วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 01:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถ้ายังเป็นคนไม่ตรงนะคะ
แล้วก็ก็อปปี้ตำรามาทั้งดุ้น
แบบนี้แปลว่าไม่รู้จักกิเลสตน
และไม่รู้ถึงความตรงจริงนั่นไง
ถึงบวชแล้วรับเงินมาใช้จ่ายกัน
เป็นว่าเล่นรู้ป่าวว่าขอบวชตรงมาก
ทำไม่ได้1โกงตถาคต2โกงชาวบ้าน
3โกงตัวเองเพราะทำตามที่ขอบวชไม่ได้น๊า
ไม่มีข้อห้ามลาสิกขาแต่มีข้อห้ามตามสิกขาบท
ฟังบ้างเถอะนะตายแล้วที่ก็อปมาแปะไม่ตามไปนิ
ฟังแล้วคิดไตร่ตรองตามให้รอบคอบไม่คิดเองเพราะ
ต้องกำลังใช้กาลามสูตร10พิจารณาเพื่อเข้าใจก่อนถึงจะทำไม่ผิด
:b32: :b32:


ยังงั้นคนก็ไม่มีสิ


อย่าเพิ่งลามไปใหญ่ ตอบนี่ก่อน ถ้ายังงั้น คนก็ไม่มีใช่หรือไม่

Kiss
เวลามีคนทักให้รู้สึกตัวว่าไม่รู้ดูที่กายใจตนเดี๋ยวนี้
กำลังสงสัยเป็นนิวรณธรรมก็ดูที่ตัวเองสิว่ามีคนไหม
ถ้ายังมีนั่นแหละกิเลสตนเองต้องยอมรับความจริงก่อน
แล้วก็ใช้กาลามสูตร10เทียบการเห็นของตนกับที่ตนกำลังมี
จากนั้นคนถามเขาจะตอบให้เข้าใจว่าตถาคตกล่าวว่าอย่างไรอยากรู้ป่าว
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถ้ายังเป็นคนไม่ตรงนะคะ
แล้วก็ก็อปปี้ตำรามาทั้งดุ้น
แบบนี้แปลว่าไม่รู้จักกิเลสตน
และไม่รู้ถึงความตรงจริงนั่นไง
ถึงบวชแล้วรับเงินมาใช้จ่ายกัน
เป็นว่าเล่นรู้ป่าวว่าขอบวชตรงมาก
ทำไม่ได้1โกงตถาคต2โกงชาวบ้าน
3โกงตัวเองเพราะทำตามที่ขอบวชไม่ได้น๊า
ไม่มีข้อห้ามลาสิกขาแต่มีข้อห้ามตามสิกขาบท
ฟังบ้างเถอะนะตายแล้วที่ก็อปมาแปะไม่ตามไปนิ
ฟังแล้วคิดไตร่ตรองตามให้รอบคอบไม่คิดเองเพราะ
ต้องกำลังใช้กาลามสูตร10พิจารณาเพื่อเข้าใจก่อนถึงจะทำไม่ผิด
:b32: :b32:


ยังงั้นคนก็ไม่มีสิ


อย่าเพิ่งลามไปใหญ่ ตอบนี่ก่อน ถ้ายังงั้น คนก็ไม่มีใช่หรือไม่

Kiss
เวลามีคนทักให้รู้สึกตัวว่าไม่รู้ดูที่กายใจตนเดี๋ยวนี้
กำลังสงสัยเป็นนิวรณธรรมก็ดูที่ตัวเองสิว่ามีคนไหม
ถ้ายังมีนั่นแหละกิเลสตนเองต้องยอมรับความจริงก่อน
แล้วก็ใช้กาลามสูตร10เทียบการเห็นของตนกับที่ตนกำลังมี
จากนั้นคนถามเขาจะตอบให้เข้าใจว่าตถาคตกล่าวว่าอย่างไรอยากรู้ป่าว
:b13:



ถามว่า คนไม่มีใช่ไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถ้ายังเป็นคนไม่ตรงนะคะ
แล้วก็ก็อปปี้ตำรามาทั้งดุ้น
แบบนี้แปลว่าไม่รู้จักกิเลสตน
และไม่รู้ถึงความตรงจริงนั่นไง
ถึงบวชแล้วรับเงินมาใช้จ่ายกัน
เป็นว่าเล่นรู้ป่าวว่าขอบวชตรงมาก
ทำไม่ได้1โกงตถาคต2โกงชาวบ้าน
3โกงตัวเองเพราะทำตามที่ขอบวชไม่ได้น๊า
ไม่มีข้อห้ามลาสิกขาแต่มีข้อห้ามตามสิกขาบท
ฟังบ้างเถอะนะตายแล้วที่ก็อปมาแปะไม่ตามไปนิ
ฟังแล้วคิดไตร่ตรองตามให้รอบคอบไม่คิดเองเพราะ
ต้องกำลังใช้กาลามสูตร10พิจารณาเพื่อเข้าใจก่อนถึงจะทำไม่ผิด
:b32: :b32:


ยังงั้นคนก็ไม่มีสิ


อย่าเพิ่งลามไปใหญ่ ตอบนี่ก่อน ถ้ายังงั้น คนก็ไม่มีใช่หรือไม่

Kiss
เวลามีคนทักให้รู้สึกตัวว่าไม่รู้ดูที่กายใจตนเดี๋ยวนี้
กำลังสงสัยเป็นนิวรณธรรมก็ดูที่ตัวเองสิว่ามีคนไหม
ถ้ายังมีนั่นแหละกิเลสตนเองต้องยอมรับความจริงก่อน
แล้วก็ใช้กาลามสูตร10เทียบการเห็นของตนกับที่ตนกำลังมี
จากนั้นคนถามเขาจะตอบให้เข้าใจว่าตถาคตกล่าวว่าอย่างไรอยากรู้ป่าว
:b13:



ถามว่า คนไม่มีใช่ไหม

:b12:
สิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว
และคนที่เห็นไม่ใช่คนที่ถูกเห็น
ตอนไหนมีคนตอนไหนไม่มีคน
ต้องตอบเองจะได้รู้ว่าเข้าใจยังไงค่ะ
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ถ้ายังเป็นคนไม่ตรงนะคะ
แล้วก็ก็อปปี้ตำรามาทั้งดุ้น
แบบนี้แปลว่าไม่รู้จักกิเลสตน
และไม่รู้ถึงความตรงจริงนั่นไง
ถึงบวชแล้วรับเงินมาใช้จ่ายกัน
เป็นว่าเล่นรู้ป่าวว่าขอบวชตรงมาก
ทำไม่ได้1โกงตถาคต2โกงชาวบ้าน
3โกงตัวเองเพราะทำตามที่ขอบวชไม่ได้น๊า
ไม่มีข้อห้ามลาสิกขาแต่มีข้อห้ามตามสิกขาบท
ฟังบ้างเถอะนะตายแล้วที่ก็อปมาแปะไม่ตามไปนิ
ฟังแล้วคิดไตร่ตรองตามให้รอบคอบไม่คิดเองเพราะ
ต้องกำลังใช้กาลามสูตร10พิจารณาเพื่อเข้าใจก่อนถึงจะทำไม่ผิด
:b32: :b32:


ยังงั้นคนก็ไม่มีสิ


อย่าเพิ่งลามไปใหญ่ ตอบนี่ก่อน ถ้ายังงั้น คนก็ไม่มีใช่หรือไม่

Kiss
เวลามีคนทักให้รู้สึกตัวว่าไม่รู้ดูที่กายใจตนเดี๋ยวนี้
กำลังสงสัยเป็นนิวรณธรรมก็ดูที่ตัวเองสิว่ามีคนไหม
ถ้ายังมีนั่นแหละกิเลสตนเองต้องยอมรับความจริงก่อน
แล้วก็ใช้กาลามสูตร10เทียบการเห็นของตนกับที่ตนกำลังมี
จากนั้นคนถามเขาจะตอบให้เข้าใจว่าตถาคตกล่าวว่าอย่างไรอยากรู้ป่าว
:b13:



ถามว่า คนไม่มีใช่ไหม

:b12:
สิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่สิ่งที่เห็นแล้ว
และคนที่เห็นไม่ใช่คนที่ถูกเห็น
ตอนไหนมีคนตอนไหนไม่มีคน
ต้องตอบเองจะได้รู้ว่าเข้าใจยังไงค่ะ
:b4: :b4:


ถ้างั้นถามใหม่ คนกับรูปนี่เหมือนกันหรือต่างกัน เอาตรงๆนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
แบบนี้เค้าไม่เรียกศึกษาธัมมะแระ
ถามลองภูมิรึแล้วทำไมไม่ตอบ
จะได้บอกว่าเข้าใจถูกหรือผิด
ถามใหม่ไปเรื่อยๆตกลงไม่รู้อะไรเลยรึ
ถึงมาถามอย่างที่ถามมานั่นน่ะ
คนเป็นสมมุติสัจจะ
รูปไม่ใช่คนและ
คนไม่ใช่รูปที่ปรากฏ
ถามรูปไหนล่ะคะ
รูปตามคำสอนคือ
มหาภูตรูป4+อุปาทายรูป24
เท่ากับมีรูปตั้ง28รูป
รูปที่ปรากฏให้รู้ได้
มี8-9รูปที่กำลังมี
แค่ตรง1สัจจะที่ตนมี
ดับแล้วทั้งหมดและ
อันไหนไม่ปรากฏให้รู้
ให้ทราบว่าดับไปแล้ว
พร้อมกันเพราะจิตเกิดดับ
ทีละ1ขณะเป็นขณิกมรณะ
ดับต้องไม่มีพอเกิดจึงเริ่มมี
ตั้งอยู่นิดนึงแล้วก็ดับไป
ไม่ย้อนกลับมาเกิดให้รู้อีก
เกิดจิตขณะใหม่ตลอดเวลา
อะไรที่ผ่านไปแล้วจึงแก้ไม่ได้
ถ้าไม่ทันปัจจุบันแปลว่าไม่ทันทั้งหมดค่ะ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
แบบนี้เค้าไม่เรียกศึกษาธัมมะแระ
ถามลองภูมิรึแล้วทำไมไม่ตอบ
จะได้บอกว่าเข้าใจถูกหรือผิด
ถามใหม่ไปเรื่อยๆตกลงไม่รู้อะไรเลยรึ
ถึงมาถามอย่างที่ถามมานั่นน่ะ
คนเป็นสมมุติสัจจะ
รูปไม่ใช่คนและ
คนไม่ใช่รูปที่ปรากฏ
ถามรูปไหนล่ะคะ
รูปตามคำสอนคือ
มหาภูตรูป4+อุปาทายรูป24
เท่ากับมีรูปตั้ง28รูป
รูปที่ปรากฏให้รู้ได้
มี8-9รูปที่กำลังมี
แค่ตรง1สัจจะที่ตนมี
ดับแล้วทั้งหมดและ
อันไหนไม่ปรากฏให้รู้
ให้ทราบว่าดับไปแล้ว
พร้อมกันเพราะจิตเกิดดับ
ทีละ1ขณะเป็นขณิกมรณะ
ดับต้องไม่มีพอเกิดจึงเริ่มมี
ตั้งอยู่นิดนึงแล้วก็ดับไป
ไม่ย้อนกลับมาเกิดให้รู้อีก
เกิดจิตขณะใหม่ตลอดเวลา
อะไรที่ผ่านไปแล้วจึงแก้ไม่ได้
ถ้าไม่ทันปัจจุบันแปลว่าไม่ทันทั้งหมดค่ะ
:b13:



มวยทะเล เหวี่ยงซ้ายป่ายขวา ถูกมั่งผิดมั่ง ตกน้ำมั่ง คิกๆๆ ดูๆก็หนุกดี ถ้ามีอารมณ์ร่วม แต่บางครั้งน่ารำคาญ อิอิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เห็นกิเลสตนเองไหมล่ะ
รำคาญคือโทสะเกิดน๊า
:b12:
:b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
เห็นกิเลสตนเองไหมล่ะ
รำคาญคือโทสะเกิดน๊า
:b12:
:b55: :b55:


รำคาญมันน่าจะเป็นนิวรณ์นะ ไปดูใหม่สิ คิกๆๆ

มันเกิดแล้วมันดับไหม :b10:

นึกถึงคำพูดหลวงพ่อคูณ ไปหาฟังที่นั่งคุยกับนักข่าวนะ

ส่วนคุณโรสกลัวกิเลสจนขี้เป็นเลือด กลัวมากๆนี่จะไม่กล้าทำกล้าไม่คิดอะไร เพราะกลัวเป็นกิเลส จึงนั่งกะพริบตาถี่ๆเพื่อให้ทันทำมะว่า แต่กรัชกายนี่ไม่กลัว คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 06:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เห็นกิเลสตนเองไหมล่ะ
รำคาญคือโทสะเกิดน๊า
:b12:
:b55: :b55:


รำคาญมันน่าจะเป็นนิวรณ์นะ ไปดูใหม่สิ คิกๆๆ

มันเกิดแล้วมันดับไหม :b10:

นึกถึงคำพูดหลวงพ่อคูณ ไปหาฟังที่นั่งคุยกับนักข่าวนะ

ส่วนคุณโรสกลัวกิเลสจนขี้เป็นเลือด กลัวมากๆนี่จะไม่กล้าทำกล้าไม่คิดอะไร เพราะกลัวเป็นกิเลส จึงนั่งกะพริบตาถี่ๆเพื่อให้ทันทำมะว่า แต่กรัชกายนี่ไม่กลัว คิกๆๆ

cool
ชื่อทั้งนั้นเป็นความจริงที่ตัวตนไงคะดับแก้ได้ป่าว :b32:
กิเลสตามคำสอนมี3คือ โลภะ โทสะ โมหะ อันมีโมหะประกอบไว้ในโลก
เวลาเกิดกิเลสมันสังขารขันธ์ปรุงอกุศลเกาะติดจับโมหะเกิดคนละครั้งนะคะ
โลภะ+โมหะ คือ ความชอบใจพอใจอยากมีอยากเป็นอยากได้ในสิ่งที่น่ารื่นรมณ์ยินดีติดใจขวนขวายทำ
โทสะ+โมหะ คือ ขุ่นใจ ขัดเคือง ไม่ชอบไม่พอใจไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็นในสิ่งที่ตนไม่ชอบ
:b12:
ส่วนปัญญารู้ละตัวตนฟังด้วยความเข้าใจพอใจที่จะฟังเพราะรู้จักตนว่าไม่ได้รู้อย่างตถาคตฟังจำเป็นที่สุด
เพราะคนที่ตาไม่บอดและหูไม่หนวกเท่านั้นจึงเป็นผู้ตื่นลืมตาฟังความจริงแล้วคิดเห็นถูกตามคำสอนได้
ฟังด้วยความอยากรู้เป็นฉันทะวิริยสติสมาธิปัญญารู้ถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังฟังเกิดสัมมาตามได้
พระอรหันต์เท่านั้นที่ดับกิเลสทั้ง3นั้นได้ถูกไหมคะจำชื่อเยอะเป็นตามชื่อหรือดีได้เองอย่างนั้นหรือคะ
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศัตรูของสมาธิ


สิ่งต่อไปนี้ ไม่ใช่สมาธิ แต่เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูของสมาธิ เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดเสีย จึงจะเกิดสมาธิได้ หรือจะพูดว่า เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดเสียด้วยสมาธิก็ได้ สิ่งเหล่านี้ มีชื่อเฉพาะเรียกว่านิวรณ์

นิวรณ์ แปลว่า เครื่องกีดกั้น เครื่องขัดขวาง แปลเอาความตามหลักวิชาว่า สิ่งที่กีดกั้นการทำงานของจิตไม่ให้ก้าวหน้าในกุศลธรรม ธรรมฝ่ายชั่วที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณความดี หรืออกุศลธรรมที่ทำจิตให้เศร้าหมองและทำปัญญาให้อ่อนกำลัง


คำอธิบายลักษณะของนิวรณ์ ที่เป็นพุทธพจน์มีว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ เป็นเครื่องปิดกั้น (กุศลธรรม) เป็นเครื่องห้าม (ความเจริญงอกงาม) ขึ้นกดทับจิตไว้ ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง" * (เช่น สํ.ม.19/499/135)

"...เป็นอุปกิเลสแห่งจิต (สนิมใจ หรือสิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง) ทำปัญญาให้อ่อนกำลัง" * (เช่น สํ.ม.19/490/133)

"ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ เป็นนิวรณ์ ทำให้มืดบอด ทำให้ไร้จักษุ ทำให้ไม่มีญาณ (สร้างความไม่รู้) ทำให้ปัญญาดับ ส่งเสริมความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน" (เช่น สํ.ม.19/501/136)

นิวรณ์ ๕ อย่างนี้ พึงระวัง อย่านำมาสับสนกับสมถะ หรือสมาธิ หากพบที่ใด พึงตระหนักไว้ว่า นี้ไม่ใช่สมถะ นี้ไม่ใช่สมาธิ นิวรณ์ ๕ * อย่างนั้น คือ

๑. กามฉันท์ ความอยากได้ อยากเอา (แปลตามศัพท์ว่า ความพอใจในกาม) หรืออภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ หรือจ้องจะเอา หมายถึง ความอยากได้กามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นกิเลสพวกโลภะ จิตที่ถูกล่อด้วยอารมณ์ต่างๆ คิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ ติดใจโน่นติดใจนี่ คอยเขวออกไปหาอารมณ์อื่น ครุ่นข้องอยู่ ย่อมไม่ตั้งมั่น ไม่เดินเรียบไป ไม่อาจเป็นสมาธิได้

๒. พยาบาท ความ ขัดเคืองแค้นใจ ได้แก่ ความขัดใจ แค้นเคือง เกลียดชัง ความผูกใจเจ็บ การมองในแง่ร้าย การคิดร้าย มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรู ตลอดจนความโกรธ ความหงุดหงิด ฉุนเฉียว ความรู้สึกขัดใจ ไม่พอใจต่างๆ จิตที่มัวกระทบนั่นกระทบนี่ สะดุดนั่นสะดุดนี่ เดินไม่เรียบ ไม่ไหลเนื่อง ย่อมไม่อาจเป็นสมาธิ

๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่และเซื่องซึม หรือเซ็งและซึม แยกเป็นถีนะ ความหดหู่ ห่อเหี่ยว ถอดถอย ระย่อ ท้อแท้ ความซบเซา เหงาหงอย ละเหี่ย ที่เป็นอาการของจิตใจ กับ มิทธะ ความเซื่องซึม เฉื่อยเฉา ง่วงเหงา อืดอาด มึนมัว ตื้อตัน อาการซึมๆ เฉาๆ ที่เป็นไปทางกาย (ท่านหมายถึงนามกาย คือกองเจตสิก) จิตที่ถูกอาการอย่างนี้ครอบงำ ย่อมไม่เข็มแข็ง ไม่คล่องตัว ไม่เหมาะแก่การใช้งาน จึงไม่อาจเป็นสมาธิได้

๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและเดือดร้อนใจ แยกเป็นอุทธัจจะ ความที่จิตฟุ้งซ่าน ไม่สงบ ส่ายพร่า พล่านไป กับ กุกกุจจะ ความวุ่นวายใจ รำคาญใจ ระแวง เดือดร้อนใจ ยุ่งใจ กลุ้มใจ กังวลใจ จิตที่ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ ย่อมพล่าน งุ่นง่าน ย่อมคว้างไป ไม่อาจสงบได้ จึงไม่เป็นสมาธิ

๕. วิจิกิจฉา ความ ลังเลสงสัย ได้แก่ ความเคลือบแคลง ไม่แน่ใจ เกี่ยวกับพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ เกี่ยวกับสิกขา เป็นต้น พูดสั้นๆว่า คลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย ตกลงใจไม่ได้ เช่นว่า ธรรมนี้ สมาธิภาวนานี้ ฯลฯ มีคุณค่า มีประโยชน์ควรแก่การปฏิบัติหรือไม่ จะได้ผลจริงไหม คิดแยกไปสองทาง วางใจไม่ลง จิตที่ถูกวิจิกิจฉาขัดไว้ กวนไว้ ให้ค้าง ให้พร่า ให้ว้าวุ่น ลังเลอยู่ มีแต่จะเครียด ไม่อาจแน่วแน่เป็นสมาธิ

อ้างอิงที่ *

* นิวรณ์ ๕ ที่มีอภิชฌา เป็นข้อแรก มักบรรยายไว้ก่อนหน้าจะได้ฌาน ....ส่วนนิวรณ์ ๕ ที่มีกามฉันท์ เป็นข้อแรก มักกล่าวไว้เอกเทศ และระบุแต่หัวข้อ ไม่บรรยายลักษณะ...ดูอธิบายในนิวรณ์ ๖ (เติมอวิชชา)

อภิชฌา = กามฉันท์

อภิชฌา = โลภะ

คำว่า กาย ในข้อ ๓ ท่านว่า หมายถึงนามกาย คือกองเจตสิก (สง.คณี อ. ๕๓๖)

* นิวรณ์ก็เรียกว่าธรรมะนะ (สิ่ง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัดๆเอาแต่สาระมา

ฯลฯ

ผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ (ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครู ที่ รร. สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ผม สามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่าผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔
แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า ....กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ...จนรู้สึกว่ากายหายไป เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปีติอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ
แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"
จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

แต่หลังจากนั้นมาผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุดก็แค่ทำปีติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปีติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เห็นกิเลสตนเองไหมล่ะ
รำคาญคือโทสะเกิดน๊า
:b12:
:b55: :b55:


รำคาญมันน่าจะเป็นนิวรณ์นะ ไปดูใหม่สิ คิกๆๆ

มันเกิดแล้วมันดับไหม :b10:

นึกถึงคำพูดหลวงพ่อคูณ ไปหาฟังที่นั่งคุยกับนักข่าวนะ

ส่วนคุณโรสกลัวกิเลสจนขี้เป็นเลือด กลัวมากๆนี่จะไม่กล้าทำกล้าไม่คิดอะไร เพราะกลัวเป็นกิเลส จึงนั่งกะพริบตาถี่ๆเพื่อให้ทันทำมะว่า แต่กรัชกายนี่ไม่กลัว คิกๆๆ

cool
ชื่อทั้งนั้นเป็นความจริงที่ตัวตนไงคะดับแก้ได้ป่าว :b32:
กิเลสตามคำสอนมี3คือ โลภะ โทสะ โมหะ อันมีโมหะประกอบไว้ในโลก
เวลาเกิดกิเลสมันสังขารขันธ์ปรุงอกุศลเกาะติดจับโมหะเกิดคนละครั้งนะคะ
โลภะ+โมหะ คือ ความชอบใจพอใจอยากมีอยากเป็นอยากได้ในสิ่งที่น่ารื่นรมณ์ยินดีติดใจขวนขวายทำ
โทสะ+โมหะ คือ ขุ่นใจ ขัดเคือง ไม่ชอบไม่พอใจไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็นในสิ่งที่ตนไม่ชอบ
:b12:
ส่วนปัญญารู้ละตัวตนฟังด้วยความเข้าใจพอใจที่จะฟังเพราะรู้จักตนว่าไม่ได้รู้อย่างตถาคตฟังจำเป็นที่สุด
เพราะคนที่ตาไม่บอดและหูไม่หนวกเท่านั้นจึงเป็นผู้ตื่นลืมตาฟังความจริงแล้วคิดเห็นถูกตามคำสอนได้
ฟังด้วยความอยากรู้เป็นฉันทะวิริยสติสมาธิปัญญารู้ถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังฟังเกิดสัมมาตามได้
พระอรหันต์เท่านั้นที่ดับกิเลสทั้ง3นั้นได้ถูกไหมคะจำชื่อเยอะเป็นตามชื่อหรือดีได้เองอย่างนั้นหรือคะ
:b11:


ยังไม่ได้ทำห่าอะไรเลย คิดเอาล้วนๆ
นั่งกะพริบตาหาทำมะ ต้องกระพริบให้พอดี กิเลสนั่นๆนี่ๆโลภะ โทสะ โมหะ อะไรก็ว่าไปพูดไป ปรุงแต่งขันนั่นขันนี่ คำตถาคต อะไรก็ไม่รู้ ฯลฯ โสดาบัน พระอะระหงอะระหัน พูดหมดพูดไป จบไม่รู้เรื่องเลย คิกๆๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เห็นกิเลสตนเองไหมล่ะ
รำคาญคือโทสะเกิดน๊า
:b12:
:b55: :b55:


รำคาญมันน่าจะเป็นนิวรณ์นะ ไปดูใหม่สิ คิกๆๆ

มันเกิดแล้วมันดับไหม :b10:

นึกถึงคำพูดหลวงพ่อคูณ ไปหาฟังที่นั่งคุยกับนักข่าวนะ

ส่วนคุณโรสกลัวกิเลสจนขี้เป็นเลือด กลัวมากๆนี่จะไม่กล้าทำกล้าไม่คิดอะไร เพราะกลัวเป็นกิเลส จึงนั่งกะพริบตาถี่ๆเพื่อให้ทันทำมะว่า แต่กรัชกายนี่ไม่กลัว คิกๆๆ

cool
ชื่อทั้งนั้นเป็นความจริงที่ตัวตนไงคะดับแก้ได้ป่าว :b32:
กิเลสตามคำสอนมี3คือ โลภะ โทสะ โมหะ อันมีโมหะประกอบไว้ในโลก
เวลาเกิดกิเลสมันสังขารขันธ์ปรุงอกุศลเกาะติดจับโมหะเกิดคนละครั้งนะคะ
โลภะ+โมหะ คือ ความชอบใจพอใจอยากมีอยากเป็นอยากได้ในสิ่งที่น่ารื่นรมณ์ยินดีติดใจขวนขวายทำ
โทสะ+โมหะ คือ ขุ่นใจ ขัดเคือง ไม่ชอบไม่พอใจไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็นในสิ่งที่ตนไม่ชอบ
:b12:
ส่วนปัญญารู้ละตัวตนฟังด้วยความเข้าใจพอใจที่จะฟังเพราะรู้จักตนว่าไม่ได้รู้อย่างตถาคตฟังจำเป็นที่สุด
เพราะคนที่ตาไม่บอดและหูไม่หนวกเท่านั้นจึงเป็นผู้ตื่นลืมตาฟังความจริงแล้วคิดเห็นถูกตามคำสอนได้
ฟังด้วยความอยากรู้เป็นฉันทะวิริยสติสมาธิปัญญารู้ถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังฟังเกิดสัมมาตามได้
พระอรหันต์เท่านั้นที่ดับกิเลสทั้ง3นั้นได้ถูกไหมคะจำชื่อเยอะเป็นตามชื่อหรือดีได้เองอย่างนั้นหรือคะ
:b11:



คุณโรส ถามจริงๆ ทำไมคุณถึงได้คิดตั้งกฎกติกา อ่านกาลามสูตรว่าต้องกะพริบตา (พริบ) ให้พอดีจบข้อ อาการนั่นคือรู้ธรรมะ ทำไมคุณคิดยังงั้น ใครแนะนำคุณให้ทำยังงั้นขอรับ อ่านไปตามปกติเหมือนชาวบ้านเขาอ่านหนังสือไม่ได้หรือขอรับ หือ :b32: จะบ้าตาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
เห็นกิเลสตนเองไหมล่ะ
รำคาญคือโทสะเกิดน๊า
:b12:
:b55: :b55:


รำคาญมันน่าจะเป็นนิวรณ์นะ ไปดูใหม่สิ คิกๆๆ

มันเกิดแล้วมันดับไหม :b10:

นึกถึงคำพูดหลวงพ่อคูณ ไปหาฟังที่นั่งคุยกับนักข่าวนะ

ส่วนคุณโรสกลัวกิเลสจนขี้เป็นเลือด กลัวมากๆนี่จะไม่กล้าทำกล้าไม่คิดอะไร เพราะกลัวเป็นกิเลส จึงนั่งกะพริบตาถี่ๆเพื่อให้ทันทำมะว่า แต่กรัชกายนี่ไม่กลัว คิกๆๆ


คุณโรสหายไปทั้งวัน หรือหมดแล้ว ระบายออกมาหมดแล้ว การถกเถียงกันเนี่ยมันก็ดีนะครับ จะได้ระบายความคิดความจำที่มีออกมา หมดแล้วสมองโล่ง ตัวเบา :b13:


ฟังหลวงพ่อคูณตอบคำถามเรื่องกิเลสเรื่องโทสะ ตอนท้ายๆเกือบจบแล้ว นาที 48:

https://www.youtube.com/watch?v=68YUk9ee0YU

อย่านึกว่ามันหมูนะกิเลส โลภ (ราคะ) โทสะ โมหะน่ะ มันเป็นรากเป็นเง้าทีเดียว หลักเขาเรียกรากเง้าของอกุศล

ถ้าเป็นอโลภะ อโทสะ อโมหะ เรียกรากเง้าของกุศล คฤหัสถ์ครองเรือน เอาแค่หลักธรรมะพื้นๆธรรมดาๆก็พอ เช่นว่า ทำหน้าที่ของตนไปตาม เพศ วัย เป็นอะไรล่ะ ก็เลือกเอาธรรมะนั่นๆแหละ ว่าอะไรนะครับ ไม่ได้ยิน อ้อ ไม่เชื่อ ตามใจงั้น :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำหลักมาให้ดู ความหมาย


โลภะ อยากได้ของเขา

โทสะ ความคิดประทุษร้าย

โมหะ ความหลง, ความไม่รู้ตามเป็นจริง, อวิชชา

โลภเจตนา เจตนาประกอบด้วยโลภ, จงใจคิดอยากได้, ตั้งใจจะเอา



ประเภทของกรรม (การกระทำ)

กรรมนั้น เมื่อจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ แบ่งได้เป็น ๒ อย่าง คือ (องฺ.ติก.20/445/131)

๑. อกุศลกรรม กรรมที่เป็นอกุศล การกระทำที่ไม่ดี กรรมชั่ว หมายถึงการกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ

๒. กุศลกรรม กรรมที่เป็นกุศล การกระทำที่ดี หรือกรรมดี หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ


@ ในกุศลมูล ๓ นั้น พึงทราบว่า อโลภะ ไม่โลภ หมายถึงธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับความโลภ รวมถึงจาคะ,
อโทสะ ไม่คิดประทุษร้าย หมายถึงธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับโทสะ โดยเฉพาะเมตตา,
อโมหะ ไม่หลง หมายถึงธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับความหลง โดยเฉพาะปัญญา (อภิ.สํ. 34/690/271ฯลฯ)


ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ? ได้แก่ กุศลมูล ๓ คือ อโภละ อโทสะ อโมหะ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ที่ประกอบด้วยกุศลมูลนั้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่มีกุศลมูลนั้นเป็นสมุฏฐาน เหล่านี้ คือ ธรรมเป็นกุศล”

ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ? ได้แก่ อกุศลมูล ๓ คือ โภละ โทสะ โมหะ และกิเลสทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับอกุศลมูลนั้น เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ที่ประกอบด้วยอกุศลมูลนั้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่มีอกุศลมูลนั้นเป็นสมุฏฐาน เหล่านี้ คือ ธรรมเป็นอกุศล” (อภิ.สํ.34/663/259)

สังเกต อกุศลก็เรียกว่า ธรรม, ธรรมะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron