วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 239 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 16  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2018, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จับตา 'เสี่ยหนู' เปิดดีลการเมือง หลังโผล่ร่วมคณะบิ๊กตู่ไปออสเตรเลีย

http://www.naewna.com/politic/327765

นศ.ธรรมศาสตร์ ชี้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ ถูกโจมตีเรื่องปกติ เมื่อสิ่งเก่าถูกท้าทายจากสิ่งใหม่

https://www.komkhao.com/content/15939/% ... 1%E0%B9%88

สิ่งเก่าเขายังมีลูกเล่นอีกเยอะ คอยดู :b32:



อดีตตำรวจ ซัดเละ! ‘ธนาธร-ปิยบุตร’ ชั่วกว่าผู้ร้าย-ค้ายา ขู่โหด! ‘แบบนี้ฆ่ามาเยอะ’

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_863526

ปลุกกระแสความรุนแรง เหมือนๆการล่าแม่มดเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ที่แท้ "ร.ท.ธวัชชัย" ผู้ต้องโทษคดีคาร์บอมบ์ "ทักษิณ" ถูกถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1232721

ปลาซิวปลาสร้อย เมื่อ 10 ปีแล้ว อีกทั้งวางระเบิดเครื่องบิน แต่โชคดีที่เครื่องดีเลย์ ระเบิดทำงานก่อน ไม่ยังงั้นทักษิณตายบนอากาศแล้ว


‘อดีตบิ๊กตำรวจ’ ล่าสุดปิดเฟสบุ๊คหนีแล้ว! หลังโพสต์ขู่ฆ่า ‘ธนาธร-ปิยบุตร’

https://www.thaitabloid.com/archives/7816

เห็บโดดไปอีกหนึ่ง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2018, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
“ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1231191



ชกไม่มีมุม : พวกฉลาดล้ำ

ในเอกสารราชการที่ระบุถึงภารกิจ “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่” ซึ่งชี้แจงกันพัลวันและขอโทษกันยกใหญ่นั้น เรื่องราวจะจบลงเพียงเท่านี้ หรือจะกลายเป็น กระแสขยายวงต่อไปหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

ที่มาที่ไปของเอกสารฉบับนี้ก็ส่วนหนึ่ง

แต่อีกส่วนหนึ่ง การดูหมิ่นดูแคลนว่า “ประชาชนยังโง่อยู่” ปรากฏอย่างชัดเจน ในหมู่คนฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง

โดยเชื่อมโยงกับสถานการณ์ชุมนุมเพื่อล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งในปี 2556-2557 อย่างชัดเจน เพราะแกนนำการชุมนุมขณะนั้น เรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง

โดยมองว่าถ้าปล่อยให้เลือกตั้งกันแบบนี้ต่อไป ก็จะได้นักการเมืองที่มาจากการใช้เงินซื้อเสียง

โดยพูดจากันอย่างโจ่งแจ้งว่า ประชาชนในชนบทยังไม่มีความรู้ดีพอ จึงเป็นเหยื่อของนักการเมือง!?!

แถมแสดงท่าทีอย่างเปิดเผย ว่าการเลือกตั้งในภายหน้า ควรต้องเอาเรื่องความรู้เรื่องปริญญาเข้ามากำหนด

1 เสียงของระดับด๊อกเตอร์ ต้องมีคะแนนมากกว่าเสียงของชาวนา

ความคิดแบบนี้ดำเนินไปท่ามกลางการชุมนุมเพื่อล้มรัฐบาลเพื่อไทย กระทั่งรัฐบาลนั้นยอมหาทางออกตามวิถีประชาธิปไตย

แต่แกนนำม็อบก็ไม่เอาทางออกนี้ ทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านเมืองถึงทางตัน เปิดทางให้เกิดรัฐประหาร

เสร็จแล้วอำนาจจากการรัฐประหาร ที่อยู่ในมือคนกลุ่มเดียว คิดกันในหมู่คนหยิบมือเดียว

ได้กำหนดกฎกติกาการเมือง โดยทำให้รัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนในอนาคต ไม่สามารถทำงานอะไรได้มากมาย

ไปๆ มาๆ ในวันนี้ วันเวลาการเลือกตั้งก็ทำท่าจะไม่แน่นอนอีก!?

เชื่อว่าเป็นเพราะประเมินแนวโน้มแล้ว พรรคการเมืองที่เคยชนะในการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มา ก็ยังครองความนิยมในหมู่ประชาชนอยู่

ผู้นำรัฐบาลทหาร เริ่มมีคำพูดทำนองว่า จะเลือกตั้งเพื่อกลับไปแบบเดิมกันอีกหรือ

นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ยังไม่อยากให้มีการเลือกตั้งเร็วนัก

สรุปแล้ว ตั้งแต่จุดเริ่มต้นชุมนุมเพื่อล้มรัฐบาลเลือกตั้ง มาจนถึงการทำให้สถานการณ์ไปสู่การรัฐประหาร เพื่อหยุดประชาธิปไตย จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่ยังไม่มั่นใจว่าประชาชนจะเลือกตั้งเพื่อกลับไปเหมือนเดิมอีกหรือไม่

ทั้งหมดนี้คือคิดแทนประชาชนส่วนใหญ่ทั้งหมด!

ตอนชุมนุมชัตดาวน์ก็คิดกันเอาเองในหมู่คนที่หลงตัวเองฉลาดล้ำ ว่าประชาชนยังไม่มีความรู้มากพอ

มาวันนี้เริ่มไม่อยากให้เลือกตั้งเร็ว ก็กลัวว่าประชาชน ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิด

สรุปแล้วเอกสารราชการที่หลุดออกมาว่า “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”

เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตอนชุมนุมล้มเลือกตั้ง และที่ยังไม่อยากให้รีบเลือกตั้งในวันนี้!


https://www.khaosod.co.th/newspaper-col ... ews_861899




แกนนำ กปปส.โอด ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง กลับถูกฟ้องข้อหาฉกรรจ์ แต่ไม่เคยเสียใจ

https://www.matichon.co.th/news/884914

อำนาจ ทำให้ต่อมสำนึกคนจมดิ่ง :b1:



อ่านหนังสือพิมพ์หลายๆฉบับ แล้วคิดว่าจะหายโง่หรอคะ

ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สมุทัย ไม่รู้มรรค ไม่รู้นิโรธ
คงฉลาดล้ำ


คุณโลกสวยด้วยมือเรา เกิดหรือยังขอรับ

รูปภาพ


1. ยัง

2. เกิดแล้ว แต่ยังแบเบาะ

3. เกิดแล้วโตแล้ว

ตอบ ขอไหน


หนูยังไม่เกิดหรอกค่ะ 40ปีที่แล้ว

แต่ก็ไม่โง่ ให้หนังสือพิมพ์ มาจูงจมูกแบบคุณหรอกค่ะ
ถึงกะต้องไปเที่ยวหาลิ้งหนังสือพิมพ์มาประดับค่ะ



รูปภาพ


https://www.matichonweekly.com/%E0%B8%9 ... icle_89995

ไม่รู้นู๋เมจะเข้าใจที่กรัชกายสื่อหรือเปล่า :b1: :b32:

"บิ๊กตู่" สั่งกลางวง ครม.สัปดาห์ก่อน ท่องหนังสือ "จินดามณี" ให้ได้คนละบท จะทดสอบปากเปล่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้นำหนังสือจินดามณีมาแจกให้กับครม. หลังกระแสละครบุพเพสันนิวาสได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ได้กล่าวในที่ประชุมครม.ว่า "ให้ท่องให้ได้คนละหนึ่งบท และจะทดสอบปากเปล่าด้วย"

http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/796885

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2018, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนแก่น: คดีชูป้ายค้าน รปห.พยานโจทก์ชี้ ควรปรับทัศนะคติผู้สนับสนุนการรัฐประหาร

สืบพยานโจทก์นัดสุดท้าย คดีชูป้าย 1 ปี รัฐประหาร คสช. พนักงานสอบสวนผู้เป็นพยานโจทก์ให้การว่า การทำรัฐประหารเป็นสิ่งที่ควรคัดค้าน การกระทำของจำเลยทั้งการพูดและชูป้ายสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย หากต้องขออนุญาตจาก คสช.ถือเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างประหลาด

https://prachatai.com/journal/2018/03/7 ... um=twitter

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2018, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จับตา 'เสี่ยหนู' เปิดดีลการเมือง หลังโผล่ร่วมคณะบิ๊กตู่ไปออสเตรเลีย

http://www.naewna.com/politic/327765

นศ.ธรรมศาสตร์ ชี้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ ถูกโจมตีเรื่องปกติ เมื่อสิ่งเก่าถูกท้าทายจากสิ่งใหม่

https://www.komkhao.com/content/15939/% ... 1%E0%B9%88

สิ่งเก่าเขายังมีลูกเล่นอีกเยอะ คอยดู :b32:



อดีตตำรวจ ซัดเละ! ‘ธนาธร-ปิยบุตร’ ชั่วกว่าผู้ร้าย-ค้ายา ขู่โหด! ‘แบบนี้ฆ่ามาเยอะ’

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_863526

ปลุกกระแสความรุนแรง เหมือนๆการล่าแม่มดเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ที่แท้ "ร.ท.ธวัชชัย" ผู้ต้องโทษคดีคาร์บอมบ์ "ทักษิณ" ถูกถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1232721

ปลาซิวปลาสร้อย เมื่อ 10 ปีแล้ว อีกทั้งวางระเบิดเครื่องบิน แต่โชคดีที่เครื่องดีเลย์ ระเบิดทำงานก่อน ไม่ยังงั้นทักษิณตายบนอากาศแล้ว



สนธิญาณ” ฟันธง จุดจบสุดท้าย “ธนาธร” ไม่ต่างกับ “ทักษิณ” ไม่มีแผ่นดินอยู่

http://www.springnews.co.th/view/222798?sp

อีกตัวอย่างหนึ่ง ตอนนี้ย้ายที่หากินไปอยู่สปริงนิวส์ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2018, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
“ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1231191

https://www.khaosod.co.th/newspaper-col ... ews_861899

แกนนำ กปปส.โอด ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง กลับถูกฟ้องข้อหาฉกรรจ์ แต่ไม่เคยเสียใจ

https://www.matichon.co.th/news/884914
อำนาจ ทำให้ต่อมสำนึกคนจมดิ่ง :b1:


อ่านหนังสือพิมพ์หลายๆฉบับ แล้วคิดว่าจะหายโง่หรอคะ

ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สมุทัย ไม่รู้มรรค ไม่รู้นิโรธ
คงฉลาดล้ำ



ถ้ายังงั้น ช่วยให้ฉลาดคือให้หายโฮ้ที คือ ให้รู้ทุกข์ ให้รู้สมุทัย ให้รู้นิโรธ ให้รู้มรรรคที คุณโลกสวยว่าไปตามลำดับ (แต่ดูที่ว่านั่นเหมือนกับสับลำดับกันนะน่า) เอ้าแต่ไม่เป็นไร ชีอาจมีอะไรใหม่ๆมานำเสนอ :b1:


ตอบให้เป็นข้อสุดท้ายนะคะ

ที่เอามรรคขึ้นก่อน นิโรธนั้น

เพราะผู้ที่หัดปฎิบัติทั่วไป และพวกอ่อนการปฎิบัติ ปฎิบัติไปบ้าง ไม่ปฎิบัติบ้าง

ไม่ได้มีการศึกษาปริยัติให้ครบถ้วนและถูกต้อง ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม

การปฎิบัติ จึงรักษาการเป็นมิจฉาปฎิบัติได้อย่างเหนียวแน่น ทนทาน

จึงไม่อาจไปสู่ปฎิเวธที่แท้จริงได้

ปริยัติสมบูรณ์พร้อม จึงปฎิบัติ ให้ถึงปฎิเวธได้

ยิ่งคนทั่วไป สำคัญการไปทำมาหากิน หาเงินหาทอง มากกว่าการปฎิบัติ

จึงหาสัมมาทิฎฐิที่แท้จริงในมรรคไม่ได้

มรรคนั้น จึงเป็นเพียงปกติมรรค ธรรมดาๆ

ไม่ใช่อริยมรรค

เพราะอริยะมรรคนั้น มีองค์แปดแห่งสัมมาทิฎฐิ เป็นพื้น

และคนทั่วไป ไม่มีสัมมาทิฎฐฺิบริบูรณ์ ไม่มีความรู้ในปริยัติที่ถูกต้อง
จึงเป็นได้เพียงปกติมรรค

เมื่อแน่วแน่ เห็นการปฎิบัติสำคัญกว่าใดๆ
มีปริยัติเป็นพื้นฐานที่ดี การปฎิบัติก็จะตรงร่อง

จึงปฎิบัติไป จนกว่าจะมีสัมมาทิฎฐฺิแท้จริง ตามอริยะมรรคปรากฎชัด ไม่หลุดล่วงไป
จึงจะสามารถเดินไปตามอริยะมรรคที่บริบูรณ์ได้

จะเริ่มเข้าสู่อริยมรรคที่แท้จริง บริบูรณ์

หลังจากที่เข้าอริยะมรรคที่แท้จริงแล้ว

จะได้ทราบถึงมรรคผลที่แท้จริงของจิต

เมื่อขึ้นสู่โคตรภู จึงได้นิพพานเป็นอารมณ์
และจะดำเนินไป จนได้โสดาปัตติมรรคจิต ไปจนเป็นโสดาบันปัตติผลจิต
จนถึงอนาคามีมรรคจิต และอนาคามีผลจิต
และ หสิตุปปาทจเจตสิกใน พระอรหันต์มรรค


จึงจะเริ่มสู่การดับ จิตสังขารทั้งหมด ดับทุกข์ ดับกิเลสตัณหา โดยสิ้นเชิง
คือ นิโรธตามไวพจน์ของพระะนิพพานแท้ สอุปาทิเสสนิพพาน และ อนุปาทิเสสนิพพานค่ะ

ไม่ใช่ตามไวพจน์ของนิพพานเทียมที่ดับชั่วคราวค่ะ


เอวัง

สวัสดีค่ะ ลาก่อน บ๊ายบาย

จากนู๋เม โลกสวย 3 /23 / 2018



ความหมายของอริยสัจ


"ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นของแท้อย่างนั้น ไม่คลาดเคลื่อนไปได้ ไม่กลายเป็นอย่างอื่น ฉะนั้น จึงเรียกว่า อริยสัจ...

"ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นอริยะ ในโลก พร้อมทั้งเทวะ ทั้งมาร ทั้งพรหม ในหมู่ประชาพร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวะและมนุษย์ ฉะนั้น จึงเรียกว่าอริยสัจ (เพราะเป็นสิ่งที่ที่ตถาคต ผู้เป็นอริยะ ได้ตรัสรู้ และได้แสดงไว้)"

“ภิกษุทั้งหลาย เพราะได้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ นี้ตามเป็นจริง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้นาม เรียกว่าเป็น อริยะ” (สํ.ม.191703/543/)


สำหรับความหมายของอริยสัจแต่ละข้อ พึงทราบตามบาลี ดังนี้


“ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล เป็นทุกขอริยสัจ คือ ชาติ (ความเกิด) ก็เป็นทุกข์ ชรา (ความแก่) ก็เป็นทุกข์ พยาธิ (ความเจ็บไข้) ก็เป็นทุกข์ มรณะ (ความตาย) ก็เป็นทุกข์ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

“ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ ตัณหาที่ทำให้มีภพใหม่ ประกอบด้วยความเพลินและความติดใจ คอยเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

“ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ การที่ตัณหานั้นแลดับไปได้ด้วยการสำรอกออกหมดไม่เหลือ การสละเสียได้ สลัดออก พ้นไปได้ ไม่หน่วงเหนี่ยวพัวพัน

“ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์แปดนี้แล ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ” (เช่นในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร, วินย.1/14/18 ฯลฯ)


ขยายความออกไปอีกเล็กน้อย

๑.ทุกข์ แปลว่า ความทุกข์ หรือ สภาพที่ทนได้ยาก ได้แก่ ปัญหาต่างๆของมนุษย์ กล่าวให้ลึกลงไปอีก
หมายถึง
สภาวะของสิ่งทั้งหลายที่ตกอยู่ในกฎธรรมดาแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ซึ่งประกอบด้วยภาวะบีบคั้น กดดัน ขัดแย้ง ขัดข้อง มีความบกพร่อง ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง ขาดแก่นสาร และความเที่ยงแท้ ไม่อาจให้ความพึงพอใจเต็มอิ่มแท้จริง พร้อมที่จะก่อปัญหา สร้างความทุกข์ขึ้นมาได้เสมอ ทั้งที่เกิดเป็นปัญหาขึ้นแล้ว และที่อาจเกิดปัญหาขึ้นมา เมื่อใดเมื่อหนึ่ง ในรูปใดรูปหนึ่ง แก่ผู้ที่ยึดติดถือมั่นไว้ด้วยอุปาทาน


๒. ทุกขสมุทัย เรียกสั้นๆว่า สมุทัย แปลว่า เหตุแห่งทุกข์ หรือ สาเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น ได้แก่ ความอยากที่ยึดถือเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง โดยอาการที่มีเราซึ่งจะเสพเสวย ที่จะได้จะเป็น จะไม่เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ทำให้ชีวิตถูกบีบคั้นด้วยความเร่าร้อน ร่านรน กระวนกระวาย ความหวงแหน เกลียดชัง หวั่นกลัว หวาดระแวง ความเบื่อหน่าย หรือความคับข้องติดขัดในรูปใดรูปหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจปลอดโปร่ง โล่งเบา เป็นอิสระ สดชื่น เบิกบานได้อย่างบริสุทธิ์สิ้นเชิง ไม่รู้จักความสุขชนิด ที่เรียกว่า ไร้ไฝฝ้า และไม่อืดเฟ้อ


๓. ทุกขนิโรธ เรียกสั้นๆว่า นิโรธ แปลว่า ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่เข้าถึง เมื่อกำจัดอวิชชา
สำรอกตัณหาสิ้นแล้ว
ไม่ถูกตัณหาย้อมใจหรือฉุดลากไป ไม่ถูกบีบคั้นด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย
ความเบื่อหน่าย หรือความคับข้องติดขัดอย่างใดๆ หลุดพ้นเป็นอิสระ ประสบความสุขที่บริสุทธิ์ สงบ
ปลอดโปร่งโล่งเบา ผ่องใส เบิกบาน เรียกสั้นๆว่า นิพพาน


๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เรียกสั้นๆว่า มรรค แปลว่า ปฏิปทาที่นำไปสู่ความดับทุกข์ หรือข้อปฏิบัติให้
ถึงความดับทุกข์ ได้แก่
อริยอัฏฐังคิกมรรค หรือทางประเสริฐมีองค์ประกอบแปด คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ
สัมมาสมาธิ ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา เพราะเป็นทางสายกลาง ซึ่งดำเนินไปพอดีที่จะให้ถึงนิโรธ
โดยไม่ติดข้อง หรือเอียงไปหาที่สุดสองอย่าง คือ กามสุขัลลิกานุโยค (ความหมกมุ่นในกามสุข)
และอัตตกิลมถานุโยค (การประกอบความลำบากแก่ตน คือ บีบคั้นทรมานตนเองให้เดือดร้อน เช่น อดข้าวอดน้ำ เป็นต้น)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2018, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฯลฯ

คัมภีร์วิสุทธิมรรค สัมโมหวิโนทนี และสัทธัมมปกาสินี (วิสุทธิ.3/81 ฯลฯ) ได้ชี้แจงเหตุผลไว้อย่างน่าฟังว่า เหตุใด พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอริยสัจ ๔ ไว้โดยเรียงลำดับข้ออย่างที่เรียนรู้กันอยู่นี้ ข้อความที่ท่านกล่าวไว้แม้จะสั้น แต่มีสาระหนักแน่น จึงขอนำมาเป็นเค้าความสำหรับกล่าวถึงอริยสัจ ๔ โดยสังเขปต่อไปนี้

ก) ยกทุกข์ขึ้นพูดก่อน เป็นการสอนเริ่มจากปัญหา เพื่อใช้วิธีการแห่งปัญญา

๑.ทุกข์ คือ ปัญหาต่างๆของมนุษย์ เป็นเรื่องบีบคั้นชีวิตจิตใจ มีอยู่ทั่วไปแก่ทุกคน เกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใด ก็เป็นจุดสนใจ เป็นของเด่นชัดแก่ผู้นั้นเมื่อนั้น แต่ว่าที่จริงมองกว้างๆ ชีวิตมีปัญหาและเป็นปัญหากันอยู่เรื่อยๆ เป็นธรรมดา
ดังนั้น ทุกข์จึงเป็นจุดสนใจปรากฏเด่นชัดอยู่ในชีวิตของทุกๆคน เรียกได้ว่า เป็นของรู้ง่าย เห็นง่าย จี้ความสนใจ เหมาะที่จะยกขึ้นเป็นข้อปรารภ คือ เป็นจุดเริ่มต้นในการแสดงธรรม


ยิ่งกว่านั้น ทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว และน่าตกใจสำหรับคนจำนวนมากคอยหลีกเลี่ยง ไม่อยากได้ยิน แม้แต่คนที่กำลังเพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมา ไม่ตระหนักรู้ว่า ตนเองกำลังมีปัญหา และกำลังก่อปัญหา เมื่อมีผู้มาชี้ปัญหาให้ ก็จะกระทบใจทำให้สะดุ้งสะเทือนและมีความไหวหวั่น สำหรับคนที่อยู่ในภาวะเช่นนั้น
พระพุทธเจ้าทรงสอนปรารภเรื่องทุกข์เพื่อกระตุ้นเตือนให้เขาฉุกใจได้คิด เป็นทางที่จะเริ่มต้นพิจารณาแก้ปัญหาดับความทุกข์กันได้ต่อไป


เมื่อแสดงอริยสัจ โดยตั้งต้นที่ทุกข์ ก็เป็นการสอนที่เริ่มจากปัญหา เริ่มจากสิ่งที่เห็นง่ายเข้าใจง่าย เริ่มจากเรื่องที่น่าสนใจ และโดยเฉพาะเป็นการสอนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคน ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย ไม่ใช่เรื่องคิดเพ้อฝัน หรือสักว่าพูดตีฝีปากกันไป เมื่อพูดกับใครก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคนนั้น เมื่อพูดเป็นกลางๆ ก็เกี่ยวข้องกับทุกคน


พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์ มิใช่เพื่อให้เป็นทุกข์ แต่เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะดับทุกข์ เพราะทรงรู้ว่า ทุกข์หรือปัญหานั้นเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ดับได้ มิใช่เป็นของเที่ยงแท้แน่นอนจะต้องคงอยู่ตลอดไป ชีวิตนี้ที่ยังคับข้อง ก็เพราะมีทุกข์มีปัญหาคอยรบกวนอยู่
ถ้าดับทุกข์แก้ปัญหาแล้ว หรือได้สร้างความสามารถในการดับทุกข์แก้ปัญหาไว้พร้อมแล้ว ชีวิตก็จะปลอดโปร่งโล่งเบา พบสุขแท้จริง


แต่การดับทุกข์ หรือ แก้ไขปัญหานั้น มิใช่ทำได้ด้วยการหลบเลี่ยงปัญหาหรือปิดตาไม่มองทุกข์ ตรงข้าม ต้องใช้วิธีรับรู้สู้หน้าเข้าเผชิญดูมัน การรับรู้สู้หน้ามิใช่หมายความว่า จะเข้าไปแบกทุกข์ไว้ หรือ จะให้ตนเป็นทุกข์ แต่เพื่อรู้เท่าทัน จะได้แก้ไขกำจัดมันได้ พูดง่ายๆว่า ไม่ใช่ไปเอาทุกข์มาใส่ในใจ แต่เอาปัญญาไปแก้ไขจัดการ


การรู้เท่าทันนี้ คือ การทำหน้าที่ต่อทุกข์ให้ถูกต้อง ได้แก่ ทำปริญญา คือ กำหนดรู้ ทำความเข้าใจสภาวะของทุกข์ หรือ ปัญหานั้น ให้รู้ว่า ทุกข์หรือปัญหาของเรานั้น คือ อะไรกันแน่ อยู่ที่ไหน ( บางที คนชอบหลบเลี่ยงทุกข์หนีปัญหา และทั้งที่รู้ว่า มีปัญหา แต่จะจับให้ชัดก็ไม่รู้ว่า ปัญหาของตนนั้นคืออะไร ได้แต่เห็นคลุมๆ เครือๆ หรือพร่าสับสน) มีขอบเขตแค่ใด เมื่อกำหนดจับทุกข์ได้อย่างนี้ เมื่อกำหนดจับทุกข์ได้อย่างนี้ ก็เป็นอันเสร็จหน้าที่ต่อทุกข์ เหมือนแพทย์ตรวจอาการจนรู้โรค รู้จุดที่เป็นโรคแล้ว ก็หมดภาระไปขั้นหนึ่ง


เราไม่มีหน้ากำจัดทุกข์ เพราะทุกข์จะดับที่ตัวมันเองไม่ได้ ต้องแก้ที่เหตุของมัน ถ้าจะละทุกข์ที่ตัวทุกข์ ก็เหมือนรักษาโรคที่อาการ เช่น ให้ยาระงับอาการไว้ ก็ไม่ใช่แก้โรคไม่ได้จริง ต้องค้นหาสาเหตุต่อไป

แพทย์เรียนรู้โรค ต้องเรียนรู้เรื่องร่างกายอันเป็นที่ตั้งของโรคด้วย ฉันใด ผู้จะดับทุกข์ เมื่อเรียนรู้ทุกข์ ก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตอันเป็นที่ตั้งของทุกข์ ซึ่งรวมถึงสภาวะของสังขารโลกที่เกี่ยวข้องด้วย ฉันนั้น

สาระสำคัญของอริยสัจข้อที่ ๑ คือ รับรู้ความจริงเกี่ยวกับทุกข์ตามที่มันเป็นอยู่ และมองดูรู้จักชีวิต รู้จักโลกตามที่มันเป็นจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2018, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข) ค้นเหตุปัจจัยให้พบด้วยปัญญา ไม่มัวหาที่ซัดทอด

๒. สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ หรือ สาเหตุของปัญหา เข้ามาตอนนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ถึงลำดับ คือ เมื่อต้องการดับทุกข์ ก็ต้องกำจัดสาเหตุของมัน เมื่อกำหนดหรือจับได้แล้วว่า ทุกข์ หรือปัญหาของตนคืออะไร เป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะสืบสาวหาสาเหตุต่อไป เพื่อจะได้ทำกิจแห่งปหานะ คือละ หรือกำจัดเสีย

อย่างไรก็ตาม เมื่อค้นหาสาเหตุ คนก็มักเลี่ยงหนีความจริง ชอบมองออกไปข้างนอก หรือมองให้ไกลตัว จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยมักมองหาตัวการข้างนอกที่จะซัดทอดโทษให้ หรือ ถ้าจะเกี่ยวกับตนเอง ก็ให้เป็นเรื่องไกลออกไป จนรู้สึกว่าพ้นจากความรับผิดชอบของตน

สิ่งที่มักถูกซัดทอดให้เป็นสาเหตุนั้น ปรากฏออกมาเป็นลัทธิที่ผิดพลาด ๓ ประเภท คือ

๑. ปุพเพกตวาท ลัทธิกรรมเก่า ถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงที่ประสบในบัดนี้ เป็นเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้ในปางก่อน ไม่ว่าจะจะพบทุกข์เจอสุขอะไร ก็ยกให้เป็นเรื่องกรรมเก่า

๒. อิศวรนิรมิตวาท ลัทธิพระเป็นเจ้า ถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงที่ประสบในบัดนี้ เป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ ไม่ว่าจะหนีเรื่องร้าย หรืออยากได้เรื่องดี ก็หวังบารมีเทพเจ้า

๓. อเหตุวาท ลัทธิคอยโชค ถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงที่ประสบในบัดนี้ เป็นไปเอง แล้วแต่โชคชะตาที่เลื่อนลอย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย อะไรๆ จะดีหรือร้าย ทำอะไรไม่ได้ ว่ารอให้ถึงคราว ก็จะเป็นไปเอง


ทางธรรมปฏิเสธลัทธิเหล่านี้ เพราะขัดต่อกฎธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย แต่ให้มองสาเหตุของทุกข์ตามกฏธรรมดาที่ว่านั้น โดยมองเหตุปัจจัย เริ่มที่ตัวตน และในตัวคน และที่ในตนเอง ได้แก่ กรรม คือการกระทำ การพูด การคิด ที่ดีหรือชั่ว ซึ่งได้ประกอบแล้ว และกำลังประกอบอยู่ และ ที่ได้สั่งสมไว้เป็นลักษณะนิสัย ตลอดจนการตั้งจิตวางใจต่อสิ่งทั้งหลาย และการมีความสัมพันธ์อย่างถูกต้อง หรือผิดพลาด กับเหตุปัจจัยในบรรดาสภาพแวดล้อม


ในขั้นพื้นฐาน ท่านกล่าวลึกลงไปอีกว่า ตัณหา ความทะยานอยาก ที่ทำให้วางใจ วางตัว ปฏิบัติตนแสดงออก สัมพันธ์ และการะทำต่อชีวิตและ โลกอย่างไม่ถูกต้อง อย่างไม่เป็นไปด้วยความรู้ตามเป็นเป็นจริง แต่เป็นไปด้วยความยินดี ยินร้าย ชอบชัง เป็นต้น ตลอดจนกิเลสปกป้องตัวตนทั้งหลาย เช่น ความกลัว ความถือตัว ความริษยา ความหวาดระแวง ฯลฯ ที่สืบเนื่องมาจากตัณหานั่นแหละ คือ ที่มาแห่งปัญหาความทุกข์ของมนุษย์


ตัณหามี ๓ อย่างคือ กามตัณหา อยากกาม ได้แก่ อยากได้อยากเอาอยากเสพ อย่างหนึ่ง

ภวตัณหา อยากภพ (ภว) ได้แก่ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากคงสถานอยู่ตลอดไป อยากมีชีวิตนิรันดร อย่างหนึ่ง

วิภวตัณหา อยากสิ้นภพ ได้แก่ ปรารถนาภาวะมลายสิ้นสูญ อย่างหนึ่ง และ

ลึกลงไปให้ชัดกว่านั้น ก็ดูที่กระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท ก็จะเห็นตั้งแต่อวิชชา ซึ่งเป็นมูลของตัณหา ว่าเป็นที่ไหลเนืองมาแห่งปัญหาประดาทุกข์นั้น


เมื่อใด กำจัดอวิชชาตัณหา ที่เป็นต้นตอของปัญหา ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ได้แล้ว มนุษย์ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลสปกป้องตัวตนทั้งหลาย เมื่อนั้น เขาก็จะสามารถปฏิบัติต่อชีวิตและสัมพันธ์กับโลก ทั้งส่วนมนุษย์ สัตว์อื่น และธรรมชาติ ด้วยปัญญาที่เข้าใจสภาวะ และรู้เหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง ซึ่งทำให้แก้ปัญหาได้จริง อย่างเต็มความสามารถ และสติปัญญาของมนุษย์


แม้ความทุกข์จะมีเหลืออยู่ ก็เป็นเพียงทุกข์ตามสภาวะธรรมดา และทุกข์ที่เหลืออยู่น้อยแล้ว ก็ไม่มีอิทธิพลครอบงำจิตใจของเขาได้ ในเมื่อไม่มีของอิทธิพลของตัณหาครอบงำอยู่ภายใน ภารกิจของเขาจะมีเหลืออยู่เพียงการคอยใช้ปัญญาศึกษาพิจารณาสถานการณ์ และเรื่องราวทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง ให้รู้เข้าใจสภาวะและเหตุปัจจัยตามเป็นจริง แล้วจัดการด้วยปัญญานั้น ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุข


แต่ตราบใด กิเลสที่บิดเบือน ครอบงำ และที่ทำให้เอนเอียงทั้งหลาย ยังบีบคั้นบังคับมนุษย์ให้เป็นทาสของมันได้ ตราบนั้น มนุษย์จะไม่สามารถแก้ปัญหาขจัดทุกข์ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายนอก หรือทุกข์ภายใน โดยมากเมื่อจะแก้ปัญหา เขามักจะกลับทำปัญหาให้ขยายตัวออกไปมากขึ้น ในรูปเดิมบ้าง ในรูปของปัญหาใหม่ๆ อื่นๆ บ้าง เมื่อถูกทุกข์บีบคั้นในภายใน แทนที่จะดับหรือสามารถลดทอนปริมาณแห่งทุกข์ให้เบาบางลงได้ด้วยปัญญา ก็กลับถูกตัณหา บีบกดให้ชดเชยออกไป ด้วยเติมทุกข์ที่ใหญ่กว่าเข้ามา หรือระบายทุกข์นั้น ออกไปให้เป็นโทษภัยแก่คนอื่นและแก่สังคม


ความทุกข์ และ ปัญหาของมนุษย์ได้เป็นมา และเป็นอยู่อย่างนี้ ตามอำนาจบงการของตัณหา ที่มีอวิชชาคอยหนุนอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2018, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค) ชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา มีความสุขอย่างอิสระ และทำกิจด้วยกรุณา

๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ หรือภาวะหมดปัญหา เมื่อได้กล่าวถึงทุกข์หรือปัญหาพร้อมทั้งสาเหตุ ที่เป็นเรื่องร้ายไม่น่าพึงใจแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ทรงชโลมดวงใจของเวไนยชนให้เกิดความเบาใจและให้มีความหวังขึ้น ด้วยการตรัสอริยสัจข้อที่ ๓ คือ นิโรธ บอกให้รู้ว่า ทุกข์ที่บีบคั้นนั้นดับได้ ปัญหาที่มีความกดดันนั้นแก้ไขได้ ทางออกที่น่าพึงใจมีอยู่ทั้งนี้ เพราะสาเหตุแห่งปัญหาหรือความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่กำจัดหรือทำให้หมดสิ้นไปได้


ทุกข์หรือปัญหา ตั้งอยู่ได้ด้วยอาศัยเหตุ เมื่อกำจัดเหตุแล้ว ทุกข์ที่เป็นผล ก็พลอยดับสิ้นไปด้วย เมื่อทุกข์ดับไป ปัญหาหมดไป ก็มีภาวะหมดปัญหา มีภาวะไร้ทุกข์ปรากฏขึ้นมาอย่างเป็นไปเอง วุ่นหายกลายเป็นว่าง หลุดโล่ง โปร่งเบา ปลอดพ้นไปได้ เป็นอิสระ หมดจด สดใส โดยนัยนี้
นิโรธอริยสัจ จึงตามเข้ามาเป็นลำดับที่ ๓ ทั้งโดยความเป็นไปตามธรรมดาของกระบวนธรรมเองและ ทั้งโดยความเหมาะสมแห่งกระบวนวิธีการสอน ที่ชวนสนใจ ช่วยให้เข้าใจ สอนได้ผลดี และชวนให้ก้าวสู่การปฏิบัติเพื่อประจักษ์ผลที่เป็นจริง


เมื่อกำจัดตัณหา พร้อมทั้งกิเลสว่านเครือ ที่บีบคั้นครอบงำ และหลอนล่อจิตลงได้ จิตก็ไม่ต้องถูกทรมานด้วยความเร้าร้อน ร่านรน กระวนกระวายความหวาด หวั่น ความกระทบกระทั่ง ความหงอยเหงา และความเบื่อหน่าย ไม่ต้องหวังความสุขแบบขอไปทีเพียงด้วยการหนีหลบออกไปจากอาการเหล่า
นี้ หรือแก้ไขทุกข์ด้วยหาอะไรมากลบปิดไว้ หรือ มาทดแทน หรือหาทางระบายออกข้างนอก พอผ่านหรือพ้นไปคราวหนึ่งๆ


ด้วยการแก้ไขที่เหตุปัจจัยนี้ จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ ปลอดโปร่งโล่งเบา มีความสุขที่ไร้ใฝฝ้า ด้วยไม่ต้องสะดุดพะพานสิ่งกังวลคั่งค้างใจ สงบ สดชื่น เบิกบาน ผ่องใสได้ตลอดทุกเวลา อย่างเป็นปกติของใจ บรรลุภาวะสมบูรณ์ของชีวิตด้านใน เป็นอันสำเร็จกิจแห่ง สัจฉิกิริยา คือการประจักษ์แจ้งจุดหมาย


ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อจิตหลุดพ้นจากกิเลสที่บีบคั้นครอบงำหลอนล่อ และเงื่อนปมที่ติดข้องในภายใน เป็นอิสระ ผ่องใส โดยไม่มีอวิชชาที่จะมาแสดงอิทธิพลนำชักใยอีกต่อไปแล้ว ก็ย่อมมีความหมายว่า ปัญญาได้หลุดพ้นจากกิเลสที่บดบัง เคลือบ คลุม บิดเบือน หรือย้อมสี บริสุทธิ์เป็นอิสระ จึงทำให้สามารถคิดพิจารณาสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง มองสิ่งทั้งหลายตามสภาวะและตามเหตุปัจจัย


เมื่อไม่มีอวิชชา-ตัณหาคอยชักพาให้เขว ปัญญาก็เป็นเจ้าการในการชักนำพฤติกรรม ทำให้วางใจปฏิบัติตนแสดงออก สัมพันธ์กับโลกและชีวิต ด้วยความรู้เท่าทันความเป็นจริง นอกจากปัญญานั้น จะเป็นรากฐานแห่งความบริสุทธิ์เป็นอิสระของจิตในส่วนชีวิตด้านใน
แล้ว
ในส่วนชีวิตด้านนอก ก็ช่วยให้ใช้ความรู้ ความสามารถของตนไปในทางที่เป็นไปเพื่อการแก้ปัญหา เสริมสร้างประโยชน์สุขได้อย่างแท้จริง สติปัญญาความสามารถของเขาถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เต็มที่ของมัน ไม่มีอะไรหน่วงเหนี่ยวบิดเบน เป็นไปเพื่อความดีงามอย่างเดียว จึงเรียกว่าเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา หรือชีวิตที่ดำเนินไปด้วยปัญญา


ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อจิตใจเป็นอิสระ ปลอดโปร่ง เป็นสุขอยู่เป็นปกติเอง ไม่ห่วงไม่กังวลเกี่ยวกับตัวตน ไม่ต้องคอยแสวงหาสิ่งเสพ ไม่ต้องคอยปกป้องเสริมความมั่นคงยิ่งใหญ่ของตัวตนที่แบกถือเอาไว้ แล้ว จิตใจก็เปิดกว้าง แผ่ความรู้สึกอิสระออกไปพร้อมที่จะรับรู้สุขทุกข์ของเพื่อนสัตว์โลก และคิดเกื้อกูลช่วยเหลือ โดยนัยนี้ ปัญญา จึงได้ กรุณา มาเป็นแรงชักนำพฤติกรรมต่อไป ทำให้ดำเนินชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นได้เต็มที่


ในเมื่อไม่ยึดติดถือมั่นอะไรๆในแง่ของกิเลสที่ห่วงหาผูกพันจะเอาจะได้เพื่อ ตัวตนแล้ว ก็สามารถทำการต่างๆ ที่ดีงามบำเพ็ญกิจเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นได้แน่วแน่จริงจัง


สำหรับชีวิตด้านใน มีจิตใจเป็นอิสระ เป็นสุข ผ่องใส เบิกบาน เป็นความบริบูรณ์แห่งประโยชน์ตน เรียกว่า อัตตหิตสมบัติ ส่วนชีวิตด้านนอก ก็ดำเนินไปเพื่อเกื้อกูลแก่ผู้อื่น เรียกว่า ปรหิตปฏิบัติ เข้าคู่กัน เป็นอันครบลักษณะของผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งความหมายสูงสุดของนิโรธ


อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินในมรรคาแห่งอารยชน ไม่จำเป็นที่จะต้องรอผล จนกว่าจะบรรลุนิพพาน ที่เป็นความหมายสูงสุดของนิโรธ เมื่อเดินทางตามมรรคถูกต้องแล้ว แม้ในระหว่างทาง ก็สามารถประสบผลแห่งการปฏิบัติประจักษ์ แก่ตนได้เรื่อยไป โดยควรแก่การปฏิบัติ ทั้งได้ประโยชน์เอง และทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ดังที่ว่าแล้วนั้น มากและสูงไปตามชั้น ด้วยว่านิโรธนั้น มีลดหลั่นลงมารวมด้วยกันถึง ๕ ระดับ คือ

๑. วิกขัมภนนิโรธ ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยข่มไว้ โดยทำจิตใจให้สงบ เยือกเย็นผ่อนคลายหายเครียด ปราศจากความขุ่นมัวเศร้าหมองหาย เร่าร้อนกระวนกระวาย ด้วยวิธีการฝ่ายสมาธิ เฉพาะอย่างยิ่งหมายเอาสมาธิในระดับฌาน ซึ่งกิเลสถูกทำให้สงบไว้ ได้เสวยนิรามิสสุขตลอดเวลาที่อยู่ในฌานนั้น

๒. ตทังคนิโรธ ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยองค์ธรรมคู่ปรับ หรือธรรมที่ตรงข้าม เฉพาะอย่างยิ่ง การรู้จักคิด รู้จักพิจารณา มีปัญญารู้เท่าทันความจริงที่เป็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย และจะพึงแก้ไขที่เหตุปัจจัย ไม่ขึ้นต่อความอยากความปรารถนาและความหมายมั่นยึดถือของมนุษย์ แล้ววางใจได้ถูกต้อง และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยท่าทีแห่งความรู้ ความเข้าใจ ทั้งมีจิตใจเป็นอิสระ และหวังดีมีน้ำใจเมื่อปัญญานี้ เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนตรงตามสภาวะ ก็เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา ทำให้กิเลส และความทุกข์ดับหายไปได้ตลอดชั่วเวลานั้นมีจิตใจสงบ บริสุทธิ์ เป็นสุข ผ่องใส เบิกบานใจ กับทั้งทำให้จิตประณีตและปัญญางอกงามยิ่งขึ้น

๓. สมุจเฉทนิโรธ ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยตัดขาด คือบรรลุโลกุตรมรรค ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคขึ้นไป ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยได้เสร็จสิ้นเด็ดขาดตามระดับของมรรคนั้นๆ

๔. ปฏิปัสสัทธินิโรธ ดับกิเลสดับทุกข์ด้วยสงบระงับไป คือ บรรลุโลกุตรผล เป็นอริยบุคคล ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป กิเลสดับสิ้นไปแล้ว มีความบริสุทธิ์ปลอดโปร่งเป็นอิสระตามระดับของอริยบุคคลขั้นนั้นๆ

๕. นิสสรณนิโรธ ดับกิเลสด้วยสลัดออกไป หมายถึงภาวะที่เป็นอิสระปลอดโปร่งอย่างแท้จริง และโดยสมบูรณ์ คือ ภาวะแห่งนิพพาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2018, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ง) ถ้าถึงพระรัตนตรัย ก็ไม่รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เลิกฝากตัวกับโชคชะตา

๔. มรรค คือ ทางดับทุกข์ หรือวิธีปฏิบัติเพื่อกำจัดสาเหตุแห่งปัญหา เมื่อรู้ทั้งปัญหา ทั้งสาเหตุแห่งปัญหา ทั้งจุดหมายที่เป็นภาวะหมดสิ้นปัญหา รู้ทุกอย่างครบถ้วนแล้ว ก็พร้อมและเป็นอันถึงเวลาที่จะต้องลงมือปฏิบัติ โดยเฉพาะ แง่ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดโดยตรง ก็คือ เมื่อรู้จุดหมายที่จะต้องไปให้ถึงว่าเป็นไปได้ และคืออะไรแล้ว การปฏิบัติเพื่อบรรลุจุดหมายนั้น จึงจะพลอยเป็นไปได้ด้วย ถ้าไม่รู้ว่าจุดหมายคืออะไร จะไปไหน ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติหรือเดินทางได้อย่างไร ดังนั้น ว่าโดยความสัมพันธ์ระหว่างข้อธรรมด้วยกัน มรรคย่อมสมควรเข้าลำดับเป็นข้อสุดท้าย

อีกอย่างหนึ่ง ว่าโดยวิธีการสอน ตามธรรมดานั้น การปฏิบัติเป็นกิจที่ต้องอาศัยเรี่ยวแรงกำลัง ถ้าผู้ปฏิบัติไม่เห็นคุณค่า หรือประโยชน์ ของสิ่งที่เป็นจุดหมาย ก็ย่อมไม่มีกำลังใจจะปฏิบัติ ยิ่งถ้ารู้สึกว่าการปฏิบัตินั้นยาก ก็อาจเกิดความระย่อถ้อถอย หรือถึงกับไม่ยอมปฏิบัติ แม้หากปฏิบัติ ก็อาจทำอย่างถูกบังคับ จำใจ ฝืนใจ สักว่าทำ ไม่อาจดำเนินไปด้วยดี

ใน ทางตรงข้าม ถ้าเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของสิ่งที่เป็นจุดหมายแล้ว เขาย่อมยินดีปฏิบัติ ยิ่งจุดหมายนั้นดีงาม เขาอยากได้มากเท่าใด เขาก็จะยิ่งมีกำลังใจปฏิบัติด้วยความเข้มแข็งมากเท่านั้น เมื่อเขาฉันทะจริงจังแล้ว แม้ว่าการปฏิบัติจะยากลำบากเท่าใดก็ตาม เขาก็จะพยายามต่อสู้ทำให้สำเร็จ

การที่พระพุทธเจ้าตรัสนิโรธไว้ก่อนหน้ามรรค ก็เพราะเหตุผลข้อนี้ด้วย คือ ให้ผู้ฟังมีความหวัง และเห็นคุณค่าของนิโรธที่เป็นจุดหมายนั้นก่อน จนเกิดความสนใจกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้วิธีปฏิบัติ และ พร้อมที่จะลงมือปฏิบัติต่อไป เมื่อพระองค์ตรัสแสดงนิโรธ ให้เห็นว่า เป็นภาวะควรบรรลุถึงอย่างแท้จริงแล้ว ผู้ฟังก็ตั้งใจที่จะรับฟังมรรคด้วยใจมุ่งมั่น ที่จะเอาไปใช้เป็นข้อปฏิบัติ และทั้งมีกำลังเข้มแข็ง พร้อมที่จะลงมือปฏิบัติตามมรรค และยินดีที่จะเผชิญกับความยากลำบากในการปฏิบัติตามรรคนั้นต่อไป

เมื่อมองหาเหตุแห่งทุกข์ มนุษย์ชอบมองออกไปหาที่ซัดทอดในภายนอก หรือมองให้ไกลจากความรับผิดชอบของตนเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันใด เมื่อจะแก้ไขทุกข์ มนุษย์ก็ชอบมองออกไปข้างนอก หาที่ปกป้องคุ้มครองให้ตนพ้นภาระหรือช่วยทำการแก้ไขทุกข์แทนให้ ฉันนั้น

ว่าโดยลักษณะ การกระทำทั้งสองนั้นก็คล้ายคลึงกัน คือ เป็นการหลบหน้าความจริง ไม่กล้ามองทุกข์ และเลี่ยงหนีการเผชิญความรับผิดชอบ เหมือน คนหนีภัยด้วยความขลาดกลัวหาที่พอปิดตาซุกหน้าไม่ให้เห็นภัยนั้น นึกเอาเหมือนว่าได้พ้นภัย ทั้งที่ทั้งร่าง ทั้งตัวถูกปล่อยทิ้งไว้ในภยันตราย

ทำทีเช่นนี้ ทำให้เกิดนิสัยหวังพึ่งปัจจัยภายนอก เช่น การอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานเซ่นสรวงสังเวย การรอคอยการดลบันดาลของเทพเจ้า หรือ นอนคอยโชคชะตา พระพุทธศาสนาสอนว่าสิ่งที่พึ่งเช่นนั้น หรือการปล่อยตัวตามโชคชะตาเช่นนั้นไม่เป็นทางแห่งความมั่นคงปลอดภัย ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์แท้จริง

วิธีแก้ไขทุกข์ที่ถูกต้อง คือ มีความมั่นใจในคุณพระรัตนตรัย ทำใจให้สงบและเข้มแข็งแล้วใช้ปัญญา มองดูปัญหาอย่างมีใจเป็นกลาง ให้เห็นตามสภาวะของมัน และพิจารณาแก้ไขปัญหานั้นที่เหตุปัจจัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2018, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดอีกอย่างหนึ่งว่า รู้จักดำเนินวิธีแก้ไขปัญหาตามหลักอริยสัจ ๔ ประการ คือ กำหนดทุกข์
สืบสาวหาสาเหตุแห่งทุกข์
เล็งรู้ภาวะดับทุกข์ที่จะพึงบรรลุแล้วปฏิบัติตามวิธีแก้ไขที่ตรงเหตุ ซึ่งพอดีที่จะให้บรรลุจุดหมาย เรียกว่า มรรคมีองค์ ๘ การปฏิบัติเช่นนี้ จึงจะเป็นการพ้นทุกข์ที่แท้จริง

ทั้งนี้ สมดังพุทธพจน์ว่า

“มนุษย์มากมายแท้ ถูกภัยคุกคามเข้าแล้ว พากันยึดเอา ภูเขาบ้าง ป่าบ้าง สวนและต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง เป็นที่พึ่ง สิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นที่พึ่งอันเกษมได้เลย นั้นไม่ใช่สรณะอันอุดม คนยึดเอาสรณะอย่างนั้น จะพ้นไปจากสรรพทุกข์หาได้ไม่

“ส่วนผู้ใด ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มองเห็นด้วยปัญญาโดยถ่องแท้ซึ่งทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น ความก้าวล่วงทุกข์ และ อริยมรรคามีองค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ นี่แหละคือสรณะอันเกษม นี้คือสรณะอันอุดม คนถึงสรณะอย่างนี้แล้ว ย่อมปลอดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง” (ขุ.ธ.25/24/46)


พระพุทธเจ้า เป็นที่ระลึกให้มั่นใจว่า มนุษย์คือเราทุกคนนี้ มีสติปัญญา ความสามารถที่อาจฝึกปรือ หรือ พัฒนาให้บริบูรณ์ได้ สามารถหยั่งรู้ธรรมบรรลุความหลุดพ้นเป็นอิสระไร้ทุกข์ ลอยเหนือโลกธรรม และมีความดีสูงเลิศที่แม้แต่เทพเจ้า และพรหมก็เคารพบูชา ดังมีพระบรมศาสดาเป็นองค์นำ

มนุษย์ทั้งหลาย ที่หวังพึ่งเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์นั้น ถ้ารู้จักฝึกอบรมตนให้ดีแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่เทวะ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะทำให้ได้ เหมือนดังที่กรรมดีและจิตปัญญาของมนุษย์เองจะสามารถทำ

พระธรรม เป็นที่ระลึกให้มั่นใจว่า ความจริงหรือสัจธรรมเป็นภาวะที่ดำรงอยู่โดยธรรมดา สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ถ้ารู้จักมองดู รู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายตามสภาวะที่มันเป็นจริง นำความรู้ธรรมคือความจริงนั้นมาใช้ประโยชน์ ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลาย ด้วยความรู้เท่าทันสภาวะ และกระทำการที่ตัวเหตุปัจจัย ก็จะแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด เข้าถึงธรรม และมีชีวิตที่ดีที่สุด

พระสงฆ์ เป็นที่ระลึกให้มั่นใจว่า สังคมดีงามมีธรรมเป็นรากฐานประกอบด้วยสมาชิก ผู้มีจิตใจไร้ หรือห่างทุกข์ เป็นอิสระเสรี แม้มีพัฒนาการแห่งจิตปัญญา ในระดับแตกต่างกัน แต่ก็อยู่ร่วมกันด้วยดี มีความสมเสมอกันโดยธรรม มนุษย์ทุกคนมีส่วนร่วมอยู่ร่วมสร้างสังคมเช่นนี้ได้ ด้วยการรู้ธรรม และปฏิบัติตามธรรม

ถ้าไม่มีความมั่นใจในพระรัตนตรัย ก็ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก เช่น เซ่นสรวงอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนบานเทพเจ้า เป็นต้นต่อไป
แต่ถ้ามีความมั่นใจในพระรัตนตรัยแล้ว ก็เรียนรู้หลักการดับทุกข์แก้ปัญหาด้วยปัญญารู้เหตุปัจจัย ตามหลักอริยสัจ และปฏิบัติตามวิธีการพัฒนาตัวตนของมรรคในพระพุทธศาสนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2018, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


สนธิญาณ” ฟันธง จุดจบสุดท้าย “ธนาธร” ไม่ต่างกับ “ทักษิณ” ไม่มีแผ่นดินอยู่

http://www.springnews.co.th/view/222798?sp

อีกตัวอย่างหนึ่ง ตอนนี้ย้ายที่หากินไปอยู่สปริงนิวส์ :b32:


วิธีอริยสัจ ได้ผลชะงัด ตั้งแต่สอนนักเรียน จนถึงปลุกระดมคน

ขอนอกเรื่องสักนิดหนึ่ง ใช้อย่างไร วิธีปลุกระดมตามแนววิธีของอริยสัจ ๔ คือ


๑. จาระไนปัญหา จะต้องแจกแจงหรือแถลงก่อนว่า เดี๋ยวนี้อะไรต่ออะไรมันเสียหายร้ายแรง เลวทรามอย่างไร เช่น จะปฏิวัติสังคมก็ต้องพูดนำให้เห็นก่อนว่า ขณะนี้ สังคมมันเลวร้าย มีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ พูดจนกระทั่งคนเห็นว่า สังคมเรานี้ ไม่ไหวแล้ว

๒. ชี้หน้าตัวการ พอพูดจาระไนปัญหาจนกระทั่งคนเห็นด้วยว่า ไม่ไหวจริงๆ เลวเต็มทีแล้ว จะต้องแก้ไข นักปลุกระดมก็พูดต่อไปว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ตัวการคืออะไร ใครเป็นตัวการ เอาแล้วสิทีนี้ พอชี้ตัวการว่าตัวการอยู่ที่นี่ พวกนั้น พวกนี้ อันนั้น อันนี้ เป็นตัวการ นี่ละตัวเหตุละ พอชี้ตัวการแล้ว คนก็ฮึ่มกระหื่นขึ้นมาจะลงมือ พร้อมที่จะปฏิวัติเลย

๓. หันไปจ้องจุดหมาย พอชี้ตัวการร้ายแล้ว ก็บอกจุดหมายเลยว่า (พี่น้องเอ้ย :b32: ) ถ้าเราแก้ไขเสร็จแล้วนะ มันจะดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ บรรยายสภาพที่เป็นจุดหมายว่า จะดีเลิศประเสริฐอย่างไร จนกระทั่งคนกระหาย อยากจะเข้าถึงจุดหมายนั้น

พอถึงขั้นนี้ คนก็พร้อมที่จะปฏิบัติการทุกอย่าง เพราะมองเห็นและคิดหมายใฝ่ปรารถนาจุดหมายที่ดีงามแล้ว ก็อยากจะไปเต็มที แล้วก็โยงมาด้วยว่า จะไปถึงจุดหมายนั้นได้ ก็ต้องกำจัดไอ้เจ้าตัวร้ายทั้งหลายที่เป็นเหตุให้หมดไป แล้วปัญหาต่างๆ ความทุกข์ ความเดือดร้อนทั้งปวงก็จะหมดไป


๔.สาธยายวิธีทำการ พอคนพร้อมอย่างนี้แล้ว ก็บอกวิธีทำวิธีปฏิบัติ ตอนนี้ จะให้ลงมือทำอะไร จะให้ทำอะไร ทำได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะยากจะเย็นจะซับซ้อนอย่างไร เอาทุกอย่าง


นี่แหละวิธีสอนแบบอริยสัจ จนบัดนี้ ไม่มีล้าสมัย และใครทุกพวก ไม่ว่าจะฝ่ายดี ฝ่ายร้าย ต้องใช้ มีแต่จะใช้ในทางดี หรือทางร้ายเท่านั้นเอง

ในวงการศึกษาเวลานี้จึงยอมรับมาก ในเรื่องวิธีสอนแบบอริยสัจ ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของวิธีสอนทุกอย่าง พระพุทธเจ้าทรงนำเอาสัจธรรมมาแสดงแก่มนุษย์ ในรูปที่เรียกว่า อริยสัจ ๔

(จาริกบุญ จารึกธรรม หน้า ๑๓๖)



ยกฟ้อง ม.112 “ทอม ดันดี” อดีตนักร้องชื่อดัง!

https://www.khaosod.co.th/politics/news_900891

ศาลจังหวัดภูเขียว พิพากษายกฟ้อง 'ไผ่ ดาวดิน-วศิน พรหมณี' คดีประชามติเมื่อปี 2559

https://www.voicetv.co.th/read/BJnGiy9cf

ติดคุกฟรีไปรอบหนึ่ง. ฝ่ายถือปืน ถือกฎหมายได้เปรียบทุกประตู

'ทอม ดันดี' นอนคุกต่อ! ทนายเผย 2 คดีก่อนหน้าโดนไป 10 ปี 10 เดือน

http://www.thaipost.net/main/detail/6066

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2018, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
“ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”

https://www.thairath.co.th/content/1231191


ชกไม่มีมุม : พวกฉลาดล้ำ

https://www.khaosod.co.th/newspaper-col ... ews_861899


แกนนำ กปปส.โอด ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง กลับถูกฟ้องข้อหาฉกรรจ์ แต่ไม่เคยเสียใจ

https://www.matichon.co.th/news/884914


รู้สึกเจ็บลึกในอก

ฯลฯ

ส่วนที่ว่า “รู้สึกเจ็บลึกในอก” คงตัดพ้อถึงใครบางคน

https://www.khaosod.co.th/newspaper-col ... ews_901625

ข่าวสองพี่น้องอินเจแปน

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_903101

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2018, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Jak เขียน:
คนดี จะพยายาม สร้างสิ่งที่ทำให้เกิดสันติ ความเป็นปกติให้เกิดขึ้น
หมายความว่่า ที่ใดมีความขัดแย้ง ไม่สงบ จะพยายามขจัดความขัดแย้ง

ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หมายถึงความการระงับความขัดแย้ง
ให้เกิดความเป็นปกติ

ให้ดูตัวอย่างการขจัดความขัดแย้ง พ่อหลวง ร9 ทำอย่างไร? สมัยนายกฯ สุจินดากับ พลต จำลอง

แต่ .... นักวิชาการ มองอย่างไร?

กูจะร่าง กม ตามแบบประชาธิปไตย
แม้ว่า ประชาธิปไตย จะสร้างความเดือดร้อนในอนาคต
นี่หรือคนดี

คน(อ้างตน)เก่งที่เห็น หลักการ(โง่ๆ) ของประชาธิปไตย(หางอึ่ง) ดีกว่าความสงบสุขของประชาชน

เพราะ คนเก่งเหล่านี้ คิดเพียงว่าหลักประชาธิปไตย คือ สิทธิเสรีภาพทุกคนเท่าเทียมกัน

ความจริงเป็นเช่นใด มันไม่สนใจ

ประชาธิปไตยใช้ได้เฉพาะในสังคมที่มีแต่คนดีเท่านั้น นี่เป็น ทฤษฎีหางอึ่ง ตัววันตก

ซึ่งหมายความว่า

นักร่างกฎหมาย หรือ ร่างรัฐธรรมนูญ ยังไม่รู้จัก ความจริง มุ่งเอาแต่ ทฤษฎี

จบกันตั้งแต่ในมุ้ง จบตั้งแต่ กม รัฐธรรมนูญแล้ว คือไม่สามารถจำแนกคนดีกับคนไม่ดี

ไม่รู้ข้อจำกัดหลักประชาธิปไตย

ความจริงในสังคมคือ มีคนดี และคนไม่ดี

เมื่อ คิดจะให้เสรีภาพทุกคน งั้นก็ไม่ต้องมีเรือนจำดีไหม ?

เรือนจำมีไว้สำหรับ กักขัง คนไม่ดี คนเลว คนที่มีภัย .... นี่คือกฎหมาย

จำกัดเสรีภาพไหม?

แล้ว คิดว่า การร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กฎหมายลูก เพื่อจำกัดเสริภาพคนไม่ดี

เข้ามาในสภาทำไมจึงทำไม่ได้ อย่ามาทำเป็น นักประชาธิปไตยนักเลย

ที่จะอ้าง สิทธิ์เสรีภาพแก่ทุกคน .... นี่เป็นการกระทำ สอง มาตรฐาน

อย่างไร มีเรือนจำ จำกัดคนไม่ดี แต่ ไม่ร่าง กม เพื่อจำกัดคนไม่ดีเข้าสภาฯ

เพราะอ้างว่า ความดีวัดไม่ได้ .... (โถ่ ช่างคิดเน๊าะ)

....




อ้างคำพูด:
ความจริงในสังคมคือ มีคนดี และคนไม่ดี

เมื่อ คิดจะให้เสรีภาพทุกคน งั้นก็ไม่ต้องมีเรือนจำดีไหม ?

เรือนจำมีไว้สำหรับ กักขัง คนไม่ดี คนเลว คนที่มีภัย .... นี่คือกฎหมาย

จำกัดเสรีภาพไหม?



เรื่องคนดี คนไม่ดี เมื่อนี่ มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ขี่มอไซไปดูมือถือไปด้วย มอไซเฉียวลุงขี่ซาเล้ง อายุ 80 ปีแล้ว รถล้มลง กลับมาเตะลุงจนตกจากรถนอนสลบเหมือด ต้องหามส่งโรงบาล ถูกจับได้เสียใจ เอาดอกไม้ไปขอขมาลูกเมียชายชรา

เมียของชายหนุ่มนั้น ให้สัมภาษณ์ว่า ผัวเป็นคนดี รักลูก ตอนที่เตะคิดว่าอายุ 40 :b1: นี่เขายอมรับไหมว่า เป็นคนไม่ดี ไม่รับ ยังยืนยันว่าเป็นคนดี รักลูกๆ (มีหัวขโมยคนหนึ่งลักควายเขา จูงไปๆๆ เจ้าของตามทัน ร้องเฮ้ยๆๆ ไอ้หัวขโมยควายข้านะ หัวขโมยคนนั้นพูดสวนว่า ควายของแกก็เอาไป ข้าไม่ได้ขโมยนะ เชือกมันติดมือข้ามาเอง ไม่ยอมรับว่าเป็นขโมย)

การกระทำนั้นผิดกฎหมายข้อหาทำร้ายร่างกาย :b13:

สมมติว่า ครอบครัวชายชราเอาเรื่องก็ถูกปรับหรือติดคุก ติดคุกนี่เรียกว่า ถูกจำกัดเสรีภาพ แต่การติดคุกนั้น ไม่ใช่กฎหมาย แต่ทำผิดกฎหมาย จึงถูกจำกัดเสรีภาพอยู่ในที่กักขัง เพราะทำผิดกฎหมาย



ชายชราที่ถูกแข้งอัดเข้าที่ยอดอกนั้น สุดท้ายเสียชีวิตแล้ว

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_903720

ไม่ยอมรับว่าที่เขาเสียชีวิต เพราะโดนแข้ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2018, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
“ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”

https://www.thairath.co.th/content/1231191


ชกไม่มีมุม : พวกฉลาดล้ำ

https://www.khaosod.co.th/newspaper-col ... ews_861899

แกนนำ กปปส.โอด ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง กลับถูกฟ้องข้อหาฉกรรจ์ แต่ไม่เคยเสียใจ

https://www.matichon.co.th/news/884914


อ่านหนังสือพิมพ์หลายๆฉบับ แล้วคิดว่าจะหายโง่หรอคะ

ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สมุทัย ไม่รู้มรรค ไม่รู้นิโรธ
คงฉลาดล้ำ

คุณโลกสวยด้วยมือเรา เกิดหรือยังขอรับ

รูปภาพ


1. ยัง
2. เกิดแล้ว แต่ยังแบเบาะ
3. เกิดแล้วโตแล้ว
ตอบ ขอไหน


หนูยังไม่เกิดหรอกค่ะ 40ปีที่แล้ว

แต่ก็ไม่โง่ ให้หนังสือพิมพ์ มาจูงจมูกแบบคุณหรอกค่ะ
ถึงกะต้องไปเที่ยวหาลิ้งหนังสือพิมพ์มาประดับค่ะ


อ้างคำพูด:
แสดงว่ารู้ก่อนเกิด คิกๆๆ

ด้วยเคยได้รับฟังพระธรรม มาในกาลก่อนที่จะมาเกิด
จึงรู้ ไม่โง่ให้หนังสือพิมพ์ มาจูงจมูกเหมือนคุณค่ะ


ประชาชนขึ้นโรงพัก เป็นพยาน คสช. เอาผิด’กลุ่มอยากเลือกตั้ง’ อ้างชุมนุมเดินขบวนทำเดือดร้อน!

https://www.matichon.co.th/news/898464

ใช้อดีตเทียบกับปัจจุบัน ในอดีตเขาก็ใช้มวลชนที่ก่อตั้งขึ้นต้าน นศ. เช่น กลุ่มกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน ป้ายสีว่า เป็นคอมมิวนิสต์ คอมมิวหน่อย นี่ก็ทำนองเดียวกัน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2018, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันคอมฯ จะหมดโลกแล้ว เอาไงดี เลยนี่เลย

รูปภาพ


https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater

ทักษิณๆๆ ระบอบทักษิณ :b32: ไม่ผิดจะหนีทำไม กลับมาติดคุก :b1:

https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/ ... e=5B755D5A

https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater


https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/ ... e=5B731200

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 239 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 16  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร