วันเวลาปัจจุบัน 14 ต.ค. 2025, 18:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2018, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วเวลาฉันก็ต้องพิจารณาด้วยในตัว ว่าเราฉันอาหารนี้ ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อความเอร็ดอร่อย ไม่ใช่เพื่อความอ้วนพีมีกำลังอย่างนักมวยปล้ำ หรือไม่ใช่เพื่อผิวพรรณวรรณะมันสดใสรุ่งเรือง เพราะอาหารนี้ เราฉันเพียงเพื่อบรรเทาทุกข์เก่าคือความหิว ไม่ทำทุกข์ใหม่คือความอึดอัดแน่นท้องให้เกิดขึ้น ทำปัจจเวกขณ์ พิจารณา ปะฏิสังขาโย โยสิโส ปิณฑะปาตัง ปฏิเสวามิ พิจารณาในเรื่องฉัน ฉันแล้วก็ต้องไปพิจารณา ก่อนฉันก็ต้องพิจารณา เพื่อห้ามล้อจิตใจไม่ให้วุ่นวายในเรื่องการขบการฉัน
เคยมีพระฝรั่งองค์หนึ่งเป็นชาวอังกฤษ บวชอยู่ที่นี่ ฉันยาก ต้องขนมปังให้ฉันทุกวันๆ ฉันอย่างอื่นไม่ได้ ออกพรรษาพาไปไชยา ไปทิ้งไว้ครึ่งเดือน กลับมาฉันได้ทุกอย่าง เออ ไปดัดสันดานเสียที่โน่น ฉันได้ทุกอย่าง มาถึงฉันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรฉันได้ทุกอย่าง เพราะที่ไชยาไม่มีขนมปังให้ฉันแล้ว ก็ต้องฉันได้เอง ผลที่สุดก็บอกว่าฉันได้ทุกอย่างดี เรียกว่า ได้ประโยชน์จากการไปอยู่ที่นั่น แล้วก็ได้ศึกษาธรรมะด้วย เขาพอใจมากได้ไปอยู่ที่นั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2018, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเรา ถ้าหากว่าถือระเบียบบังคับตัวเองบ้างนั่นก็ดี มีระเบียบอันหนึ่งเขาเรียกว่า ธุดงค์ นี่เป็นการบังคับเรื่องการขบฉันเหมือนกัน
ธุดงค์มีหลายอย่าง เรื่องเกี่ยวด้วยจีวร เกี่ยวด้วยอาหาร เกี่ยวด้วยเสนาสนะ เกี่ยวด้วยอะไรๆ อีกหลายอย่าง แต่ว่าจะพูดเฉพาะเรื่องเกี่ยวด้วยอาหาร ให้ฉันในบาตร ถือวัตรว่าฉันในบาตร ฉันมื้อเดียว ลุกขึ้นจากอาสนะแล้วไม่ฉันอะไร หรือว่าห้ามแล้วใครจะเอาอะไรมาถวายอีกไม่ได้ หมายความว่า โยมเขาจะใส่เราห้ามแล้วใครจะเอามาให้อีกไม่รับ อย่างนี้ เรียกว่า ถือธุดงค์
ที่ให้ฉันในบาตรนั้น ก็ฉันลงไปตามลำดับ เราได้รับบิณฑบาตมาเราก็ฉันลงไป เวลาฉันนี่ต้องถือวัตรอีก ไม่ขุดคุ้ยข้าวสุกเพื่อหาแกงในบาตร หรือเพื่อหาไข่ หรือเพื่อหาไก่หนึ่งชิ้นที่โยมใส่ว่าอย่างนั้น ไม่ได้ อย่างนั้น มีความโลภในการฉัน ให้ฉันลงไปตามลำดับ กวาดเข้ามาแล้วก็ทำเป็นคำใส่เข้าไป ให้เสมอ ข้าวในบาตรต้องเสมอ ไม่เที่ยวจุ่มตรงนั้น พูนตรงนี้ ไม่ได้ ต้องฉันให้เสมอลงไปเรื่อยๆ ไป ถึงเจอกล้วยมันโผล่ขึ้นมา ต้องฉันกล้วย เจออะไรก็ต้องฉันอันนั้น เจอของหวานก็ต้องฉันของหวาน เจอเปรี้ยวก็ฉันเปรี้ยว เจอผลไม้ก็ต้องฉันไป ไม่เอาออกนอกบาตร
เจออะไรก็ฉันไอ้นั่น ไม่ติดในรสชาติของอาหารที่ได้ เรียกว่า ถือธุดงค์ มันบังคับให้เราอยากไม่ได้ ทำอะไรผิดลงไปไม่ได้ เป็นระเบียบอย่างนั้น แล้วก็นั่งตรงไหนก็ต้องฉันจนอิ่มตรงนั้น จะลุกขึ้นแล้วไม่ได้ละ กลับมาฉันอีกไม่ได้ ขาดกันเลย ฉันที่นั่นแห่งเดียว ฉันในบาตรแล้วก็ฉันหนเดียว พอพ้นนั้นแล้วก็ไม่มีการฉันอะไร ต้องงดเว้นหมด ฉันแต่น้ำได้ เพื่อปฏิบัติควบคุมจิตใจไม่ให้อยากในอาหาร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2018, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ การฉันมื้อเดียว บางองค์นี่ฉันมากเกินไป คือนึกว่า มื้อเดียวต้องฉันเผื่อ ๒ มื้อ อันนี้ เกิดโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวเหนียวให้โทษมาก สังเกตดูว่า พระที่ถือธุดงค์เคร่งครัดแล้วก็ฉันข้าวเหนียวอายุไม่ค่อยดี ไม่ยืน เพราะว่าฉันมากเกินไป อาหารย่อยยาก แล้วก็เป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะหลายองค์แล้ว แต่ข้าวเจ้านี่ไม่เป็นไปพอดี ย่อยง่าย แล้วเราผู้ฉันมื้อเดียวก็อย่าให้มาก อย่าฉันว่ามื้อเพลไม่ฉัน ต้องเอาให้พอ ไม่ได้ พออิ่มก็หยุดกันเท่านั้น แล้วก็ไม่เกิดโรคเกิดภัย ร่างกายพอดีๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ตถาคตฉันมื้อเดียว สรรเสริญอาหารมื้อเดียว ภิกษุทั้งหลายฉันอาหารมื้อเดียวอย่างเรา
ครั้งพุทธกาลท่านทำอย่างนั้น เรียกว่า ฉันมื้อเดียว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังคับ เรื่องทำด้วยความสมัครใจ ผู้ปฏิบัติก็เรียกว่าฝึกหัดบังคับใจตัวเอง ให้มีการเป็นอยู่อย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ เพื่อจะลดความอยาก เพื่อทรมานตนเอง ให้มีการควบคุมตนเองมากขึ้น มันก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน นี่เรื่องเกี่ยวกับอาหาร เรียกว่า โภชเน มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการกินการบริโภค

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2018, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในเรื่องเลี้ยงง่ายนี่ก็สำคัญมากเหมือนกัน คนบางคนเลี้ยงยากติดรสอาหาร พระไทยเราไปเมืองอินเดีย เวลาไปก็ต้องเอาน้ำปลาไปมั่ง เอาน้ำพริกเผาไปมั่ง ท่านเจ้าคุณพุทธทาสท่านเห็นเข้า ท่านมากระซิบบอกกับผม น่าละอายเที่ยวพกน้ำพริกน้ำปลาไปอินเดีย น่าละอาย ไปโน้นมีอะไรก็ฉันไปตามเรื่อง คนอินเดียมันกินไม่ตาย เราก็กินได้ เที่ยวพกน้ำปลาไป น่าขายหน้า พกน้ำพริกเผาไป แสดงว่าเป็นห่วงปากห่วงท้อง ไม่ดี ไม่ควรจะทำอย่างนั้น จะไปก็ไปมันได้
อาหารอินเดียก็ฉันอร่อย แกงถั่วแระเม็ดโตๆ เท่านิ้วก้อย เขาเรียกว่าดาน แกงใส่กระหรี่ แกงคล้ายกับแกงมัสมั่นบ้านเรา แต่ว่าไม่มีกะทิ ตักมา สมมติว่า เอาถ้วยเท่านี้นะ กินแต่แกงก็พอแล้ว แน่นแล้ว อิ่มตื้อแล้ว ถั่วเม็ดใหญ่ๆ แต่ว่ายังมีขนมปังแบบแขกเรียกว่าจะปะตี ไม่ใช่ขนมปังแบบฝรั่ง แผ่นเดียวอิ่มตื้อ แผ่นเล็กๆ กลมๆ กับ ดานชามเล็กๆ นี่อิ่มตื้อแล้วตลอดวัน ไม่หิว ลองไปแล้วฉันสบายดี ไม่หิวอะไร แล้วก็อยู่ได้ ไปถึงสถานีไหน ถึงเวลาเพลก็สั่งอาการชุดมา ก็มีแกงดาน มีโรตีของแขก ไม่ใช่โรตีที่ทอดน้ำมันแบบบ้านเราน่ะ ไม่ใช้น้ำมันดอก แป้งจี่ก็ฉันเข้าไปเถอะ อิ่มตื้อเลย มันก็อยู่ได้ไม่เห็นลำบาก
แต่ถ้าเราฉันไม่ได้ มันต้องเอาข้าวสารไป เอาน้ำพริกไป เอาปลาป่นไป แล้วถ้าเป็นของคาวอย่างนี้ ล้วงออกมาฉันต่อหน้าแขก แขกยังมองอีก มันว่าพระอะไร ฉันปลา ฉันเนื้อ สมมติว่า เขามาคุยกับเรา ถามว่า เป็นพระหรือ บอกว่า ใช่ กินเนื้อหรือเปล่า กิน พระอะไร มันว่าพระอะไรกินเนื้อ เขาไม่นิยม
เราไปอินเดียวต่อหน้าแขก ไม่ฉันน่ะมันดี ต้องฉันอาหารแบบแขก กินแกงถั่ว อย่าไปกินแกงเนื้อ มันรังเกียจว่านี่เป็นพวกอิสลามเข้าไปอีกแล้ว เข้าพวกมุสลิม เพราะฉะนั้น เราเอาตามพวกฮินดู กินถั่วดีกว่า จะได้เข้ากันง่าย ก็อยู่ได้สบายไม่เดือดร้อนอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยพาพระลังกามาองค์หนึ่ง อยู่ลังกาแล้วก็พามา พอถึงย่างกุ้งเกิดเรืองแล้ว แกฉันไม่ได้ ไปเห็นแกงฮังเล ก็ฉันไม่ได้ แกงอะไรก็ฉันไม่ได้ ชาวพม่าก็นึกว่าท่านเป็นคนเสพผัก ไม่กินปลา เลยหั่นแตงกวากับผักกาดมาให้ เอามาให้เฉยๆ กับ เกลือ จิ้มเกลือกิน
แกก็มองแล้วไม่ไหว กลับมาถึง บ่นไม่ไหว อาหารพม่ากลิ่นมันยังไงชอบกล กินไม่ลง นึกว่า เอ ท่าจะแย่ ก็เลยอธิบายให้ฟังว่า เกาะลังกานั่นมันเล็กนิดเดียว ถ้าเรากินอาหารลังกามันไม่กว้าง กินอาหารจีนก็กว้าง คนตั้งแปดร้อยล้าน (ประชากรตอนนั้น) กินอาหารพม่าคนก็ยังมากกว่าลังกา มันต้องหัดกินให้ได้ เกิดมามันกินอาหารลังกามาเมื่อไร กินนม โตขึ้นมาถึงติดรสอาหารลังกา ก็นึกว่ามาเกิดใหม่ในเมืองพม่าก็แล้วกัน แล้วกินอาหารพม่า

นี่ไปเมืองไทยจะกินอาหารไทยได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ไม่ได้จริงๆ มาอยู่เมืองไทยกินไม่ได้ ไม่ว่าอาหารประเภทใดกินไม่ได้ พอ ๑๐.๓๐ น. ก็ต้องไปครัวทุกวัน ไปตำน้ำพริก น้ำพริกลังกา เขาเรียก ซัมบูน ซัมบูนนี่มีมะพร้าว หอมกระเทียมแล้วก็มีพริก ๒-๓ เม็ด ให้มันพอเผ็ดๆ มีมะนาวหยอดลงไป โขลกๆ แล้วเอาคลุกข้าวกิน

ไอ้เรานั่งกินไก่ กินหมู กินเป็ด กินอะไรสบาย แกกินไม่ลง เอ้ากินมั่ง อือไม่เอา ไม่ชอบรสอาหารอื่นนอกจากอาหารลังกา อยู่ไม่ได้ไปไหนกันไม่ได้ มันต้องอยู่ในเกาะลังกา ไปไหนไม่ไหว

เรามันต้องทนได้เรื่องอย่างนี้ ไปเมืองฝรั่งก็ต้องกินอาหารฝรั่งได้ เมืองแขกก็กินได้ ไปเมืองจีนกินแกงเมืองจีนได้ เป็นคนกินง่าย แล้วก็กินแต่พอดีๆ ก็เกิดความสบาย ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อน นี่ประการหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อที่ ๓ เรียกว่า ชาคริยานุโยค. ชาคริยะ อนุโยค ๒ ศัพท์มารวมกัน ประกอบความเพียรเพื่อชำระใจให้หมดจด ไม่เห็นแก่นอนมากนัก
ชาคริยะ แปลว่า ตื่น อนุโยค แปลว่า ประกอบ การประกอบซึ่งความตื่น หมายความว่า ประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ นอนน้อยๆ ตื่นมากๆ
แล้วก็ตื่นอยู่น่ะทำอะไร ? คุมจิตใจของเรา คอยคุมจิตใจเราให้สะอาดหมดจด จากเครื่องเศร้าหมองใจ ชำระอยู่บ่อยๆ งานนี้ มันเป็นงานสำคัญเหมือนกัน ว่างจากงานอื่นก็มาควบคุมจิตของเรา หัดควบคุมไว้บ่อยๆ ไม่ให้เกิดอะไรขึ้นในทางเสีย เรียกว่ามีความเพียรเป็นเครื่องเผาผลาญกิเลส ทำให้จิตใจของเราดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้นตามสมควรแก่ฐานะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนอน นี่ก็ต้องพอดีเหมือนกัน นอนพอดีๆ เต็มความต้องการของร่างกาย อย่าให้เกินความต้องการ ร่างกายมันต้องการขนาดไหน สมมติว่า นอนไปแล้วมันตื่น นี่แสดงว่า มันเต็มแล้ว ร่างกายพอแล้ว พอความต้องการ

ทีนี้ นิสัยเรา สมมติว่า เป็นคนขี้เกียจ พอตื่นแล้วไม่ลุก นอนต่อแล้วก็นอนเรื่อยไป นี่เกินแล้ว เกินความต้องการ สมมติว่าเรานอน ๓ ทุ่ม ราวตี ๔ มันตื่น หรือว่าตี ๓ ตื่นแล้ว แปลว่า ร่างกายมันอิ่มด้วยการนอนแล้ว มันก็ตื่น ตื่นให้ลุกขึ้นเลย ลุกขึ้นทำความเพียรต่อไป อ่านหนังสือก็ได้ ไม่อ่านหนังสือก็เดินจงกรม หรือแล้วก็นั่ง นั่งตัวตรงหลังตรง กำหนดดูอาการของจิต อือ ตื่นขึ้นดึกๆ เอ็งจะคิดอะไรบ้าง ข้าจะดูเอ็ง คิดอะไรมั่ง บางทีก็คิดไปตามเรื่อง ฟุ้งไปคิดถึงนั่น คิดถึงนี่ เราก็ต้องบอก อือ นอกเรื่องแล้ว ออกไปนอกเขตกำแพงแล้ว ออกไปนอกขอบเขตของผ้าเหลืองแล้ว คอยดุมัน ไม่เอา อย่าไปคิดเรื่องนั้น
ให้คิดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เท่าที่เราจะพึงคิด

ถ้าไม่คิดอะไรก็ให้มันสงบๆ คอยกำหนดรู้ไว้ อาการกำหนดรู้คือการไม่คิด เพียงแต่รู้ไว้คุมมันไว้ตลอดเวลา

หัดคุมไว้ เดินก็ควบคุมได้ นั่งที่ไหนก็ควบคุมใจได้ นั่งรถไป เราก็นั่งควบคุมใจ นั่งเฉยๆ ตาดูอะไรก็ดูไปตามเรื่อง สักแต่ว่าดู ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน อย่าให้มันก่อเรื่องสร้างอะไรขึ้นในใจของเรา เราคอยคุมความคิดของเราไว้ อย่างนี้ เรียกว่าประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ ไม่หลับใหล ไม่มัวเมา
ถ้าทำอย่างนี้มากๆ จิตมันก็ก้าวหน้า เพราะเราคอยบังคับมันไว้ คอยตรวจมันไว้ มันก็ก้าวหน้า เพราะคอยบังคับมันไว้ คอยตรวจมันไว้ มันก็ก้าวหน้า ไปในทางที่ดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าไม่ควบคุมอย่างนั้น เราคิดตีปัญหาธรรมะก็ได้ เอาหนังสือสวดมนต์แปลมานั่งดู ว่าอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร คิดแล้วจะเอาใช้ได้อย่างไรบ้าง ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรในข้อนี้ เอามาคิดนึกตรึกตรองในปัญหานั้นๆ เหมือนกับว่า เจริญวิปัสสนา แต่ว่านี่คิดค้นในเรื่องธรรมะ
หรือว่าคิดค้นในเรื่องธรรมะต่างๆ หรือคิดค้นในเรื่องตัวเรา แยกแยะตัวเราให้เห็นในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างนี้ เรียกว่า เป็นการพิจารณา เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสร้ายมันเกิดขึ้นในใจ นี่ก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ ถ้าว่าเราเป็นคนมีภาระ มีหน้าที่การงานจะต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวันอยู่ ตอนนอนก็นอนมันเสีย อย่าไปกังวลมัน อย่าไปกังวลเอามือก่ายหน้าผาก คิดแล้วทีนี้ มันไม่ได้เรื่อง

เราต้องรู้จักแบ่งเวลา เวลานอนก็ต้องนอน เรื่องคิด เอาไว้คิดเวลาตื่น

คนเราที่เป็นโรคประสาทนี่ก็เพราะเรื่องนี้ เวลานอนก็อุตส่าห์ไปคิด มันเรื่องอะไร คิดให้นอนไม่หลับ มันเรื่องอะไร เมื่อจะนอนแล้วก็ทำใจให้มันว่างจากอะไร ปิดหมด ปิดประตูฉันจะนอน ประตูใจ ไม่ใช่ประตูบ้าน ประตูบ้านก็ต้องปิดเหมือนกัน ขโมยมันจะเข้า แล้วเราก็นอนหลับ ทำใจให้ว่าง หายใจตามปกติ คอยกำหนดว่าหลับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วมันก็หลับไป
ตื่นขึ้นพอร่างกายนอนเต็มตื่น เราก็ตื่น ยกปัญหาขึ้นมานั่งคิดวางแผน มันเงียบดี คนอื่นเขาไม่ตื่น เราตื่นคนเดียว วางแผนพรุ่งนี้จะทำอะไร ทำอย่างไร วางแผนที่จะทำงานต่อไป วางแผนว่าจะทำอะไร เขียนเป็นตารางไว้เลยว่าจะทำอะไรวันพรุ่งนี้ แล้วก็คิดว่า ควรจะทำในรูปใดมันจึงจะสำเร็จได้ประโยชน์ตามที่เราต้องการ วางโครง วางเรื่อง เอามาพิจารณาทบทวนมันจะดีไหม มีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม ทำอย่างนี้ วางแผนเรียบร้อย ตื่นเช้าไปทำงานตามหน้าที่ ทำไปด้วยใจสงบ ใจเยือกเย็น ไม่มีปัญหา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่มันมีปัญหา มันมีเรื่องเดียว “เรื่องเห็นแก่ตัว” ไม่ใช่เรื่องอะไรดอก ทำอะไรก็เห็นแก่ตัว มันก็มีปัญหา ปัญหาว่าจะได้สักเท่าไร จะได้เร็วหรือจะได้ช้า ในกรณีนี้มีปัญหาแล้ว พอเห็นแก่ตัวก็มีปัญหา
ถ้าลำพังงานมันไม่มีอะไร อย่าเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องให้มันมาก เอาแต่สติปัญญา ความสามารถเข้าไปใช้ในงานแล้ว เราก็ทำด้วยใจสบาย เสร็จงานแล้วก็หมดเรื่อง มานอนได้ กลับบ้านได้ มีอะไรก็คิดตอนใกล้รุ่ง ฝากไว้นั่น ไว้ทีหลัง
ถ้าทำอย่างนี้แล้วก็จะสะดวกในการดำเนินชีวิต จิตใจปกติ ร่างกายปกติ การงานก้าวหน้าเรียบร้อย ไม่มีอะไรยุ่งยาก มันอยู่ที่การทำใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เราบวชเข้ามา ก็เพื่อมาฝึกเรื่องนี้ด้วย เรื่องให้รู้จักควบคุมตัวเองทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ควบคุมร่างกายให้มีปกติ แล้วก็ควบคุมจิตใจให้เป็นปกติ ควบคุมความคิดให้อยู่ในแนวที่ถูกที่ชอบ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครๆ แล้วเราไปสู่สนามรบ ฝึกหัดแล้วเราไปอยู่ในสนามรบ มันก็ต้องสู้ต่อไป เราพอมีกำลังภายในพอสมควรที่เราสะสมไว้เอาไปสู้ ถ้ามีข้าศึกแปลกๆมา เราก็ต้องมาสงบใจเสียหน่อย
วันอาทิตย์กลับมาสงบใจ มีปัญหามีอะไรๆ มาคิดแก้กันใหม่ มานั่งเงียบๆ คิดแก้ปัญหาต่อไป

บัณฑิตเนห์รู เวลาแกยุ่งมากๆ แกหนีขึ้นภูเขา แกไปแคชเมียร์ มิสซูเรีย แกไปนั่งมองยอดจากขุนเขาหิมาลัย ดูหิมะ นั่งคนเดียวไม่ยุ่งกับใคร นั่งเงียบๆ ๗ วัน แล้วก็ลงมา พอลงจากภูเขาแล้ว มีเรื่องแล้ว มีงานแล้ว ที่จะต้องทำกันแล้วละ ไปวางแผนไปอยู่ที่เงียบๆ
คนอินเดียนี่เขารู้จักพักผ่อนใจ เขาเป็นนักศาสนา นักธรรมะ เขารู้จักพักผ่อนใจ รู้จักทำความสงบใจ เพราะฉะนั้น งานการของเขามันก้าวหน้า แล้วก็ดีอีกอย่างคือไม่เสพของเสพติดของมึนเมา คนของเขาเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น งานเขาเรียบร้อย เราก็ควรจะดำเนินชีวิตแบบนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2018, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ควรเอาหลักนี้ไปใช้ คือ สำรวมอินทรีย์ รู้จักประมาณในอาหาร ทำความเพียรเพื่อขูดเกลาสิ่งชั่วร้ายอันมีอยู่ในใจให้หมดไป ชีวิตจะเรียบร้อยก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี.



อปัณณกปฏิปทา จบ จากหนังสือนี้ http://g-picture2.wunjun.com/6/full/120 ... s=614x1024 หน้า ๓๔๓

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron