วันเวลาปัจจุบัน 14 ก.ย. 2025, 06:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2017, 06:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


muisun เขียน:
แล้วทำไมพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่าการละกิเลสต้องละด้วยการรู้ การเห็น เรากล่าวว่าไม่ได้ละด้วยการไม่รู้ไม่เห็น มัวนิ่งๆ เฉยๆ ปล่อยไปตามธรรมชาติระวังจะกลายเป็นโมหะ โทษหนัก คลายช้า ในมหาสติปัฎฐานสูตร พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าต้องรู้ทันทุกอย่าง จะหลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น เพราะรู้ไม่ทันต้นเหตุนั้นแหละ เรียกว่า อวิชชามืดบอดไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะอดีตก็ดับไปแล้วไม่ควรคิดถึง อนาคตก็ยังมาไม่ถึงก็ไม่ควร
ไขว่ขว้า ปัจจุบันก็ไม่เที่ยง เกิดทันทีและดับทันที ขอถามหน่อยเคยรู้ทันตรงนี้หรือยัง เพราะเค้าเกิดดับไวกว่าความนึกคิดนะ ขอบอกจึงไม่มีบทประพันธ์อะไรมาถาม ตอบ ชอบ ชัง ได้หรอก เพราะมีข้อความขึ้นนั่นแหละคือสังขาร คือการปรุงแต่ง เป็นทุกข์อย่างยิ่ง รู้ทันก็ดับเกลี้ยงไม่เหลือหรอก็เป็นสุขอย่างยิ่ง อย่างนี้แหละพระพุทธเจ้า เรียกว่า ผู้ปรารถความเพียร ธรรมะจึงเป็นญาณปัญญาแห่งการตรัสรู้ ไม่ใช่ปรัชญา แล้วบุคคลจะล่วงทุกข์ด้วยความเพียร ไม่ใช่นั่งรอให้มันหลุดไปเอง จึงเป็นธรรมะที่เหนือกว่าธรรมชาติ

อาชีพรู้ทัน จะคิดหนอๆ ก็มีรายได้ทุกอย่าง รู้ทันจะคิดหนอๆ ก็ไม่ต้องเดือดร้อนเลยสักเรื่อง

จากสายสืบนิสัยศาสตร์

:b12:
แสดงว่าคุณ muisun ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างจริงจัง จึงขาดประสบการณ์จริง

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา โดยไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ"

นั้น เป็นการเชื้อเชิญให้ผู้เรียนรู้ทฤษฎีมามากแล้วได้ลงมือทำจริง พิสูจน์ธรรม พิสูจน์ความจริง

ถ้าผู้เพียงแต่อ่านไม่ได้ลงมือทำดูจริงๆ ก็จะได้แต่คิดหาเหตุผลตามคำพูด คือคิดแบบตื่นๆว่า เอาแต่นิ่งรู้นิ่งสังเกต มันจะได้อะไรขึ้นมา

ลองลงมือทำจริงๆตามคำแนะนำดูสิครับ จะได้พบว่า
จากทฤษฎีที่บอกไว้พอลงมือทำจริง มันมีสิ่งต่างๆที่ไม่ได้เขียนบอกไว้เกิดขึ้นมากมายในการลงไปนั่งเผชิญหน้ความจริงในกายในใจ

ด่านแรกคือนิวรณ์ 5 ทั้งหลายจะเกิดขึ้นมารบกวนมิให้นิ่ง
ท่านจะผ่านด่านนี้ไปได้อย่างไร นี่คืองานที่จะเกิดมาให้ต้องทำ
ในกระบวนการชำระนิวรณ์ 5 ด้วยสติปัญญา สมาธิ วิปัสสนาภาวนานี้ จะมีผลพลอยได้ ชำระ กิเลส ตัณหา อัตตา มานะ ทิฏฐิ ตามไปด้วยในตัว

ท่านผู้ปฏิบัติจะได้พบกับผัสสะ เวทนา อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆมากมาย อย่าได้คิดฝันไปเลยว่าจะได้นิ่งรู้นิ่งสังเกตไปอย่างสบายและเฉยๆ นี่คือความจริงที่ท่านจะได้พบจริงๆเมื่อลงมือทำจริงๆ

ทีนี้ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลว่าจะไม่มีไม่เกิดอะไรที่เป็นไปตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ท่านจะได้พบกับความทุกข์ที่จะมาท้าทายให้ท่านค้นหาให้พบสมุทัย ถ้าท่านทำได้ สมุทัยก็จะดับ รับนิโรธมาเป็นผลเองในตอนสุดท้าย

สิ่งสำคัญ จำหลักภาวนาข้างต้นไว้ให้ดีอย่าได้พลั้งสติหลงลืม
ประเด็นสำคัญของวิปัสสนาก็คือว่า

การไร้ปฏิริยาตอบโต้ แทรกแซงกับทุกผัสสะ เวทนา อารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นขณะภาวนา ให้ทุกอย่างแสดงไปจนกว่าจะหมดเหตุปัจจัยของเขาแล้วดับไปเอง จงมีแต่การ
นิ่งรู้นิ่งสังเกตให้ทันปัจจุบันอารมณ์อยู่ตลอดเวลา หน้าที่ของผู้เจริญวิปัสสนาภาวนามีเพียงแค่นั้น โปรดจำไว้ให้ดี
แล้วผลอื่นๆตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะเกิดขึ้นมาเองตามธรรม

ทำจริงดูก่อนแล้วค่อยมาวิพากษ์วิจารณ์กันใหม่นะครับ

:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2017, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


muisun เขียน:
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่าแค่รู้ทันต้นเหตุ จะคิดหนอๆ สังขารก็ดับ ไม่เห็นจะต้องไปรำพึงรำพันอะไรกับบทความต่างๆ ไม่ต้องแยกแยะให้ยึดถือซะเปล่าๆ บัญญัติเกิดขึ้น บัญญัติก็ดับไป ไม่มีใครที่จะประคองบัญญัติให้เที่ยงแท้ได้
ทุกอย่างเป็นสภาพของไตรลักษณ์ จะมีผู้ดูหรือไม่มีผู้ดูเขาก็ดับ แต่วิปัสสนาญาณ แปลว่า ไปรู้ทันในการดับนั้นแค่นั้นเอง เรียกว่า เป็นความสามารถของผู้ที่รู้ทันเหตุเกิด เหตุดับ ตรงจุดของปัจจุบัน ไม่ใช่มาอารัมภบทเป็นบทละครให้ดูดี
ไม่ได้ไปยึดอยู่กับความชอบ ความชัง ความเฉย ความถูก ความผิด ความได้ ความเสีย เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อดับความยึดถือนั่นเอง มันก็จบแล้วดับเกลี้ยงไม่เหลือหรอ
จากสายสืบนิสัยศาสตร์


ดับความยึดถือ คือดับความยึดในอารมณ์ที่หวนหาอดีตที่ผ่านไปแล้ว
และดับความยึดถือในอารมณ์ของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

เพราะอารมณ์ที่ว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่ได้มีสติเข้าไปเป็นธรรม ย่อมเป็นเหตุแห่งความทุกข์

ดังนั้น จึงต้องเอาธรรมมะเข้าไปปฎิบัติ คือรู้ทุกข์ (ขาดวิชชา) เหตุเกิดของทุกข์

วิธีการดับทุกข์ คือการรู้ว่า การหวนหาอดีตและอนาคตโดยไม่มีธรรมชาติที่เป็นสัจธรรมปรากฎตรงหน้าเพราะขาดธรรมะเป็นเครื่องปฎิบัติย่อมเป็นทุกข์และ สัจธรรมตรงหน้าที่เอาธรรมะเข้าไปปฎิบัติย่อมเป็นเครื่องมือดับทุกข์ ความทุกข์จากอารมณ์ในอดีตและอนาคตย่อมดับลง(รวมทั้งเหตุ)

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2017, 05:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ญาณไม่เกิด....ก็ฝันๆ..ละเมอๆ...กันไปตามกิเลส..ละท่านเอ๋ย..


:b13: :b13: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร