วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 03:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 156 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 18 ต.ค. 2016, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อะไรบ้าง..ที่มันไม่มี..ของกักกายบ้าง...


กบต่างดาวเอ้ย ยังไม่รู้แนะว่าเขาพูดเรื่องอะไรกัน :b32: ขายหน้าจริงๆ ไปๆชิ้วๆ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 19 ต.ค. 2016, 03:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กลัวละซิ...


โพสต์ เมื่อ: 19 ต.ค. 2016, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กลัวละซิ...


กุ้มจัยแทนจินๆๆ :b32:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 ต.ค. 2016, 06:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b7:
แสดงว่ากรัชกายยังไม่ยอมรับความจริงว่า มีความเห็นผิดยึดผิดว่ารูป นาม กาย ใจนี้เป็นกูเป็นเรา เป็นตัวตนอยู่ในจิตใจของกรัชกายและปุถุชนทุกคน ช่างน่าสงสารและเวทนาจริงๆเหมือนเรื่องเรื่องหนอนชื่นชมในมูตรคูต แม้เพื่อนเทวดาจะมาชวนออกอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น


ที่ถามไม่ตอบ คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
เป็นตัวตนอยู่ในจิตใจ


นี่แหละความคิดของพราหม์ว่าในจิตใจมีอาตมันแฝงซ่อนซ้อนอยู่ ที่คอยบังคับให้คนเป็นยังงั้นยังงี้

มันยึดถือ แต่มันไม่มี :b32:

:b16:
มันไม่มี มันเป็นเรื่องอาตมันของพราหมณ์.......นั่นเป็นความคิดเอาตามหลักทฤษฏีที่ไปเรียนรู้มา จำมา แล้วมาคิดเอาเองว่ามันไม่มี อัตตาไม่มี คิดเอาได้อย่างนี้แล้วตอนนี้กรัชกายเป็นคนไม่มีอัตตาไม่มีกูอยู่ในจิตใจบรรลุธรรมไปแล้ว....ช่างง่ายเสียจังที่บรรลุธรรมได้ด้วยการคิดเอาว่าไม่มี

ถ้าความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวตนไม่มีจริงๆ ก็น่าจะไม่มีความจำเป็นที่พระพุทธเจ้าจะต้องกล่าวถึงเรื่องของอัตตาและอนัตตา และโสดาปัตติมรรคก็ไม่จำเป็นต้องไปทำลาย สักกายทิฏฐิอันเป็นสังโยชน์สำคัญตัวแรกในสังโยชน์ 10 เพราะมันล้วนแล้วแต่เรื่องที่ไม่มี ตามความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิของกรัชกาย

ได้บอกหลายครั้งหลายหนว่า อัตตา ไม่มีอยู่จริงแต่

"ความเห็นผิดยึดผิด"ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน เรา เขา
มันมีอยู่จริงในใจกรัชกายและปุถุชนทุกคน

"ความเห็นผิดยึดผิด"ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันมีอยู่จริง ยอมรับไหมกรัชกาย........

.ถามแล้วไม่ยอมตอบ แสดงว่าไม่ยอมรับว่าตนเองยังมีความเห็นผิดยึดผิด แล้วไม่ยอมฟังอะไรต่อ จนทำให้ดูเหมือนว่ากรัชกายเป็นคนดื้อด้าน เป็นนักวิชาการที่หลงตัวเอง คิดว่าเรื่องอัตตา อนัตตานี่คิดเอาก็ได้แล้ว ไม่มีแล้ว นี่มันเป็นอาการที่หนักยิ่งกว่าคนประเภทดอกบัวในโคลนตมเสียอีก อนิจจาชีวิตคนที่หลงจมอยู่ในทะเลของบัญญัติเป็นเช่นนี้เอง ป่วยประโยชน์ที่จะพูดกับกรัชกายแล้ว
grin


โพสต์ เมื่อ: 20 ต.ค. 2016, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b7:
แสดงว่ากรัชกายยังไม่ยอมรับความจริงว่า มีความเห็นผิดยึดผิดว่ารูป นาม กาย ใจนี้เป็นกูเป็นเรา เป็นตัวตนอยู่ในจิตใจของกรัชกายและปุถุชนทุกคน ช่างน่าสงสารและเวทนาจริงๆเหมือนเรื่องเรื่องหนอนชื่นชมในมูตรคูต แม้เพื่อนเทวดาจะมาชวนออกอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น


ที่ถามไม่ตอบ คิกๆๆ



อ้างคำพูด:
เป็นตัวตนอยู่ในจิตใจ


นี่แหละความคิดของพราหม์ว่าในจิตใจมีอาตมันแฝงซ่อนซ้อนอยู่ ที่คอยบังคับให้คนเป็นยังงั้นยังงี้

มันยึดถือ แต่มันไม่มี :b32:

:b16:
มันไม่มี มันเป็นเรื่องอาตมันของพราหมณ์.......นั่นเป็นความคิดเอาตามหลักทฤษฏีที่ไปเรียนรู้มา จำมา แล้วมาคิดเอาเองว่ามันไม่มี อัตตาไม่มี คิดเอาได้อย่างนี้แล้วตอนนี้กรัชกายเป็นคนไม่มีอัตตาไม่มีกูอยู่ในจิตใจบรรลุธรรมไปแล้ว....ช่างง่ายเสียจังที่บรรลุธรรมได้ด้วยการคิดเอาว่าไม่มี

ถ้าความเห็นผิดว่าเป็นอัตตาตัวตนไม่มีจริงๆ ก็น่าจะไม่มีความจำเป็นที่พระพุทธเจ้าจะต้องกล่าวถึงเรื่องของอัตตาและอนัตตา และโสดาปัตติมรรคก็ไม่จำเป็นต้องไปทำลาย สักกายทิฏฐิอันเป็นสังโยชน์สำคัญตัวแรกในสังโยชน์ 10 เพราะมันล้วนแล้วแต่เรื่องที่ไม่มี ตามความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิของกรัชกาย

ได้บอกหลายครั้งหลายหนว่า อัตตา ไม่มีอยู่จริงแต่

"ความเห็นผิดยึดผิด"[/size][/color]ว่ากายใจนี้เป็นอัตตา ตัวตน เรา เขา
มันมีอยู่จริงในใจกรัชกายและปุถุชนทุกคน

"ความเห็นผิดยึดผิด"ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันมีอยู่จริง ยอมรับไหมกรัชกาย


ถามแล้วไม่ยอมตอบ แสดงว่าไม่ยอมรับว่าตนเองยังมีความเห็นผิดยึดผิด แล้วไม่ยอมฟังอะไรต่อ จนทำให้ดูเหมือนว่ากรัชกายเป็นคนดื้อด้าน เป็นนักวิชาการที่หลงตัวเอง คิดว่าเรื่องอัตตา อนัตตานี่คิดเอาก็ได้แล้ว ไม่มีแล้ว นี่มันเป็นอาการที่หนักยิ่งกว่าคนประเภทดอกบัวในโคลนตมเสียอีก อนิจจาชีวิตคนที่หลงจมอยู่ในทะเลของบัญญัติเป็นเช่นนี้เอง ป่วยประโยชน์ที่จะพูดกับกรัชกายแล้ว


มันเป็นทิฏฐิเรียกว่า อัตตทิฏฐิ ก็ในเมือรู้ว่ามันผิดก็เข้าใจสะให้ถูก ทำไมจะต้องตามค้นหาอัตตา แล้วทำลายสะจะเป็นอนัตตาล่ะ :b32:

มันมีตัวตนที่ไหนล่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 21 ต.ค. 2016, 07:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s002
กรัชกายผู้น่าสงสาร คงต้องเวียนว่ายอีกนานด้วยอำนาจความเห็นผิดว่าเป็นกู
:b7:


โพสต์ เมื่อ: 21 ต.ค. 2016, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s002
กรัชกายผู้น่าสงสาร คงต้องเวียนว่ายอีกนานด้วยอำนาจความเห็นผิดว่าเป็นกู
:b7:


แนะๆยังไม่รู้สึกตัวอีก เดี๋ยวก็ฟาดด้วยไม้หน้าสาม :b32:


อ้างคำพูด:
อโศกะ
ที่สั่งในใจให้กรัชกายเขียน พูด หรือถามคำถามดังอ้างมาข้างบนนี้ไง คือตัวอัตตา...สั่งใจกรัชกายให้ทำมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมตอบ ถามในกระทู้อยู่ สังเกตเห็นบ้างไหม


นี่แหละความคิดแบบพราหมณ์ที่คิดว่ากายใจนี่มีอาตมันคอยบ่งการบังคับบัญชาชีวิตจิตใจให้เป็นนั่นเป็นนี่ คิดนั่นคิดนี่นะขอรับ

ท่านอโศกค้นหาอัตตา (บาลี) อาตมัน (สันสกฤต) ตัวนี้แหละมิจฉาทฺิฏฐิ ความเห็นผิดนะขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2016, 03:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b36:
"...สัญญา กับ ปัญญา..."

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : เวลาโลกธรรมทั้ง ๘ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ผู้ที่ได้สดับแล้วเช่นข้าพเจ้าก็จำได้ว่า โลกธรรมทั้ง ๘ นี้ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แต่ทำไมในเวลาโลกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ใจข้าพเจ้าจึงยินดียินร้ายไปตามโลกธรรมทั้ง ๘ นั้น

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ผู้ที่สดับฟังที่จำทรงปริยัติธรรมไว้ได้มากนั้น เป็นแต่จำเรื่องราวในพระพุทธศาสนาที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติ แต่ยังไม่ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่างพระอริยสาวก จึงละความยินดียินร้าย ในธรรมทั้ง ๘ ไม่ได้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติอยู่ คือเป็นผู้มีศีล มีธรรม และรู้เรื่องราวเข้าใจในคำสอนทั้งหลาย แต่ทำไมจึงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมไม่ได้

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ท่านรู้แต่ชั้นสัญญา ไม่รู้เห็นในชั้นปัญญา แต่สำคัญตนว่ารู้แล้ว เพราะนึกถึงธรรมเหล่าใดที่ได้จำทรงไว้ ก็ได้ความแจ่มแจ้งในชั้นสัญญา ไม่ใช่รู้เห็นตามความเป็นจริงซึ่งเป็นชั้นปัญญาเหมือนอย่างพระอริยสาวกที่ท่านได้เห็นความจริงคือ ไตรลักษณ์หรืออริยสัจ และได้ทำกิจตามหน้าที่ของอริยสัจทั้ง ๔ ด้วย จึงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมทั้ง ๘ ไม่ได้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ไตรลักษณ์และอริยสัจจ์นั้นข้าพเจ้าเข้าใจดี และอธิบายให้คนอื่นฟังอีกก็ได้ ทำไมจึงว่าข้าพเจ้าไม่รู้ หรือจะให้ข้าพเจ้าเทศน์ไตรลักษณ์และอริยสัจจ์ ๔ ให้ท่านฟังสักกัณฑ์ใหญ่ก็ได้

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ข้าพเจ้าพูดถึงชั้นปัญญาของพระอริยสาวก ท่านก็พูดแต่ชั้นสัญญาอีกร่ำไป ท่านจงใคร่ครวญพิจารณาดูเองเถิด ถ้าความรู้ความเห็นของท่านไม่ใช่ชั้นสัญญา เป็นชั้นปัญญาแล้ว ก็คงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมทั้ง ๘ ได้เหมือนอริยสาวก ที่ไหนจะเป็นปุถุชน

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ความรู้ชนิดไหนเป็นชั้นปัญญา เพราะข้าพเจ้านึกถึงธรรมทั้งหลายที่จำทรงไว้นั้น ก็ได้ความในคำสอนทั้งหลายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงสำคัญว่าเป็นชั้นปัญญา

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ความจำทรงทั้งหลายไว้ได้มาก นี่เรียกว่าชั้นปริยัติ และนำคำสอนมาประพฤติปฏิบัติเจริญจรณะ ๑๕ จนแก่กล้าบริบูรณ์ขึ้นอีกแล้ว นี่เรียกว่าชั้นปฏิบัติ เมื่อวิชชาและวิมุตติเกิดขึ้น นี่เรียกว่าชั้นปฏิเวธ

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าเข้าใจผิด และเป็นผู้ประมาทมาก ไม่ได้เจริญจรณะทั้ง ๑๕ ให้บริบูรณ์ ขึ้นในตน จึงไม่ถึงวิชชาและวิมุตติ ความศึกษาของข้าพเจ้า นั้นคงเป็นหมันเสียแล้ว

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : เมื่อท่านรู้ตัวได้เช่นนี้เป็นความดีสำคัญทีเดียว จะได้ตั้งใจเจริญจรณะ ๑๕ ให้แก่กล้าบริบูรณ์ จะได้ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตติ

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : จะทำในใจแยบคายได้อย่างไร จึงจะไม่ประมาทและมีความเพียรตั้งใจเจริญจรณะ ๑๕ ให้บริบูรณ์ขึ้น

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ความไม่ประมาทก็มีอยู่ในจรณะ ๑๕ คือ ศรัทธา ศีล วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็พอครบสิกขา ๓ อยู่แล้ว แต่ท่านไม่เจริญให้มากขึ้น จึงไม่มีบริบูรณ์ในตน

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้อนั้นจริงอยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องทำในใจให้แยบคายอย่างไรอีก เพื่อให้มีกำลังใจแข็งแรงและพากเพียรให้ยิ่งขึ้น ขอท่านจงแนะนำให้ข้าพเจ้ายินดีในความไม่ประมาท และเห็นภัยในความประมาท

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ต้องพิจารณาให้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ หรือพิจารณาเห็นภัยในทุคติและกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานว่า
ผู้ที่ประมาทแล้วนั้นต้องเวียนเกิดในวัฏฏะ ๓ เป็นเขตแดนแห่งมัจจุราชคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตายแล้วไปเกิดๆ แล้วแก่เจ็บตาย ไม่มีที่สุดเวียนอยู่ใน ๓ ภพ ๓ ภพนั้นลำบากมาก เพราะประกอบด้วยชาติ ชรา มรณะ สมัยใดเสพสัตบุรุษและฟังธรรมก็ทำกรรมเป็นบุญ จึงได้เกิดสุคติ สมัยใดเสพอสัตบุรุษก็ทำกรรมเป็นบาปเพราะผู้ที่ยังละอาสวะไม่ได้ก็ทำกรรมเป็นบาป ต้องไปเกิดในทุคติและกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาหยาบกล้าเผ็ดร้อน เหลือที่จะพรรณนา เพราะยังไม่ปิดประตูอบาย คือยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล เราจะประพฤติปฏิบัติได้ในเวลายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าความตายมาถึงเข้าก็ไม่มีโอกาสที่จะทำความดีได้ และลมหายใจก็ไม่ได้นัดกับเราว่า จะหยุดลงวันใด เพราะฉะนั้นเราจึงควรพากเพียรให้ถึงซึ่งมรรคและผล จะได้พ้นภัยในอบายและภัยในสงสารวัฏฏ์ ดังพระพุทธสุภาษิตในภัทเทกรัตตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้า ๓๔๙ ว่า..

อชฺเชว กิจฺมาตปฺปํ ควรรีบทำความเพียรในวันนี้ทีเดียว
โก ชญฺญา มรณํ สุเว ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีมาในวันพรุ่งนี้
น หิ โน สงฺครนฺเตน ความผัดเพี้ยนด้วยพญามัจจุราช
มหาเสเนน มจฺจุนา ผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่ได้เลยทีเดียว

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าฟังท่านบรรยายภัยในสังสารวัฏและภัยในอบายทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้งกลัวและตั้งใจละความประมาท เจริญความไม่ประมาทให้สมบูรณ์ขึ้นในตน เพื่อถึงซึ่ง มรรคและผล

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : สาธุ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาความตั้งใจชอบเช่นนั้นของท่านด้วย...

ที่มา : จากหนังสือ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิปัตติวิภาค
พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม
ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ

onion


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2016, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะตั้งโจทก์ให้ท่านอโศกทำนะขอรับ :b14: เอ้า

ถ้าไฟไหม้บ้านตนเองอยู่ ท่านอโศกจะดับเลย หรือรอให้ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้มะเรื่องหนึ่งก่อนจึงค่อยดับ จึงค่อยโทรแจ้งหน่วยดับเพลิงขอรับ :b1:

ตอบสิขอรับ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 ต.ค. 2016, 05:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จะตั้งโจทก์ให้ท่านอโศกทำนะขอรับ :b14: เอ้า

ถ้าไฟไหม้บ้านตนเองอยู่ ท่านอโศกจะดับเลย หรือรอให้ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้มะเรื่องหนึ่งก่อนจึงค่อยดับ จึงค่อยโทรแจ้งหน่วยดับเพลิงขอรับ :b1:

ตอบสิขอรับ :b13:

:b12:
ดีแล้ว ๆ ที่กรัชกายยกคำถามนี้มาถาม อันเป็นเหตุปัจจัยให้ได้แสดงธรรม

ปุถุชนทั้งหลายเปรียบเหมือนคนที่ไฟทุกข์ ไฟกิเลสตัณหา อัตตา กำลังลุกไหม้อยู่บนศีรษะของตนเองอยู่เลย ไม่ใช่ไฟไหม้บ้านอย่างที่กรัชกายเปรียบเทียบ

มีบุคคลอยู่ 2-3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

กลุ่มที่ 1 คือพวกที่ถูกโมหะอวิชชาปิดบังตามืดบอดจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีไฟไหม้อยู่บนหัวของตัวเอง

กลุ่มที่ 2 ได้เรียนรู้ปริยัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้โดยทฤษฎีว่า มีไฟลุกไหม้อยู่บนหัวของปุถุชนทุกคน รวมทั้งตัวเองด้วยแต่ไม่รู้ตัวไม่เจ็บแสบร้อนเพราะพิษไฟเนื่องจากหลงภูมิใจ ดีใจว่าตนได้รู้เรื่องดีๆอย่างนี้ จึงเที่ยววิ่งแล่นไปบอกกล่าวคนโน้นคนนี้ถึงวิธีดับไฟบนหัวตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตั้ง 21,000 วิธีตามมีในพระสูตร จากนั้นก็มอมเมาตนเองให้ลืมเรื่องไฟไหม้หัว ด้วยความสำคัญผิดคิดว่าตัวเองได้สร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการก้อปปี้คำสอนของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์มาบอกกล่าวผู้คน ตนต้องพ้นจากพิษไฟที่ไหม้ลามอยู่บนหัวนี้แน่ๆ

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มคนที่ฉลาดได้เรียนรู้ข้อธรรมแม้เพียงไม่กี่ข้อจากพระบรมศาสดาจนสามารถจับประเด็นธรรม แก่นคำสอน หลักการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จึงรีบนำมาใส่ใจลงมือปฏิบัติดัดกายใจตนเองจนไฟที่ลุกไหม้อยู่บนหัวของตัวเองดับไปมอดไป ทุกวี่วันก็มีงานถอนฟืน 1,500 ท่อน ดับไฟ 108 กองให้หมดไป สิ้นไป ลดน้อยถอยลงไปตลอดเวลา ที่ละ 1% 2% 3% ไปจนถึง 25% ก็ได้นั่งแท่นทางธรรม บรรเทาความร้อนจากพิษไฟ ได้พักจิตพักใจรวมพลังดับไฟถอนฟืนต่อไปอีกจนกว่าจะดับได้ 50% 75% และ 100% ในที่สุดคือถึงที่ที่ไฟและเชื้อไฟบนหัวหมดสิ้นดับสนิทไม่ลุกได้อีก

บุคคลกลุ่มที่ 3 นี้ยังต้องมีชีวิตเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ได้เห็นเพื่อนมนุษย์ที่กำลังมีไฟไหม้อยู่เต็มหัวลุกโชนอยู่ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักวิธีดับไฟ จึงมีเมตตา กรุณา นำเอาประสบการณ์จริงวิธีการจริงๆที่ตนดับไฟถอนพิษไฟให้เบาบางจางลงได้ มาบอกกล่าวแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ผู้จมอยู่ในทุกข์ห้วงเดือดร้อนทั้งให้รู้ตัว รู้วิธีแล้วลงมือดับไฟบนหัวของตัวเองทันที สังเกตง่ายๆคนที่ดับไฟบนหัวตัวเองให้เบาบางได้บ้างหรือดับหมดไปแล้วท่านจะพูดสอนใช้บัญญัติตามภาษาพื้นฐานง่ายๆของชุมชนเชื้อชาตินั้นถ่ายทอดธรรมและวิธีดับไฟไปอาจไม่เหมือนสมมุติบัญญัติในคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่เนื้อหาปรมัตถ์นั่นเป็นอันเดียวกัน
ช่างน่าอัศจรรย์ในธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเป็นสากล
สามารถสื่อออกได้ทุกภาษาและบัญญัติของโลกปัจจุบัน ไม่มีขีดขั้นใดๆจากใจคนที่ถึงธรรมแล้ว

onion
:b36:
:b37:
:b38:
หมายเหตุ: บุคคลประเภทที่ 1 ได้แก่ชาวโลกทั่วไปที่ไม่มีโอกาสได้พบพุทธศาสนาและศึกษาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า จับประเด็นได้แล้วเอามาใส่ใจลงมือประพฤติปฏิบัติจริงจนได้ถึงฝั่ง นั่งแท่นทางธรรม

บุคคลกลุ่มที่ 2 ก็อย่างเช่นกรัชกาย หรือใครต่อใครที่เป็นนักวิชาการใหญ่ ยึดคัมภีร์แน่นจนไม่ลืมหูลืมตาแล้วหลงตัวเองว่าใช่ ได้ถึงธรรมแล้วโดยคิดเอาตามหลักทฤษฎี มีบุญอันยิ่งใหญ่จากการก้อปปี้คัมภีร์มาบอกกล่าวสอนคนเป็นแรงหนุน
ชาตินี้คงประกันได้ว่าไม่ตกอบายแล้ว....กระหยิ่มใจอยู่ทั้งๆที่ประตูอบายยังเปิดโล่งสำหรับตนเอง


บุคคลกลุ่มที่ 3 มีใครบ้างก็ดู รู้เอาเองตามคุณสมบัติที่บอกแนะไว้
onion


โพสต์ เมื่อ: 26 ต.ค. 2016, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จะตั้งโจทก์ให้ท่านอโศกทำนะขอรับ :b14: เอ้า

ถ้าไฟไหม้บ้านตนเองอยู่ ท่านอโศกจะดับเลย หรือรอให้ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้มะเรื่องหนึ่งก่อนจึงค่อยดับ จึงค่อยโทรแจ้งหน่วยดับเพลิงขอรับ :b1:

ตอบสิขอรับ :b13:

:b12:
ดีแล้ว ๆ ที่กรัชกายยกคำถามนี้มาถาม อันเป็นเหตุปัจจัยให้ได้แสดงธรรม

ปุถุชนทั้งหลายเปรียบเหมือนคนที่ไฟทุกข์ ไฟกิเลสตัณหา อัตตา กำลังลุกไหม้อยู่บนศีรษะของตนเองอยู่เลย ไม่ใช่ไฟไหม้บ้านอย่างที่กรัชกายเปรียบเทียบ

มีบุคคลอยู่ 2-3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

กลุ่มที่ 1 คือพวกที่ถูกโมหะอวิชชาปิดบังตามืดบอดจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีไฟไหม้อยู่บนหัวของตัวเอง

กลุ่มที่ 2 ได้เรียนรู้ปริยัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้โดยทฤษฎีว่า มีไฟลุกไหม้อยู่บนหัวของปุถุชนทุกคน รวมทั้งตัวเองด้วยแต่ไม่รู้ตัวไม่เจ็บแสบร้อนเพราะพิษไฟเนื่องจากหลงภูมิใจ ดีใจว่าตนได้รู้เรื่องดีๆอย่างนี้ จึงเที่ยววิ่งแล่นไปบอกกล่าวคนโน้นคนนี้ถึงวิธีดับไฟบนหัวตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตั้ง 21,000 วิธีตามมีในพระสูตร จากนั้นก็มอมเมาตนเองให้ลืมเรื่องไฟไหม้หัว ด้วยความสำคัญผิดคิดว่าตัวเองได้สร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการก้อปปี้คำสอนของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์มาบอกกล่าวผู้คน ตนต้องพ้นจากพิษไฟที่ไหม้ลามอยู่บนหัวนี้แน่ๆ

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มคนที่ฉลาดได้เรียนรู้ข้อธรรมแม้เพียงไม่กี่ข้อจากพระบรมศาสดาจนสามารถจับประเด็นธรรม แก่นคำสอน หลักการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จึงรีบนำมาใส่ใจลงมือปฏิบัติดัดกายใจตนเองจนไฟที่ลุกไหม้อยู่บนหัวของตัวเองดับไปมอดไป ทุกวี่วันก็มีงานถอนฟืน 1,500 ท่อน ดับไฟ 108 กองให้หมดไป สิ้นไป ลดน้อยถอยลงไปตลอดเวลา ที่ละ 1% 2% 3% ไปจนถึง 25% ก็ได้นั่งแท่นทางธรรม บรรเทาความร้อนจากพิษไฟ ได้พักจิตพักใจรวมพลังดับไฟถอนฟืนต่อไปอีกจนกว่าจะดับได้ 50% 75% และ 100% ในที่สุดคือถึงที่ที่ไฟและเชื้อไฟบนหัวหมดสิ้นดับสนิทไม่ลุกได้อีก

บุคคลกลุ่มที่ 3 นี้ยังต้องมีชีวิตเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ได้เห็นเพื่อนมนุษย์ที่กำลังมีไฟไหม้อยู่เต็มหัวลุกโชนอยู่ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักวิธีดับไฟ จึงมีเมตตา กรุณา นำเอาประสบการณ์จริงวิธีการจริงๆที่ตนดับไฟถอนพิษไฟให้เบาบางจางลงได้ มาบอกกล่าวแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ผู้จมอยู่ในทุกข์ห้วงเดือดร้อนทั้งให้รู้ตัว รู้วิธีแล้วลงมือดับไฟบนหัวของตัวเองทันที สังเกตง่ายๆคนที่ดับไฟบนหัวตัวเองให้เบาบางได้บ้างหรือดับหมดไปแล้วท่านจะพูดสอนใช้บัญญัติตามภาษาพื้นฐานง่ายๆของชุมชนเชื้อชาตินั้นถ่ายทอดธรรมและวิธีดับไฟไปอาจไม่เหมือนสมมุติบัญญัติในคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่เนื้อหาปรมัตถ์นั่นเป็นอันเดียวกัน
ช่างน่าอัศจรรย์ในธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเป็นสากล
สามารถสื่อออกได้ทุกภาษาและบัญญัติของโลกปัจจุบัน ไม่มีขีดขั้นใดๆจากใจคนที่ถึงธรรมแล้ว

onion
:b36:
:b37:
:b38:
หมายเหตุ: บุคคลประเภทที่ 1 ได้แก่ชาวโลกทั่วไปที่ไม่มีโอกาสได้พบพุทธศาสนาและศึกษาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า จับประเด็นได้แล้วเอามาใส่ใจลงมือประพฤติปฏิบัติจริงจนได้ถึงฝั่ง นั่งแท่นทางธรรม

บุคคลกลุ่มที่ 2 ก็อย่างเช่นกรัชกาย หรือใครต่อใครที่เป็นนักวิชาการใหญ่ ยึดคัมภีร์แน่นจนไม่ลืมหูลืมตาแล้วหลงตัวเองว่าใช่ ได้ถึงธรรมแล้วโดยคิดเอาตามหลักทฤษฎี มีบุญอันยิ่งใหญ่จากการก้อปปี้คัมภีร์มาบอกกล่าวสอนคนเป็นแรงหนุน
ชาตินี้คงประกันได้ว่าไม่ตกอบายแล้ว....กระหยิ่มใจอยู่ทั้งๆที่ประตูอบายยังเปิดโล่งสำหรับตนเอง


บุคคลกลุ่มที่ 3 มีใครบ้างก็ดู รู้เอาเองตามคุณสมบัติที่บอกแนะไว้
onion



เดี๋ยวก็ฟาดด้วยไม้หน้าสาม ถามอย่างตอบอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ต.ค. 2016, 06:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b34:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย ..เดี๋ยวก็ฟาดด้วยไม้หน้าสาม ถามอย่างตอบอย่าง

:b11:
กรัชกายก็ยิ่งต้องโดนฟาดกลับด้วยไม้หน้า 6 เพราะจับประเด็นคำตอบจากเรื่องที่อ่านไม่ได้

"แกล้งโง่หรือเปล่า หรือว่าโง่จริงๆเสียแล้ว ด้วยความรู้ที่ท่วมหัว หู ตา"
s004


โพสต์ เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 02:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1477771005854.jpg
1477771005854.jpg [ 39.41 KiB | เปิดดู 1641 ครั้ง ]
:b37:
ธรรมะนอกคัมภีร์
onion
โพสต์ เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b34:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย ..เดี๋ยวก็ฟาดด้วยไม้หน้าสาม ถามอย่างตอบอย่าง

กรัชกายก็ยิ่งต้องโดนฟาดกลับด้วยไม้หน้า 6 เพราะจับประเด็นคำตอบจากเรื่องที่อ่านไม่ได้

"แกล้งโง่หรือเปล่า หรือว่าโง่จริงๆเสียแล้ว ด้วยความรู้ที่ท่วมหัว หู ตา"


ไปไม่เป็น :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 30 ต.ค. 2016, 07:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b34:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย ..เดี๋ยวก็ฟาดด้วยไม้หน้าสาม ถามอย่างตอบอย่าง

กรัชกายก็ยิ่งต้องโดนฟาดกลับด้วยไม้หน้า 6 เพราะจับประเด็นคำตอบจากเรื่องที่อ่านไม่ได้

"แกล้งโง่หรือเปล่า หรือว่าโง่จริงๆเสียแล้ว ด้วยความรู้ที่ท่วมหัว หู ตา"


ไปไม่เป็น :b32:


onion
นี่แหละลักษณะคนทำวิปัสสนาภาวนาไม่เป็นทั้งลูกศิษย์และครูผู้สอนที่เที่ยวเอาปัญหาไปโพสต์ถามลองภูมิผู้อื่นไปทั่ว

onion
เจ็บ ก็รู้ว่าเจ็บ
ปวดรวดร้าว ก็รู้ว่าปวดรวดร้าว
ทุกข์ระทมตรมใจ ก็รู้ว่าทุกข์ระทมตรมใจ
ขมิบก้น ก็รู้ว่าขมิบก้น

อะไรมันจะเกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ ก็จงนิ่งรู้นิ่งสังเกตมันจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ด้วยวิริยะ ตะบะ อุตสาหะ ขันติอธิษฐานและสัจจะ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดจะทนทานได้ต่อการพิสูจน์ของญาณวิปัสสนาภาวนา คือปัญญาที่ตามรู้เห็นความเป็นจริงอันแสดงอยู่ในกายในใจ ไม่เนิ่นช้าจนขาดใจหรอก ทุกอารมณ์ความรู้สึกก็จะต้องดับไปเปลี่ยนไปด้วยอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอแต่อย่าใส่เจตนาเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวคิดแก้ไขกระบวนการแห่งธรรมที่กำลังแสดงด้วยกำลังแห่งเหตุและปัจจัยไปตาม ตถตานั้นๆ

เท่านั้นเอง.....ง่ายจะตาย.....วิปัสสนาภาวนา


:b34:
จำบทศึกษาบทนี้ไว้ให้ดีๆนะกรัชกาย ......ถ้าอ้ำอึ้งถึงวาระที่ไปไม่เป็นแล้วจะได้หาทางออกได้
onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 156 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร