วันเวลาปัจจุบัน 04 ต.ค. 2025, 16:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2017, 00:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขารมีอยู่ 3 อย่าง มีกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร วิธีดับกายสังขาร ดูลมหายใจเข้าออก เข้าหนอๆ ออกหนอๆ

ลมหายใจจะแผ่วเบาลงและเล็กลงให้เห็นและดับแว๊บไปให้เห็น คือ เรียกว่าดับกายสังขาร
ดับวจีสังขาร กำหนด จะคิดหนอๆ ความคิดนั้นเล็กลงกว่าปลายเข็มและความคิดนั้นก็ดับแว๊บลง เรียกว่าดับ
วจีสังขาร
ดับจิตสังขาร ความจำและการเสวยอารมณ์เฉยๆ แผ่วเบาลงไป เล็กลงไปให้เห็น ความจำและความเฉยก็ดับแว๊บให้เห็น เรียกว่า ดับจิตสังขาร ก็เป็นอันว่าดับสังขารได้ทั้งหมด เป็นไปด้วยความไวกว่าพริบตา แต่จะเห็นได้ต้องเห็นได้ด้วยญาณปัญญาที่รู้จักต้นเหตุ คือ จะดับหนอๆ

อันดับแรก กายสังขาร คือ ลมหายใจเข้าออกดับก่อน
อันดับที่ 2 คือ วจีสังขาร คือ ความนึกคิดดับเป็นขั้นที่ 2
อันดับที่ 3 ดับจิตสังขาร ความจำเฉย เป็นจิตสังขาร ดับสุดท้ายเป็นอันว่า ดับเกลี้ยงไม่เหลือหรอ

พอผู้ปฎิบัติจะรู้ตัวครั้งแรก จิตสังขารย่อมเกิดก่อนเป็นอันดับแรก ก็จะมีความจำเฉยเกิดขึ้นมาก่อน
วจึสังขารเกิดขึ้นอันดับที่ 2 จะเกิดความนึกคิดขึ้นมา
กายสังขารเกิดขึ้นเป็นอันดับสุดท้าย ลมหายใจจะแขม่วขึ้นมา

หน้าที่ของผู้ปฎิบัติเพียงแต่รู้ทันในสิ่งที่เกิดมาเท่านั้น อย่าให้บัญญัติถาม ตอบ ชอบ ชัง เข้าไป เอาแต่สักแต่ว่า รู้ทันอย่างไหนก็รู้ทันอย่างนั้น จะนิ่งหนอๆ จะเฉยหนอๆ จะดับหนอๆ จะสงสัยหนอๆ

สมกับพุทธสุภาษิตที่ทรงตรัสไว้ว่า สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ผู้ใดรู้ทันดับเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง

จากสายสืบนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2017, 06:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
จะดับสังขารทั้งปวงได้ ต้อง ดับความคิดนึกปรุงแต่งให้ได้เสียก่อนแล้วสังขารที่เหลือจะดับตามหมด

ความคิดนึกปรุงแต่งจะดับไปตั้งแต่ฌาณ 2 แล้วดับสนิทที่ฌาณ 4 พระบรมศาสดาจึงตรัสไว้แปลความเป็นไทยได้ว่าสัมมาสมาธิคือการเข้าถึงฌาณ 4

เมื่อดับความคิดนึกได้จนชำนาญดั่งใจแล้วก็จึงจะสามารถมาสั่ง ใช้ ความคิดนึกให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้
นี่เป็นเส้นทางสมถะภาวนา

แต่เส้นทางวิปัสสนาภาวนานั้นไม่ใช้ฌาณนำหน้าแต่ใช้คำว่า

"เฉย"

อะไรที่เกิดขึ้นให้รู้เป็นปัจจุบันอารมณ์ จะมีมากมายเนิ่นนานแค่ไหนก็ให้มีปฏิกิริยาตอบโต้จากใจแค่

"รู้อยู่เฉยๆ"

รู้อยู่เฉยๆ คือรู้ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ทุกอย่าง โดยไร้การแทรกแซง

ถ้าจะมาเทียบคำสอนจากตำราก็คือ

"อาตาปี สัมปฌาโน สติมา วิเนยยะโลเกอภิชฌา โทมนัสสัง"

แปลว่า มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญา มีสติ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก (โลก ในที่นี้ก็คือ ผัสสะของ
ทวารทั้ง 6 หรืออายตนะทั้ง 12 นั่นเอง)

ยินดี เอาออกได้ก็จะเหลือ เฉย

ยินร้าย เอาออกได้ก็จะเหลือ เฉย

เฉยได้มากเข้าๆชำนาญเข้าก็จะถึง "เฉยโดยสมบูรณ์"
หรือ "สังขารุเปกขาญาณ" ซึ่งก็คือ สัมมาสมาธิอีกทางหนึ่งนั่นเอง
:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2017, 07:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
จะดับสังขารทั้งปวงได้ ต้อง ดับความคิดนึกปรุงแต่งให้ได้เสียก่อนแล้วสังขารที่เหลือจะดับตามหมด

ความคิดนึกปรุงแต่งจะดับไปตั้งแต่ฌาณ 2 แล้วดับสนิทที่ฌาณ 4 พระบรมศาสดาจึงตรัสไว้แปลความเป็นไทยได้ว่าสัมมาสมาธิคือการเข้าถึงฌาณ 4

เมื่อดับความคิดนึกได้จนชำนาญดั่งใจแล้วก็จึงจะสามารถมาสั่ง ใช้ ความคิดนึกให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้
นี่เป็นเส้นทางสมถะภาวนา

แต่เส้นทางวิปัสสนาภาวนานั้นไม่ใช้ฌาณนำหน้าแต่ใช้คำว่า

"เฉย"

อะไรที่เกิดขึ้นให้รู้เป็นปัจจุบันอารมณ์ จะมีมากมายเนิ่นนานแค่ไหนก็ให้มีปฏิกิริยาตอบโต้จากใจแค่

"รู้อยู่เฉยๆ"

รู้อยู่เฉยๆ คือรู้ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ทุกอย่าง โดยไร้การแทรกแซง

ถ้าจะมาเทียบคำสอนจากตำราก็คือ

"อาตาปี สัมปฌาโน สติมา วิเนยยะโลเกอภิชฌา โทมนัสสัง"

แปลว่า มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญา มีสติ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก (โลก ในที่นี้ก็คือ ผัสสะของ
ทวารทั้ง 6 หรืออายตนะทั้ง 12 นั่นเอง)

ยินดี เอาออกได้ก็จะเหลือ เฉย

ยินร้าย เอาออกได้ก็จะเหลือ เฉย

เฉยได้มากเข้าๆชำนาญเข้าก็จะถึง "เฉยโดยสมบูรณ์"
หรือ "สังขารุเปกขาญาณ" ซึ่งก็คือ สัมมาสมาธิอีกทางหนึ่งนั่นเอง
:b37:


ปลาติดน้ำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2017, 07:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
จะดับสังขารทั้งปวงได้ ต้อง ดับความคิดนึกปรุงแต่งให้ได้เสียก่อนแล้วสังขารที่เหลือจะดับตามหมด

ความคิดนึกปรุงแต่งจะดับไปตั้งแต่ฌาณ 2 แล้วดับสนิทที่ฌาณ 4 พระบรมศาสดาจึงตรัสไว้แปลความเป็นไทยได้ว่าสัมมาสมาธิคือการเข้าถึงฌาณ 4

เมื่อดับความคิดนึกได้จนชำนาญดั่งใจแล้วก็จึงจะสามารถมาสั่ง ใช้ ความคิดนึกให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้
นี่เป็นเส้นทางสมถะภาวนา

แต่เส้นทางวิปัสสนาภาวนานั้นไม่ใช้ฌาณนำหน้าแต่ใช้คำว่า

"เฉย"

อะไรที่เกิดขึ้นให้รู้เป็นปัจจุบันอารมณ์ จะมีมากมายเนิ่นนานแค่ไหนก็ให้มีปฏิกิริยาตอบโต้จากใจแค่

"รู้อยู่เฉยๆ"

รู้อยู่เฉยๆ คือรู้ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ทุกอย่าง โดยไร้การแทรกแซง

ถ้าจะมาเทียบคำสอนจากตำราก็คือ

"อาตาปี สัมปฌาโน สติมา วิเนยยะโลเกอภิชฌา โทมนัสสัง"

แปลว่า มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญา มีสติ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก (โลก ในที่นี้ก็คือ ผัสสะของ
ทวารทั้ง 6 หรืออายตนะทั้ง 12 นั่นเอง)

ยินดี เอาออกได้ก็จะเหลือ เฉย

ยินร้าย เอาออกได้ก็จะเหลือ เฉย

เฉยได้มากเข้าๆชำนาญเข้าก็จะถึง "เฉยโดยสมบูรณ์"
หรือ "สังขารุเปกขาญาณ" ซึ่งก็คือ สัมมาสมาธิอีกทางหนึ่งนั่นเอง
:b37:


ปลาติดน้ำ


ไม่ยุติธรรม...ไม่ยุติธรรม...มาว่า..ปลาติดน้ำ...เฉยๆอย่างนี้ได้งัย...

ต้องอธิบายด้วย...ซี

:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2017, 07:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

ไม่ยุติธรรม...ไม่ยุติธรรม...มาว่า..ปลาติดน้ำ...เฉยๆอย่างนี้ได้งัย...

ต้องอธิบายด้วย...ซี

:b9: :b9: :b9:


เคยเห็นปลาขึ้นมาบนบกไหมล่ะ ดูเหมือนว่าเจ้าปลาน่ะสนใจบก
แท้จริงแล้วเจ้าปลาขึ้นบกมันสนใจน้ำอีกที่หนึ่งใช่ไหมล่ะ หรือแค่อยากย้ายภูมิ

ก็เฉกเช่นเดียวกันทำให้ดูดีว่าสนใจคำสอน แท้จริงมาบิดเบือนคำสอนต่างหาก

เพราะอะไรล่ะก็เพราะว่าเขายังชินกับที่ต่ำอยู่ เหมือนคำพังเพยที่ว่าปลาติดน้ำ ยังไงๆก็ยังอยากไปที่เดิมอยู่

ง่ายๆนะเราลองไปเอาปลามาวางบนบกซิ ยังไงเสียมันก็ต้องดิ้นแสวงหาน้ำอยู่
มันจะไม่ชำเรืองดูเลยในเรื่องบนบก น้ำจะไม่เคยเปลี่ยนใจปลา

คำพังเพยนี้อธิบายได้เยอะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2017, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
น่าสงสารสัตว์โลก
:b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2017, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พึงโจทษ์โทษตน..เถิด.

อิอิ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2017, 20:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
พึงโจทษ์โทษตน..เถิด.

อิอิ..

:b13:
คำพูดนี้ ดีที่จะเอาไปใช้กับทุกๆฝ่าย
อะอะๆๆๆๆๆๆๆๆ
:b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2017, 03:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
พึงโจทษ์โทษตน..เถิด.

อิอิ..

:b13:
คำพูดนี้ ดีที่จะเอาไปใช้กับทุกๆฝ่าย
อะอะๆๆๆๆๆๆๆๆ
:b17:


มี...ทุกๆฝ่าย...ด้วย..อิอิ..

จะไปใช้กับใครละ..เขาให้โจทษ์ตัวเอง...คราบ..
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2017, 10:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b19:
ก็สังขารกันไปตามใจและกิเลสของตน

ดับคิดไม่ได้ ก็ดับสังขารไม่ลง
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2017, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงๆ แล้วต้องรู้ทันในความเฉย ถ้ารู้ทันในความเฉย จะเห็นต้น กลาง สุด แห่งความเฉย
ถ้าไม่เห็นต้น กลาง สุด ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และทางออกแห่งความเฉย จะเป็นอสัญญตพรหม
ถ้ารู้ทันเหตุเกิด เหตุดับ คุณ โทษ และทางออก จะดับสังขาร 3 ได้ทั้งหมด
จริงๆ แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า การละกิเลสความยึดถือ ต้องละด้วยการรู้ การเห็น
เราไม่ได้กล่าวว่าละด้วยการไม่รู้ไม่เห็น

การหลุดพ้น จิตหลุดพ้น ก็ต้องรู้ทันว่าหลุดพ้น หลุดพ้นด้วยอาการใดก็ต้องรู้ว่าหลุดพ้นด้วยอาการใด
หรือไม่หลุดพ้นด้วยอาการใดก็ต้องรู้ว่าไม่หลุดพ้นด้วยอาการใด

สมกับพุทธพจน์ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า พิจารณาด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ปัญญาเกิดจากการประกอบ
ประกอบด้วยดีย่อมมีปัญญา ปัญญาเกิดจากการสังเกต สังเกตด้วยดีย่อมมีปัญญา

คำว่าสังเกต พิจารณาหรือรู้ทัน หรือภาวณามยปัญญา รวมแล้วเรียกว่าวิปัสสนา สั้นๆ เรียกว่า สักแต่ว่ารู้
ไม่ได้ประกอบด้วยชอบ ชัง เฉย แล้วก็ดับลงไปให้เห็นด้วยปัญญาในปัจจุบันในขณะนั้น เข้าไปเสวยอารมณ์ในอริยมรรคอริยผล 1 ขณะจิตบ้าง 2 ขณะจิตบ้าง ผู้ที่ปฎิบัติจะรู้สึกว่าความรู้สึกขาดหายไปทั้งๆ ที่รู้ไวกว่าพริบตา

จากสายสืบนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2017, 15:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 16:42
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอน้อมกราบพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบสาธุ สาธุ สาธุ และน้อมกราบครู อาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกๆ ท่าน
และ ขออนุโมทนาสาธุในการเจริญสติปัฎฐาน ๔ มรรคมีองค์ ๘ ด้วยค่ะ ท่านmuisun ท่านasoka ท่านธรรมา
ท่านกบนอกกะลา และทุกๆ ท่าน

ขออนุญาตนำพระสูตรที่กล่าวถึงการดับสังขาร ๓ มาวางไว้ในกระทู้
และขอนำพระสูตรที่กล่าวถึง การดับสังขารและวิญญาณ การดับสังขารและอวิชชามาวางไว้ ด้วยค่ะ


กามภูสูตรที่ ๒ ข้อความบางส่วนที่อธิบายสังขาร ๓ ดังนี้
“…ข้าแต่ท่านผู้เจริญ สังขารมีเท่าไรหนอแล
ท่านพระกามภูตอบว่า ดูกรคฤหบดี สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร…”

“ … ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็เพราะเหตุไร ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจึงชื่อว่ากายสังขาร
วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่าจิตต-*สังขาร ฯ”

“ ... ดูกรคฤหบดี ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นของเกิดที่กาย

ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจึงชื่อว่ากายสังขาร

บุคคลย่อมตรึกตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจาภายหลัง ฉะนั้น วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจีสังขาร

สัญญาและเวทนาเป็นของเกิดที่จิต ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิตฉะนั้น สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ…”


http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2017, 15:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 16:42
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
“… คำว่า ด้วยการระงับสังขาร ๓ ความว่า ด้วยการระงับสังขาร ๓ เป็นไฉน

วิตกวิจารเป็นวจีสังขารของท่านผู้เข้าทุติยฌานระงับไป

ลมอัสสาส- *ปัสสาสะเป็นกายสังขารของท่านผู้เข้าจตุตถฌาน ระงับไป

สัญญาและเวทนา เป็นจิตตสังขารของท่านผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ระงับไป ด้วยการระงับสังขาร ๓ เหล่านี้ ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=1


จูฬเวทัลลสูตรก็กล่าวไว้เช่นเดียวกันคือ

“...วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เหตุไร ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร
วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร?

ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ เป็นธรรมมีในกาย
เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร

บุคคลย่อมตรึกย่อมตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา ฉะนั้น วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร

สัญญาและเวทนาเป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ฉะนั้นสัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร…”

“…ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิด
ขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง…”
“...ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มีจิตน้อมไปใน
วิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก…”
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... agebreak=0
ดังนั้นถ้าผู้ปฎิบัติต้องการดับสังขาร ๓ หรือการทำสังขารให้สงบระงับไป ก็ต้องเจริญรูปฌานทั้ง ๔ จนถึงสัมมาสมาธิ อรูปฌาน ๔ จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หลังจากออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธพระอริยบุคคลบางท่านอาจบรรลุอรหันต์ถ้าท่านละสังโยชน์ได้หมด แต่ถ้าท่านยังละไม่ได้หมดท่านก็ยังไม่หมดกิเลสอาสวะได้ แต่ท่านก็เป็นพระอริยบุคคลที่จะไม่กลับมาเกิดในภพนี้
ส่วนพระอรหันต์ที่ท่านเป็นอุภโตภาควิมุตบุคคล ท่านละอุปทานขันธ์ ๕ ละกิเลสอาสวะได้หมดแล้ว ใครได้ทำบุญกับท่านจะได้บุญมหาศาล
พระสูตรที่แสดงการเข้านิโรธสมาบัติของพระอรหันต์เช่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2017, 15:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 16:42
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


นิโรธสูตร
ว่าด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธ
“... ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะ
ล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่. อาวุโส เรามิได้คิดอย่างนี้ว่า เรา
เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ
แล้ว. แท้จริง ท่านพระสารีบุตร ถอนอหังการ มมังการ และมานานุสัยออกได้นานแล้ว ฉะนั้น
ท่านพระสารีบุตรจึงมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
แล้ว หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว...”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=1
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=1
การก้าวล่วงฌานแต่ละฌานที่สำเร็จไม่ให้ทำความอาลัยในฌานนั้นๆ นับเป็นสัมมาฌาณะมีพระสูตรที่กล่าวถึงไว้หลายพระสูตรด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2017, 15:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 16:42
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจกถา มีข้อความ อธิบายว่า
“...สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างนี้ว่า สังขารมีอะไรเป็นเหตุ ... มีอะไรเป็นแดนเกิด
สัจจะด้วยความกำหนดอย่างนี้ว่า สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ ...มีอวิชชาเป็นแดนเกิด
ญาณรู้ชัดซึ่งสังขาร เหตุเกิดสังขาร ความดับสังขาร
และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับสังขาร สัจจะด้วยความแทงตลอดอย่างนี้ ฯ…”

“...การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ วิญญาณเป็นทุกขสัจ สังขารเป็นสมุทัยสัจ
การสลัดวิญญาณและสังขารแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็นมรรคสัจ สังขารเป็น
ทุกขสัจ อวิชชาเป็นสมุทัยสัจ การสลัดสังขารและอวิชชาแม้ทั้งสองเป็นนิโรธสัจ…”
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... agebreak=0

จากพระสูตรนี้การสลัดวิญญาณและสังขาร จะเป็นนิโรธสัจ
การสลัดสังขารและอวิชชา จะเป็นนิโรธสัจ การละอุปทานขันธ์ ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จะทำให้ดับอวิชชาได้ค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร