วันเวลาปัจจุบัน 09 ส.ค. 2025, 14:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 ส.ค. 2016, 22:06 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2961


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 22 ม.ค. 2017, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่สุด ๒ อย่าง ข้อปฏิบัติที่ผิดพลาดไม่อาจนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ๒ อย่าง คือ

๑. การประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกามทั้งหลาย เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค

๒. การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า หรือการทรมานตนให้ลำบากเปล่า เรียก อัตตกิลมถานุโยค


ทุกรกิริยา กิริยาที่ทำได้โดยยาก, การทำความเพียรอันยากที่ใครๆจะทำได้ ได้แก่ การบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษด้วยวิธีการทรมานต่างๆ เช่น กลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ (กลั้นลมหายใจ) และอดอาหาร เป็นต้น ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติก่อนตรัสรู้ อันเป็นฝ่ายอัตตกิลมถานุโยค และได้เลิกละเสียเพราะไม่สำเร็จประโยชน์ได้จริง เขียนเต็ม ทุกกรกิริยา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2017, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทักขิณานุปทาน ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย


ทาน การให้, ยกมอบแก่ผู้อื่น, ให้ของที่ควรให้ แก่คนที่ควรให้ เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ปันสิ่งของของคนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น, สิ่งที่ให้, ทรัพย์สินสิ่งของที่มอบให้หรือแจกออกไป, ทาน ๒ คือ

๑. อามิสทาน ให้สิ่งของ

๒. ธรรมทาน ให้ธรรม

ทาน ๒ อีกหมวดหนึ่ง คือ

๑. สังฆทาน ให้แก่สงฆ์ หรือให้เพื่อส่วนรวม

๒. ปาฏิบุคลิกทาน ให้เจาะจงแก่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ

ทานมิใช่ถูกต้องดีงามหรือเป็นบุญเสมอไป ทานบางอย่างถือไม่ได้ว่าเป็นทาน และเป็นบาปด้วย
ในพระไตรปิฎก (วินย. 8/974/326) กล่าวถึงทานที่ชาวโลกถือว่าเป็นบุญ แต่ที่แท้หาเป็นบุญไม่ (ทานที่เป็นบาป) ๕ อย่าง คือ

๑. มัชชทาน (ให้น้ำเมา)

๒. สมัชชทาน (ให้มหรสพ)

๓. อิตถีทาน (ให้สตรี)

๔. อุสภทาน (ท่านอธิบายว่าปล่อยให้โคอุสภะเข้าเข้าไปในฝูงโค)

๕.จิตรกรรมทาน (ให้ภาพยั่วยุกิเลส)

ในคัมภีร์มิลินทปัญหา (มิลินท.352) กล่าวถึงทานที่ไม่นับว่าเป็นทาน อันนำไปสู่อบาย ๑๐ อย่าง ได้แก่ ๕ อย่างที่กล่าวแล้ว และเพิ่มอีก ๕ คือ

๖. สัตถทาน (ให้ศัสตรา)

๗. วิสทาน (ให้ยาพิษ)

๘. สังขลิกทาน (ให้โซ่ตรวน)

๙. กุกกุฏสูกรทาน (ให้ไก่ให้สุกร)

๑๐. ตุลากูฏมานกูฏทาน (ให้เครื่องชั่งตวงวัดโกง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2017, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทานกถา เรื่องทาน, พรรณนาทาน คือ การให้ว่าคืออะไร มีคุณอย่างไร เป็นต้น (ข้อ ๑ ในอนุบุพพิกถา ๕)


ทานบดี “เจ้าแห่งทาน” ผู้เป็นใหญ่ในทาน, พึงทราบคำอธิบาย ๒ แง่ คือ

ในแง่ที่ ๑ ความแตกต่างระหว่าง ทายก กับ ทานบดี

ทายก” คือผู้ให้ เป็นคำกลางๆ แม้จะให้ของของผู้อื่นตามคำสั่งของเขา โดยไม่มีอำนาจหรือมีความเป็นใหญ่ในของนั้น ก็เป็นทายก (จึงไม่แน่ใจว่า จะปราศจากความหวงแหนหรือมีใจสละจริงแท้หรือไม่)

ส่วน “ทานบดี” คือผู้ให้ ที่เป็นเจ้าของ หรือมีอำนาจในของที่จะให้นั้น จึงเป็นใหญ่ในทานนั้น (ตามปกติต้องไม่หวงหรือมีใจสละจริง จึงให้ได้)
ในแง่ที่ ๑ นี้ จึงพูดจำแนกว่า บางคนเป็นทั้งทายกและเป็นทานบดี
บางคนเป็นทายก แต่ไม่เป็นทานบดี

ในแง่ที่ ๒ ความแตกต่างระหว่าง ทานทาส ทานสหาย และทานบดี,

บุคคลใด ตนเองบริโภคของดีๆ แต่แก่ผู้อื่นให้ของที่ไม่ดี ทำตัวเป็นทาสของสิ่งของ บุคคลนั้น เรียกว่า ทานทาส

บุคคลใด ตนเองบริโภคของอย่างใด ก็ให้แก่ผู้อื่นอย่างนั้น บุคคลนั้น เรียกว่า ทานสหาย

บุคคลใด ตนเองบริโภคหรือใช้ของตามที่พอมีพอเป็นไป แต่แก่ผู้อื่นจัดให้ของที่ไม่ดีๆ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจสิ่งของ แต่เป็นนายเป็นใหญ่ทำให้สิ่งของอยู่ใต้อำนาจของตน บุคคลนั้น เรียกว่า ทานบดี (รายละเอียด ดู ที.อ.1/267 ...)


ทานบารมี คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวดคือทาน, บารมีข้อทาน, การให้การสละอย่างยิ่งยวดที่เป็นบารมีขั้นปกติ เรียกว่า ทานบารมี ได้แก่ พาหิรภัณฑบริจาค คือ สละให้ของนอกกาย,

การให้การสละที่ยิ่งยวดขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นบารมีขั้นจวนสูงสุด เรียกว่า ทานอุปบารมี ได้แก่ อังคบริจาค คือสละให้อวัยวะในตัว เช่น บริจาคดวงตา,การให้การสละอันยิ่งยวดที่สุด ซึ่งเป็นบารมีขั้นสูงสุด เรียกว่า ทานปรมัตถบารมี ได้แก่ ชีวิตบริจาค คือสละชีวิต

การสละให้พาหิรภัณฑ์หรือพาหิรวัตถุ เป็นพาหิรทาน คือให้สิ่งภายนอก

ส่วนการสละให้อวัยวะเลือดเนื้อชีวิต ตลอดจนยอมตัวเป็นทาสรับใช้เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นอัชฌัตติกทาน คือ ให้ของภายใน (ข้อ ๑ ในบารมี ๑๐)


ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจาคทาน (ข้อ ๑ ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ และ ๑๐)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2017, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทานบน ถ้อยคำหรือสัญญาว่าจะไม่ทำผิดตามเงื่อนไขที่ได้ให้ไว้ ทัณฑ์บน ก็เรียก


ทำการเมือง ทำงานของแว่นแคว้น, ทำงานของหลวง


ทำคืน แก้ไข


ทำบุญ ทำความดี, ทำสิ่งที่ดีงาม, ประกอบกรรมดี ดังที่ท่านแสดงใน บุญกิริยาวัตถุ ๓ หรือบุญกิริยาวัตถุ ๑๐
แต่ที่พูดกันทั่วไป มักเพ่งที่การเลี้ยงพระตักบาตร ถวายจตุปัจจัยแก่พระสงฆ์ บริจาคบำรุงวัดและการก่อสร้างในวัดเป็นสำคัญ


ทิศาปาโมกข์ อาจารย์ผู้เป็นประธานในทิศ, อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง


ทิสาผรณา “แผ่ไปในทิศ” หมายถึงเมตตาที่แผ่ไปต่อสัตว์ทั้งหลายในทิศนั้น ทิศนี้ เป็นแถบ เป็นภาค หรือเป็นส่วนเฉพาะซอยลงไป ( แม้พรหมวิหารข้ออื่น ก็เช่นเดียวกัน)


ที่กัลปนา (ที่-กัน-ละ-ปะ-นา) ที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัดหรือพระศาสนา


ที่ธรณีสงฆ์ (ที่-ทอ-ระ-นี-สง) ที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด


ที่วัด ที่ซึ่งตั้งวัด ตลอดจนเขตของวัดนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2017, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุลลภธรรม สิ่งที่ได้ยาก, ความปรารถนาของคนในโลกที่ได้สมหมายโดยยาก มี ๔ คือ

๑. ขอโภคสมบัติจงเกิดมีแก่เรา โดยทางชอบธรรม

๒. ขอยศจงเกิดมีแก่เรากับญาติพวกพ้อง

๓. ขอเราจงรักษาอายุอยู่ได้ยืนนาน

๔. เมื่อสิ้นชีพแล้ว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค์

ธรรมเป็นเหตุให้สมหมาย ธรรมที่จะช่วยให้ได้ทุลลภธรรมสมหมาย มี ๔ คือ

๑. สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา

๒. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล

๓.จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาค

๔. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2017, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เทศนา การแสดงธรรมสั่งสอนในทางศาสนา, การชี้แจงให้รู้จักดีรู้จักชั่ว, คำสอน, มี ๒ อย่าง คือ

๑. บุคคลาธิษฐาน เทศนา เทศนามีบุคคลเป็นที่ตั้ง

๒. ธรรมาธิษฐาน เทศนา เทศนามีธรรมเป็นที่ตั้ง


เทสนาปริสุทธิ ความหมดจดแห่งการแสดงธรรม



โทมนัส ความเสียใจ, ความเป็นทุกข์ใจ


โทสะ ความคิดประทุษร้าย (ข้อ ๒ ในอกุศลมูล ๓)


โทสจริต คนมีพื้นนิสัยหนักในโทสะ หงุดหงิด โกรธง่าย แก้ด้วยเจริญเมตตา (ข้อ ๒ ในจริต ๖)


โทสคติ ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน, ลำเอียงเพราะชัง (ข้อ ๒ ในอคติ ๔)


ไทยธรรม ของควรให้, ของทำบุญต่างๆ, ของถวายพระ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2017, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เทวทูต ทูตของยมเทพ, สื่อแจ้งข่าวของมฤตยู, สัญญาณที่เตือนให้ระลึกถึงคติธรรมของชีวิต มิให้มีความประมาท จัดเป็น ๓ ก็มี ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย

จัดเป็น ๕ ก็มี ได้แก่ เด็กแรกเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนถูกลงราชทัณฑ์ และคนตาย

(เทวทูต ๓ มาในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เทวทูต ๕ มาในเทวทูตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์)

ส่วนยมทูต ๔ ที่เจ้าชอบสิทธัตถะพบก่อนบรรพชา คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย สมณะ นั้น ๓ อย่างแรก เป็นเทวทูต ส่วนสมณะ เรียกรวมเป็นเทวทูตไปด้วยโดยปริยาย เพราะมาในหมวดเดียวกัน

แต่ในบาลี ท่านเรียกว่า นิมิต ๔ หาเรียกเทวทูต ๔ ไม่

อรรถกถาบางแห่งพูดแยกว่า พระสิทธัตถะเห็นเทวทูต ๓ และสมณะ

(มีอรรถกถาแห่งหนึ่ง อธิบายในเชิงว่า อาจเรียกทั้งสี่อย่างเป็นเทวทูตได้ โดยความหมายว่าเป็นของที่เทวดานิรมิตไว้ระหว่างทางเสด็จของพระสิทธัตถะ)

เทวปุตตมาร มารคือเทพบุตร, เทวบุตรเป็นมาร เพราะเทวบุตรบางตนที่มุ่งร้ายคอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ไม่ให้สละความสุขออกไปบำเพ็ญคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ ทำให้บุคคลนั้นพินาศจากความดี,

คัมภีร์สมัยหลังๆ ออกชื่อว่า พญาวสวัตตดีมาร (ข้อ ๕ ในมาร ๕)


เทฺววาจิก “มีวาจาสอง” หมายถึง ผู้กล่าววาจาถึงสรณะสอง คือ พระพุทธและพระธรรม ในสมัยที่ยังไม่มีพระสงฆ์ ได้แก่ พาณิชสอง คือ ตปุสสะ และภัลลิกะ เทียบ เตวาจิก


เทวสถาน ที่ประดิษฐานเทวรูป, โบสถ์พราหมณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 29 ม.ค. 2017, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทิศ ด้าน, ข้าง, ทาง, แถบ, ทิศแปด คือ อุดร อีสาน บูรพา อาคเนย์ ทักษิณ หรดี ประจิม พายัพ ทิศสิบ คือ ทิศแปดนั้น และทิศเบื้องบน (อุปริมทิศ) ทิศเบื้องล่าง (เหฏฐิมทิศ)

ทิศหก บุคคลประเภทต่างๆที่เราต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ดุจทิศที่อยู่รอบตัว จัดเป็น ๖ ทิศ ดังนี้

๑. ปุรัตถิมทิศ ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ บิดามารดา: บุตรธิดาพึงบำรุงบิดามารดา ดังนี้

๑) ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
๒) ช่วยทำกิจธุระการงานของท่าน
๓) ดำรงวงศ์สกุล
๔) ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
๕) เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน

- มารดาบิดา อนุเคราะห์บุตรธิดา ดังนี้

๑) ห้ามกันจากความชั่ว
๒) ฝึกอบรมให้ตั้งอยู่ในความดี
๓) ให้ศึกษาศิลปวิทยา
๔) เป็นธุระในการมีคู่ครองที่สมควร
๕) มอบทรัพย์สมบัติให้ในโอกาสอันสมควร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 30 ม.ค. 2017, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. ทักขิณทิศ ทิศเบื้องขวา ได้แก่ ครูอาจารย์: ศิษย์พึงบำรุงครูอาจารย์ ดังนี้
๑) ลุกต้อนรับ แสดงความเคารพ
๒) เข้าไปหา (เช่น ช่วยรับใช้ ปรึกษาซักถาม รับคำแนะนำ)
๓) ตั้งใจฟังและรู้จักฟัง
๔) ปรนนิบัติ ช่วยบริการ
๕) เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ

- ครูอาจารย์ อนุเคราะห์ศิษย์ ดังนี้
๑) แนะนำฝึกอบรมให้เป็นคนดี
๒) สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
๓) สอนศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง
๔) ยกย่องให้ปรากฏในหมู่พวก
๕) สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ คือสอนให้ศิษย์ปฏิบัติได้จริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 30 ม.ค. 2017, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. ปัจฉิมทิศ ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตรภรรยา: สามีพึงบำรุงภรรยา ดังนี้

๑) ยกย่องให้เกียรติสมฐานะภรรยา
๒) ไม่ดูหมิ่น
๓) ไม่นอกใจ
๔) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้
๕) หาเครื่องแต่งตัวมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส


- ภรรยา อนุเคราะห์สามี ดังนี้
๑) จัดงานบ้านให้เรียบร้อย
๒) สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
๓) ไม่นอกใจ
๔) รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้
๕) ขยันช่างจัดช่างทำเอางานทุกอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 30 ม.ค. 2017, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๔. อุตตรทิศ ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย : บำรุงมิตรสหาย ดังนี้
๑) เผื่อแผ่แบ่งปัน
๒) พูดอย่างรักกัน
๓) ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
๔) มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน
๕) ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน

- มิตรสหาย อนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
๑) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน
๒) เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน
๓) ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้
๔) ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
๕) นับถือตลอดวงศ์ญาติของมิตร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 30 ม.ค. 2017, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๕. เหฏฐิมทิศ ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน: นายพึงบำรุงคนรับใช้และคนงาน ดังนี้

๑) จัดงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลังเพศวัยและความสามารถ
๒) ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่
๓) จัดสวัสดิการดี มีช่วยรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ เป็นต้น
๔) มีอะไรได้พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
๕) ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาส

- คนรับใช้และคนงาน อนุเคราะห์นาย ดังนี้
๑) เริ่มทำงานก่อน
๒) เลิกงานทีหลัง
๓) เอาแต่ของที่นายให้
๔) ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
๕) นำความดีของนายงานและกิจการไปเผยแพร่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 30 ม.ค. 2017, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๖. อุปริมทิศ ทิศเบื้องบน ได้แก่ พระสงฆ์ สมณพราหมณ์: คฤหัสถ์ บำรุงพระสงฆ์ ดังนี้

๑) จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา
๒) จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา
๓) คิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา
๔) ต้อนรับด้วยความเต็มใจ
๕) อุปถัมภ์ ด้วยปัจจัย ๔

- พระสงฆ์ อนุเคราะห์คฤหัสถ์ ดังนี้
๑) ห้ามปรามจากความชั่ว
๒) ให้ตั้งอยู่ในความดี
๓) อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี
๔) ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยฟัง
๕) ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง
๖) บอกทางสวรรค์ให้ สอนวิธีดำเนินชีวิตให้ประสบความสุขความเจริญ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร