วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2019, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เสียดายกท.ถามแนวปฏิบัติต่อจากสมาชิกใหม่ผู้ใช้นามว่า บุตรพระชินสีห์ ที่เคยนำมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง แต่ไม่ไม่ค้อปเนื้อหาทั้งหมดไว้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ถ้าฟื้นคืนตัวมาทีนี้ คงต้องคัดลอกคำถามทั้งหมดไว้

ระยะหลังๆมานี่ผู้ดูแลลานธรรมเหมือนท้อแท้ด้วย อีกอย่างช่องทางการสนทนาก็กว้างขึ้น เช่น เฟส ทวิตเตอร์

:b8:

ลานธรรมเสวนากลับมาแล้วนะครับ คุณ กรัชกายไม่ไปเอาข้อ
มูลเหรอครับ ช้าอด หมดโอกาสนะครับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2019, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เสียดายกท.ถามแนวปฏิบัติต่อจากสมาชิกใหม่ผู้ใช้นามว่า บุตรพระชินสีห์ ที่เคยนำมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง แต่ไม่ไม่ค้อปเนื้อหาทั้งหมดไว้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ถ้าฟื้นคืนตัวมาทีนี้ คงต้องคัดลอกคำถามทั้งหมดไว้

ระยะหลังๆมานี่ผู้ดูแลลานธรรมเหมือนท้อแท้ด้วย อีกอย่างช่องทางการสนทนาก็กว้างขึ้น เช่น เฟส ทวิตเตอร์


กลับมาแล้ว ก็นำคำถามภาคปฏิบัติมาลงตรงนี้ไว้ก่อน


สวัสดีสหายธรรมทุกคนครับ

นี่เป็นครั้งแรกของผมในเวปบอร์ดนี้ ถ้าอย่างไรขอความกรุณาด้วยนะครับ :)
ตอนนี้ผมอยู่ที่ญี่ปุ่นครับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ ทราบว่าท่านน่าจะมาโปรดสัตว์

ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา

ต่อจากนี้ผมจะขอเล่าเหตุการณ์เป็นลำดับ เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้สอบอารมณ์ผมได้ถูกต้อง หวังว่าท่านจะไม่รำคาญนะครับ :)

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรกคือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ (ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่าผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔ (ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธีแล้วรู้สึกว่าเราน่าจะเหมาะกับวิธีนี้ คือเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง) แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป คือ ไม่มีกาย เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน (ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้ มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติ คือปิติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้น ผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้ว คิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน

หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆ ตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น


แต่หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือ ทำได้มากสุด ก็แค่ทำปิติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปิติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้

*** คำถามแรกคือสภาวะที่ผมพบในครั้งแรกนั้น คือ อะไรครับ ใช่ปฐมฌานหรือป่าวครับ แล้วทำไมในครั้งหลังๆผมถึงไม่สามารถเข้าถึงสภาวะนั้นได้ เป็นเพราะผม "หวัง" มันหรือป่าวครับ

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2019, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เสียดายกท.ถามแนวปฏิบัติต่อจากสมาชิกใหม่ผู้ใช้นามว่า บุตรพระชินสีห์ ที่เคยนำมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง แต่ไม่ไม่ค้อปเนื้อหาทั้งหมดไว้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ถ้าฟื้นคืนตัวมาทีนี้ คงต้องคัดลอกคำถามทั้งหมดไว้

ระยะหลังๆมานี่ผู้ดูแลลานธรรมเหมือนท้อแท้ด้วย อีกอย่างช่องทางการสนทนาก็กว้างขึ้น เช่น เฟส ทวิตเตอร์

:b8:

ลานธรรมเสวนากลับมาแล้วนะครับ คุณ กรัชกายไม่ไปเอาข้อ
มูลเหรอครับ ช้าอด หมดโอกาสนะครับ

:b8:


จริงๆนะ เท่าที่ดูๆเห็นๆ เห็นอยู่คนเดียวที่ลงมือภาวนาลงมือปฏิบัติจริงๆ นอกนั้นยังไม่เห็นใครอีกเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2019, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เสียดายกท.ถามแนวปฏิบัติต่อจากสมาชิกใหม่ผู้ใช้นามว่า บุตรพระชินสีห์ ที่เคยนำมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง แต่ไม่ไม่ค้อปเนื้อหาทั้งหมดไว้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ถ้าฟื้นคืนตัวมาทีนี้ คงต้องคัดลอกคำถามทั้งหมดไว้

ระยะหลังๆมานี่ผู้ดูแลลานธรรมเหมือนท้อแท้ด้วย อีกอย่างช่องทางการสนทนาก็กว้างขึ้น เช่น เฟส ทวิตเตอร์

:b8:

ลานธรรมเสวนากลับมาแล้วนะครับ คุณ กรัชกายไม่ไปเอาข้อ
มูลเหรอครับ ช้าอด หมดโอกาสนะครับ

:b8:


จริงๆนะ เท่าที่ดูๆเห็นๆ เห็นอยู่คนเดียวที่ลงมือภาวนาลงมือปฏิบัติจริงๆ นอกนั้นยังไม่เห็นใครอีกเลย

:b8:

เหตุปัจจัยเขาอาจยังไม่ถึงพร้อมมังครับ เมื่อถึงเวลา
แล้ว สิ่งที่จะเกิดก็เกิดหากเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2019, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เสียดายกท.ถามแนวปฏิบัติต่อจากสมาชิกใหม่ผู้ใช้นามว่า บุตรพระชินสีห์ ที่เคยนำมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง แต่ไม่ไม่ค้อปเนื้อหาทั้งหมดไว้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ถ้าฟื้นคืนตัวมาทีนี้ คงต้องคัดลอกคำถามทั้งหมดไว้

ระยะหลังๆมานี่ผู้ดูแลลานธรรมเหมือนท้อแท้ด้วย อีกอย่างช่องทางการสนทนาก็กว้างขึ้น เช่น เฟส ทวิตเตอร์

:b8:

ลานธรรมเสวนากลับมาแล้วนะครับ คุณ กรัชกายไม่ไปเอาข้อ
มูลเหรอครับ ช้าอด หมดโอกาสนะครับ

:b8:


จริงๆนะ เท่าที่ดูๆเห็นๆ เห็นอยู่คนเดียวที่ลงมือภาวนาลงมือปฏิบัติจริงๆ นอกนั้นยังไม่เห็นใครอีกเลย

:b8:

เหตุปัจจัยเขาอาจยังไม่ถึงพร้อมมังครับ เมื่อถึงเวลา
แล้ว สิ่งที่จะเกิดก็เกิดหากเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว

:b8:


ได้ยินบ่อย เหตุปัจจัยๆๆ แต่ก็ยังไม่มีใครพูดชัดๆว่ามันอะไร เหตุปัจจัย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2019, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เสียดายกท.ถามแนวปฏิบัติต่อจากสมาชิกใหม่ผู้ใช้นามว่า บุตรพระชินสีห์ ที่เคยนำมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง แต่ไม่ไม่ค้อปเนื้อหาทั้งหมดไว้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ถ้าฟื้นคืนตัวมาทีนี้ คงต้องคัดลอกคำถามทั้งหมดไว้

ระยะหลังๆมานี่ผู้ดูแลลานธรรมเหมือนท้อแท้ด้วย อีกอย่างช่องทางการสนทนาก็กว้างขึ้น เช่น เฟส ทวิตเตอร์

:b8:

ลานธรรมเสวนากลับมาแล้วนะครับ คุณ กรัชกายไม่ไปเอาข้อ
มูลเหรอครับ ช้าอด หมดโอกาสนะครับ

:b8:


จริงๆนะ เท่าที่ดูๆเห็นๆ เห็นอยู่คนเดียวที่ลงมือภาวนาลงมือปฏิบัติจริงๆ นอกนั้นยังไม่เห็นใครอีกเลย

:b8:

เหตุปัจจัยเขาอาจยังไม่ถึงพร้อมมังครับ เมื่อถึงเวลา
แล้ว สิ่งที่จะเกิดก็เกิดหากเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว

:b8:


ได้ยินบ่อย เหตุปัจจัยๆๆ แต่ก็ยังไม่มีใครพูดชัดๆว่ามันอะไร เหตุปัจจัย

:b8:

ปัจจัยนี้ ก็คือส่วนประกอบต่างๆ เช่นคำว่า กินคือผล
ปัจจัย ที่มีก็คือ ก ิ น เมื่อมีปัจจัยพร้อมนำมาประสม
กันก็จะได้ผลคือคำว่า กิน หรือคำอื่นๆ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
sssboun เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เสียดายกท.ถามแนวปฏิบัติต่อจากสมาชิกใหม่ผู้ใช้นามว่า บุตรพระชินสีห์ ที่เคยนำมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง แต่ไม่ไม่ค้อปเนื้อหาทั้งหมดไว้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ถ้าฟื้นคืนตัวมาทีนี้ คงต้องคัดลอกคำถามทั้งหมดไว้

ระยะหลังๆมานี่ผู้ดูแลลานธรรมเหมือนท้อแท้ด้วย อีกอย่างช่องทางการสนทนาก็กว้างขึ้น เช่น เฟส ทวิตเตอร์

:b8:

ลานธรรมเสวนากลับมาแล้วนะครับ คุณ กรัชกายไม่ไปเอาข้อ
มูลเหรอครับ ช้าอด หมดโอกาสนะครับ

:b8:


จริงๆนะ เท่าที่ดูๆเห็นๆ เห็นอยู่คนเดียวที่ลงมือภาวนาลงมือปฏิบัติจริงๆ นอกนั้นยังไม่เห็นใครอีกเลย

:b8:

เหตุปัจจัยเขาอาจยังไม่ถึงพร้อมมังครับ เมื่อถึงเวลา
แล้ว สิ่งที่จะเกิดก็เกิดหากเหตุปัจจัยพร้อมแล้ว

:b8:


ได้ยินบ่อย เหตุปัจจัยๆๆ แต่ก็ยังไม่มีใครพูดชัดๆว่ามันอะไร เหตุปัจจัย

:b8:

ปัจจัยนี้ ก็คือส่วนประกอบต่างๆ เช่นคำว่า กินคือผล
ปัจจัย ที่มีก็คือ ก ิ น เมื่อมีปัจจัยพร้อมนำมาประสม
กันก็จะได้ผลคือคำว่า กิน หรือคำอื่นๆ

:b8:



อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง เหตุปัจจัย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเรามีปัจจัยสำคัญของชีวิต
เพิ่มมากขึ้นนั้นก็แสดงว่า เริ่มจะมีทุกข์มากตามไปด้วย

อันนี้ก็จำเป็น อันโน้นก็จำเป็น อันนี้ก็อยากได้ อันโน้น
ก็อยากได้ เมื่อได้มาแล้วก็ไม่อยากที่จะปล่อยวางหรือแบ่ง
ปันให้ใครเลยแม้รู้ว่ามิได้ใช้แล้วแต่ก็หวงไว้จนเต็มบ้านล้น
ออกมานอกก็ยังคิดเสียดาย กลายเป็นกองขยะในบ้านไปเลย

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2019, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
:b8:

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเรามีปัจจัยสำคัญของชีวิต
เพิ่มมากขึ้นนั้นก็แสดงว่า เริ่มจะมีทุกข์มากตามไปด้วย

อันนี้ก็จำเป็น อันโน้นก็จำเป็น อันนี้ก็อยากได้ อันโน้น
ก็อยากได้ เมื่อได้มาแล้วก็ไม่อยากที่จะปล่อยวางหรือแบ่ง
ปันให้ใครเลยแม้รู้ว่ามิได้ใช้แล้วแต่ก็หวงไว้จนเต็มบ้านล้น
ออกมานอกก็ยังคิดเสียดาย กลายเป็นกองขยะในบ้านไปเลย

:b8:


อ้อ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เสียดายกท.ถามแนวปฏิบัติต่อจากสมาชิกใหม่ผู้ใช้นามว่า บุตรพระชินสีห์ ที่เคยนำมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง แต่ไม่ไม่ค้อปเนื้อหาทั้งหมดไว้

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ถ้าฟื้นคืนตัวมาทีนี้ คงต้องคัดลอกคำถามทั้งหมดไว้

ระยะหลังๆมานี่ผู้ดูแลลานธรรมเหมือนท้อแท้ด้วย อีกอย่างช่องทางการสนทนาก็กว้างขึ้น เช่น เฟส ทวิตเตอร์


กลับมาแล้ว ก็นำคำถามภาคปฏิบัติมาลงตรงนี้ไว้ก่อน


สวัสดีสหายธรรมทุกคนครับ

นี่เป็นครั้งแรกของผมในเวปบอร์ดนี้ ถ้าอย่างไรขอความกรุณาด้วยนะครับ :)
ตอนนี้ผมอยู่ที่ญี่ปุ่นครับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ ทราบว่าท่านน่าจะมาโปรดสัตว์

ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา

ต่อจากนี้ผมจะขอเล่าเหตุการณ์เป็นลำดับ เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้สอบอารมณ์ผมได้ถูกต้อง หวังว่าท่านจะไม่รำคาญนะครับ :)

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรกคือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ (ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่าผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔ (ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธีแล้วรู้สึกว่าเราน่าจะเหมาะกับวิธีนี้ คือเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง) แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป คือ ไม่มีกาย เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน (ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้ มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติ คือปิติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

จากนั้น ผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้ว คิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน

หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆ ตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น


แต่หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือ ทำได้มากสุด ก็แค่ทำปิติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปิติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้

*** คำถามแรกคือสภาวะที่ผมพบในครั้งแรกนั้น คือ อะไรครับ ใช่ปฐมฌานหรือป่าวครับ แล้วทำไมในครั้งหลังๆผมถึงไม่สามารถเข้าถึงสภาวะนั้นได้ เป็นเพราะผม "หวัง" มันหรือป่าวครับ

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770



ยังไม่ถึงปฐมฌาน เป็นเพียงความสงบระดับหนึ่ง ที่เข้าไม่ได้นั่นแหละบอกเราว่าไม่ถึงฌาน ถ้าเป็นฌานความยินดีพอใจภาวะนั้นต้องหมดไป เข้า-ออกภาวะนั้นได้ตามต้องการ ดังนั้น ก็ต้องเริ่มปฏิบัติทำนองนั้นไปใหม่โดยไม่คิดไม่หวัง แต่ทำงานคือภาวนานั่นให้ดีให้จิตอยู่กับสิ่งที่ทำ


“ถ้าภิกษุผู้ปราศจากนิวรณ์ทั้ง ๕ และได้เริ่มทำความเพียรไม่ย่อหย่อน มีสติกำกับอยู่ ไม่เลือนหลง กายผ่อนคลายสงบ ไม่เครียดกระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์หนึ่งเดียว ไม่ว่าเธอจะเที่ยวไป ก็ตาม ยืนอยู่ ก็ตาม นั่งอยู่ ก็ตาม นอนตื่นอยู่ ก็ตาม ก็เรียกได้ว่า เป็นผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ ได้เริ่มระดมความเพียรต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเป็นผู้อุทิศตัวเด็ดเดี่ยวแล้ว” (องฺ.จตุกฺก.21/12/19 ขุ.อิติ.25/292/319 การพยายามชำระจิตไม่ให้มีนิวรณ์ เป็นความหมายอย่างหนึ่งของหลักธรรมที่เรียกว่า ชาคริยานุโยค = การประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่ หรือการประกอบความเพียร (ดู องฺ.ติก.20/455/143 ฯลฯ)

ข้ออุปมาของพระอรรถกถาจารย์เกี่ยวกับสมาธินี้ ก็น่าฟัง ท่านว่า สมาธิทำให้จิตตั้งอยู่ในอารมณ์อย่างสม่ำเสมอ ทำให้องค์ธรรมทั้งหลายที่เกิดร่วมกับมัน ผนึก ประสานกันอยู่ ไม่พร่า ไม่ฟุ้งกระจาย เหมือนน้ำผนึกประสานแป้งเข้าเป็นก้อนเดียว และทำให้จิตสืบต่ออย่างนิ่งแน่วมั่นคง เหมือนเปลวเทียนในที่สงัดลม ติดไฟอยู่สงบนิ่ง ลุกไหม้ไปเรื่อยๆ ส่องแสงสว่างสม่ำเสมอเป็นอย่างดี (ดู สงฺคณี อ. 209 วิสุทฺธิ. 3/37 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วสี ความชำนาญ มี ๕ อย่าง คือ

๑.อาวัชชนวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการนึก ตรวจองค์ฌานที่ตนได้ออกมาแล้ว

๒.สมาปัชชนวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการที่เข้าฌานได้รวดเร็วทันที

๓.อธิฏฐานวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการที่จะรักษาไว้มิให้ฌานจิตต์นั้นตกภวังค์

๔.วุฏฐานวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการจะออกจากฌานเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ

๕.ปัจจเวกขณวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการพิจารณาทบทวนองค์ฌาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
วสี ความชำนาญ มี ๕ อย่าง คือ

๑.อาวัชชนวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการนึก ตรวจองค์ฌานที่ตนได้ออกมาแล้ว

๒.สมาปัชชนวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการที่เข้าฌานได้รวดเร็วทันที

๓.อธิฏฐานวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการที่จะรักษาไว้มิให้ฌานจิตต์นั้นตกภวังค์

๔.วุฏฐานวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการจะออกจากฌานเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ

๕.ปัจจเวกขณวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการพิจารณาทบทวนองค์ฌาน

:b8:

เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม สิ่งที่หวัง และไม่คิดว่าจะได้
ก็ได้ตามความหวัง ยินดีด้วยนะครับ

และต้องขอบคุณ ลานธรรมเสวนาที่หายไปครั้งล่า
สุดด้วย เพราะทำให้ผมได้มีโอกาสทำบุญทั้งสองเว็บ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองตัวนี้ พูดถึงกันบ่อย เอาให้ดู

@ อุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย หรือความมีใจเป็นกลาง หรือแปลให้เต็มว่า ความวางทีเฉยดูอยู่ หมายถึง การดูอย่างสงบ หรือดูตามเรื่องที่เกิด ไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ในกรณีของฌาน คือ ไม่ติดข้างแม้แต่ในฌานที่มีความสุขอย่างยอด

ในความหมายที่สูงขึ้นไปอีก อุเบกขา หมายถึง วางทีดูเฉยอยู่ ในเมื่ออะไรทุกอย่างเข้าที่ ดำเนินไปด้วยดี หรือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องขวนขวายเจ้ากี้เจ้าการ โดยเฉพาะในฌานที่ ๔ คือ บริสุทธิ์หมดจดจากธรรมที่เป็นข้าศึกเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องขวนขวายที่จะกำจัดธรรมที่เป็นข้าศึกนั้นอีก จัดเป็นองค์ฌานโดยเฉพาะของฌานที่ ๔ (ที่ ๕ ของปัญจกนัย)

ความจริง อุเบกขามีในฌานทุกขั้น แต่ในขั้นต้นๆ ไม่เด่นชัด ยังถูกธรรมที่เป็นข้าศึก เช่น วิตก วิจาร และสุขเวทนา เป็นต้น ข่มไว้ เหมือนดวงจันทร์ในเวลากลางวัน ไม่กระจ่าง ไม่แจ่ม เพราะถูกแสงอาทิตย์ข่มไว้

ครั้นถึงฌานที่ ๔ ธรรมที่เป็นข้าศึกระงับไปหมด และได้ราตรี คือ อุเบกขาเวทนา (อทุกขมสุข) หนุน * ก็บริสุทธิ์ ผุดผ่อง แจ่มชัด และพาให้ธรรมอื่นๆ ที่ประกอบอยู่ด้วย เช่น สติ พลอยแจ่มชัดบริสุทธิ์ไปด้วย


(ที่อ้างอิง * ย้ำให้พึงระวังความสับสน ระหว่าง อุเบกขา ที่เป็นองค์ฌาน ซึ่งได้แก่ตัตตรมัชฌัตตตา คือ ภาวะเป็นกลาง อันเป็นอกุศลธรรมอยู่ในหมวดสังขารขันธ์ กับ อุเบกขา เป็นที่เป็นเวทนา คือ ความรู้สึกเฉยๆ ซึ่งเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า อทุกขมสุขเวทนา แปลว่า ความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ และเป็นของไม่ดีไม่ชั่ว; ในฌานที่ ๔ อุเบกขา ที่เป็นองค์ฌาน มีอุเบกขาเวทนาประกอบร่วมด้วย คือ มาทั้งสองอย่าง)


@ เอกัคคตา แปลว่า ภาวะที่จิตมีอารมณ์หนึ่งเดียว ได้แก่ ตัวสมาธิ นั่นเอง มีในฌานทุกขั้น

คำว่า องค์ฌาน หมายถึงองค์ธรรมที่ประกอบร่วมอยู่เป็นประจำในฌานขั้นนั้นๆ และเป็นเครื่องกำหนดแยกฌานแต่ละขั้นออกจากกัน ให้รู้ว่า ในกรณีนั้น เป็นฌานขั้นที่เท่าใดเท่านั้น มิใช่หมายความว่า ในฌานมีองค์ธรรมทั้งหมดอยู่เพียงเท่านั้น


ความจริง ในฌานองค์ธรรมอื่นๆ ที่ประกอบร่วมอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่า สัมปยุตธรรม แต่เกิดขึ้นประจำบ้าง ไม่ประจำบ้าง และไม่ใช่เป็นตัวกำหนดแบ่งขั้นของฌาน ยังมีอีกเป็นอันมาก เช่น สัญญา เจตนา ฉันทะ วิริยะ สติ มนสิการ เป็นต้น * (ดู ม.อุ.14/155-161/116-120)


แม้ในคำบรรยายฌาน แต่ละขั้น ในพระสูตร ก็ยังระบุธรรมที่เน้นพิเศษไว้อีก เช่น ในตติยฌาน เน้นสติสัมปชัญญะเป็นตัวทำหน้าที่ชัดเจนมากกว่าในฌานสองขั้นต้น ซึ่งมีสติสัมปชัญญะด้วยเช่นกัน แต่ในจตุตถฌาน ย้ำว่า สติบริสุทธิ์แจ่มชัดกว่าในฌานก่อนๆ ทั้งหมด ทั้งนี้ เพราะอุเบกขาที่แจ่มชัดบริสุทธิ์ เป็นเครื่องหนุน ไม่เฉพาะสติเท่านั้นที่ชัด แม้สัมปยุตธรรมอื่นๆ ก็ชัดขึ้นด้วยเหมือนกัน * (วิสุทฺธิ.1/207,214)

ความที่กล่าวมานี้ เป็นเครื่องป้องกัน ไม่ให้เอาฌานไปสับสนปนเป กับ ภาวะที่จิตลืมตัว หมดความรู้สึก ถูกกลืนเลือนหายเข้าไปในอะไรๆ หรือเข้าไปรวมกับอะไรๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง คัมภีร์วิสุทธิมัคค์ อ้างคัมภีร์เปฏโกปเทส ว่า องค์ฌาน ๕ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ได้อัปปนาสมาธิ และบรรลุฌานที่แรกนั้น เป็นปฏิปักษ์กันกับ นิวรณ์ ๕ ที่ละได้แล้วด้วย โดยเป็นศัตรูกันเป็นคู่ๆ คือ

@ วิตก เป็นปฏิปักษ์ของ ถีนมิทธะ

@ วิจาร เป็นปฏิปักษ์ของ วิจิกิจฉา

@ ปีติ เป็นปฏิปักษ์ของ พยาบาท

@ สุข เป็นปฏิปักษ์ของ อุทธัจจกุกกุจจะ

@ สมาธิ/เอกัคคตา เป็นปฏิปักษ์ของ กามฉันท์

เมื่อธรรมเหล่านี้เกิดขึ้น ก็ย่อมกำจัดนิวรณ์ให้หมดไป และเมื่อธรรมเหล่านี้อยู่ นิวรณ์ก็เข้ามาไม่ได้ แต่ในทางตรงข้าม ถ้านิวรณ์ครอบงำใจอยู่ ธรรมเหล่านี้ก็ทำหน้าไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2019, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเป็นไปขององค์ใหญ่ ๒ อย่าง คือ สมาธิ และ ปัญญา มีลักษณะของการอาศัยและส่งเสริมกัน ดังพุทธภาษิตว่า “นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส” ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไร้ปัญญา และ “นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน” ปัญญาก็ไม่มีแก่ผู้ไร้ฌาน
พร้อมทั้งสรุปว่า “ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญญฺจ ส เว นิพฺพานสนฺติเก” ผู้ใดมีทั้งฌาน และปัญญา ผู้นั้นแลอยู่ใกล้นิพพาน (ขุ.ธ.25/35/65; ฌานในที่นี้ หมายถึง อารัมมณูปนิชฌาน - เพ่งอารมณ์ หรือลักขณูปนิชฌาน - เพ่งไตรลักษณ์ ก็ได้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร