วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 01:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2018, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:

อ้างอิง คุณกรัชกาย ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิชั้นสูงสุด ประจำบอร์ด

"ก่อนตอบนู๋เม นู๋ตอบคำถามที่ว่า จิต เจตสิก รูป ใช่คนไหม ก่อน เพราะมันเนื่องกัน คิกๆๆ"


คุณกรัชกาย ท่านผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด ได้แสดงความแตกฉานอย่างลึกซึ้ง

เพราะสนทนากะคนระดับธรรมอย่างไร หนูจำเป็นต้องลงหน่อยเป็นระดับเดียวกัน

เพื่อคุณกรัชกายจะได้เข้าใจ


เพราะคำตอบที่ได้ตอบไปแล้ว คนที่ศึกษาพระปริยัติ ที่ศึกษาพระอภิธรรม เค้าเก๊ทกันหมด ว่าธรรมที่หายไปพระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ที่อื่นไม่ใช่ในมหาสติปัฎฐาน

แต่ คุณกรัชกายยังไม่เก๊ท

หนูตอบให้ค่ะ ผุ้ทรงคุณวุฒิท่านนี้ จะได้แตกฉานกว่านี้

ภาษาไทย มีก.ไก่ ถึงฮ. นกฮูก
แล้วพระไตรปิฎก พระสูตร พระอภิธรรม มี ก.ไก่ ถึงฮ. นกฮูก ใช่มั๊ย
เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน คิกคิก
แต่ธรรมมานุปัสสนาโดยนิพพานเป็นอารมณ์ ทั้งโดยอนุมาน โดยประจักษ์

มีพวกที่คุณถามนั้นมั้ยคะ?

หนูถึงบอกว่า ต้องคนที่ศึกษาอย่างแตกฉาน ปฎิบัติอย่างแตกฉานจริงๆๆ ๆๆๆๆๆๆ
ไม่ใชเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเพราะโพสต์มาก เพราะเก่งแต่ปาก เก่งแต่ไปลอกตามเวปหนังสือพิมพ์ แบบคุณกรัชกายค่ะ




หาคนที่ตรงไปตรงมายากจริงๆ ถ้าไม่รู้ก็บอกว่าหนูไม่รู้ค่ะ เขาว่าปรมัตถ์หนูก็ปะระมัดมัดตามเขาไป ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกัน อิอิ

เขาว่านิพพาน หนูก็พาลพานตามตามเขาไป :b32:


ก็เพราะหนู มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสรณะ มีพระธรรมตามพระไตรปิฎกเป็นสรณะไงคะ
หนูก็เรย เดินตามทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอน นิพพานๆๆๆๆๆ
และพระพุทธองค์ ก็มีเพียงผู้เดียวในโลก ที่สอนนิพพานให้คนอื่นๆเดินตาม

หนูก็เรยพานตามพระพุทธองค์ไป แบบคุณกรัชกายว่าไงคะ นิพพาน นิพพาน นิพพาน

อย่างที่คุณกรัชกายได้ปรามาสพระพุทธองค์แหละค่ะ "ว่าเขากล่าวว่านิพพาน หนูก็พานตามเขาไป "

หนูก็ตามไปแหละ นิพพาน ๆๆๆๆ

แต่อย่าลืมไปว่า คนที่กล่าวนิพพานนี้ คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องนิพพานค่ะ

และธรรมของพระพุทธองค์ ก็สอนเรื่องนิพพานค่ะ

และครูบาอาจารย์ คณาจารย์ พระอริยะบุคคลต่างๆ ก็พานเดินตามพระพุทธองค์ไปเหมือนกันตามที่คุณกล่าวไว้


ท่านเหล่านั้น ก็เดินไปถึงความสิ้นสุด คือ นิพพาน นิพพาน นิพพาน นิพพาน


อ. เดียรถีย์ อย่างอ.สัญญชัย ก็ยังกล่าวว่า ในโลกนี้ คนโง่ มีมากหรือน้อยกว่าคนฉลาด

อุปติสสะปริพาชกคือพระสารีบุตรก่อนที่จะไปสำนักพระสมณะโคดม
ก็ยังกล่าวว่า คนโง่นั้น มีมากกว่าคนฉลาด ค่ะ

คนฉลาดอย่างหนู และครูบาอาจารย์ พระอริยะบุคคลต่างๆ ต่างก็เดินตามที่พระพุทธเจ้าสอน
ไปนิพพาน นิพพาน นิพพาน นิพพาน ค่ะ


แต่ผู้แตกฉานทรงคุณวุฒิแบบคุณกรัชกาย ไม่มีพระพุทธเจ้า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นสรณะ
ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติเป้นชิ้นเป็นอัน แต่มีไปลอกตามเวปต่างๆ อย่างเวปพันทิพ เวปหนังสือพิมพ์ เอาเป็นสรณะ

หนูจะบอกให้ จำไว้ให้ดีๆนะค่ะ มีแต่พระพุทธเจ้า พระองค์เดียวในโลก ที่กล่าวสอนถึงนิพพานค่ะ

กรรมที่คุณ ปรามาสพระพุทธเจ้า พระธรรมพระพุทธเจ้า หนักหนาสาหัสนัก


หนูไม่สนทนาด้วยแล้วค่ะ
เลิกตอแยกะหนูได้แล้วนะคะ

บ๊ายบายค่ะ




สนทนาธรรมก็หาว่าตอแย :b13:

เมโลกสวยมองโลกในแง่ดีอย่างนี้สิขอรับเนี่ย

http://media.komchadluek.net/img/size1/ ... igca8a.jpg

http://www.komchadluek.net/news/regional/327783

เห็นมั้ยขอรับ

นั่นก็ จิต เจตสิก รูป ซึ่งเรียกย่อๆว่า นามรูป - รูปนาม นี่ว่าโดยภาษาธรรมะต้องอย่างนี้ แต่ถ้าพูดโดยภาษาสมมติ เขาก็เรียกว่า "คน" บ้าง ว่า "มนุษย์" เป็นต้นบ้าง แล้วแต่ชนชาตินั้นๆจะบัญญัติเรียกเพื่อรู้เข้าใจกันในโลก อีกทั้งที่นำมาจากพันทิพหรือที่อื่นๆก็เหมือนกัน

จิต เจตสิก รูป (นิพพาน) พระอภิธรรมว่าอย่างนี้ ส่วนพระสุตตันตะ จิต เจตสิก รูป ก็ว่าเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นี่ว่าตามสภาวะ (ภาษาธรรม) ซึ่งก็ที่ชาวโลกเขาสมมติเรียกสภาวะนั่นว่าคน ว่ามนุษย์เป็นต้นนั่นเอง ก็ที่เดินแกว่งไปแกว่งมาส่ายไปส่ายมานี่แหละ

เมโลกสวยพอเข้าใจมั้ยขอรับ หรือจะเถียงก็ว่ามา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2018, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งได้ว่าไปแล้วที่กระทู้ปราบเซียนนี่

viewtopic.php?f=1&t=55823&p=419235#p419235

ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ


พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี
เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"

แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่า
นั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"

สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆแต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ นั้นๆได้

๔. สังขาร ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม


เทียบให้เห็นภาพระหว่างพระสูตร กับ พระอภิธรรม


พระสูตร: จำแนกโดยขันธ์

1. รูป

2.เวทนา

3. สัญญา

4. สังขาร

5. วิญญาณ

อภิธรรมจำแนกโดยปรมัตถธรรมก็: จิต (= วิญญาณ) เจตสิก (=เวทนา,สัญญา, สังขาร) รูป (=รูป)

ภาษาพุทธธรรมว่าเป็น ขันธ์, อายตนะ, ธาตุ,สัจจะ ....ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นแต่สภาวธรรม... แต่จะเรียกว่าคนเป็นต้นก็ได้ แต่ให้รู้ว่านั่นเป็นสมมติบัญญัติเรียกกัน ว่านาย ก. นาง ข. นส. เม โลกสวย นาย กรัชกาย ฯลฯ แล้วชนชาตินั้นๆจะว่ากันเอา

ถ้าจับประเด็นนี้ได้ ก็เข้าใจพุทธธรรม เข้าใจธรรมะ แต่จับประเด็นไม่ได้ก็เสียเวลาเปล่า

อ้าวอย่าฮงดิ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2018, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกที :b16:

อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเองจนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน


แยกให้ออก นี่แหละสภาวะหรือสภาวธรรม ไม่ใช่บุคคล ตัวตน เรา หรือเขา เป็นธรรมชาติล้วนๆ แต่เราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นเขา ฯลฯ

จึงได้นู๋เมโลกสวยว่าให้กำหนดรู้ตามที่มันเป็น เป็นยังไง รู้สึกยังไง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิด อะไรยังไงอย่างไร กำหนดรู้ (ทำปริญญากิจ) อย่างนั้นๆ ตามที่เห็น ได้ยิน ที่เป็น ที่รู้สึก เติมหนอเข้าข้างท้าย เช่นเห็นอะไร ก็เห็น (หนอ) ได้ยินเสียงอะไร ก็เสียง (หนอ) คิกๆๆ

อ้าวติดหนออีก คิกๆๆ กำหนดสภาวะ ไม่ใช่กำหนดหนอ ไม่เอาคำว่าหนอ เอาคำอื่นแทนได้ ตัดทิ้งไปเลยก็ย่อมได้

เหมือนคนใช้พุทโธ แล้วติดพุทโธ :b1: ไม่เอาพุทโธก็ได้ เอาธัมโม เอาสังโฆ เป็นต้นก็ได้

เอาเถียงมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2018, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นู๋เมค่อนว่า ไปเอาจากหนังสือพิมพ์มา ไปเอาจากพันทิพมาแปะนั่นๆนี่ๆ อ้าวถ้างั้นย้ายไปเหาะบ้าง

อ้างคำพูด:
ทำอย่างไรดีครับ เวลาจะสวดมนต์ทำสมาธิ พอหลับตาก็จะรู้สึกปวดบริเวณดวงตา หว่างคิ้ว เหมือนเราเพ่งมาก ลองทำตัวสบายๆแล้วไม่ได้ซักที หลับตาทีไรเป็นแบบนี้ทุกที

https://palungjit.org/threads/%E0%B8%9B ... B4.647097/

อ้างคำพูด:
ผมนั่งสมาธิมาได้เดือนกว่าแล้วครับ แต่ตอนนี้เริ่มมีอาการหลับ ก็คือพอนั่งไปได้ซักระยะก็จะมีอาการหลับแต่แปปเดียวก็ได้สติ (ตอนหลับแอบฝันด้วย แต่ไม่ได้ฟุ้งซ่านนะครับเพราะภาวนาพุทโธตลอด)พอได้สติก็รีบกลับมาภาวนาต่อ พอได้หลับรอบแรกแล้ว รอบสองรอบสามนี่หลับไวมากครับ ไม่ทราบว่าจะแก้อาการชอบหลับยังไงบ้างครับ

https://palungjit.org/threads/%E0%B8%99 ... 9A.646996/

โยคาวจรไปนึกเสียว่า นั่งสมาธิ....แล้วมันจะดีเลย นั่นไปยึดติดคำว่า ธรรมะแล้ว ว่าธรรมะมันจะต้องดีข้างเดียว (สุดโต่ง) โดยลืมไปว่า ธรรมะ มีทั้งกุศลจิต, กุศลธรรม มีทั้งอกุศลจิต, อกุศลธรรม (อยู่ในตัวคนอยู่ในใจคน) ผู้เริ่มฝึกเริ่มเรียนรู้ธรรมะระดับปรมัตถ์ๆๆ ซึ่งมันก็มีทั้งดีกุศลจิต กุศลธรรม (ถูกใจเรา ถูกใจคน เกิดความยินดี อยากเสพบ่อยๆ ) มีทั้งอกุศลจิต อกุศลธรรม (ไม่ถูกใจเรา ไม่ถูกใจคน เกิดความ ยินร้าย อยากเลี่ยงหนีไปให้พ้นๆ) ซึ่งมันเกิดสลับไปสลับมาทั้งคืนทั้งวัน แต่คน (เรา) จะเอาแต่ดี จะเอาแต่ที่ถูกใจอย่างเดียว มันเลยไม่สมหวังสักที การปฏิบัติธรรม (แล้วแต่จะเรียก) จะเอาแต่ดีอย่างเดียวไม่ได้ (ดังว่ามันมีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต) เราต้องเอาต้องรับรู้ทุกสภาวะ ดี,ไม่ดี,เฉยๆ ก็กำหนดจิตรู้ (ไม่ใช่ปล่อยล่วงไปเฉยๆ ช่างมัน ไม่ใช่)

ต่อไปเมื่อกำหนดรู้สภาวะนั้นๆบ่อยๆเนื่องๆ ก็จะค่อยๆรู้ค่อยๆเข้าใจว่า อ้อ มันเป็นยังงี้เอง มันมีทั้งดีทั้งร้าย มีทั้งถูกใจ ไม่ถูกใจ ทีนี้ ตนเองพอเลือกได้ ทีนี้ร้ายๆก็จะกลายเป็นดี แต่เบื้องต้นต้องรู้ทั้งดีทั้งร้ายไปก่อน ตอนนี้แหละม้วนเสื่อกันนักต่อนักแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2018, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ในมหาสติปัฎฐานสูตร พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอน ให้พิจารณาเพียง 3

คือ

1 ให้พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ภายในอยู่เนืองๆ

2 ให้พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ภายนอกอยู่เนืองๆ

3 ให้พิจาณา เห็นธรรม ในธรรม ภายใน และภายนอก อยู่เนืองๆ

แต่แท้จริงแล้ว โดยปรมัตถธรรม ไม่ได้มีแค่ 3


แต่มีถึง 4


คือ พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ที่มิใช่ภายใน และมิใช่ภายนอก อยู่เนืองๆค่ะ
z
อันที่ 4 เฉลยออกมา ว่า พิจารณา นิพพาน

นิพพาน ไม่ใช่ มรรค ไม่ใช่เหตุ
นิพพาน ไม่ใช่ ผล
เป็นอารมณ์ของ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค โคตรภู
นิพพาน ไม่มีอะไรให้พิจารณา เพราะเป็นขันธวิมุตติ
แม้แต่ทำปัจจเวก ก็ไม่ได้พิจารณานิพพาน เพราะ ปัจเวกนั้นพิจารณาผลที่ได้

มหาสติปัฏฐานสูตรแสดงไว้สมบูรณ์แล้วครับ
ไม่ต้องเติมต้องต่อแต่ประการใด

ไม่มีการพิจารณา 4 ตามที่เข้าใจครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 04:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โลกสวย เขียน:
ในมหาสติปัฎฐานสูตร พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอน ให้พิจารณาเพียง 3

คือ

1 ให้พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ภายในอยู่เนืองๆ

2 ให้พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ภายนอกอยู่เนืองๆ

3 ให้พิจาณา เห็นธรรม ในธรรม ภายใน และภายนอก อยู่เนืองๆ

แต่แท้จริงแล้ว โดยปรมัตถธรรม ไม่ได้มีแค่ 3


แต่มีถึง 4


คือ พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ที่มิใช่ภายใน และมิใช่ภายนอก อยู่เนืองๆค่ะ
z
อันที่ 4 เฉลยออกมา ว่า พิจารณา นิพพาน

นิพพาน ไม่ใช่ มรรค ไม่ใช่เหตุ
นิพพาน ไม่ใช่ ผล
เป็นอารมณ์ของ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค โคตรภู
นิพพาน ไม่มีอะไรให้พิจารณา เพราะเป็นขันธวิมุตติ
แม้แต่ทำปัจจเวก ก็ไม่ได้พิจารณานิพพาน เพราะ ปัจเวกนั้นพิจารณาผลที่ได้

มหาสติปัฏฐานสูตรแสดงไว้สมบูรณ์แล้วครับ
ไม่ต้องเติมต้องต่อแต่ประการใด

ไม่มีการพิจารณา 4 ตามที่เข้าใจครับ


ผิดแล้วค่ะ คุณเช่นนั้นเข้าใจผิดแล้ว ไม่ตรงมหาสติปัฎฐานค่ะ

การพิจารณานิพพาน

นั้น ทำได้สองลักษณะ

คือ

1 การพิจารณาโดยประจักษ์ อันนี้เป็นของพระอริยะบุคคลขึ้นไป โสดาบันผลที่รู้นิพพานครั้งแรก

และ

2 คือ การพิจารณาโดยอนุมาน อันนี้ เป็นของผู้ไม่ได้เป็นพระอริยะค่ะ
และโคตรภู ยังไม่ใช่พระอริยะบุคคล ก็พิจารณานิพพานได้ค่ะ


เพราะในพระอภิธรรม ได้แสดงองค์ธรรมของโคตรภูไว้ชัดเจนค่ะ
คือปัญญาเจตสิกที่ในมหากุศลญานสัปยุตจิต 4ดวงเจตสิก 35 ดวง ทีมีนิพพานเป็นอารมณค่ะ

และ คุณเช่นนั้นก็กล่าวผิดซ้ำสอง ไม่ตรงมหาสติปัฎฐานอีกค่ะ

คือ

ในมหาสติปัฎฐาน พระพุทธองค์ได้ทรงให้พิจารณานิพพาน อันเป็นนิโรจสัจจะ ในอริยะสัจจที่ 3 ค่ะ

เพราะนิพพานคือเป้าหมายอันแท้จริง ของพระศาสนาพุทธนี้ค่ะ

และคุณเช่นนั้น ก็กล่าวผิดเป็นครั้งที่สาม

เพราะถ้าบุคคลไม่พิจารณานิพพาน โดยอนุมาน
จะไม่ทรบได้ว่า นิพพานเช่นไหน คือนิพพานแท้
และนิพพานเช่นไหน ที่เป็นนิพพานเทียม

ก็จะหลงผิดสำคัญผิดว่าบรรลุนิพพาน ทั้งที่ไม่ได้บรรลุค่ะ

หากว่าคุณเช่นนั้น ยังเข้าใจผิด ปฎิบัติไม่ตรงทาง ก็ตรวจสอบทาน กะพระปริยัติได้นะคะ
เพราะในพระอภิธรรม แสดงองค์ธรรม ไว้ชัดเจนค่ะ





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 05:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ในมหาสติปัฎฐานสูตร พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอน ให้พิจารณาเพียง 3

คือ

1 ให้พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ภายในอยู่เนืองๆ

2 ให้พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ภายนอกอยู่เนืองๆ

3 ให้พิจาณา เห็นธรรม ในธรรม ภายใน และภายนอก อยู่เนืองๆ

แต่แท้จริงแล้ว โดยปรมัตถธรรม ไม่ได้มีแค่ 3


แต่มีถึง 4


คือ พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ที่มิใช่ภายใน และมิใช่ภายนอก อยู่เนืองๆค่ะ


ไร้สาระ ไม่ต้องสนใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:

ผิดแล้วค่ะ คุณเช่นนั้นเข้าใจผิดแล้ว ไม่ตรงมหาสติปัฎฐานค่ะ

การพิจารณานิพพาน

นั้น ทำได้สองลักษณะ

คือ

1 การพิจารณาโดยประจักษ์ อันนี้เป็นของพระอริยะบุคคลขึ้นไป โสดาบันผลที่รู้นิพพานครั้งแรก

และ

2 คือ การพิจารณาโดยอนุมาน อันนี้ เป็นของผู้ไม่ได้เป็นพระอริยะค่ะ
และโคตรภู ยังไม่ใช่พระอริยะบุคคล ก็พิจารณานิพพานได้ค่ะ


เพราะในพระอภิธรรม ได้แสดงองค์ธรรมของโคตรภูไว้ชัดเจนค่ะ
คือปัญญาเจตสิกที่ในมหากุศลญานสัปยุตจิต 4ดวงเจตสิก 35 ดวง ทีมีนิพพานเป็นอารมณค่ะ

และ คุณเช่นนั้นก็กล่าวผิดซ้ำสอง ไม่ตรงมหาสติปัฎฐานอีกค่ะ

คือ

ในมหาสติปัฎฐาน พระพุทธองค์ได้ทรงให้พิจารณานิพพาน อันเป็นนิโรจสัจจะ ในอริยะสัจจที่ 3 ค่ะ

เพราะนิพพานคือเป้าหมายอันแท้จริง ของพระศาสนาพุทธนี้ค่ะ

และคุณเช่นนั้น ก็กล่าวผิดเป็นครั้งที่สาม

เพราะถ้าบุคคลไม่พิจารณานิพพาน โดยอนุมาน
จะไม่ทรบได้ว่า นิพพานเช่นไหน คือนิพพานแท้
และนิพพานเช่นไหน ที่เป็นนิพพานเทียม

ก็จะหลงผิดสำคัญผิดว่าบรรลุนิพพาน ทั้งที่ไม่ได้บรรลุค่ะ

หากว่าคุณเช่นนั้น ยังเข้าใจผิด ปฎิบัติไม่ตรงทาง ก็ตรวจสอบทาน กะพระปริยัติได้นะคะ
เพราะในพระอภิธรรม แสดงองค์ธรรม ไว้ชัดเจนค่ะ


ย้ำ
ไม่มีการพิจารณา นิพพาน
การหน่วงนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ใช่การพิจารณานิพพาน

ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์ไม่ได้ให้พิจารณานิพพาน อันเป็นนิโรธสัจจะครับ
พระพุทธองค์ แสดงไว้ เช่นนี้ครับ
Quote Tipitaka:
[๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน ความสำรอก
และความดับโดยไม่เหลือ ความสละ ความส่งคืน ความปล่อยวาง ความไม่มี
อาลัย ในตัณหานั้น ก็ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่ไหน
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคล
จะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ รูปเสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ
ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสีย
ได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโน
สัมผัส เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา เป็นที่รัก
ที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ
ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา
ธัมมสัญญา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสีย
ได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา
โผฏฐัพพสัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อ
บุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมม
ตัณหา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก เป็น
ที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ
ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อ
จะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯ

นิพพาน ไม่ใช่ธรรมอันเป็นเหตุ
นิพพาน ไม่ใช่ธรรมอันเป็นผล
จึงไม่สามารถพิจารณาได้ แต่ทำให้แจ้งได้
เข้าใจใหม่นะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
โลกสวย เขียน:
ในมหาสติปัฎฐานสูตร พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอน ให้พิจารณาเพียง 3

คือ

1 ให้พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ภายในอยู่เนืองๆ

2 ให้พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ภายนอกอยู่เนืองๆ

3 ให้พิจาณา เห็นธรรม ในธรรม ภายใน และภายนอก อยู่เนืองๆ

แต่แท้จริงแล้ว โดยปรมัตถธรรม ไม่ได้มีแค่ 3


แต่มีถึง 4


คือ พิจารณาเห็นธรรม ในธรรม ที่มิใช่ภายใน และมิใช่ภายนอก อยู่เนืองๆค่ะ


ไร้สาระ ไม่ต้องสนใจ



คุณธรรมอาสาปฤษฎี คะ
คุณตื้นเขินไปซะแล้วค่ะ

พระอภิธรรมเป็นปรมัตถ์ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ไม่ได้ไร้สาระะแบบที่คุณธรรมอาสา ผู้ตื้นเขินคิดไปหรอกค่ะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โลกสวย เขียน:

ผิดแล้วค่ะ คุณเช่นนั้นเข้าใจผิดแล้ว ไม่ตรงมหาสติปัฎฐานค่ะ

การพิจารณานิพพาน

นั้น ทำได้สองลักษณะ

คือ

1 การพิจารณาโดยประจักษ์ อันนี้เป็นของพระอริยะบุคคลขึ้นไป โสดาบันผลที่รู้นิพพานครั้งแรก

และ

2 คือ การพิจารณาโดยอนุมาน อันนี้ เป็นของผู้ไม่ได้เป็นพระอริยะค่ะ
และโคตรภู ยังไม่ใช่พระอริยะบุคคล ก็พิจารณานิพพานได้ค่ะ


เพราะในพระอภิธรรม ได้แสดงองค์ธรรมของโคตรภูไว้ชัดเจนค่ะ
คือปัญญาเจตสิกที่ในมหากุศลญานสัปยุตจิต 4ดวงเจตสิก 35 ดวง ทีมีนิพพานเป็นอารมณค่ะ

และ คุณเช่นนั้นก็กล่าวผิดซ้ำสอง ไม่ตรงมหาสติปัฎฐานอีกค่ะ

คือ

ในมหาสติปัฎฐาน พระพุทธองค์ได้ทรงให้พิจารณานิพพาน อันเป็นนิโรจสัจจะ ในอริยะสัจจที่ 3 ค่ะ

เพราะนิพพานคือเป้าหมายอันแท้จริง ของพระศาสนาพุทธนี้ค่ะ

และคุณเช่นนั้น ก็กล่าวผิดเป็นครั้งที่สาม

เพราะถ้าบุคคลไม่พิจารณานิพพาน โดยอนุมาน
จะไม่ทรบได้ว่า นิพพานเช่นไหน คือนิพพานแท้
และนิพพานเช่นไหน ที่เป็นนิพพานเทียม

ก็จะหลงผิดสำคัญผิดว่าบรรลุนิพพาน ทั้งที่ไม่ได้บรรลุค่ะ

หากว่าคุณเช่นนั้น ยังเข้าใจผิด ปฎิบัติไม่ตรงทาง ก็ตรวจสอบทาน กะพระปริยัติได้นะคะ
เพราะในพระอภิธรรม แสดงองค์ธรรม ไว้ชัดเจนค่ะ


ย้ำ
ไม่มีการพิจารณา นิพพาน
การหน่วงนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ใช่การพิจารณานิพพาน

ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์ไม่ได้ให้พิจารณานิพพาน อันเป็นนิโรธสัจจะครับ
พระพุทธองค์ แสดงไว้ เช่นนี้ครับ
Quote Tipitaka:
[๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน ความสำรอก
และความดับโดยไม่เหลือ ความสละ ความส่งคืน ความปล่อยวาง ความไม่มี
อาลัย ในตัณหานั้น ก็ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่ไหน
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคล
จะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ รูปเสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ
ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสีย
ได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโน
สัมผัส เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา เป็นที่รัก
ที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ
ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา
ธัมมสัญญา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสีย
ได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา
โผฏฐัพพสัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อ
บุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมม
ตัณหา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก เป็น
ที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ
ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อ
จะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯ

นิพพาน ไม่ใช่ธรรมอันเป็นเหตุ
นิพพาน ไม่ใช่ธรรมอันเป็นผล
จึงไม่สามารถพิจารณาได้ แต่ทำให้แจ้งได้
เข้าใจใหม่นะครับ


คุณเช่นนั้น ผุ้ทรงคุณวุฒิประจำบอร์ดคะ

คุณกล่าวผิดซ้ำซาก อีกเป็นครั้งที่สี่แล้วค่ะ

หนูบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า ในมหาสติปัฎฐานสูตรนั้น
พระพุทธองค์แนะให้พิจารณาเพียงสาม
แต่ในพระปริยัติพระอภิธรรม ได้แสดงไว้อย่างชัดเจนถึงสี่


คุณก็เรยไปลอกมาพระสูตรโดยความเขลา
ไม่อาจแทงตลอดถึงปริยัติในคำสั่งสอนพระพุทธองค์ได้

ไม่รู้ว่า คุณจะไปลอกมากี่พระสูตร ก็ไม่อาจสอดคล้องได้

ไม่สอดคล้องกัน กะปรมัตถ์ธรรมพระปริยัติ

เพราะคุณไม่ได้เรียนปริยัติ ก็เรยไม่สามารถปฎิบัติ จนถึงปฎิเวธญานได้
เพราะคำกล่าวที่คุณไปลอกมา ไม่สอดคล้องตรงกันครบถ้วน กะพระปริยัติค่ะ

เพราะในพระปริยัติพระอภิธรรมได้แสดงไว้ชัดเจนถึงการพิจารณานิพพานค่ะ

หนูแนะนำนะคะ ว่าให้ศึกษาปริยัติพื้นฐานด้วยนะคะ
จะได้ไม่มากล่าวผิดซ้ำซาก
ไม่อาจสอดคล้องกันกับปริยัติได้ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอร่วมสนทนาด้วย ในสูตรไหนๆก็ใช้คำว่าสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
กายานุปัสสนานั้น ก็ซ่อนธัมมานุปัสสนาไว้ด้วย
เวทนานุปัสสนานั้น ก็ซ่อนธัมมานุปัสสนาไว้ด้วย
จิตตานุปัสสนานั้น ก็ซ่อนธัมมานุปัสสนาไว้ด้วย
กาย เวทนา จิต ทั้ง ๓ อย่างนี้ก็เป็นธรรมด้วย ตามความลึกซึ้งของธรรม
การที่แยกออกมาเป็นธัมมานุปัสสนาอีกต่างหากก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่า ธัมมานุปัสสนานั้นเนื้อแท้แล้วก็คือ กาย เวทนา จิต จะพ้นไปจากนี้ไม่ได้เลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ขอร่วมสนทนาด้วย ในสูตรไหนๆก็ใช้คำว่าสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
กายานุปัสสนานั้น ก็ซ่อนธัมมานุปัสสนาไว้ด้วย
เวทนานุปัสสนานั้น ก็ซ่อนธัมมานุปัสสนาไว้ด้วย
จิตตานุปัสสนานั้น ก็ซ่อนธัมมานุปัสสนาไว้ด้วย
กาย เวทนา จิต ทั้ง ๓ อย่างนี้ก็เป็นธรรมด้วย ตามความลึกซึ้งของธรรม
การที่แยกออกมาเป็นธัมมานุปัสสนาอีกต่างหากก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่า ธัมมานุปัสสนานั้นเนื้อแท้แล้วก็คือ กาย เวทนา จิต จะพ้นไปจากนี้ไม่ได้เลย


ใช่แล้วค่ะ
แต่ไม่ทั้งหมด เพราะในความลึกซึ้งของธรรมนั้น
จะขาดปริยัติไปไม่ได้เลย
และในพระอภิธรรม ก็แสดงการจำแนกอารมณของนิพพาน
ก็มีการจำแนกออกถึง 12 อาการ

โดยนัยะ แห่งวิโมกข์ ของผุ้ไม่ได้เป็นอริยะ
และวิโมขมุข ของพระอริยะบุคคล ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปด้วยค่ะ
หากเข้าใจ วิโมกข์ และวิโมขมุข ก็จะเข้าใจ อารมณืพระนิพพานที่จำแนกโดยนัยยะ 12 อาการนี้ค่ะ

ปริยัติ ปฎิบัติ ต้องสอดคล้องกัน ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และและในที่สุด

ก็ขอกราบๆๆๆๆ ทุกคนนะคะ ให้ศึกษาปริยัติศึกษาพระปรมัตถ์ธรรมกันด้วย
เพราะปริยัติ คือศาสนพรหมจรรย์ จะทำให้ปฎิบัติสอดคล้องไปได้ค่ะ

เพราะหลายๆท่านที่มาแสดง
ไม่อาจแสดงความลึกซึ้งไปจนถึงปรมัตถ์ธรรมกันได้เรย
ก็ขออนุโมทนาลุงหมานด้วยค่ะ

และขอฝากคุณลุงหมานด้วย
ว่าช่วยให้ปัญญาในปรมัตถ์กะคนในบอร์ดนี้มากๆๆ และต่อๆๆไปด้วยค่ะ


เพราะว่ายังมีคนที่ ยังอ่อนการศึกษามาก มีเยอะ
เรยไม่มีความเข้าใจสิ่งที่หนุพูดไป



ไปนอนก่อนแระค่ะ กู๊ดไนท์ ฝันดีถึงหนูด้วยนะคะ

บ๊ายบาย
อ่อ

จุ๊ฟๆนะคะ คุณลุงหมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:

คุณเช่นนั้น ผุ้ทรงคุณวุฒิประจำบอร์ดคะ

คุณกล่าวผิดซ้ำซาก อีกเป็นครั้งที่สี่แล้วค่ะ

หนูบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า ในมหาสติปัฎฐานสูตรนั้น
พระพุทธองค์แนะให้พิจารณาเพียงสาม
แต่ในพระปริยัติพระอภิธรรม ได้แสดงไว้อย่างชัดเจนถึงสี่


คุณก็เรยไปลอกมาพระสูตรโดยความเขลา
ไม่อาจแทงตลอดถึงปริยัติในคำสั่งสอนพระพุทธองค์ได้

ไม่รู้ว่า คุณจะไปลอกมากี่พระสูตร ก็ไม่อาจสอดคล้องได้

ไม่สอดคล้องกัน กะปรมัตถ์ธรรมพระปริยัติ

เพราะคุณไม่ได้เรียนปริยัติ ก็เรยไม่สามารถปฎิบัติ จนถึงปฎิเวธญานได้
เพราะคำกล่าวที่คุณไปลอกมา ไม่สอดคล้องตรงกันครบถ้วน กะพระปริยัติค่ะ

เพราะในพระปริยัติพระอภิธรรมได้แสดงไว้ชัดเจนถึงการพิจารณานิพพานค่ะ

หนูแนะนำนะคะ ว่าให้ศึกษาปริยัติพื้นฐานด้วยนะคะ
จะได้ไม่มากล่าวผิดซ้ำซาก
ไม่อาจสอดคล้องกันกับปริยัติได้ค่ะ

ย้ำเป็นครั้ง ที่ 3
ไม่มีการพิจารณา นิพพาน แม้ในพระอภิธรรม
เป็นสิ่งที่ "โลกสวย" พยายามผิดๆ ด้วยความเขลา
พระสูตร และพระอภิธรรม มีวจนะสอดคล้องตรงกันครับ

ไม่มีการพิจารณา นิพพาน เป็นประการที่ 4

พระธรรมซึ่งพระพุทธองค์แสดงไว้บริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ต้องแต่งเติมเสริมต่อ ว่า หายไป
อย่านำอภิธรรมหัวตอที่เพิ่งได้เรียนมา บิดเบือนพระวจนะเลย

นิพพาน ไม่ใช่เหตุ
นิพพาน ไม่ใช่ผล
ไม่อาจจะพิจารณาได้ แต่ทำให้แจ้งได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โลกสวย เขียน:



คุณเช่นนั้น ผุ้ทรงคุณวุฒิประจำบอร์ดคะ

คุณกล่าวผิดซ้ำซาก อีกเป็นครั้งที่สี่แล้วค่ะ


หนูบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า ในมหาสติปัฎฐานสูตรนั้น
พระพุทธองค์แนะให้พิจารณาเพียงสาม
แต่ในพระปริยัติพระอภิธรรม ได้แสดงไว้อย่างชัดเจนถึงสี่


คุณก็เรยไปลอกมาพระสูตรโดยความเขลา
ไม่อาจแทงตลอดถึงปริยัติในคำสั่งสอนพระพุทธองค์ได้

ไม่รู้ว่า คุณจะไปลอกมากี่พระสูตร ก็ไม่อาจสอดคล้องได้

ไม่สอดคล้องกัน กะปรมัตถ์ธรรมพระปริยัติ

เพราะคุณไม่ได้เรียนปริยัติ ก็เรยไม่สามารถปฎิบัติ จนถึงปฎิเวธญานได้
เพราะคำกล่าวที่คุณไปลอกมา ไม่สอดคล้องตรงกันครบถ้วน กะพระปริยัติค่ะ

เพราะในพระปริยัติพระอภิธรรมได้แสดงไว้ชัดเจนถึงการพิจารณานิพพานค่ะ

หนูแนะนำนะคะ ว่าให้ศึกษาปริยัติพื้นฐานด้วยนะคะ
จะได้ไม่มากล่าวผิดซ้ำซาก
ไม่อาจสอดคล้องกันกับปริยัติได้ค่ะ

ย้ำเป็นครั้ง ที่ 3
ไม่มีการพิจารณา นิพพาน แม้ในพระอภิธรรม
เป็นสิ่งที่ "โลกสวย" พยายามผิดๆ ด้วยความเขลา
พระสูตร และพระอภิธรรม มีวจนะสอดคล้องตรงกันครับ

ไม่มีการพิจารณา นิพพาน เป็นประการที่ 4

พระธรรมซึ่งพระพุทธองค์แสดงไว้บริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ต้องแต่งเติมเสริมต่อ ว่า หายไป
อย่านำอภิธรรมหัวตอที่เพิ่งได้เรียนมา บิดเบือนพระวจนะเลย

นิพพาน ไม่ใช่เหตุ
นิพพาน ไม่ใช่ผล
ไม่อาจจะพิจารณาได้ แต่ทำให้แจ้งได้



นี่เป็นตัวอย่าง คนที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมมาเรย

ที่สร้างความฉิบหายนะ ให้แก่ตนเอง เสียแล้ว

เวรกรรมๆๆๆๆๆ แท้ๆ

ที่เรียกพระอภิธรรมว่า อภิธรรมหัวตอ
คุณเช่นนั้นเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประเภท นำความฉิบหายนะ มาสู่ตนเองแล้วหละค่ะ

และจากการที่คุณเช่นนั้นไร้การศึกษา ก็ตื้นเขิน ไม่รู้ว่า
นิพพาน เป็นธรรมะฝ่ายอัพยากตะ คือ รูป 28 และ นิพพาน 2

ปริยัตินะคะ แปลเป็นไทยง่ายๆว่า ญานอันเป็นความรู้ทั่วถึงในคำสอนปรมัตถ์ธรรม ของพระพุทธเจ้าค่ะ

คุณเช่นนั้น ยังตื้นเขินมาก ตกเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประเภท นำความฉิบหายมาสู่ตนเองเสียแล้ว
พระอภิธรรม ไมใช่ หัวตอ แบบที่คุณปรามาสไปค่ะ

และผิดซ้ำซากๆๆๆๆๆอีก
เพราะไม่รู้ว่า

พระอภิธรรม เป็นปรมัตถธรรมสูงสุก เหนือพระวจนะ
เพราะปรมัตถธรรม ทำให้ เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ตรัสรู้เป็น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ

พระพุทธเจ้าสมณะโคดม ท่าน ทรงเคารพพระธรรม
และพระพทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านก็ทรงเคารพพระธรรม


มีแต่คุณเช่นนั้น ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบอร์ด
ที่นำเวรกรรม ๆๆๆ และความฉิบหายนะ สู่ตนเอง
ประจานตัวเองออกมาหน้าบอร์ด

เรียกพระอภิธรรมด้วยการดูถูก ด้วยปรามาส

ว่า พระอภิธรรมหัวตอ

หนูแนะนำว่า ไปขอขมาพระรัตนเสียนะคะ อย่านำความฉิบหายนะ มาสู่ตัวเองเรยค่ะ
คุณเช่นนั้น ผิดซ้ำซาก เพราะเขลาเบาปัญญา ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม
หนูอภัยให้
แต่ ที่ไปปรามาสพระปรมัตถธรรม อภิธรรมว่า อภิธรรมหัวตอนั้น

หนูอภัยให้ไม่ได้หรอก แม้อยากอภัย
เพราะความฉิบหายนะ นี้ คุณต้องรับกรรมเอง
และก็ไม่ใช่หนูที่จะอภัยให้ได้ค่ะ

[b][color=#000000][color=#400000][b]"อภิธรรมหัวตอ"
[/color] [/b] พูดได้ไงคะ จิตใจทำด้วยอะไรเนี่ย



ป่วยการที่จะสนทนาด้วยค่ะ คุณเช่นนั้นเตรียมไปนรกเรยค่ะ

บ๊ายบายค่ะ




[/b]

[/color]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2018, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:



และจากการที่คุณเช่นนั้นไร้การศึกษา ก็ตื้นเขิน ไม่รู้ว่า
นิพพาน เป็นธรรมะฝ่ายอัพยากตะ คือ รูป 28 และ นิพพาน 2

พระอภิธรรม เป็นปรมัตถธรรมสูงสุก เหนือพระวจนะ
เพราะปรมัตถธรรม ทำให้ เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ตรัสรู้เป็น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ




นี่คือความรู้จาก อภิธรรมหัวตอ

นิพพาน 2
และ พระอภิธรรม เหนือพระวจนะ


นิพพาน เป็นอัพยากตธรรม
ซึ่ง ไม่เป็นเหตุ และไม่เป็นผล ไม่ใช่มรรค จึงไม่ใช่ปฏิปทา
ทำให้แจ้ง แต่พิจารณาไม่ได้
การพิจารณา พิจารณาซึ่งผลที่ได้
แม้การพิจารณาผลที่ได้ ก็เพียงหน่วงนิพพานเป็นอารมณ์
เรียนใหม่ รู้ใหม่นะครับ

ศึกษาใหม่ เรียนใหม่ให้ดีๆ
จะให้ดี ก็หาสถานศึกษาใหม่จะดีที่สุด

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 88 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร