วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 22:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2017, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




800px_COLOURBOX2175669 (1).jpg
800px_COLOURBOX2175669 (1).jpg [ 173.79 KiB | เปิดดู 3249 ครั้ง ]
เมื่อโลกจะพินาศด้วยไฟ
จะเริ่มต้นด้วยการมีมหาเมฆชนิดหนึ่ง ชื่อ กัปปวินาสมหาเมฆ ตั้งขึ้น
ครั้นแล้วฝนจะตกใหญ่ทั่วทั้งแสนโกฎิจักรวาล บรรดา
มนุษย์ทั้งหลายย่อมพากันดีใจปลูกข้าวกล้า เมื่อต้นข้าวโตพอขนาด
โคกัดกินได้ กัปปวินาสมหาเมฆจะส่งเสียงคำรามลั่นดุจเสียงลาร้อง
ต่อแต่นั้นไม่มีฝนตกลงมาอีกเลย

นับเป็นร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยน้ำฝน
เลี้ยงชีวิตจะพากันตายลง ไปบังเกิดในพรหมโลก รวมทั้งเหล่าบรรดา
พวกที่อาศัยดอกไม้ ผลไม้ก็เช่นเดียวกัน แม้แต่สัตว์ในอบายภูมิทั้ง
ปวงก็จะพากันตายและไปบังเกิดในพรหมโลกทั้งหมด พร้อมกับดวง
อาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฎขึ้น (สัตว์ในอบายภูมิ จะพากันมาเกิดเป็น
มนุษย์ก่อน แล้วเจริญฌานเข้าสู่เทวโลกหรือ พรหมโลก มิใช่จาก
อบายภูมิไปพรหมภูมิโดยตรงทีเดียว)

ครั้นไม่มีฝนตกลงมาเป็นเวลาช้านาน และสัตว์ทั้งหลายพากันอดยากทะยอย
ตายลงไป กลับปรากฎดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ บังเกิดขึ้นในเวลากลางคืน พอดวงแรก
ลับขอบฟ้า ดวงที่ ๒ จะส่องแสงแทน นับแต่นั้นโลกก็มีแต่เวลากลางวันอย่างเดียว
ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ไม่มีสุริยเทพบุตรอยู่ประจำ จึงส่องแสงร้อนแรงยิ่งกว่าธรรมดา
เมื่อถึงเวลานี้สุริยเทพบุตรที่อยู่ประจำในดวงอาทิตย์เดิม ก็จะเจริญกสิณทำฌานให้บัง
เกิดขึ้นไปอุบัติในพรหมโลก ดวงอาทิตย์ทั้งสองไม่มีสุริยเทพบุตรดูแลยิ่งมีแสงแผด
เผาแรงกล้า แม่น้ำน้อยใหญ่เหือดแห้งสิ้นไปทุกหนแห่ง ยกเว้นมหานทีทั้ง ๕

ล่วงเวลาต่อมาอีกช้านาน ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๓ จึงบังเกิดขึ้น มหานทีทั้ง ๕ คือ
คงคา ยมุนา อจิรวดี มหิมา สรภู ก็พากันเหือดแห้ง เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔ บังเกิด
สระใหญ่ ๗ สระ (สระอโนดาต กุณาละ รถกาละ มัณฑากินิ สีหปปาตะ กัณณมุณฑะ
และ สระฉัททันตะ) ก็แห้ง น้ำในมหาสมุทรซึ่งลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ค่อยงวดลงเป็นลำดับ

เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๕ เกิด น้ำในทะเลหลวง มหาสมุทรต่างแห้งจนหมดสิ้น
ไม่มีเหลือติดแม้สักองคุลี เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๖ เกิด โลกทั้งหลายก็มีอันกลายเป็นควัน
คลุ้งตลบไปหมดทั่วแสนโกฎิจักรวาล แผ่นดินและภูเขาทั้หลายสิ้นยาง คือความชุ่มเย็น
ที่ทำให้รวมเกาะตัวกันได้ แหลกเป็นควันกลุ้มไปด้วยกัน เป็นควันทั่วไปอยู่ดังนี้นับวัน
เดือนปีมิได้ จนเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ อุบัติขึ้น ในเวลานั้นโลกธาตุที่เป็นควันกลบอยู่
นั้น ก็ลุกเป็นไฟรุ่งโรจน์โชตการขึ้นพร้อมกัน มีเสียงระเบิดดังพิลึกกึกก้องน่าสะพรึง
กลัว ยอดเขาสิเนรุของจักรวาลต่างๆ ก็พินาศหลุดลุ่ยถอดถอนกระจัดกระจายหายไป
ในอากาศ เปลวไฟประลัยโลกเกิดขึ้นจากพื้นมนุษย์ภูมินี้ก่อน แล้วค่อยลามไปชั้น
จาตุมหาราชิกาเทวโลก ทำลายวิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้วพินาศสิ้น และจึงลุก
ลามไปยังดาวดึงสา ยามา ดุสิตา นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นลำดับไปจนถึงรูป
พรหมภูมิขั้นปฐมฌานภูมิ ๓ มี พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหม แล้วจึง
หยุดอยู่เพียงนั้น ไม่ลุกลามต่อไปอีก

ในบรรดาสังขารโลกทั้งปวงที่ถูกไฟประลัยกัลป์ไหม้แล้วนี้ ไม่มีเหลือแม้แต่
เถ้าถ่านไหม้เป็นจุณวิจุณ เหมือนไฟไหม้น้ำมัน ไม่มีถ่านเถ้า ถ้ายังค้างอยู่แม้เพียง
อณูเดียว ไฟก็ไม่หยุดไหม้ ลุกโพลงอยู่ดังนั้นจนมิมีสิ่งใดเหลือ ว่างเปล่ากลายเป็นอา
กาศไปสิ้นจึงดับลง

ครั้งนั้นอากาศเบื้องต่ำและเบื้องบนก็ต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวโล่งตลอด
ถึงกัน มีแต่ความมืดมนอนธการ เป็นเวลาช้านานคำนวณประมาณเวลามิได้ จนถึงเวลา
ก่อตัวเกิดขึ้นใหม่ของจักรวาล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2017, 16:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




20180804_062343.jpg
20180804_062343.jpg [ 193.78 KiB | เปิดดู 3249 ครั้ง ]
การกำเนิดจักรวาล โลก และมนุษย์
1. จักรวาล และโลก มีการเกิดขึ้นและถูกทำลายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในแต่ละช่วงเวลาของ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปนั้น มีระยะเวลาที่ยาวนานมาก ไม่สามารถกำหนดนับได้ เป็นร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี หรือล้านปี แต่นานกว่านั้นมาก อย่างไรก็ตาม พอจะอธิบาย วงจรการเกิดขึ้นของโลกได้ว่า เริ่มจากเมื่อโลกถูกไฟเผาผลาญไปหมดสิ้นแล้ว ในท้องจักรวาล ไม่มีสิ่งใดๆ เลย เป็นอากาศที่เวิ้งว้างว่างเปล่า ต่อมามีฝนตกลงมาจนท่วมทั่วท้องจักรวาล แแล้วระดับน้ำได้ลดลงเรื่อยๆ ทำให้ที่ตั้งของภพต่างๆ ปรากฏขึ้นตั้งแต่ชั้นพรหมลงมาจนถึง สวรรค์ชั้นที่ 1 คือชั้นจาตุมหาราชิกา และลดระดับลงจนถึงระดับที่คงที่ไม่ลดลงไปอีก เมื่อน้ำ นิ่งจึงเกิดการรวมตัวของตะกอนลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ตะกอนที่ลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำนี้ มีสีเหลือง มีรสหวาน และมีกลิ่นหอมเรียกว่า ง้วนดิน เมื่อพรหมลงมากินง้วนดินจึงกลายเป็นมนุษย์ ต่อมาเมื่อมนุษย์มีกิเลสมากขึ้นง้วนดินก็หมดไป อาหารหยาบเกิดขึ้นมาแทนและเป็นอาหาร ที่หยาบขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายมนุษย์ก็เปลี่ยนไปเกิดเป็นเพศหญิงเพศชาย มีการเสพเมถุนจึงเกิด การสร้างที่อยู่อาศัย และมีสัตว์ต่างๆ เกิดขึ้น กิเลสมนุษย์ก็ยิ่งทับทวียิ่งขึ้นๆ และเพราะมนุษย์ มีกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ทับทวี จึงเป็นเหตุให้โลกถูกทำลายด้วยไฟบ้าง ลมบ้าง หรือน้ำบ้าง วงจรของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปของโลกและจักรวาล จะวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิด ดับ เกิด ดับ นับครั้งไม่ถ้วน
2. การจะคำนวณนับระยะเวลาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปของโลกและจักรวาล ด้วย หน่วยการนับทางคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถที่จะใช้วัดได้เพราะเป็นหน่วยที่เล็ก เกินไป แต่พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลก ที่มีคำที่ใช้สำหรับคำนวณอายุของโลกและจักรวาลไว้ให้ นั่นคือคำว่า "อสงไขย" ซึ่งมีค่าเท่ากับ 10ยกกำลัง140 และคำว่า "กัป" ซึ่งมี 4 อย่าง คือ อายุกัป อันตรกัป อสงไขยกัป และมหากัป
3. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้มีปัญญาเป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุและผล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงสอนให้ใครเชื่ออะไรง่ายๆ ให้พิจารณาและพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วจึงเชื่อ ทรงให้หลักไว้ว่า อย่าเชื่อเพียงเพราะว่า 1. ได้ฟังมา 2. โบราณเล่าสืบต่อกันมา 3. คำร่ำลือ 4. เพราะตำรา 5. การเดา 6. การคาดคะเน 7. เชื่อตามที่เห็น 8. สอดคล้องกับความเชื่อเดิม 9. ผู้พูดน่าเชื่อถือ 10. เป็นครู อาจารย์ของตนเอง
4. กำเนิดมนุษย์นั้นมาจากพรหมชั้นอาภัสสราพรหม มนุษย์ในยุคแรกเกิดแบบโอปปาติกะ เกิดแล้ว โตทันทีไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ ไม่มีเพศ ร่างกายมีแสงสว่างในตัว เหาะได้ มีปีติเป็นอาหาร มีเครื่องนุ่งห่มแบบพรหม มีอายุยืนยาว ต่อมาด้วยความหอมของง้วนดินทำให้อยากลิ้มลอง เมื่อบริโภคเข้าไปจึงทำให้รัศมีในตัวสูญสิ้นไป เหาะไม่ได้ แต่โลกในยุคแรกเป็นโลกที่สะดวกสบายปราศจากความทุกข์ยากลำบากใดๆ จะมีทุกข์บ้างก็เพียงอาหารประณีตหมดไป แต่มีอาหารหยาบเกิดขึ้นมาทดแทน ผิวพรรณเริ่มแตกต่างกันและเกิดการดูหมิ่นเรื่อง ผิวพรรณ เกิดความแตกต่างเรื่องเพศหญิง เพศชาย ทำให้เกิดความสนใจซึ่งกันและกัน มีการสร้างที่อยู่อาศัย มีการกักตุนอาหาร มีการเบียดเบียนกันจึงเกิดระบบการปกครอง
การปกครองในยุคแรกเป็นระบอบกษัตริย์แบบพ่อปกครองลูก โดยการคัดเลือกผู้ที่มีสติปัญญา มีรูปร่างลักษณะและกิริยาสง่างาม น่าเกรงขาม แล้วยกย่องให้เป็นกษัตริย์ซึ่งแปลว่าผู้เป็น ใหญ่ในการเกษตร
การกำเนิดสัตว์ในยุคแรก เกิดแบบโอปปาติกะ โดยมีช้างและม้าเป็นสัตว์ชนิดแรกที่เกิดขึ้นในโลก การกินเนื้อสัตว์ของมนุษย์มาจากสาเหตุที่มีมนุษย์ที่เพิ่งพ้นจากกรรมในนรกมาเกิด และยังมีวิบากกรรมโทสจริต เคยผูกเวรกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งเกิดเป็นสัตว์กินสัตว์กันมาก่อน เมื่อเห็นคู่เวรคู่กรรมกับตนจึงมีจิตคิดอยากจะฆ่า ครั้นฆ่าแล้ว ครั้งแรกมิได้ต้องการกิน แต่เมื่อ สัตว์นั้นตายจึงลองนำไปประกอบอาหาร เมื่อได้กินก็ติดใจ และขยายความนิยมออกไป จนเข้าใจกันผิดๆ ว่า สัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์

ความยาวนานในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปของจักรวาล

จักรวาล โลก สรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย มีขั้นตอนความเป็นมาที่ยาวนาน มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ หากจะนับระยะเวลาในขั้นตอนการกำเนิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือเสื่อมไปของจักรวาลและสิ่งต่างๆ นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก จะใช้การคำนวณ ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็สามารถคำนวณได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น คงไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงทั้งหมด แต่ในทางพระพุทธศาสนามีหน่วยวัดเวลาที่ใช้ในการนับการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายของจักรวาลซึ่งน่าสนใจใคร่ศึกษาต่อไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2017, 18:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
เมื่อโลกจะพินาศด้วยไฟ
จะเริ่มต้นด้วยการมีมหาเมฆชนิดหนึ่ง ชื่อ กัปปวินาสมหาเมฆ ตั้งขึ้น
ครั้นแล้วฝนจะตกใหญ่ทั่วทั้งแสนโกฎิจักรวาล บรรดา
มนุษย์ทั้งหลายย่อมพากันดีใจปลูกข้าวกล้า เมื่อต้นข้าวโตพอขนาด
โคกัดกินได้ กัปปวินาสมหาเมฆจะส่งเสียงคำรามลั่นดุจเสียงลาร้อง
ต่อแต่นั้นไม่มีฝนตกลงมาอีกเลย

นับเป็นร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยน้ำฝน
เลี้ยงชีวิตจะพากันตายลง ไปบังเกิดในพรหมโลก รวมทั้งเหล่าบรรดา
พวกที่อาศัยดอกไม้ ผลไม้ก็เช่นเดียวกัน แม้แต่สัตว์ในอบายภูมิทั้ง
ปวงก็จะพากันตายและไปบังเกิดในพรหมโลกทั้งหมด พร้อมกับดวง
อาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฎขึ้น (สัตว์ในอบายภูมิ จะพากันมาเกิดเป็น
มนุษย์ก่อน แล้วเจริญฌานเข้าสู่เทวโลกหรือ พรหมโลก มิใช่จาก
อบายภูมิไปพรหมภูมิโดยตรงทีเดียว)

ครั้นไม่มีฝนตกลงมาเป็นเวลาช้านาน และสัตว์ทั้งหลายพากันอดยากทะยอย
ตายลงไป กลับปรากฎดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ บังเกิดขึ้นในเวลากลางคืน พอดวงแรก
ลับขอบฟ้า ดวงที่ ๒ จะส่องแสงแทน นับแต่นั้นโลกก็มีแต่เวลากลางวันอย่างเดียว
ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๒ ไม่มีสุริยเทพบุตรอยู่ประจำ จึงส่องแสงร้อนแรงยิ่งกว่าธรรมดา
เมื่อถึงเวลานี้สุริยเทพบุตรที่อยู่ประจำในดวงอาทิตย์เดิม ก็จะเจริญกสิณทำฌานให้บัง
เกิดขึ้นไปอุบัติในพรหมโลก ดวงอาทิตย์ทั้งสองไม่มีสุริยเทพบุตรดูแลยิ่งมีแสงแผด
เผาแรงกล้า แม่น้ำน้อยใหญ่เหือดแห้งสิ้นไปทุกหนแห่ง ยกเว้นมหานทีทั้ง ๕

ล่วงเวลาต่อมาอีกช้านาน ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๓ จึงบังเกิดขึ้น มหานทีทั้ง ๕ คือ
คงคา ยมุนา อจิรวดี มหิมา สรภู ก็พากันเหือดแห้ง เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔ บังเกิด
สระใหญ่ ๗ สระ (สระอโนดาต กุณาละ รถกาละ มัณฑากินิ สีหปปาตะ กัณณมุณฑะ
และ สระฉัททันตะ) ก็แห้ง น้ำในมหาสมุทรซึ่งลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ค่อยงวดลงเป็นลำดับ

เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๕ เกิด น้ำในทะเลหลวง มหาสมุทรต่างแห้งจนหมดสิ้น
ไม่มีเหลือติดแม้สักองคุลี เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๖ เกิด โลกทั้งหลายก็มีอันกลายเป็นควัน
คลุ้งตลบไปหมดทั่วแสนโกฎิจักรวาล แผ่นดินและภูเขาทั้หลายสิ้นยาง คือความชุ่มเย็น
ที่ทำให้รวมเกาะตัวกันได้ แหลกเป็นควันกลุ้มไปด้วยกัน เป็นควันทั่วไปอยู่ดังนี้นับวัน
เดือนปีมิได้ จนเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ อุบัติขึ้น ในเวลานั้นโลกธาตุที่เป็นควันกลบอยู่
นั้น ก็ลุกเป็นไฟรุ่งโรจน์โชตการขึ้นพร้อมกัน มีเสียงระเบิดดังพิลึกกึกก้องน่าสะพรึง
กลัว ยอดเขาสิเนรุของจักรวาลต่างๆ ก็พินาศหลุดลุ่ยถอดถอนกระจัดกระจายหายไป
ในอากาศ เปลวไฟประลัยโลกเกิดขึ้นจากพื้นมนุษย์ภูมินี้ก่อน แล้วค่อยลามไปชั้น
จาตุมหาราชิกาเทวโลก ทำลายวิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้วพินาศสิ้น และจึงลุก
ลามไปยังดาวดึงสา ยามา ดุสิตา นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี เป็นลำดับไปจนถึงรูป
พรหมภูมิขั้นปฐมฌานภูมิ ๓ มี พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหม แล้วจึง
หยุดอยู่เพียงนั้น ไม่ลุกลามต่อไปอีก

ในบรรดาสังขารโลกทั้งปวงที่ถูกไฟประลัยกัลป์ไหม้แล้วนี้ ไม่มีเหลือแม้แต่
เถ้าถ่านไหม้เป็นจุณวิจุณ เหมือนไฟไหม้น้ำมัน ไม่มีถ่านเถ้า ถ้ายังค้างอยู่แม้เพียง
อณูเดียว ไฟก็ไม่หยุดไหม้ ลุกโพลงอยู่ดังนั้นจนมิมีสิ่งใดเหลือ ว่างเปล่ากลายเป็นอา
กาศไปสิ้นจึงดับลง

ครั้งนั้นอากาศเบื้องต่ำและเบื้องบนก็ต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวโล่งตลอด
ถึงกัน มีแต่ความมืดมนอนธการ เป็นเวลาช้านานคำนวณประมาณเวลามิได้ จนถึงเวลา
ก่อตัวเกิดขึ้นใหม่ของจักรวาล


ทำให้นึกถึงดาวอังคาร..เลยครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2017, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




20171011_110044.jpg
20171011_110044.jpg [ 125.39 KiB | เปิดดู 3793 ครั้ง ]
โลกใบนี้จะถูกทำลายด้วยไฟ นับตั้งแต่อบายภูมิ ๔ จนถึงปฐมฌานภูมิ ๓

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2017, 18:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


ไหม้ได้แต่นรกสวรรค์มนุด เดวเขาก็ย้ายพวกเราไปอยู่ชั้นที่ไม่ไหม้เองแหละครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2017, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมยังไม่เชื่อว่า..สัตว์นรกจะหมดจากนรกก่อนโลกถูกทำลาย...นะ

หากยังไม่หมดจริง..ๆ...อยากรู้จักว่าจะอยู่ในสภาพไหน..

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2017, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




20171012_070454.jpg
20171012_070454.jpg [ 134.68 KiB | เปิดดู 3767 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
กระผมยังไม่เชื่อว่า..สัตว์นรกจะหมดจากนรกก่อนโลกถูกทำลาย...นะ

หากยังไม่หมดจริง..ๆ...อยากรู้จักว่าจะอยู่ในสภาพไหน..

:b16: :b16: :b16:



ผมก็เอาความรู้มาจากอรรถกถาจารย์เล่าสู่รุ่นต่อรุ่น มาลงให้อ่านกัน
จะเชื่อไม่เชื่อเป็นสิทธิส่วนบุคคล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2017, 08:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ครับ...

ไม่ได้ว่าอะไรนะ..

คือ..ยังไม่เชื่อก่อนนะครับ..

สักวันคงเห็นเอง.. :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2017, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-2347.jpg
Image-2347.jpg [ 128.04 KiB | เปิดดู 3714 ครั้ง ]
พระเจ้าพิมพิสารสวรรคตเข้าถึงความเป็นพระสหายท้าวเวสสุวัณชั้นจาตุมฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2017, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




20171016_102151.jpg
20171016_102151.jpg [ 101.47 KiB | เปิดดู 3709 ครั้ง ]
ช่องทางนรก ท้าวเวสวัณ จะคอยตรวจสอบ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2017, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว




20171017_174117.jpg
20171017_174117.jpg [ 126.82 KiB | เปิดดู 3662 ครั้ง ]
เลาะขอบนรกกันเป็นส่วนมาก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร