากบก็ดันทุรังเถียงว่า ที่คุณดวงรัตน์พูดมัไม่ถูก แล้วยกเอาวินัย(๕)ขึ้นมา
บ้าไปแล้วเขาว่าวินัย(๕)ไม่ใช่ศีล ยังเอาวินัย(๕)มาเป็นเหตุผลอีก.....ไปหนมาสามวาสองศอก :b32:

หน้าที่ป้ากบคือหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อว่า วินัย(๕)คือศีล

กบนอกกะลา เขียน:
มาเข้าเรื่องศีล 5 บริสุทธิ์...ต่อ...
มาขำขำ...ที่โฮโยง...ศีล...กับ...สัมมาทั้งหลายแหล่...ดีกว่า..
นี้ก็ขำได้อีก..
เอ้า..ว่าต่อไป


แล้วไงต่อล่ะ! จะไม่อธิบายให้ชาวบ้านฟังเลยหรือว่าขำเพราะอะไร เล่นง่ายดีนี่! :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:

ศีลที่แท้จริง มันไม่เกี่ยวต้องทำหรือห้ามทำ กาารจะทำให้เกิดศีลได้นั้น
เราต้องคำนึ่งถึงสังคมที่เราอาศัยอยู่เป็นอันดับแรก เช่นว่า ในสังคมที่เราอาศัยอยู่นั้น
มีกฎข้อบังคับว่า ห้ามทารุณกรรมสัตว์และยังมีข้อกำหนดว่า ให้ทุกบ้านช่วยกันกำจัดยุ่งลาย
หนูและแมลงสาป เช่นนี้เราก็ต้องปฎิบัติตามสังคม
คือห้ามฆ่าหรือรังแกสัตว์พร้อมกันไปกับการฆ่าและ
ทำลายสตว์ควบคู่กันไป.........นี่เรียกการเอาสัมมาอาชีวะเป็นที่ตั้ง

ส่วนการไม่ทารุณกรรมสัตว์และการกำจัดสัตว์ที่เป็นพาหะของโรค.....นี่เป็นการกระทำเรียกว่า สัมมากัมมันตะ
ส่วนสัมมาวาจาก็คือการบอกกล่าวสื่อสารให้คนอื่นกระทำตามนี่แหละคือ ศีลบริสุทธิ


มันผิดศีล...ก็ยอมรับไปเถอะ...ว่า..ผิดศีล


มันจะผิดอะไรตรงไหน คนมันไม่มีศีลแล้วจะเอาอะไรมาผิด....ย้ำว่าคนไม่มีศีลแล้วจะเอาอะไรมาผิด
เหตุผลแค่เนี้ย ป้ากบตอบได้มั้ย
องคุลีมาลฆ่าคนเกือบพันผิดศีลมั้ย ไม่ผิดเพราะยังไม่มีศีล
คนฆ่าสัตว์ คนลักโขมย เพราะมันไม่มีศีล ดันบอกมาได้ว่าผิดศีล

ศีลของพุทธองค์จะต้องเจริญ ก็คือทำให้เกิดขึ้น ไม่ใช่มาบอกว่าศีลห้ามทำนู้นห้ามทำนี่
ศีลจะเกิดได้ก็ต้องปฏิบัติ(เน้นว่าต้องปฏิบัติไม่ใช่ห้ามปฏิบัติ)


กบนอกกะลา เขียน:
อยากให้ศีลบริสุทธิ์..ก็ไม่ต้องพยายามตะแบง..ว่ามันไม่ผิดหรอก.. :b32: :b32:


คำว่าตะแบงคือ...คำพูดสั้นว่า "ขำ"แล้วไม่มีคำอธิบาย พูดว่า"คนอื่นพลาด"แล้วไม่มีคำอธิบาย
คำพูดของป้ากบเนี่ยแหล่ะเขาเรียกตะแบง

พี่โฮไม่ได้พูดว่ามันไม่ผิดแบบป้ากบอ้าง พี่โฮจะผิดได้ไงเพราะศีลของป้ากบกับศีลของพี่โฮมันคนละอย่าง
พี่โฮยังไม่มีศีลเลย แล้วมันจะผิดได้ไง ที่พี่โฮทำอยู่นี่ก็คือพยายามเจริญมรรคเพื่อทำให้เกิดศีล

ถามป้ากบเลยว่า องคุลีมาลเอย นางอัมพปาลีเอย นางสิริมาเอย ท่านเหล่านี้
ทำไมถึงบรรลุธรรมเป็นอริยะชนได้ .....ถามป้ากบแค่เนี้ยแหล่ะดูซิจะตะแบงแถหรือเปล่า


กบนอกกะลา เขียน:
ปุถุชน..คนกลัวตายอยู่....มันไม่ผิดศีลเลยตลอด 24 ชั่โมง..ยาก
มันก็มีด่าง..มีพร้อย..เป็นธรรมดา...


นี่แหละเขาเรียกตะแบง ห้ามทำแต่บอก"ไม่ผิดศีลตลอด๒๔ชั่วโมง..ยาก"
แถมดันทลึ่งบอกว่า มีด่างมีพร้อยเป็นธรรมดา"
ป้ากบคำพูดของป้ากบเนี่ยแหล่ะ น่าขขำและตะแบงของแท้ล่ะ


ตัวเองเป็นวิจิกิจฉาไปยึดเอาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาเป็นสักกายะ
หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ตัวยึดนั้นท่านเรียกศีลพรตปรามาส ....ยึดมาแล้วทำไม่ได้ก็เกิดอาการแถ
ตะแบงว่า แค่ค่างพร้อยเป็นเรื่องธรรมดา......แบบนี้เขาไม่เรียกเหตุผล มันตะแบงแถครับผม
:b32:

กบนอกกะลา เขียน:

ปุถุชน..คนกลัวตายอยู่....มันไม่ผิดศีลเลยตลอด 24 ชั่โมง..ยาก

มันก็มีด่าง..มีพร้อย..เป็นธรรมดา...

แต่หากในช่วงไหนที่เราตั้งใจรักษาศีล....ก็ให้รู้จักอดทน..ไม่ล่วงศีล...แค่นี้สำหรับปุถุชนก็นับว่ารักษาศีลได้แล้ว...


ตัวเองก็พูดแหม่บว่า ....."มันไม่ผิดศีลเลยตลอด 24 ชั่โมง..ยาก มีด่างมีพร้อยเป็นเรื่องธรรมดา"
ศีลแบบที่ป้ากบว่า มันมีด้วยเรื่อง ไอ้แบบนี้เขาเรียกสร้างภาพ นึกอย่างให้คนอื่นมองว่าเป็นคนดี
ก็หยิบชุดขาวขึ้นมาใส่แล้วบอกว่าตัวรักษาศีล ....ศีลบ้าบอคอแตกอะไรกันครับ
ศีลเมื่อเกิดแล้วไม่มีวันเสื่อม ศีลเมื่อเกิดแล้วจะอยู่กับบุคคลไปจนตาย

คำว่าศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลถลอก.....ล้วนเป็นคำพูดที่แถกแถของผู้ที่หาเหตุผลมาตอบ
ในสิ่งที่เขาถามไม่ได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร