วันเวลาปัจจุบัน 08 ส.ค. 2025, 18:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 21 ม.ค. 2017, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำนาน อังคุลิมาลปริตร

อังคุลิมาลปริตร คือ ปริตรของพระอังคุลิมาล มีประวัติว่า เมื่ออังคุลิมาลยังไม่ได้บวช มีชื่อว่า อหิงสกะ เป็นบุตรปุโรหิตในสำนักพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีความประพฤติเรียบร้อย แต่ถูกริษยาจากศิษย์อาจารย์ทิศาปาโมกข์ รวมทั้งอาจารย์เกิดความหวาดระแวง จึงออกอุบายทำลายอหิงสกะ จนต้องกลายเป็นโจรองคุลิมาล

พระพุทธองค์ ทรงเล็งเห็นอุปนิสัยอรหัตผลขององคุลิมาล ทราบด้วยพระพุทธญาณว่า

“ผู้นี้เป็นฉิมภวิกสัตว์ หากเราไปโปรด ความสวัสดีจะบังเกิดแก่องคุลิมาล เขาจักยืนฟังคำสังสอนของเราในป่านั้นแล้วจักกลับใจรู้สึกตัวขอบวช และเมื่อบวชไปไม่นานก็จะแจ้งซึ่งอภิญญา ๖ แทงตลอดบรรลุถึงพระอรหันต์ได้ในภายหน้า แต่ถ้าเราไม่ไปองคุลิมาลจักประทุษร้ายทำอนันตริยกรรมต่อมารดา เราพึงต้องทำการสงเคราะห์องคุลิมาล”

พระองค์จึงเสด็จไปโปรดองคุลิมาลในวันนั้นเอง

มีประวัติว่า ในพรรษาที่ ๑๙ ของพระพุทธองค์ วันหนึ่งเมื่อ เมื่อพระองคุลิมาลออกบิณฑบาตอยู่ ท่านได้พบหญิงมีครรภ์กำลังรอถวายอาหารบิณฑบาต เมื่อนางเห็นองคุลิมาลก็ตกใจวิ่งหนี ไปติดรั้วบ้านด้วยเหตุท้องแก่ จึงเป็นทุกข์ เพราะคลอดบุตรไม่ได้

พระองคุลิมาลเกิดความสงสาร จึงได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลเรื่องนี้

พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนพระปริตรนั้นแก่พระองคุลิมาล และท่านได้กลับไปสาธยายให้หญิงนั้นฟัง เมื่อนางได้ฟังพระปริตรนี้ก็คลอดบุตรได้โดยสะดวก ทั้งมารดาและบุตรก็ได้รับความสวัสดี
(ม.อฏ.2-245)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2017, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัพพโลเกอนภิรตสัญญา กำหนดหมายถึงความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง


สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา กำหนดหมายถึงความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง


สัพพัญญู ผู้รู้ธรรมทั้งปวง, ผู้รู้ทั่วทั้งหมด, พระนามของพระพุทธเจ้า


สัมปยุต ประกอบด้วย, สัมปยุตต์ ก็เขียน


สัมปยุตตธรรม ธรรมที่ประกอบอยู่ด้วย, ธรรมที่ประกอบกัน, สภาวธรรมที่เกิดร่วมกันหรือพ่วงมาด้วยกัน


สัมปัตตวิรัติ ความเว้นจากวัตถุอันถึงเข้า, การเว้นเมื่อประสบซึ่งหน้าคือไม่ได้สมาทานศีล หรือตั้งใจละเว้นมาก่อน แต่เมื่อประสบเหตุอันจะทำให้ความชั่วหรือละเมิดศีลเข้าเฉพาะหน้า ก็ละเว้นได้ในขณะนั้นเอง ไม่ล่วงละเมิด


สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจจ์ ๔ เห็นชอบตามคลองธรรมว่า ทำดีมีผลดี ทำชั่วมีผลชั่ว มารดาบิดามี (คือมีคุณความดีควรแก่ฐานะหนึ่งที่เรียกว่า มารดาบิดา) ฯลฯ เห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นต้น


สัมมาปฏิบัติ ปฏิบัติชอบ คือปฏิบัติชอบธรรม, ปฏิบัติถูกทำนองคลองธรรม, ดำเนินในมรรคมีองค์ ๘ ประการ


สัมมาปาสะ “บ่วงคล้องไว้มั่น” ความรู้จักผูกผสานรวมใจประชาชน ด้วยการส่งเสริมอาชีพ เช่น ให้คนจนกู้ยืมทุนไปสร้างตัวในพาณิชกรรม เป็นต้น (ข้อ ๓ ใน ราชสังคหวัตถุ ๔)


สัมมาสติ ระลึกชอบ คือระลึกใน สติปัฏฐาน ๔


สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ, จิตมั่นชอบ คือสมาธิที่เจริญตามแนวของ ฌาน ๔


สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ คือเว้นจากเลี้ยงชีวิตโดยทางที่ผิด เช่น โกงเขา หลอกลวง สอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญ ค้าคน ค้ายาเสพติด ค้ายาพิษ เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2017, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ราชสังคหวัตถุ สังคหวัตถุของพระราชา, หลักการสงเคราะห์ประชาชนของนักปกครอง มี ๔ คือ

๑. สัสสเมธะ ฉลาดบำรุงธัญญาหาร

๒. ปุริสเมธะ ฉลาดบำรุงข้าราชการ

๓. สัมมาปาสะ ผูกประสานรวมใจประชา (ด้วยส่งเสริมสัมมาชีพให้คนจนตั้งตัวได้)

๔. วาชไปยะ มีวาทะดูดดื่มใจ


ปกครอง คุ้มครอง, ดูแล, รักษา, ควบคุม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2017, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัสสเมธะ ความฉลาดในการบำรุงข้าวกล้า, ปรีชาในการบำรุงพืชพันธัญญาหาร ส่งเสริมการเกษตรให้อุดมสมบูรณ์ เป็นสังคหวัตถุประการหนึ่งที่ผู้ปกครองบ้านเมืองจะพึงบำเพ็ญ (ข้อ ๑ ในราชสังคหวัตถุ ๔)


สาชีพ แบบแผนแห่งความประพฤติที่ดีทำให้มีชีวิตร่วมเป็นอันเดียวกัน ได้แก่ สิกขาบททั้งปวงที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ในพระวินัย อันทำให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้มาจากถิ่นฐานชาติตระกูลต่างๆกัน มามีความเป็นอยู่เสมอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, มาคู่กับ สิกขา


สาธก อ้างตัวอย่างให้เห็นสม, ยกตัวอย่างมาอ้างให้เห็น


สาธยาย การท่อง, การสวด


สาธุ “ดีแล้ว” “ชอบแล้ว” คำที่พระสงฆ์เปล่งออกมาเพื่อแสดงความเห็นชอบต่อการกระทำ ต่อเรื่องราวที่ดำเนินไป หรือต่อกิจกรรมในพิธีนั้นๆ โดยนัย หมายถึงเปล่งวาจาแสดงความชื่นชม อนุโมทนาหรือเห็นชอบ, อีกนัยหนึ่ง มักใช้เป็นคำบอกแก่เด็ก เพื่อให้แสดงความเคารพด้วยการทำกิริยาไหว้ (บางทีคำกร่อนลงเหลือเพียงพูดสั้นๆว่า “ธุ”)


สาธุการ 1. การเปล่งวาจาว่า สาธุ (แปลว่า ดีแล้ว ชอบแล้ว) เพื่อแสดงความเห็นชอบด้วย ชื่นชม หรือยกย่องสรรเสริญ 2. ชื่อเพลงหน้าพาทย์เพลงหนึ่ง ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ใช้บรรเลงในการเริ่มพิธี เพื่อบูชาพระรัตนตรัย เช่น ในเวลาที่พระธรรมกถึกขึ้นสู่ธรรมาสน์เพื่อแสดงธรรม ตลอดจนใช้อัญเชิญเทพเจ้าและศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2017, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สารนาถ ชื่อปัจจุบันของอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้นครพาราณสี สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เคยเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นศูนย์กลางการศึกษาทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่ง มีเจดีย์ใหญ่สูง ๒๐๐ ฟุต ถูกชาวฮินดูทำลายก่อน แล้วถูกนายทัพมุสลิมทำลายสิ้นเชิงใน พ.ศ.๑๗๓๘ (สารนาถมาจาก สารังคนาถ แปลว่า ที่พึ่งของเหล่ากวางเนื้อ)


สายสิญจน์ เส้นด้ายสีขาวที่ใช้โยงในศาสนพิธีเพื่อเป็นสิริมงคลหรือเพื่อความคุ้มครองป้องกัน เป็นต้น เช่นที่พระถือในเวลาสวดมนต์ และที่นำมาวงรอบบ้านเรือนหรือบริเวณที่ต้องการความคุ้มครอง, ตามที่ปฏิบัติสืบกันมา ใช้ด้ายดิบ นำมาจับทบเป็น ๓ หรือ ๙ เส้น,
ถ้าพิจารณาตามรูปศัพท์ “สิญจน์” คือการรดน้ำ ซึ่งคงหมายถึงการรดน้ำในพิธีอภิเษก สายสิญจน์จึงอาจจะหมายถึงสายมงคลหรือสายศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสืบมาจากเส้นด้าย หรือสายเชือกที่ใช้ในพิธีอภิเษก
บางทีต้นเดิมของสายสิญจน์อาจมาจาก “ปริตฺตสุตฺต” (ปริตตสูตร-สายประปริตร)
ในคัมภีร์บาลีชั้นหลัง ซึ่งหมายถึงเส้นด้ายเพื่อความคุ้มครองป้องกัน หรือเส้นด้ายในการสวดประปริตร


สิบสองตำนาน “สิบสองเรื่อง” คือ พระปริตรที่มีอำนาจคุ้มครองป้องกันตามเรื่องต้นเดิมที่เล่าไว้ ซึ่งได้จัดรวมเป็นชุด รวม ๑๒ พระปริตร
อีกนัยหนึ่งว่า “สิบสองปริตร” แต่ตามความหมายนี้ น่าจะเขียน สิบสองตำนาณ คือ สิบสองตาณ (ตาณ= ปริตต์, แผลงตาณ เป็นตำนาณ)


สิริ ศรี, มิ่งขวัญ, มงคล, ความน่านิยม, ลักษณะดีงามที่นำโชคหรือต้อนรับเรียกมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ตรงข้ามกับกาฬกรรณี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2017, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิทธัตถกุมาร พระนามเดิมของพระพุทธเจ้า ก่อนเสด็จออกบรรพชา ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา คำว่า สิทธัตถะ แปลว่า “มีความต้องการสำเร็จ” หรือ “สำเร็จตามที่ต้องการ” คือ สมประสงค์ จะต้องการอะไรได้หมด ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา เมื่อพระชนมายุ ๑๖ ปี เสด็จออกบรรพชา เมื่อพระชนมายุ ๒๙ ปี ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ ๓๕ ปี ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๘๐ ปี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2017, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สีมา เขตกำหนดความพร้อมเพรียงสงฆ์, เขตชุมนุมของสงฆ์, เขตที่สงฆ์ตกลงไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายที่อยู่ภายในเขตนั้น จะต้องทำสังฆกรรมร่วมกัน แบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ

๑. พัทธสีมา แดนที่ผูก ได้แก่ เขตที่สงฆ์กำหนดขึ้นเอง

๒. อพัทธสีมา แดนที่ไม่ได้ผูก ได้แก่ ที่ทางบ้านเมืองกำหนดไว้แล้วตามปกติของเขา หรือที่มีอย่างอื่นในทางธรรมชาติเป็นเครื่องกำหนด สงฆ์ถือเอาตามกำหนดนั้นไม่วางกำหนดขึ้นเองใหม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2017, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สีมาสัมเภท 2 ความหมาย สังเกตความหมายที่ 2

.............

สีมาสัมเภท การทำเขตแดนให้ระคนปะปนกัน, การทลายขีดคั่นรวมแดน 1. ในทางพระวินัย หมายถึงการที่สีมาก่ายเกยคาบเกี่ยวกัน คือเป็นสีมาสังกระ

2. ในการเจริญเมตตาภาวนา (และเจริญพรหมวิหารข้ออื่นทุกข้อ) สีมาสัมเภท เป็นขั้นตอนสำคัญของความสำเร็จ กล่าวคือ
เบื้องต้น
ผู้ปฏิบัติเจริญเมตตาต่อบุคคลที่รักเคารพ เริ่มแต่เมตตาต่อตนเอง เพื่อเอาตัวเป็นพยานแล้วขยายจากคนที่รักมาก (ตอนนี้ไม่รวมเพศตรงข้ามและคนที่ตายแล้ว) ออกไปยังคนที่รักที่พอใจ

ต่อไปสู่คนที่เฉยๆ เป็นกลางๆ จนกระทั่งคนที่เกลียดชังเป็นศัตรูหรือคนคู่เวร เมื่อใดทำใจให้เมตตาปรารถนาดีต่อคน ๔ กลุ่มได้เสมอกันหมด คือ ต่อตนเอง ต่อคนที่รัก

ต่อคนที่เป็นกลางๆ และต่อศัตรูคนคู่เวร เมื่อนั้นเรียกว่าเป็น “สีมาสัมเภท” (คือเหมือนกำแพงที่กั้นพังทลายให้สี่แดนคือคนสี่กลุ่มนั้นรวมเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียว) ลุถึงขั้นที่มีจิตเมตตา เป็นต้น เสมอกันหมดต่อสรรพสัตว์ทั่วสรรพโลก

ในแง่การปฏิบัติ เมื่อจิตหมดความแบ่งแยกรวมเรียบเสมอลงได้ ก็เกิดเป็นอุปจารสมาธิ และสีมาสัมเภทนั่นเองก็เป็นนิมิตสำหรับการเจริญพรหมวิหารภาวนา

ผู้ที่เจริญเมตตาก็ดี เจริญกรุณาก็ดี เจริญมุทิตาก็ดี เมื่อเสพเจริญนิมิตนั้นไป ในที่สุดก็จะเกิดเป็นอัปปนาสมาธิ เข้าถึงปฐมฌาน แล้วเสพนิมิตนั้นต่อไปอีก ก็จะเข้าถึงทุติยฌาน และตติยฌาน ตามลำดับ

ต่อจากตติยฌานนั้น เขาเจริญอุเบกขาภาวนา จนกระทั่งมีจิตเป็นอุเบกขาต่อสรรพสัตว์เสมอกันได้ เป็นสีมาสัมเภท และเสพเจริญนิมิตแห่งสีมาสัมเภทนั้นไปจนเกิดจตุตตถฌาน

สำหรับบุคคลที่กล่าวมานี้ เมื่อมีจิตเป็นอัปปนาแล้วตั้งแต่ปฐมฌาน จะมีวิกุพพนา คือ เพราะจิตสงบปลอดโปร่งแคล่วคล่องและเป็นจริง ก็จึงสามารถแผกผันปรับแปรการแผ่เมตตา เป็นต้นนั้น ทั้งในแบบทั่วตลอดไร้ขอบเขต เป็นอโนธิสผรณา ทั้งในแบบเจาะจงจำกัดขอบเขต เป็นโอธิสผรณา และในแบบเฉพาะทิศจำเพาะแถบ เป็นทิสาผรณา ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยอัปปมัญญาธรรม

(ดูความหมาย: แผ่เมตตา ,วิกุพพนา, โอธิโสผรณา, อโนธิโสผรณา, ทิสาผรณา ...ข้างล่าง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แผ่เมตตา ตั้งจิตปรารถนาดีขอให้ผู้อื่นมีความสุข, คำแผ่เมตตาที่ใช้เป็นหลักว่า “สพฺเพ สตฺตา อเวรา อพฺยาปชฺฌา อนีฆา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ" แปลว่า ขอสัตว์ทั้งหลาย, (ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน) หมดทั้งสิ้น, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด) อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

(จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด) อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย,

(จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด) อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย จึงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตน (ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น) เถิด,

(ข้อความในวงเล็บเป็นส่วนที่เพิ่มเข้ามาในคำแปลเป็นไทย)

ผู้เจริญเมตตาธรรมอยู่เสมอ จนจิตมั่นในเมตตา มีเมตตาเป็นคุณสมบัติประจำใจ จะได้รับอานิสงส์ คือผลดี ๑๑ ประการ คือ

๑ หลับเป็นสุข

๒. ตื่นก็เป็นสุข

๓. ไม่ฝันร้าย

๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย

๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย

๖. เทวดาย่อมรักษา

๗. ไม่ต้องภัยจากไฟ

๘. จิตเป็นสมาธิง่าย

๙. สีหน้าผ่องใส

๑๐. เมื่อจะตาย ใจก็สงบ ไม่หลงใหลไร้สติ

๑๑. ถ้ายังไม่บรรลุคุณพิเศษที่สูงกว่า ย่อมเข้าถึงพรหมโลก


อนึ่ง การแผ่เมตตานี้ สำหรับท่านที่ชำนาญ เมื่อฝึกใจให้เสมอกันต่อสัตว์ทั้งหลายได้แล้ว จะทำจิตให้คล่องในการแผ่ไปในแบบต่างๆ แยกได้เป็น ๓ อย่าง (ขุ.ปฏิ.31/575/482) คือ

๑. แผ่ไปทั่วอย่างไม่มีขอบเขต เรียกว่า "อโนธิโสผรณา" (อย่างคำแผ่เมตตาที่ยกมาแสดงข้างต้น)

๒. แผ่ไปโดยจำกัดขอบเขต เรียกว่า "โอธิโสผรณา" เช่นว่า ขอให้คนพวกนั้นพวกนี้ ขอให้สัตว์เหล่านั้นเหล่านี้ จงเป็นสุข

๓. แผ่ไปเฉพาะทิศเฉพาะแถบ เรียกว่า "ทิสาผรณา" เช่นว่า ขอให้มนุษย์ทางทิศนั้นทิศนี้ ขอให้ประดาสัตว์ในแถบนั้นแถบนี้ หรือย่อยลงไปอีกว่า ขอให้คนจนคนยากไร้ในภาคนั้นภาคนี้ จงมีความสุข ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิกุพพนา การทำให้เป็นได้ต่างๆ, การยักเยื้องยักย้าย, การปรับแปลงแผลงผัน, เช่น ผู้ที่เจริญอัปปมัญญาจนชำนาญ มีจิตเสมอกันต่อสรรพสัตว์ และเข้าถึงฌานแล้ว สามารถแผ่เมตตาเป็นต้น ต่อสัตว์ทั้งหลาย แผกผันไปได้ต่างๆ ทั้งแบบกว้างขวางไม่มีขอบเขต (อโนธิโสผรณา) ทั้งแบบจำกัดขอบเขต (โอธิโสผรณา) และแบบเฉพาะเป็นทิศๆ (ทิสาผรณา) คำว่า “วิกุพพนา” นี้มักพบในชื่อเรียกอิทธิ (ฤทธิ์) แบบหนึ่ง คือ วิกุพพนาอิทธิ หรือวิกุพพนฤทธิ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โอธิโสผรณา “แผ่โดยมีขอบเขต” เมตตาที่ตั้งใจแผ่ไปต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างจำกัดขอบเขต เช่นว่า ขอให้ชนชาวเขา จงมีความสุข, ขอให้เหล่าพ่อค้า จงมีความสุข, ขอให้เต่าปลา จงมีความสุข

บางทีเรียก “โอทิสสกผรณา” (แผ่ไปเจาะจง)


อโนธิโสผรณา “แผ่โดยไม่มีขีดขั้น” หมายถึงเมตตาที่แผ่ไปต่อสัตว์ทั้งปวงอย่างไม่จำกัดขอบเขต (อย่างในคำแผ่เมตตาที่นิยมนำมาใช้กันทั่วไปว่า “สพฺเพ สตฺตา อเวรา โหนฺตุ ... สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ) แต่ถ้าตั้งใจแผ่เมตตานั้นโดยจำกัดขอบเขต
เช่นว่า “ขอให้เหล่าอารยชน จงเป็นสุข” “ขอให้ประดาสัตว์ป่า จงอยู่ดีมีสุข ไม่ถูกเบียดเบียน” ฯลฯ ก็เป็นแบบจำกัด เรียกว่า “โอธิโสผรณา” (แผ่โดยมีขอบเขต)

นอกจากนั้น ถ้าแผ่ไปต่อสัตว์เฉพาะ ในทิศนั้นทิศนี้ ยังเรียกต่างออกไปอีกว่า “ทิสาผรณา” (แผ่ไปเฉพาะทิศ)

ไม่เฉพาะเมตตาเท่านั้น แม้พรหมวิหารข้ออื่นๆก็มีทั้ง อโนธิโสผรณา โอธิโสผรณา และทิสาผรณา

อนึ่ง บางทีเรียก โอธิโสผรณา ว่า “โอธิสสกผรณา” (แผ่เจาะจง) และเรียก อโนธิโสผรณา ว่า “อโนธิสสกผรณา” (แผ่ไม่เจาะจง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทิสาผรณา “แผ่ไปในทิศ” หมายถึงเมตตาที่แผ่ไปต่อสัตว์ทั้งหลายในทิศนั้น ทิศนี้ เป็นแถบ เป็นภาค หรือเป็นส่วนเฉพาะ ซอยลงไป (แม้พรหมวิหารข้ออื่นก็เช่นเดียวกัน)


พรหมวิหาร ธรรมเครื่องอยู่ของพรหม, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ, ธรรมประจำใจของท่านผู้มีคุณความดียิ่งใหญ่ มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา


อัปปมัญญา ธรรมที่แผ่ไปไม่มีประมาณ หมายถึง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่แผ่ไปในมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย อย่างกว้างขวางสม่ำเสมอกัน ไม่จำกัดขอบเขต มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่กล่าวแล้วนั้น


(เมตตาที่แท้ พึงดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าที่มีเมตตาจิตเสมอกัน ทั้งในสัตว์ดุร้าย ทั้งศัตรูคู่เวร ทั้งบุคคลซึ่งเป็นโอรสของพระองค์เอง)

วธเก เทวทตฺตมฺหิ โจเร องฺคุลิมาลเก
ธนปาเล ราหุเล จ สพฺพตฺถ สมมานโส.


(พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น) มีใจสม่ำเสมอ ในบุคคลทั้งปวง คือ ในนายขมังธนู ในพระเทวทัต ในโจรองคุลิมาล ในช้างธนบาล และในพระราหุล.

......

โอรส “ผู้เกิดแต่อก” ลูกชาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ขอร่วมอนุโมทนาศัพท์ต่างๆที่ได้นำความหมายมาอธิบายค่ะ
:b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

ขอร่วมอนุโมทนาศัพท์ต่างๆที่ได้นำความหมายมาอธิบายค่ะ


คุณโรสหายไปไหนหลายวันครับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 ม.ค. 2017, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้จะใช้เมตตาจิตได้ดี เบื้องต้นจิตต้องมีสมาธิแล้ว เช่นตัวอย่างนี้

และให้สังเกตอีกแง่หนึ่ง คือว่าเค้าอ่านหนังสือแล้วมองไปถึงการกระทำ ว่าต้องลงมือทำลงมือฝึก (ตัดมา)


ฯลฯ

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรกคือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่า ให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ

หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ (ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า

ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔ (ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธีแล้วรู้สึกว่าเราน่าจะเหมาะกับวิธีนี้ คือเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง)

แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจ แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป คือไม่มีกาย

เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด ฯลฯ

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร