วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 13:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 55 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b38:
โพชงค์ 7 เป็นสมาธิมรรค 6 ข้อ เป็นปัญญามรรคเพียงข้อเดียวคือ ธัมมวิจัยสัมโพชงค์

โพชงค์ เป็นองค์คุณที่นำไปสู่การบรรลุธรรม เป็นความเจริญสนับสนุนกันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันของสติ สมาธิ ปัญญา

สติตั้ง ปัญญาตาม ได้สมาธิเป็นผลหนุนเนื่องส่งกันขึ้นไปจนได้ถึงมรรค ผล นิพพาน
onion



สติตั้ง ปัญญาตาม...อิอิ พูดเหมือนคนสนทนากันในวงเหล้า สติตั้ง ปัญญาตาม สมาธิหนุนว่า คิกๆๆ

มวยไม่มีครู ทั้งปริยัติ ปฏิบัติอะไรไม่มีเลย

onion
มีสัญญาอะไรผุดขึ้นมาในจิต ให้นิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป สัญญาความจำนั้นดับไป วันข้างหน้าสัญญานั้นๆจะไม่เกิด ไม่ลุกขึ้นมากวนอีก นี่คือวิธีลบสัญญาอย่างง่ายๆ

อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆก็เช่นกัน ใช้วิธีเดียวกัน

อนุสัยต่างๆ ก็ใช้วิธีเดียวกัน

อาสวะต่างๆ ก็ใช้วิธีเดียวกัน

โอฆะต่างๆ ก็ใช้วิธีเดียวกัน

การกระทำบ่อยๆ....ความเคยชิน....นิสัย....อุปนิสัย....
สันดาน......สัญชาตญาณ ก็ใช้วิธีเดียวกันขุดถอน

วิธีที่บอก กับวิปัสสนาภาวนาหรือการเจริญมรรค 8 เป็นอันเดียวกัน

ลองทำดู พิสูจน์ดูแล้วจะรู้เองนะกรัชกาย.....รสริน

"นิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป"

:b11:



พูดเอานั่นๆนี่ๆ นิ่งรู้นิ่งสังเกตจนดับไปต่อหน้าต่อตา....มันจะนิ่งได้ยังไง เพราะจิตมันจะตายอยู่แล้ว มันเจ็บสุดประมาณยากอธิบายเป็นความรู้สึก ท่านอโศกดูตัวอย่าง

ขณะสวดมนต์แล้วได้เอนตัวลงนอนอย่างมีสติ...ได้บริกรรมพอง กับ ยุบ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไร...จนหลับไปไม่รู้ตัว...ระยะหนึ่ง...จิตได้เกิดกลางดึก คือ มีสติรู้ขึ้นมาทันทีของการพองยุบของท้อง และรู้สึกว่ามีนิ้วมือมากดที่สะดือแรงมาก เวลาที่พองออก ท้องก็จะพองออกมาก มือที่กดก็จะแรงไปตามการพองและยุบ จนรู้สึกกลัวมากเหมือนไส้จะหลุดออกมา.. แต่ผมก็พยายามดึงสติให้อยู่กับคำบริกรรมพอง ยุบอีก แต่พยายามแล้วจิตก็ทนไม่ได้ จิตสั่นไปหมดเหมือนท้องจะแตก จิตคิดตอนนั้นครับ

onion onion onion onion

นี่แหละลักษณะคนทำวิปัสสนาภาวนาไม่เป็นทั้งลูกศิษย์และครูผู้สอนที่เที่ยวเอาปัญหาไปโพสต์ถามลองภูมิผู้อื่นไปทั่ว

onion
เจ็บ ก็รู้ว่าเจ็บ
ปวดรวดร้าว ก็รู้ว่าปวดรวดร้าว
ทุกข์ระทมตรมใจ ก็รู้ว่าทุกข์ระทมตรมใจ
ขมิบก้น ก็รู้ว่าขมิบก้น

อะไรมันจะเกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ ก็จงนิ่งรู้นิ่งสังเกตมันจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ด้วยวิริยะ ตะบะ อุตสาหะ ขันติอธิษฐานและสัจจะ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดจะทนทานได้ต่อการพิสูจน์ของญาณวิปัสสนาภาวนา คือปัญญาที่ตามรู้เห็นความเป็นจริงอันแสดงอยู่ในกายในใจ ไม่เนิ่นช้าจนขาดใจหรอก ทุกอารมณ์ความรู้สึกก็จะต้องดับไปเปลี่ยนไปด้วยอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอแต่อย่าใส่เจตนาเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวคิดแก้ไขกระบวนการแห่งธรรมที่กำลังแสดงด้วยกำลังแห่งเหตุและปัจจัยไปตาม ตถตานั้นๆ

เท่านั้นเอง.....ง่ายจะตาย.....วิปัสสนาภาวนา

จำบทศึกษานี้ไว้ให้ดีๆ ไปท่องจำมาให้ขึ้นใจ เจอปัญหาเมื่อไรจะได้แก้ไขได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเอาปัญหาไปเที่ยวโพสต์ถามใครต่อใครให้ขายหน้าตนเองไปทั่วอย่างนี้
ที่เป็นครูบาอาจารย์ใหญ่แต่แก้ปัญหาไม่ได้ สอนลูกศิษย์ตนเองแก้ไขปัญหาไม่เป็น

s004

Kiss
ท่านอโศกะคะ
ในการเกิดดับของจิตแต่ละ1ขณะ
มีองค์ประกอบของขันธ์5ครบนะคะ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน
เช่นจิตเห็นปรากกฏเห็นแล้วดับทันที
ตอนกำลังเห็นน่ะไม่รู้ความจริงของเห็น
แต่ต้องเห็นตอนลืมตาและมีแสงสว่างและ
ตาไม่บอดด้วยต้องมีเหตุปัจจัยคือมีจิต+เจตสิก+รูป
มีจิตคือขณะที่เห็นมีคือจิตเห็นที่เป็นจักขุวิญญาณ+จักขุปสาทะ+รูปของเห็นปรากฏที่มหาภูตรูป
มีเจตสิกคือมีขันธ์3ขันธ์ที่ไม่ขาดกันกิดดับพร้อมจิตปรุงแต่งเจตนาแล้วไม่มีขณะไหนไม่เกิดกรรม
เพราะทุกขณะจิตประกอบด้วยเวทนาเจตสิก+สัญญาเจตสิก+สังขารเจตสิกเป็นวิบากคือผลกรรม
มี2ฝ่าย...1เป็นกุศลจิต คือจิต+โสภณเจตสิก+รูป...2เป็นอกุศลจิต คือจิต+อกุศลเจตสิก+รูป
ขณะที่จิตเห็น1ขณะเป็นกุศลเกิดจะไม่มีอกุศลมาเกิดปนได้ตรงๆก็คืออกุศลเจตสิกเกิดเมื่อขาดสติ

ขยายความให้เห็นชัดๆ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน

รูปคือรูปธรรมคือรูปขันธ์คือสภาพไม่รู้อะไรเลยมีปรากฏที่มหาภูตรูปมี28รูปและรูปที่เห็นมี1รูปเท่านั้น

เวทนาคือนามธรรมคือเวทนาขันธ์คือสภาพรู้ที่ไม่ใช่จิต เป็นเวทนาเจตสิก1ประเภท คือรู้สึกสุข-ทุกข์-เฉย

สัญญาคือนามธรรมคือสัญญาขันธ์คือสภาพรู้ที่ไม่ใช่จิต เป็นสัญญาเจตสิก1ประเภท คือจำได้ถูกหรือจำคลาดเคลื่อน

สังขารคือนามธรรมคือสังขารขันธ์คือสภาพรู้ที่ไม่ใช่จิต เป็นสังขารเจตสิก50ประเภท

วิญญาณคือนามธรรมคือวิญญาณขันธ์คือสภาพรู้ที่เป็นจิตหนึ่งเดียวเป็นประธานในการรู้ทุกอย่างที่ปรากฏ

ขันธ์ทั้ง5แต่ละ1ขณะจิตไม่ขาดกัน จิตเห็น1ขณะครบทั้ง5ขันธ์จิตอื่นๆก็เหมือนกันนะคะท่านอโศกะ
ทุกขณะจิตที่รับรู้ผ่านอายตนะ6มีการสะสมผ่านขันธ์5เดี๋ยวนี้เองกำลังมีแล้วแต่ไม่รู้เพราะมีอุปาทานขันธ์
แต่ละ1ขณะของจิตที่ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ดมกลิ่น กระทบสัมผัส คิดนึก ไม่ปนกันเกิดไม่พร้อมกัน
มีแล้วกำลังเกิดดับสลับกันเป็นแต่ละ1แต่ละทางไม่ปนกันและทุกขณะจิตมีขันธ์ครบ5ขันธ์นะท่านอโศกะ
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีแล้วกำลังมีกำลังเกิดดับด้วยไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยรู้ไหม
:b8:
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 11:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1464338127665-240x312.jpg
1464338127665-240x312.jpg [ 33.89 KiB | เปิดดู 1545 ครั้ง ]
onion
อ้างคำพูด:
อะไรมันจะเกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ ก็จงนิ่งรู้นิ่งสังเกตมันจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ด้วยวิริยะ ตะบะ อุตสาหะ ขันติอธิษฐานและสัจจะ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดจะทนทานได้ต่อการพิสูจน์ของญาณวิปัสสนาภาวนา คือปัญญาที่ตามรู้เห็นความเป็นจริงอันแสดงอยู่ในกายในใจ ไม่เนิ่นช้าจนขาดใจหรอก ทุกอารมณ์ความรู้สึกก็จะต้องดับไปเปลี่ยนไปด้วยอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอแต่อย่าใส่เจตนาเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวคิดแก้ไขกระบวนการแห่งธรรมที่กำลังแสดงด้วยกำลังแห่งเหตุและปัจจัยไปตาม ตถตานั้นๆ

:b44:
ไม่มีอะไรต่างกันในภาคปฏิบัติเมื่อสนใจรู้และสังเกตอยู่แต่ที่ปัจจุบันอารมณ์
:b11:
โพสต์ เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
อ้างคำพูด:
อะไรมันจะเกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ ก็จงนิ่งรู้นิ่งสังเกตมันจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ด้วยวิริยะ ตะบะ อุตสาหะ ขันติอธิษฐานและสัจจะ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดจะทนทานได้ต่อการพิสูจน์ของญาณวิปัสสนาภาวนา คือปัญญาที่ตามรู้เห็นความเป็นจริงอันแสดงอยู่ในกายในใจ ไม่เนิ่นช้าจนขาดใจหรอก ทุกอารมณ์ความรู้สึกก็จะต้องดับไปเปลี่ยนไปด้วยอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอแต่อย่าใส่เจตนาเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวคิดแก้ไขกระบวนการแห่งธรรมที่กำลังแสดงด้วยกำลังแห่งเหตุและปัจจัยไปตาม ตถตานั้นๆ

ไม่มีอะไรต่างกันในภาคปฏิบัติเมื่อสนใจรู้และสังเกตอยู่แต่ที่ปัจจุบันอารมณ์[/size][/color]



ถ้าท่านอโศกปฏิบัตินะ บ้าลูกเดียวขอรับ อ้าวจริงๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 14:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
onion
อ้างคำพูด:
อะไรมันจะเกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ ก็จงนิ่งรู้นิ่งสังเกตมันจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ด้วยวิริยะ ตะบะ อุตสาหะ ขันติอธิษฐานและสัจจะ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดจะทนทานได้ต่อการพิสูจน์ของญาณวิปัสสนาภาวนา คือปัญญาที่ตามรู้เห็นความเป็นจริงอันแสดงอยู่ในกายในใจ ไม่เนิ่นช้าจนขาดใจหรอก ทุกอารมณ์ความรู้สึกก็จะต้องดับไปเปลี่ยนไปด้วยอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอแต่อย่าใส่เจตนาเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวคิดแก้ไขกระบวนการแห่งธรรมที่กำลังแสดงด้วยกำลังแห่งเหตุและปัจจัยไปตาม ตถตานั้นๆ

ไม่มีอะไรต่างกันในภาคปฏิบัติเมื่อสนใจรู้และสังเกตอยู่แต่ที่ปัจจุบันอารมณ์[/size][/color]



ถ้าท่านอโศกปฏิบัตินะ บ้าลูกเดียวขอรับ อ้าวจริงๆ :b32:

:b13:
กลัวว่ากรัชกายจะบ้าไปก่อนเสียแล้ว บ้าวิชาจนสำคัญตัวผิด

ผู้คนที่มั่นอยู่ในอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา ปัจจุบันอารมณ์
ไม่มีโอกาสบ้าหรอกครับ เพราะเขาไม่หลงทาง ผิดกับคนที่ไปพยายามค้นคว้าเรื่องชีวิตแถมไม่พอมีจริตไปเก็บเอาปัญหาจากความขาดเสติ สัมปชัญญะและความฟุ้งซ่านของศิษย์มาใส่ใจใส่หัว นั่นแหละเตรียมตัวบ้าไว้ได้เลยเพราะแก้ปัญหาไม่ตก แก้ปัญหาไม่เป็น แก้ไม่ถูกเหตุ

:b7:


โพสต์ เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
onion
อ้างคำพูด:
อะไรมันจะเกิดขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ ก็จงนิ่งรู้นิ่งสังเกตมันจนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ด้วยวิริยะ ตะบะ อุตสาหะ ขันติอธิษฐานและสัจจะ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดจะทนทานได้ต่อการพิสูจน์ของญาณวิปัสสนาภาวนา คือปัญญาที่ตามรู้เห็นความเป็นจริงอันแสดงอยู่ในกายในใจ ไม่เนิ่นช้าจนขาดใจหรอก ทุกอารมณ์ความรู้สึกก็จะต้องดับไปเปลี่ยนไปด้วยอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอแต่อย่าใส่เจตนาเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวคิดแก้ไขกระบวนการแห่งธรรมที่กำลังแสดงด้วยกำลังแห่งเหตุและปัจจัยไปตาม ตถตานั้นๆ

ไม่มีอะไรต่างกันในภาคปฏิบัติเมื่อสนใจรู้และสังเกตอยู่แต่ที่ปัจจุบันอารมณ์[/size][/color]



ถ้าท่านอโศกปฏิบัตินะ บ้าลูกเดียวขอรับ อ้าวจริงๆ :b32:


กลัวว่ากรัชกายจะบ้าไปก่อนเสียแล้ว บ้าวิชาจนสำคัญตัวผิด

ผู้คนที่มั่นอยู่ในอริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา ปัจจุบันอารมณ์
ไม่มีโอกาสบ้าหรอกครับ เพราะเขาไม่หลงทาง ผิดกับคนที่ไปพยายามค้นคว้าเรื่องชีวิตแถมไม่พอมีจริตไปเก็บเอาปัญหาจากความขาดเสติ สัมปชัญญะและความฟุ้งซ่านของศิษย์มาใส่ใจใส่หัว นั่นแหละเตรียมตัวบ้าไว้ได้เลยเพราะแก้ปัญหาไม่ตก แก้ปัญหาไม่เป็น แก้ไม่ถูกเหตุ
:b7:


ตราบใดที่ท่านอโศกยังมองธรรมะไปบนฟ้า ไม่มองมาที่ชีวิตนี้ ไม่มีทางจะเข้าใจธรรมะตราบนั้นชัวร์ป๊าบๆ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อกระทู้อีกหน่อย


โพชฌงค์ ๗ ข้อนั้น ส่งผลต่อเนื่องกัน ดังตัวอย่างการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ สรุปเป็นแนวความได้ว่า ภิกษุได้เล่าเรียนสดับธรรม หรือคำสอนของท่านผู้รู้ผู้ทรงคุณแล้ว ปลีกกาย ปลีกใจ ได้โอกาสเหมาะ

๑. ยกเอาธรรมที่ได้สดับหรือสิ่งที่ได้เล่าเรียนนั้น ขึ้นมานึกทบทวน หวนระลึก จับเอามานึกสำรวจตรวจทาน เป็นอันได้เจริญสติสัมโพชฌงค์

๒. เมื่อมีสติระลึกนึกถึงอยู่อย่างนั้น ก็ใช้ปัญญาเฟ้น เลือกคัด คิดค้น ไตร่ตรอง สอบสวน พิจารณา จัด จำแนก แยกแยะ สืบสาว ไปด้วย เป็นอันได้เจริญธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์

๓. เมื่อใช้ปัญญาเลือกเฟ้น ไตร่ตรอง สอบสวนพิจารณา ก็เป็นอันได้ใช้ความเพียร ยิ่งเลือกเฟ้น มองเห็นความ เข้าใจชัดขึ้นหรือลึกลงไป ได้สาระคืบหน้า ก็ยิ่งคึกคัก มีกำลังใจ อยากเดินหน้าต่อไป กระตือรือร้น แข็งขัน เพียรพยายาม ไม่ย่นย่อ เป็นอันได้เจริญวิริยสัมโพชฌงค์

๔. พร้อมกับที่ระดมความเพียร เอาจริงเอาจัง มีกำลังใจเข้มแข็งรุดหน้า ก็เกิดปีติที่เป็นนิรามิส เป็นอันได้เจริญปีติสัมโพชฌงค์

๕. เมื่อใจปีติ ทั้งกายทั้งใจก็ผ่อนคลายสงบ เกิดกายปัสสัทธิ และจิตตปัสสัทธิ เป็นอันได้เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

๖. เมื่อกายผ่อนคลายสงบ มีความสุข จิตก็ตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เป็นอันได้เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์

๗. เมื่อจิตตั้งมั่นแน่วอยู่กับงานของมัน หรือทำกิจของมันได้ดีแล้ว ใจก็เรียบเข้าที่ เพียงแต่วางทีเฉยดูไป หรือนิ่งดูไปสบายพอดี เมื่อปฏิบัติเช่นนี้ ก็เป็นอันได้เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักไว้ว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นอาหารหล่อเลี้ยงโพชฌงค์ ๗ และสติปัฏฐาน ๔ นั้น เมื่อได้เจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ เมื่อเจริญแล้วทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

นี่ก็คือว่า การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการสร้างฐานปฏิบัติการ ให้คณะทำงานของโพชฌงค์มาลงสนามทำงาน

วิธีเจริญสติปัฏฐาน ๔ ที่จะยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ ก็คือ เมื่อมีกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา หรือธรรมานุปัสสนาอยู่

ในเวลานั้น บุคคลนั้นจะมีสติกำกับอยู่ ไม่เลือนหลง เมื่อมีสติอยู่อย่างนั้น ก็ใช้ปัญญาสอบสวน สืบค้นเลือกเฟ้นธรรม ตามหลักของธรรมวิจัย

ต่อจากนั้น การปฏิบัติตามโพชฌงค์ข้ออื่นๆ ก็จะดำเนินไปตามลำดับ อย่างทีกล่าวแล้วข้างต้น ช่วยนำไปสู่วิชชาและวิมุตติในที่สุด

แม้แต่ในการฟังธรรม ถ้าตั้งจิตมนสิการ ทุ่มเทให้อย่างหมดใจ เงี่ยโสตลงสดับ ในเวลานั้น นิวรณ์ ๕ ก็ไม่มี และโพชฌงค์ ๗ ก็เจริญเต็มบริบูรณ์

โพชฌงค์ ๗ นี้ จะเจริญโดยปฏิบัติพร้อมไปกับข้อปฏิบัติอื่นๆทั้งหลายก็ได้ เช่น ปฏิบัติพร้อมไปกับอานาปานสติ พร้อมไปกับอัปปมัญญา หรือพรหมวิหาร ๔ และสัญญาต่างๆ เช่น อนิจจสัญญา อสุภสัญญา วิราคสัญญา และนิโรธสัญญา เป็นต้น และ
จะช่วยให้ข้อปฏิบัติเหล่านั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ เพื่อความโปร่งปลอดรอดภัยอย่างมาก เพื่อความสังเวช คือปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้นในกุศลธรรมเป็นอย่างมาก เพื่อผาสุวิหารคือความอยู่ผาสุกเป็นอย่างมาก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 01 พ.ย. 2016, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โพชฌงค์ ๗ นี้ ในบาลีท่านแสดงเป็นความหมายของภาวนาปธาน คือ ความเพียรในการทำให้เกิดกุศลธรรม และเป็นยอดของปธานทั้งหลาย เป็นภาวนาพละ เป็นวิธีกำจัดอาสวะด้วยภาวนา เป็นกรรมชนิดไม่ดำไม่ขาว ซึ่งเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เป็นอปริหานิยธรรม คือธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญถ่ายเดียวไม่มีเสื่อมเลย และเป็นมรรคาให้ถึงอสังขตะ คือนิพพาน เช่นเดียวกับโพธิปักขิยธรรมอย่างอื่นๆ

(สํ.สฬ.18/715/449)


ต่อหัวข้อ "ความพร้อมเพรียงขององค์มรรค"

viewtopic.php?f=2&t=26198


นำมาตรงนี้ให้ท่านอโศกสังเกตดูหน่อย


ณ จุดนี้แหละที่ปัญหาเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความพร้อม

หรือแก่กล้าของอินทรีย์ต่างๆ

-บางคนอาจฝึกซ้อมไม่ต้องมาก ก็ประสบความสำเร็จโดยง่าย

-บางคนอาจฝึกหัดใช้เวลานาน แต่ฝึกไปสบายๆก็สำเร็จ

-บางคนทั้งฝึกยากลำบาก ทั้งต้องใช้เวลายาวนาน จึงสำเร็จ

-บางคนจะฝึกหัดอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย

นอกเหนือจากความแตกต่างระหว่างบุคคลแล้ว ความสำเร็จและความช้าเร็ว เป็นต้น ยังขึ้นต่อปัจจัยอื่น

อีก โดยเฉพาะการฝึกที่ถูกวิธี การมีผู้แนะนำหรือครูดีที่เรียกว่ากัลยาณมิตร ตลอดจนสภาพในกาย

และสภาพแวดล้อมทางกายภาพเป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 07:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b43:
การศึกษาและปฏิบัติธรรมต้องศึกษาและปฏิบัติเข้าไปในรูป นาม กาย ใจ ขันธ์ 5 ธาตุ 5 ก้อนนี้

ศึกษาให้รู้ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับเหตุทุกข์
วิธีทำให้ถึงความดับเหตุทุกข์

นี่คือการศึกษาตามคำสั่งสอนคำแนะนำของพระพุทธเจ้า

ถูกอยู่ที่ว่าขันธ์ 5 นี้คือก้อนชีวิต แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงเน้นให้ศึกษาถึงเรื่องรายละเอียดของชีวิตอันมีสิ่งที่จะต้องแยกแยะกล่าวถึงมากมายจนยากจะรู้จบเหมือนอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ทางวัตถุในโลกปัจจุบันเขาศึกษากัน

จงอย่าทำประเด็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกเฟ้นและคัดสรรไว้ดีแล้ว ย่นย่อ ตรงแหลมคม แก้ปัญหาสำคัญของสัตว์โลกได้ ให้บานปลายออกไปสู่เรื่องชีวิตหรือเรื่องอื่นที่กว้างขวางออกไปเลย

แค่อริยสัจ 4 ประการนี้ ก็จะหาผู้ที่รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งเจนจบก็หายากยิ่งแล้ว

แม้แต่คนที่เรียกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ เกือบ 90% เลยทีเดียวที่ยังไม่รู้ชัด ไม่จดจำได้ว่า

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร? แล้วนำอะไรมาสอน?

แม่แต่กรัชกายนักวิชาการใหญ่หรือน้องรสรินนักฟังนักคิดตามผู้ยิ่งใหญ่ก็อาจจะยังตอบคำถามได้ไม่ตรงประเด็นเลย
ไม่เชื่อลองตอบคำถามนี้ดูสิ

"พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร? แล้วนำอะไรมาสอน?"
s006


โพสต์ เมื่อ: 03 พ.ย. 2016, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b43:
การศึกษาและปฏิบัติธรรมต้องศึกษาและปฏิบัติเข้าไปในรูป นาม กาย ใจ ขันธ์ 5 ธาตุ 5 ก้อนนี้

ศึกษาให้รู้ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์
ความดับเหตุทุกข์
วิธีทำให้ถึงความดับเหตุทุกข์

นี่คือการศึกษาตามคำสั่งสอนคำแนะนำของพระพุทธเจ้า

ถูกอยู่ที่ว่าขันธ์ 5 นี้คือก้อนชีวิต แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงเน้นให้ศึกษาถึงเรื่องรายละเอียดของชีวิตอันมีสิ่งที่จะต้องแยกแยะกล่าวถึงมากมายจนยากจะรู้จบเหมือนอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ทางวัตถุในโลกปัจจุบันเขาศึกษากัน

จงอย่าทำประเด็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกเฟ้นและคัดสรรไว้ดีแล้ว ย่นย่อ ตรงแหลมคม แก้ปัญหาสำคัญของสัตว์โลกได้ ให้บานปลายออกไปสู่เรื่องชีวิตหรือเรื่องอื่นที่กว้างขวางออกไปเลย

แค่อริยสัจ 4 ประการนี้ ก็จะหาผู้ที่รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งเจนจบก็หายากยิ่งแล้ว

แม้แต่คนที่เรียกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ เกือบ 90% เลยทีเดียวที่ยังไม่รู้ชัด ไม่จดจำได้ว่า

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร? แล้วนำอะไรมาสอน?

แม่แต่กรัชกายนักวิชาการใหญ่หรือน้องรสรินนักฟังนักคิดตามผู้ยิ่งใหญ่ก็อาจจะยังตอบคำถามได้ไม่ตรงประเด็นเลย
ไม่เชื่อลองตอบคำถามนี้ดูสิ

"พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร? แล้วนำอะไรมาสอน?"
s006

Kiss
ศึกษาไม่เข้าใจเลยสงสัย
ความสงสัยคือนิวรณ์ธรรม
ที่ทำให้เนิ่นช้าและไม่ถึงสติ
ชีวิตคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน
ทุกภพภูมิมีชีวิตตามเหตุตามปัจจัย
ทรงสอนให้รู้เหตุปัจจัยที่มีที่กายจิตตน
ไม่ใช่เที่ยวไปจับผิดว่าคนนั้นใช่หรือไม่ใช่อริยบุคคล555
onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 07:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1477771005854.jpg
1477771005854.jpg [ 39.41 KiB | เปิดดู 1511 ครั้ง ]
:b12:
:b13:
:b32:
:b17:
จิต เจตสิก รูป....เป็นปรมัตถธรรม
55555555
:b13: :b13:
โพสต์ เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


จิต เจตสิก รูป....เป็นปรมัตถธรรม
55555555


บอกไม่เชื่อว่าที่ผ่านมาเสียเวลาเปล่า ปลูกผักปลูกหญ้าขายยังได้เงิน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 21:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




มีแต่เหตุกับผล_resize_resize-240x339.jpg
มีแต่เหตุกับผล_resize_resize-240x339.jpg [ 20.74 KiB | เปิดดู 1506 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


จิต เจตสิก รูป....เป็นปรมัตถธรรม
55555555


บอกไม่เชื่อว่าที่ผ่านมาเสียเวลาเปล่า ปลูกผักปลูกหญ้าขายยังได้เงิน :b1:
โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 05:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


จิต เจตสิก รูป....เป็นปรมัตถธรรม
55555555


บอกไม่เชื่อว่าที่ผ่านมาเสียเวลาเปล่า ปลูกผักปลูกหญ้าขายยังได้เงิน :b1:


มาอีกแระใยแมงมุม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 10 พ.ย. 2016, 17:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1478769661961.jpg
1478769661961.jpg [ 15.74 KiB | เปิดดู 1488 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


จิต เจตสิก รูป....เป็นปรมัตถธรรม
55555555


บอกไม่เชื่อว่าที่ผ่านมาเสียเวลาเปล่า ปลูกผักปลูกหญ้าขายยังได้เงิน :b1:


มาอีกแระใยแมงมุม :b1:

s004
มีปัญญาเห็นได้แค่ใยแมลงมุม
ไม่เห็นธรรมวิเศษที่แฝงบอกอยู่ในรูปภาพนั้น ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร

รูปที่เอามาให้ดูนี้เป็นการแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงกันของเหตุ ปัจจัยและผล ว่าเกี่ยวเนื่องกับความเวียนว่ายตายเกิดอย่างไร
อธิบายเรื่องยาวๆเท่าหนังสือเป็นเล่มบนกระดาษหน้าเดียว เรื่องอย่างนี้ นักวิชาการใหญ่อย่างกรัชกาย ไม่รู้ไม่เข้าใจ ดูน่าอนาถใจในสติปัญญาของคนที่คิดว่าตนเองเข้าใจธรรม
:b7:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 55 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร