วันเวลาปัจจุบัน 09 ส.ค. 2025, 17:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2017, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๗. สฬายตนวิภังคสูตร (๑๓๗)


[๖๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆก็มี
อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งก็มี


ก็อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆ เป็นไฉน
คือ อุเบกขาที่มีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
นี้อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆ




ก็อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง เป็นไฉน
คือ อุเบกขาที่อาศัยอากาสานัญจายตนะ
อาศัยวิญญาณัญจายตนะ
อาศัยอากิญจัญญายตนะ
อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะ
นี้อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง






ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอุเบกขา ๒ อย่าง พวกเธอจงอาศัย
คืออิงอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งนั้น แล้วละ
คือล่วงเสียซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆ นั้น อย่างนี้
ย่อมเป็นอันละอุเบกขานี้ได้ เป็นอันล่วงอุเบกขานี้ได้


ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอาศัย
คืออิงความเป็นผู้ไม่มีตัณหา แล้วละ
คือล่วงเสียซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งนั้น อย่างนี้
ย่อมเป็นอันละอุเบกขานี้ได้ เป็นอันล่วงอุเบกขานี้ได้

ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ในทางดำเนินของสัตว์ ๓๖ นั้น
พวกเธอจงอาศัยทางดำเนินของสัตว์นี้ ละทางดำเนินของสัตว์นี้
นั่นเราอาศัยการละ การล่วง ดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ



http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=8028&Z=8266

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 พ.ย. 2017, 18:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2017, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อุเบกขา

[๖๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆก็มี



ก็อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆ เป็นไฉน
คือ อุเบกขาที่มีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
นี้อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยอารมณ์ต่างๆ




๑. มีเกิดขึ้น ขณะดำเนินชีวิตประจำวัน
เกิดจากการกำหนดรู้ "ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ"
สิ่งที่เกิดขึ้น มีผลกระทบทางใจ ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เป็นเรื่องของ กรรม การให้ผลของกรรม
และอุปทานขันธ์ ๕ ที่มีอยู่

รู้สึกนึกคิดอย่างไร กระทำไว้ในใจ
ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่มีเกิดขึ้น

โดยการไม่ปล่อยให้ก้าวล่วงออกไปทางกาย วาจา
ให้กลายเป็นการสร้างกรรมใหม่ ให้มีเกิดขึ้นอีก



กล่าวคือ เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
(วิปัสสนาเกิดก่อน สมถะเกิดทีหลัง)

[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ

วิปัสสนา ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลาย
ที่เกิดในวิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์

เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ
ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ฯ












๒. มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ที่เป็นสัมมาสมาธิ
กล่าวคือ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เป็นปัจจัยให้ วิญญาณ/ธาตุรู้ หรือธรรมเอกผุด มีเกิดขึ้น

เป็นปัจจัยให้รู้ชัดใน ผัสสะ ที่มีเกิดขึ้น
ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิใน รูปฌาน


กระทำไว้ในใจ กำหนดรู้สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง





กล่าวคือ เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น
(สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง)

วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ











๓. สังขารุเปกขาญาณ
เหตุปัจจัยจากจิตปล่อยวางในกาย เวทนา จิต ธรรม
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ(สัมมาสมาธิ)










อุเบกขาที่มีเกิดขึ้นทั้งหมดนี้
มีเกิดขึ้นจากจิตปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ ๕ ที่มีอยู่
เป็นการฝึกเพื่อละและถ่ายถอนอุปทานขันธ์ ๕ ที่มีอยู่

เมื่อจิตปล่อยวางตามความเป็นจริง
เป็นเหตุปัจจัยให้ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง

เมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม
อนุโลมญาณหรือสภาวะจิตดวงสุดท้าย(ความตาย) มีเกิดขึ้น
จิตที่ถูกฝึกเพื่อละและถ่ายถอนอุปทานขันธ์ ๕ อย่างต่อเนื่อง
นิพพิทา หรือความเบื่อหน่าย แก่เต็มรอบ ย่อมเป็นไทจากตัณหา
ตัณหาไม่สามารถครอบงำได้ ย่อมปลงตกว่า ตายเป็นตาย
ปฏิบัติแบบมอบกายถวายชีวิต

โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ ย่อมมีเกิดขึ้นตามลำดับ
หากยังเป็นผู้มความสะดุ้ง หวาดเสียว(ต่อผัสสะที่มีเกิดขึ้น) จิตย่อมกลับมารู้ที่กาย

ฉะนั้น การทำความเพียรก็ดี
สภาวะที่มีเกิดขึ้นก็ดี
ควรมีกัลยาณมิตร

ทีนี้ ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยของผู้นั้นด้วย
ใช่ว่า ทุกคน ที่คิดว่า รู้ จะเป็นกัลยาณมิตรทุกคน

หากไม่มีกัลยาณมิตร
จงมีตนเป็นที่เกาะ(ทำความเพียรและพยามหยุดสร้างเหตุนอกตัว)
มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมคำสอนเป็นที่พึ่งที่อาศัย

เมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม ย่อมรู้แจ้งแทงตลอดสภาวะนั้นๆ โดยไม่ต้องไปถามใคร



รู้ผิดทาง ดูที่ เมื่อคิดว่า รู้ มีแต่สร้างกรรมใหม่ให้มีเกิดขึ้นอีก
มีแต่การน้อมใจเชื่อว่าเข้าสู่ความเป็นโสดา สกิทาคา อนาคามี อรหันต์


รู้ถูกทาง ดูที่ รู้แล้วหยุด หรือพยายามที่จะหยุด มากกว่าสานต่อ
กระทำไว้ในใจ ไม่สร้างกรรมใหม่ให้มีเกิดขึ้นอีก
ไม่มีการน้อมใจเข้าสู่ความเป็นโสดา สกิทาคา อนาคามี อรหันต์
เพราะแจ้งแทงตลอดด้วยตนเองแล้วว่า ขึ้นชื่อว่า การเกิด ล้วนเป็นทุกข์
จึงเป็นผู้ไม่ประมาท สำรวม สังวร ระวัง กาย วาจา ใจ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 พ.ย. 2017, 18:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2017, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


[๖๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งก็มี

ก็อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง เป็นไฉน
คือ อุเบกขาที่อาศัยอากาสานัญจายตนะ
อาศัยวิญญาณัญจายตนะ
อาศัยอากิญจัญญายตนะ
อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะ
นี้อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง







ลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น(ผัสสะ) สักแต่ว่า มีเกิดขึ้น
เช่น ตาเห็นรูป จะสักแต่ว่าเห็นผัสสะที่เกิดขึ้น
ไม่มีคำเรียกต่างๆเกิดขึ้น เช่น คน สัตว์ หญิง ชาย ฯลฯ

ความรู้สึกนึกคิดใดๆไม่มี
เหมือนไม่มีกิเลส

อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง
มีเหตุปัจจัยจาก กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ขณะนั้นๆ มีมาก
จึงกดข่ม ความรู้สึกต่างๆไว้หมด จึงเหมือนไม่มีกิเลส

เมื่อกิเลสไม่มีกำเริบ ไม่มีเกิดขึ้น
ทุกผัสสะที่มีเกิดขึ้น จึงสักแต่ว่ามีเกิดขึ้น

สภาวะนี้ ได้ตั้งฉายาเองว่า สภาวะหุ่นยนต์
เวลาที่สภาวะนี้เกิด ร่างกาย จะไม่สามารถควบคุมได้
ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจนึก
กายเหมือนไม่ใช่กาย กลวงๆไปหมด
กายสักแต่ว่ากาย

เมื่อผัสสะเกิด กระทบปั๊บ ดับทันที





มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ที่เป็นสัมมาสมาธิ
กล่าวคือ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เป็นปัจจัยให้ วิญญาณ/ธาตุรู้ หรือธรรมเอกผุด มีเกิดขึ้น

เป็นปัจจัยให้รู้ชัดใน ผัสสะ ที่มีเกิดขึ้น
ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิใน อรูปฌาน


กระทำไว้ในใจ กำหนดรู้สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง





กล่าวคือ เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น
(สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง)

วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 พ.ย. 2017, 18:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2017, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วิญญาณฐิติ ๗


[๖๕] ดูกรอานนท์ วิญญาณฐิติ ๗ อายตนะ ๒ เหล่านี้
วิญญาณฐิติ ๗ เป็นไฉน คือ-


๑. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน
ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก
นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑



๒. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน
ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔
นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๒



๓. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน
ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๓



๔. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน
ได้แก่พวกเทพชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔



๕. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้
เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา
เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง
นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕



๖. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้
เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง
นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖



๗. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร
เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง
นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗



ส่วนอายตนะอีก ๒ คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ ๑) และข้อที่ ๒
คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ



ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง ๗ ประการนั้น
วิญญาณฐิติข้อที่ ๑ มีว่า สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน
ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก
ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น
เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ
ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ
ฯลฯ ฯลฯ




วิญญาณฐิติที่ ๗ มีว่า สัตว์ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร
เพราะล่วงชั้นวิญญาณณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง
ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น
เขายังจะควรเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ
ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ



ดูกรอานนท์ ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง ๒ นั้นเล่า
ข้อที่ ๑ คือ อสัญญีสัตตายตนะ

ผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษ แห่งอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินอสัญญีสัตตายตนะนั้นอีกหรือ ฯ
ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ



ส่วนข้อที่ ๒ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ
รู้คุณและโทษแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น
และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น
เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ ฯ
ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ



ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับทั้งคุณและโทษ
และอุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ เหล่านี้ ตามเป็นจริงแล้ว
ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้ เพราะไม่ยึดมั่น

อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่า ปัญญาวิมุตติ ฯ



http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... agebreak=0

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร