วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 00:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2017, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 3050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยกกระทู้คุณธรรมา มาที่นี่ครับ ..

ธรรมา เขียน:
เส้นทางของสมถะจะไม่มี มรรค ผล นิพพาน
จะมาคิดว่าสมถะที วิปัสสนาที ถ้าคิดแบบนี้ก็จะไปกันใหญ่
อย่างที่คุณยกตัวอย่างขาซ้ายกับขาขวานั่นแหละ มันผิดเต็มๆ


.. ครั้งก่อนพุทธกาล "กรรมฐาน ๔๐ นี้ ไม่มี" รู้จักแต่ "อานาปานสติ กสิณ ๑๐ และอรูปฌาณ ๔" ไม่รู้จักวิปัสสนา "จึงปฏิบัติได้แต่รูปฌาณและอรูปฌาณ" อย่างท่านดาบสทั้งสอง "กรรมฐาน ๔๐ นี้ เกิดในครั้งพุทธกาล" โดยองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ได้แสดงไว้

หลักการปฏิบัติในกรรมฐาน ของหลวงปู่ฯ หลวงตาฯ ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ ..

"สูดลมหายใจยาว ๆ สองสามครั้ง แล้วตั้งสติกำหนดลมหายใจพร้อมคำบริกรรม "พุทโธ" หรือกำหนดลมหายใจ "หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๒" ไปเรื่อย ๆ ถ้าจิตฟุ้งซ่านจับไม่อยู่ เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงจิตมากำหนดใหม่

สักพักก็เป็นอีก "แสดงว่าจิตฟุ้งซ่านมาก" เมื่อจิตชอบคิดชอบพิจารณา ก็ต้องกำหนดจิตให้พิจารณาในหมวดวิปัสสนา คือ "กายคตานุสสติ หรืออุสภฯ หรือจาคานุสสติ ฯลฯ เป็นต้น" เรียกว่า "ให้คิดให้พิจารณา สลับกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก" ทำอย่างนี้ไปเรื่อย เพื่อ "ไม่ให้จิตฟุ้งออกไปนอกองค์กรรมฐาน"

จะเรียกว่า "การทำสมถะและวิปัสสนากรรมฐานพร้อมกันไป หรือทำสมถะกับวิปัสสนากรรมฐานไปด้วยกัน ทำควบคู่กันไป ทำสลับกัน หรือจะเรียกอย่างอื่น" ก็เป็นที่เข้าใจกัน ไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ปฏิบัติ

การปฏิบัติธรรมลักษณะนี้ "คือการทำกรรมฐาน ตามองค์กรรมฐาน ๔๐ ผู้มีปัญญาท่านทำกันอย่างนี้" ..


ธรรมา เขียน:
ดูตัวอย่างเจ้าชายสิทธัตถะได้ฌานถึงอรูปฌาน ทำไมจึงต้องละทิ้งฌานเสียเล่า เพื่อไปค้นหาทางใหม่ คือการเจริญวิปัสสนา เพื่อบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ก็แสดงว่า ในสมถะไม่มี มรรค ผล นิพพานอยู่จริง

ถ้าคิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะเอาสมถะไปต่อยอดในการเจริญวิปัสสนานั้นก็ไม่จริง เพราะเหตุว่าถ้าเอาไปต่อยอดการบรรลุ มรรค ผล นิพพานก็แสดงว่า การบรรลุสัมโพธิญานนั้นก็ยังต้องอาศัย ครูทั้ง ๒ คือ อาฬารดาบส และอุทธกดาบส เป็นครูใช่ไหมล่ะ ซึ่งจะไปขัดกับคำที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรูเองโดยชอบ

.. เรียนถามคุณธรรมา ..
- "ภาวนามยปัญญา" คืออะไร เกิดได้อย่างไร?
- "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" เจ้าของทฤษฎี "สัมมพัทธภาพ" เกิดมาแล้วคิดเองทั้งสิ้น หรือว่าเกิดจากการเรียนรู้จาก ครู จากผู้รู้ จากอาจารย์ทั้งหลายมาก่อน แล้วมาคิดต่อยอด จนเสนอสูตร E=MC2 อันลือลั่น ..

:b1:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2017, 17:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ติดตามอ่านอยู่ครับ
:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2017, 12:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับถ้ามีความมั่นใจและมีเหตุผลที่ดี
คงจะต้องเอาตามนั้นครับ เพราะความรู้ผมอาจก้าวไปไม่ถึง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2017, 08:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
.. เรียนถามคุณธรรมา ..
- "ภาวนามยปัญญา" คืออะไร เกิดได้อย่างไร?
- "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" เจ้าของทฤษฎี "สัมมพัทธภาพ" เกิดมาแล้วคิดเองทั้งสิ้น หรือว่าเกิดจากการเรียนรู้จาก ครู จากผู้รู้ จากอาจารย์ทั้งหลายมาก่อน แล้วมาคิดต่อยอด จนเสนอสูตร E=MC2 อันลือลั่น ..


ภาวมยปัญญา

ต้องเข้าใจอย่างนี้ครับ ภาวนาคำว่าพุทโธ หรือ อะไรก็แล้วแต่ในกรรมฐาน ๔๐ ที่เรียกว่าองค์ของภาวนา เป็นอุบายให้จิตสงบเพื่อให้เกิดปัญญา ที่จิตสงบนั้นก็ด้วยอำนาจของ เอกัคคตาเจตสิก หรือเรียกอีกอย่างว่าสมาธิ ฉะนั้น การภาวนานัยนี้เรียกว่า สมถะภาวนา เป็นปัญญาที่ทำให้บรรลุฌาน อภิญญา อิทธิฤทธิ์ ต่างๆได้ ตามความประสงค์ เรียกว่าปัญญาขั้นฌาน กิเลสที่เป็นปฏิปักษ์กับองค์ฌานนั้นไม่ได้ประหารอย่างเด็ดขาดเพียงแค่ข่มไว้เท่านั้น ก็เพื่อให้สิ่งที่ประสงค์เกิดขึ้น คือ ฌาน อภิญญา อิทธิฤทธิต่างๆ การบรรลุด้วยกาลนี้ท่านเรียกว่า เจโตวิมุต สำเร็จได้ด้วยใจก็ด้วยอำนาจของสมาธิ หรือเรียกอีกอย่างว่า สมถะภาวนา (ปฏิปทาสิทธิฌาน)


ภาวนามยปัญญา
อันนี้จะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า เป็นทางเจริญวิปัสสนาโดยตรง ปัญญาคำนี้เป็นปัญญาที่ดำเนินไปในโลกุตตระ ฉะนั้นขั้นตอนต้องเริ่มจาก สุตมยปัญญญา จินตามยปัญญา จนมาถึง ภาวนามยปัญญา ซึ่งจะเป็นปัญญาล้วนๆ เมื่อผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ท่านเรียกว่าปัญญาวิมุติ อันนี้ท่านจะไม่ต้องอาศัยฌานแต่อย่างใดเลย เพียงแต่ภาวนาให้มรรคเกิดขึ้นเพื่อประหารกิเลส

จะขอเพิ่มเติมอีกนิดเพื่อประโยชน์ที่จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งดังนี้ว่า
ผู้ที่ทำฌานได้ฌานนั้น นำเอาฌานนั้นมาเป็นอารมณ์หรือเรียกว่านำเอาเป็นบาทในการเจริญวิปัสสนา เพื่อให้เห็นว่าฌานที่ตนได้มานั้นมันเป็นเป็นของไม่เที่ยง ตกอยู่ภายใต้ของกฏไตรลักษณ์ ดังนี้เมื่อมรรคก็เกิดขึ้นจนสำเร็จเป็นอรหันต์ ตรงนี้บางท่านก็เรียกว่าพระอรหันต์เจโตวิมุต

หรือีกอย่างหนึ่งท่านที่เจริญวิปัสสนาล้วนๆ แต่พอมรรคเกิดขึ้น ฌานก็เกิดขึ้นด้วย แต่ได้อาศัยฌานที่เคยได้มาแล้วในอดีดชาติ จะกี่ชาติหรือ ๒ ชาติ ๓ ชาติ ในอดีตนั้นเกิดขึ้น ซึ่งขณะเจริญมรรคก็ไม่ได้อาศัยฌานแต่อย่างใดเลย มีตัวอย่าง เช่น พระจูฬบันถกครับ ตรงนี้ท่านเรียกว่า มรรคสิทธิฌาน

เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดน่าจะเข้าใจได้ว่า สมถะกับวิปัสสนานั้นไม่ได้เจริญคู่กันเลย ต้องแยกกันให้ชัดเจน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2017, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 15:28
โพสต์: 3050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมา เขียน:
ครับถ้ามีความมั่นใจและมีเหตุผลที่ดี
คงจะต้องเอาตามนั้นครับ เพราะความรู้ผมอาจก้าวไปไม่ถึง

ทิฏฐิไม่เสมอกันมากกว่า ขอบคุณที่ร่วมสนทนานะครับ :b1:

.....................................................
.. สติเป็นโล่ห์ ปัญญาเป็นอาวุธ ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร