วันเวลาปัจจุบัน 08 พ.ย. 2025, 00:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต


เจตนามองเห็นได้ด้วยหรือครับ หรือเห็นได้เฉพาะในการกระทำครับท่าน สังคมมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นถูกมั้ยครับ ผมไม่มีอภิญญาอ่านใจคนได้จะรู้ก็แค่ที่ท่านโพสท์อยู่ทำอยู่ด้วยตาเท่านั้น นั่นแหละครับจึงแนะนำท่านให้ระวังเรื่องนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ประโยชน์นะครับ ท่านต่างหากที่ได้ประโยชน์ครับ :b1: :b1: :b1:

ผมถึงบอกไงครับไม่มีใครแปรเจตนาท่านไปมั่ว แต่การกระทำของท่านต่างหากให้เขาเห็นไปในทิศทางนั้น แม้ในตอนนี้

ดังนั้นควรแล้วหรือที่ท่านจะยังคงสภาวะการกระทำแบบนี้ๆไว้ หรือควรทำให้หมดจรดครับ ท่านมักจะมองคนอื่นผิด เป็นอกุศล เพี้ยนเสมอๆ เพราะท่านแปรความสิ่งที่เขาทำหรือเป็นอยู่อย่างนั้น จึงมองเขาแบบนั้นโดยที่ยังไม่รู้จริง :b1: :b1: :b1:


ก็เอาเรื่องที่เขาลงมาให้ดูว่าทำจนเพี้ยนไป ถึงกับต้องไปพบแพทย์กินยา เขาบอกเองกรัชกายแปรความเองสะที่ไหน

แค่อากาศไปอ่านให้จบ


http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

แต่เชื่อว่า คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะอะไรจึงพูดอย่างนั้น ? เพราะคุณแค่นั่งแยกจิตแยกเจตสิกเอา นี่ก็สังขาร อันนี้กรัชกายว่าจริงๆ :b1: ถ้าถามต่อว่าแยกอย่างนี้มีโอกาสเพี้ยนไหม ตอบไม่มี อย่างมากก็แค่ฟุ้งซ่าน นี่เคยพูดแล้ว พูดจริงๆ หรือคุณว่า่ไม่จริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 12:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต


เจตนามองเห็นได้ด้วยหรือครับ หรือเห็นได้เฉพาะในการกระทำครับท่าน สังคมมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นถูกมั้ยครับ ผมไม่มีอภิญญาอ่านใจคนได้จะรู้ก็แค่ที่ท่านโพสท์อยู่ทำอยู่ด้วยตาเท่านั้น นั่นแหละครับจึงแนะนำท่านให้ระวังเรื่องนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ประโยชน์นะครับ ท่านต่างหากที่ได้ประโยชน์ครับ :b1: :b1: :b1:

ผมถึงบอกไงครับไม่มีใครแปรเจตนาท่านไปมั่ว แต่การกระทำของท่านต่างหากให้เขาเห็นไปในทิศทางนั้น แม้ในตอนนี้

ดังนั้นควรแล้วหรือที่ท่านจะยังคงสภาวะการกระทำแบบนี้ๆไว้ หรือควรทำให้หมดจรดครับ ท่านมักจะมองคนอื่นผิด เป็นอกุศล เพี้ยนเสมอๆ เพราะท่านแปรความสิ่งที่เขาทำหรือเป็นอยู่อย่างนั้น จึงมองเขาแบบนั้นโดยที่ยังไม่รู้จริง :b1: :b1: :b1:


ก็เอาเรื่องที่เขาลงมาให้ดูว่าทำจนเพี้ยนไป ถึงกับต้องไปพบแพทย์กินยา เขาบอกเองกรัชกายแปรความเองสะที่ไหน

แค่อากาศไปอ่านให้จบ


http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

แต่เชื่อว่า คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะอะไรจึงพูดอย่างนั้น ? เพราะคุณแค่นั่งแยกจิตแยกเจตสิกเอา นี่ก็สังขาร อันนี้กรัชกายว่าจริงๆ :b1: ถ้าถามต่อว่าแยกอย่างนี้มีโอกาสเพี้ยนไหม ตอบไม่มี อย่างมากก็แค่ฟุ้งซ่าน นี่เคยพูดแล้ว พูดจริงๆ หรือคุณว่า่ไม่จริง




..ดีแล้วท่าน สาธุครับ สิ่งที่ท่านโพสท์กระทู้อยู่ทุกวันมันก็คือการจำแนกธรรมนั้นแหละ แต่สิ่งท่านโพสท์ยังไม่ถึงคราวที่ล่วงลึกจำแนกแยกออกเท่านั้นเอง ซึ่งท่านก็คงหลงลืมสิ่งที่ท่านทำอยู่ไป แต่ก็ไม่เป็นไรมันปรกติของท่านอยู่แล้วที่เป็นแบบนั้น

..ทีนี้ก็เหลือเพียงส่วนที่เราทำความเข้าใจให้สอดคล้องกันเท่านั้นเองครับ ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ หากไปถูกตรงจะอยู่ท่ามกลางไม่เอนเอียง เราก็จะคุยกันได้ดีขึ้นครับ :b1: :b1: :b12: :b12:

.......................................................................

ซึ่งท่านและผมไม่ได้มีจุดยืนที่ต่างกันมากมายเพียงแต่ ท่านเป็นผู้ใช้ปัญญา จึงเร่งรวบรัดตัดตอน ไม่ใส่ใจรายละเอียด พูดถึงผลเป็นหลัก
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ท่านนั่งดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แล้วท่านก็ละจากกองไฟไป
.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับอย่างไร ท่านก็พูดเพียงไม่มีเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ จบแค่นั้น นั่นคือสิ่งที่ท่านเป็นอยู่
.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดับอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ ท่านก็จะย้ำที่เดิมเพียงแค่ว่าก็ไม่มีเชื้อไฟไง ไฟมันมอด ไม่มีฟืนให้ไหม้ต่อ มันก็ดับ ถูก ตรง ดีแล้ว

.......................................................................

ส่วนที่ผมเป็น คือ เรียนรู้ทุกอย่างที่ทำได้ สะสมเหตุปฏิภาณ ปัญญารู้แจ้ง การใช้สติสัมปะชัญญ คือ สติปัญญานั่นเอง สัมปะชัญญาความหมายหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเข้าถึงความเป็นปัญญา สัมโพธายะ เพื่อที่ผมจะสามารถมีความรู้ได้ไม่มีสิ้นสุด แก้ไขปัญญา แนะนำ ช่วยเหลือ ตอบไขข้อข้องใจได้ไม่มีสิ้นสุด เหมือนพระเจ้ามิลินมีปัญญามากไม่มีผู้ใดไขปัญหาได้ มีเพียงแค่พระนาคเสนเถระเท่านั้นที่จะไขปัญหานั้นได้พร้อมยังประกาศพระพุทธศาสนาให้ขจรไกลยั่งยืนได้ถึง 5000 ปี ปัญญาของผมสะสมเหตุเพื่อมีไว้อย่างนี้เป็นต้น
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ผมนั่งมองดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แต่ผมก็นั่งดูความเป็นไปขอกองฟืนที่เผาไหม้ กองไฟที่ลุกโชนนั้นไป เห็นทุกการเคลื่อนไหว เห็นทุกความเป็นไป จนมันดับสิ้นไม่มีเหลือ

.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับได้อย่างไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เพราะเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ

.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดัยบอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ
.. ผมก็จะตอบว่า.. นั่นเพราะฟืนที่มีไฟลูกโชนอยู่ เกิดการเผาไหม้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สภาพแวดล้อมเมื่อมีลมมากเป็นเหมือนการเร่งไฟให้แรงขึ้น ฟืนบางส่วนถูกไฟไหม้ลุกโชนแรง ยิ่งท่อนไหนเล็กมาก แห้งมาก ก็จะติดไฟง่ายเป็นเชื้อไฟได้ดี ทำให้ส่วนที่ติดไฟได้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าเร็ว ยิ่งท่อนเล็กยิ่งไหม้หมดเร็ว ส่วนท่อนใหญ่ก็ใช้เวลาหน่อย เพราะมีพื้นที่การเผาไหม้กว้างใหญ่กว่าท่อนเล็ก เมื่อส้วนที่ติดไฟได้ไหม้หมดเป็นเถ้า ไฟก็จึงดับไป

.. เมื่อเขาถามอีกว่า มีจำเพาะลมเท่านั้นหรือที่เร่งไฟให้มอดไหม้ แล้วหากไม่มีลมไฟจะมอดไปอย่างไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เมื่อไม่มีลมหรือฟืนท่อนใดที่ไม่ถูกไฟโหมไหม้แรงมาก มันก็จะค่อยๆเผาไหม้ไปทีละนิดๆ จนจุดที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าในขณะที่ไฟนั้นลามไปลุกไหม้ในส่วนอื่นๆต่อจนหมด

.. เมื่อเขาถามอีกว่า หากมีลมพัดมาช่วงที่ไฟกำลังมอดดับลงอยู่นั้นเล่า จะทำให้ไฟลุกโชนแรงขึ้นมาอีกได้ไหม
.. ผมก็จะตอบว่า..ไม่ได้

.. เมื่อเขาอีกถามว่า เพราะอะไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เมื่อไฟที่ลุกโชนมีกำลังเผาไหม้น้อยลง ลดลงเรื่อยๆ ไม่มีเชื้อไฟให้เผาไหม้ได้อีก แล้วมีลมพัดแรงผ่านมาบ้าง ก็ดับเปลวไฟที่มีกำลังน้อยที่ไม่อาจเผาไหม้เพิ่มได้อีกนั้นบ้าง มีเศษผงเศษเถ้าปลิวมากลบปิดบางส่วนไม่ให้ไฟลุกไหม้เพิ่มเติมได้บ้าง ไฟจึงดับไป

.. เมื่อเขาอีกถามว่า มีอะไรที่มายืนยันได้ว่าที่ผมพูดถูกต้องทั้งหมด
.. ผมก็จะตอบว่า.. ก็ที่เรามองเห็นได้ว่า ฟืนบางส่วนไหม้หมดเป็นเถ้าไว โดยเฉพาะท่อนเล็กๆน้อยๆหรือที่แห้งๆ บางส่วนไหม้ไม่หมดแต่ไฟดับก่อนโดยเฉพาะท่อนใหญ่ ยาว หรือท่อนที่มีบางส่วนที่ถูกเถ้ากลบไว้
- ด้วยประการฉะนี้ เราเอาขี้เถ้ากลบไฟและท่อนฟืนให้มิดก็ดับไฟได้ มีลมแรงมากก็ดับไฟได้ เมื่อไฟไม่สามารถเผาไหม้เพิ่มเติมได้อีกด้วยเชื้อไฟคือฟืนหมดไฟก็จึงมอดดับลงสนิท


.......................................................................

..ท่านจะเห็นว่าความละเอียดไรๆมันต่างกัน อธิบายได้ กับอธิบายไม่ได้ แต่ก็กล่าวถึงไฟดับเหมือนกัน เหมือนดั่งพระอริยะสาวกผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ผู้มีปัญญามาก และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงธรรมแก่ผู้ที่ยังไม่ศรัทธา ให้ศรัทธาด้วยการจำแนกได้ ให้เห็นละเอียด เมื่อศาสนาอื่นมากล่าวว่าเราก็มีสอนเหมือนกันว่าฟืนหมดไฟดับ พระบรมศาสดาก็ทรงแจำแนกเด่นชัดมีเห็นมีผลเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันตามจริงให้ลึกซึ้งยิ่งกว่า เขาเหล่านั้นก็จึงเห็นว่าศาสนาของพระศาสดานี้แจ้งจริงบรรลุอรหันต์รู้เห็นตามจริงดังที่ประกาศไว้ เหมือนที่ท่านเห็นมามายในหลายๆพระสูตรนั่นเอง

:b1: :b1: :b1:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 20 ก.พ. 2019, 17:07, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2220

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต


เจตนามองเห็นได้ด้วยหรือครับ หรือเห็นได้เฉพาะในการกระทำครับท่าน สังคมมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นถูกมั้ยครับ ผมไม่มีอภิญญาอ่านใจคนได้จะรู้ก็แค่ที่ท่านโพสท์อยู่ทำอยู่ด้วยตาเท่านั้น นั่นแหละครับจึงแนะนำท่านให้ระวังเรื่องนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ประโยชน์นะครับ ท่านต่างหากที่ได้ประโยชน์ครับ :b1: :b1: :b1:

ผมถึงบอกไงครับไม่มีใครแปรเจตนาท่านไปมั่ว แต่การกระทำของท่านต่างหากให้เขาเห็นไปในทิศทางนั้น แม้ในตอนนี้

ดังนั้นควรแล้วหรือที่ท่านจะยังคงสภาวะการกระทำแบบนี้ๆไว้ หรือควรทำให้หมดจรดครับ ท่านมักจะมองคนอื่นผิด เป็นอกุศล เพี้ยนเสมอๆ เพราะท่านแปรความสิ่งที่เขาทำหรือเป็นอยู่อย่างนั้น จึงมองเขาแบบนั้นโดยที่ยังไม่รู้จริง :b1: :b1: :b1:


ก็เอาเรื่องที่เขาลงมาให้ดูว่าทำจนเพี้ยนไป ถึงกับต้องไปพบแพทย์กินยา เขาบอกเองกรัชกายแปรความเองสะที่ไหน

แค่อากาศไปอ่านให้จบ


http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

แต่เชื่อว่า คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะอะไรจึงพูดอย่างนั้น ? เพราะคุณแค่นั่งแยกจิตแยกเจตสิกเอา นี่ก็สังขาร อันนี้กรัชกายว่าจริงๆ :b1: ถ้าถามต่อว่าแยกอย่างนี้มีโอกาสเพี้ยนไหม ตอบไม่มี อย่างมากก็แค่ฟุ้งซ่าน นี่เคยพูดแล้ว พูดจริงๆ หรือคุณว่า่ไม่จริง




..ดีแล้วท่าน สาธุครับ สิ่งที่ท่านโพสท์กระทู้อยู่ทุกวันมันก็คือการจำแนกธรรมนั้นแหละ แต่สิ่งท่านโพสท์ยังไม่ถึงคราวที่ล่วงลึกจำแนกแยกออกเท่านั้นเอง ซึ่งท่านก็คงหลงลืมสิ่งที่ท่านทำอยู่ไป แต่ก็ไม่เป็นไรมันปรกติของท่านอยู่แล้วที่เป็นแบบนั้น

..ทีนี้ก็เหลือเพียงส่วนที่เราทำความเข้าใจให้สอดคล้องกันเท่านั้นเองครับ ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ หากไปถูกตรงจะอยู่ท่ามกลางไม่เอนเอียง เราก็จะคุยกันได้ดีขึ้นครับ :b1: :b1: :b12: :b12:

.......................................................................

ซึ่งท่านและผมไม่ได้มีจุดยืนที่ต่างกันมากมายเพียงแต่ ท่านเป็นผู้ใช้ปัญญา จึงเร่งรวบรัดตัดตอน ไม่ใส่ใจรายละเอียด พูดถึงผลเป็นหลัก
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ท่านนั่งดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แล้วท่านก็ละจากกองไฟไป
.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับอย่างไร ท่านก็พูดเพียงไม่มีเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ จบแค่นั้น นั่นคือสิ่งที่ท่านเป็นอยู่
.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดับอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ ท่านก็จะย้ำที่เดิมเพียงแค่ว่าก็ไม่มีเชื้อไฟไง ไฟมันมอด ไม่มีฟืนให้ไหม้ต่อ มันก็ดับ ถูก ตรง ดีแล้ว

.......................................................................

ส่วนที่ผมเป็น คือ เรียนรู้ทุกอย่างที่ทำได้ สะสมเหตุปฏิภาณ ปัญญารู้แจ้ง การใช้สติสัมปะชัญญ คือ สติปัญญานั่นเอง สัมปะชัญญาความหมายหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเข้าถึงความเป็นปัญญา สัมโพธายะ เพื่อที่ผมจะสามารถมีความรู้ได้ไม่มีสิ้นสุด แก้ไขปัญญา แนะนำ ช่วยเหลือ ตอบไขข้อข้องใจได้ไม่มีสิ้นสุด เหมือนพระเจ้ามิลินมีปัญญามากไม่มีผู้ใดไขปัญหาได้ มีเพียงแค่พระนาคเสนเถระเท่านั้นที่จะไขปัญหานั้นได้พร้อมยังประกาศพระพุทธศาสนาให้ขจรไกลยั่งยืนได้ถึง 5000 ปี ปัญญาของผมสะสมเหตุเพื่อมีไว้อย่างนี้เป็นต้น
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ผมนั่งมองดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แต่ผมก็นั่งดูความเป็นไปขอกองฟืนที่เผาไหม้ กองไฟที่ลุกโชนนั้นไป เห็นทุกการเคลื่อนไหว เห็นทุกความเป็นไป จนมันดับสิ้นไม่มีเหลือ
.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับได้อย่างไร ผมก็จะตอบว่าเพราะเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ
.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดัยบอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ ผมก็จะตอบว่า..
- นั่นเพราะฟืนที่มีไฟลูกโชนอยู่ เกิดการเผาไหม้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สภาพแวดล้อมเมื่อมีลมมากเป็นเหมือนการเร่งไฟให้แรงขึ้น ฟืนบางส่วนถูกไฟไหม้ลุกโชนแรง ยิ่งท่อนไหนเล็กมาก แห้งมาก ก็จะติดไฟง่ายเป็นเชื้อไฟได้ดี ทำให้ส่วนที่ติดไฟได้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าเร็ว ยิ่งท่อนเล็กยิ่งไหม้หมดเร็ว ส่วนท่อนใหญ่ก็ใช้เวลาหน่อย เพราะมีพื้นที่การเผาไหม้กว้างใหญ่กว่าท่อนเล็ก
- เมื่อไม่มีลมหรือฟืนท่อนใดที่ไม่ถูกไฟโหมไหม้แรงมาก มันก็จะค่อยๆเผาไหม้ไปทีละนิดๆ จนจุดที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าในขณะที่ไฟนั้นลามไปลุกไหม้ในส่วนอื่นๆต่อจนหมด
- เมื่อไฟที่ลุกโชนมีกำลังเผาไหม้น้อยลง ลดลงเรื่อยๆ แล้วมีลมพัดแรงผ่านมาบ้าง ก็ดับเปลวไฟบางส่วนนั้นบ้าง มีเศษผงเศษเถ้าปลิวมากลบปิดบางส่วนไม่ให้ไฟลุกไหม้เพิ่มเติมได้บ้าง ไฟจึงดับไป
- เราจึงเห็นได้ว่าฟืนบางส่วนไหม้หมดเป็นเถ้าไว โดยเฉพาะท่อนเล็กๆน้อยๆหรือที่แห้งๆ บางส่วนไหม้ไม่หมดแต่ไฟดับก่อนโดยเฉพาะท่อนใหญ่ ยาว หรือท่อนที่มีบางส่วนที่ถูกเถ้ากลบไว้
- ดังนั้นเอาขี้เถ้ากลบไฟและท่อนฟืนให้มิดก็ดับไฟได้ มีลมแรงมากก็ดับไฟได้ เชื้อไฟคือฟืนหมดไฟก็จึงมอดดับลงสนิท


.......................................................................

..ท่านจะเห็นว่าความละเอียดไรๆมันต่างกัน อธิบายได้ กับอธิบายไม่ได้ แต่ก็กล่าวถึงไฟดับเหมือนกัน :b1: :b1: :b1:


คริคริ

ไฟไหม้บ้านวอดวายไปทั้งหลัง
เพราะอธิบาย ยังไม่จบ
คอยรอเก็บขี้เถ้า ไปกลบควัน แระกานค่ะ

ไฟเกิดที่ไหนก้อดับลงซะที่นั่น ทันทีทันใด

ไม่ใช่ออกมานั่งคิดนอนคิด หากรรมวิธี แบบน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
หาวิธีดับไฟ จนบ้านไหม้วอดวายไปทั้งหลัง

คิดไม่ออก ก็เรยสรุป

ไฟลัดวงจร
ดับไปแล้วเหมือนกาน อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 17:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต


เจตนามองเห็นได้ด้วยหรือครับ หรือเห็นได้เฉพาะในการกระทำครับท่าน สังคมมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นถูกมั้ยครับ ผมไม่มีอภิญญาอ่านใจคนได้จะรู้ก็แค่ที่ท่านโพสท์อยู่ทำอยู่ด้วยตาเท่านั้น นั่นแหละครับจึงแนะนำท่านให้ระวังเรื่องนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ประโยชน์นะครับ ท่านต่างหากที่ได้ประโยชน์ครับ :b1: :b1: :b1:

ผมถึงบอกไงครับไม่มีใครแปรเจตนาท่านไปมั่ว แต่การกระทำของท่านต่างหากให้เขาเห็นไปในทิศทางนั้น แม้ในตอนนี้

ดังนั้นควรแล้วหรือที่ท่านจะยังคงสภาวะการกระทำแบบนี้ๆไว้ หรือควรทำให้หมดจรดครับ ท่านมักจะมองคนอื่นผิด เป็นอกุศล เพี้ยนเสมอๆ เพราะท่านแปรความสิ่งที่เขาทำหรือเป็นอยู่อย่างนั้น จึงมองเขาแบบนั้นโดยที่ยังไม่รู้จริง :b1: :b1: :b1:


ก็เอาเรื่องที่เขาลงมาให้ดูว่าทำจนเพี้ยนไป ถึงกับต้องไปพบแพทย์กินยา เขาบอกเองกรัชกายแปรความเองสะที่ไหน

แค่อากาศไปอ่านให้จบ


http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

แต่เชื่อว่า คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะอะไรจึงพูดอย่างนั้น ? เพราะคุณแค่นั่งแยกจิตแยกเจตสิกเอา นี่ก็สังขาร อันนี้กรัชกายว่าจริงๆ :b1: ถ้าถามต่อว่าแยกอย่างนี้มีโอกาสเพี้ยนไหม ตอบไม่มี อย่างมากก็แค่ฟุ้งซ่าน นี่เคยพูดแล้ว พูดจริงๆ หรือคุณว่า่ไม่จริง




..ดีแล้วท่าน สาธุครับ สิ่งที่ท่านโพสท์กระทู้อยู่ทุกวันมันก็คือการจำแนกธรรมนั้นแหละ แต่สิ่งท่านโพสท์ยังไม่ถึงคราวที่ล่วงลึกจำแนกแยกออกเท่านั้นเอง ซึ่งท่านก็คงหลงลืมสิ่งที่ท่านทำอยู่ไป แต่ก็ไม่เป็นไรมันปรกติของท่านอยู่แล้วที่เป็นแบบนั้น

..ทีนี้ก็เหลือเพียงส่วนที่เราทำความเข้าใจให้สอดคล้องกันเท่านั้นเองครับ ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ หากไปถูกตรงจะอยู่ท่ามกลางไม่เอนเอียง เราก็จะคุยกันได้ดีขึ้นครับ :b1: :b1: :b12: :b12:

.......................................................................

ซึ่งท่านและผมไม่ได้มีจุดยืนที่ต่างกันมากมายเพียงแต่ ท่านเป็นผู้ใช้ปัญญา จึงเร่งรวบรัดตัดตอน ไม่ใส่ใจรายละเอียด พูดถึงผลเป็นหลัก
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ท่านนั่งดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แล้วท่านก็ละจากกองไฟไป
.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับอย่างไร ท่านก็พูดเพียงไม่มีเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ จบแค่นั้น นั่นคือสิ่งที่ท่านเป็นอยู่
.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดับอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ ท่านก็จะย้ำที่เดิมเพียงแค่ว่าก็ไม่มีเชื้อไฟไง ไฟมันมอด ไม่มีฟืนให้ไหม้ต่อ มันก็ดับ ถูก ตรง ดีแล้ว

.......................................................................

ส่วนที่ผมเป็น คือ เรียนรู้ทุกอย่างที่ทำได้ สะสมเหตุปฏิภาณ ปัญญารู้แจ้ง การใช้สติสัมปะชัญญ คือ สติปัญญานั่นเอง สัมปะชัญญาความหมายหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเข้าถึงความเป็นปัญญา สัมโพธายะ เพื่อที่ผมจะสามารถมีความรู้ได้ไม่มีสิ้นสุด แก้ไขปัญญา แนะนำ ช่วยเหลือ ตอบไขข้อข้องใจได้ไม่มีสิ้นสุด เหมือนพระเจ้ามิลินมีปัญญามากไม่มีผู้ใดไขปัญหาได้ มีเพียงแค่พระนาคเสนเถระเท่านั้นที่จะไขปัญหานั้นได้พร้อมยังประกาศพระพุทธศาสนาให้ขจรไกลยั่งยืนได้ถึง 5000 ปี ปัญญาของผมสะสมเหตุเพื่อมีไว้อย่างนี้เป็นต้น
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ผมนั่งมองดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แต่ผมก็นั่งดูความเป็นไปขอกองฟืนที่เผาไหม้ กองไฟที่ลุกโชนนั้นไป เห็นทุกการเคลื่อนไหว เห็นทุกความเป็นไป จนมันดับสิ้นไม่มีเหลือ
.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับได้อย่างไร ผมก็จะตอบว่าเพราะเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ
.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดัยบอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ ผมก็จะตอบว่า..
- นั่นเพราะฟืนที่มีไฟลูกโชนอยู่ เกิดการเผาไหม้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สภาพแวดล้อมเมื่อมีลมมากเป็นเหมือนการเร่งไฟให้แรงขึ้น ฟืนบางส่วนถูกไฟไหม้ลุกโชนแรง ยิ่งท่อนไหนเล็กมาก แห้งมาก ก็จะติดไฟง่ายเป็นเชื้อไฟได้ดี ทำให้ส่วนที่ติดไฟได้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าเร็ว ยิ่งท่อนเล็กยิ่งไหม้หมดเร็ว ส่วนท่อนใหญ่ก็ใช้เวลาหน่อย เพราะมีพื้นที่การเผาไหม้กว้างใหญ่กว่าท่อนเล็ก
- เมื่อไม่มีลมหรือฟืนท่อนใดที่ไม่ถูกไฟโหมไหม้แรงมาก มันก็จะค่อยๆเผาไหม้ไปทีละนิดๆ จนจุดที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าในขณะที่ไฟนั้นลามไปลุกไหม้ในส่วนอื่นๆต่อจนหมด
- เมื่อไฟที่ลุกโชนมีกำลังเผาไหม้น้อยลง ลดลงเรื่อยๆ แล้วมีลมพัดแรงผ่านมาบ้าง ก็ดับเปลวไฟบางส่วนนั้นบ้าง มีเศษผงเศษเถ้าปลิวมากลบปิดบางส่วนไม่ให้ไฟลุกไหม้เพิ่มเติมได้บ้าง ไฟจึงดับไป
- เราจึงเห็นได้ว่าฟืนบางส่วนไหม้หมดเป็นเถ้าไว โดยเฉพาะท่อนเล็กๆน้อยๆหรือที่แห้งๆ บางส่วนไหม้ไม่หมดแต่ไฟดับก่อนโดยเฉพาะท่อนใหญ่ ยาว หรือท่อนที่มีบางส่วนที่ถูกเถ้ากลบไว้
- ดังนั้นเอาขี้เถ้ากลบไฟและท่อนฟืนให้มิดก็ดับไฟได้ มีลมแรงมากก็ดับไฟได้ เชื้อไฟคือฟืนหมดไฟก็จึงมอดดับลงสนิท


.......................................................................

..ท่านจะเห็นว่าความละเอียดไรๆมันต่างกัน อธิบายได้ กับอธิบายไม่ได้ แต่ก็กล่าวถึงไฟดับเหมือนกัน :b1: :b1: :b1:


คริคริ

ไฟไหม้บ้านวอดวายไปทั้งหลัง
เพราะอธิบาย ยังไม่จบ
คอยรอเก็บขี้เถ้า ไปกลบควัน แระกานค่ะ

ไฟเกิดที่ไหนก้อดับลงซะที่นั่น ทันทีทันใด

ไม่ใช่ออกมานั่งคิดนอนคิด หากรรมวิธี แบบน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
หาวิธีดับไฟ จนบ้านไหม้วอดวายไปทั้งหลัง

คิดไม่ออก ก็เรยสรุป

ไฟลัดวงจร
ดับไปแล้วเหมือนกาน อิอิ


ขอบคุณน้องเมที่แนะนำครับ ทำให้มีโอกาสอธิบายละเอียดขึ้นได้อีกว่าทำไมต้องรู้ชัดอย่างนั้น เห็นตั้งแต่ไฟไหม้ไปเรื่อยๆ จนไฟดับ เพราะอะไร มันจำเป็นแค่ไหน เพราะเหตุใด

มันก็เหมือนที่น้องเมอ่านอธิธรรมจำวิถีจิต ซึ่งที่จริงแค่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิด ความรู้สึกนี้ดับ ก็เพียงพอแล้ว แต่ทำไมต้องไปแยกว่าอาศัยวิถีจิตใด เจตสิกตัวไหน อาศัยอะไรเกิดขึ้น เกิดร่วมกัยสิ่งใด จึงออกมาเป็นจิตดวงนี้ๆนั้นแหละครับ

ดังนั้นที่พี่อธิบายไปก็จึงเป็นเหมือนการ วิธีของไฟ สิ่งปรุงแต่ง สิ่งสงเคราะห์ร่วมกัน สิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มี เหมือนที่น้องเมเรียนอภิธรรมนั่นแหละครับ


...............................................................................

.. ทำไมพี่ต้องรู้ครบหมดเห็นหมดตามจริงนั้น และต้องจำแนกอธิบายได้ตามจริงนั้น ด้วยเหตุเหมือนดั่งที่เราเห็นผู้ที่ยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนามาถามปัญหาพระอริยะสาวก พระอรหันตสาวก หรือพระบรมศาสดา เพื่อจะเอาชนะ ทำลายพระพุทธศาสนา การถามเป็นอย่างไร การตอบสนทนาเป็นอย่างไร นั่นคือปัญญาล้วนๆจากความเห็นจริงทั้งหมดของพระพุทธศาสดาและพระอริยะสาวก

ยกตัวอย่าง สืบต่อจากข้อความที่น้องเมก๊อปปี้มานะครับ แล้วเกิดเหตุการณ์นี้ๆขึ้น


.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับได้อย่างไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เพราะเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ

.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดัยบอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ
.. ผมก็จะตอบว่า.. นั่นเพราะฟืนที่มีไฟลูกโชนอยู่ เกิดการเผาไหม้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สภาพแวดล้อมเมื่อมีลมมากเป็นเหมือนการเร่งไฟให้แรงขึ้น ฟืนบางส่วนถูกไฟไหม้ลุกโชนแรง ยิ่งท่อนไหนเล็กมาก แห้งมาก ก็จะติดไฟง่ายเป็นเชื้อไฟได้ดี ทำให้ส่วนที่ติดไฟได้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าเร็ว ยิ่งท่อนเล็กยิ่งไหม้หมดเร็ว ส่วนท่อนใหญ่ก็ใช้เวลาหน่อย เพราะมีพื้นที่การเผาไหม้กว้างใหญ่กว่าท่อนเล็ก เมื่อส้วนที่ติดไฟได้ไหม้หมดเป็นเถ้า ไฟก็จึงดับไป

.. เมื่อเขาถามอีกว่า มีจำเพาะลมเท่านั้นหรือที่เร่งไฟให้มอดไหม้ แล้วหากไม่มีลมไฟจะมอดไปอย่างไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เมื่อไม่มีลมหรือฟืนท่อนใดที่ไม่ถูกไฟโหมไหม้แรงมาก มันก็จะค่อยๆเผาไหม้ไปทีละนิดๆ จนจุดที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าในขณะที่ไฟนั้นลามไปลุกไหม้ในส่วนอื่นๆต่อจนหมด

.. เมื่อเขาถามอีกว่า หากมีลมพัดมาช่วงที่ไฟกำลังมอดดับลงอยู่นั้นเล่า จะทำให้ไฟลุกโชนแรงขึ้นมาอีกได้ไหม
.. ผมก็จะตอบว่า..ไม่ได้

.. เมื่อเขาอีกถามว่า เพราะอะไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เมื่อไฟที่ลุกโชนมีกำลังเผาไหม้น้อยลง ลดลงเรื่อยๆ ไม่มีเชื้อไฟให้เผาไหม้ได้อีก แล้วมีลมพัดแรงผ่านมาบ้าง ก็ดับเปลวไฟที่มีกำลังน้อยที่ไม่อาจเผาไหม้เพิ่มได้อีกนั้นบ้าง มีเศษผงเศษเถ้าปลิวมากลบปิดบางส่วนไม่ให้ไฟลุกไหม้เพิ่มเติมได้บ้าง ไฟจึงดับไป

.. เมื่อเขาอีกถามว่า มีอะไรที่มายืนยันได้ว่าที่ผมพูดถูกต้องทั้งหมด
.. ผมก็จะตอบว่า.. ก็ที่เรามองเห็นได้ว่า ฟืนบางส่วนไหม้หมดเป็นเถ้าไว โดยเฉพาะท่อนเล็กๆน้อยๆหรือที่แห้งๆ บางส่วนไหม้ไม่หมดแต่ไฟดับก่อนโดยเฉพาะท่อนใหญ่ ยาว หรือท่อนที่มีบางส่วนที่ถูกเถ้ากลบไว้

- ด้วยประการฉะนี้ เราเอาขี้เถ้ากลบไฟและท่อนฟืนให้มิดก็ดับไฟได้ มีลมแรงมากก็ดับไฟได้ เมื่อไฟไม่สามารถเผาไหม้เพิ่มเติมได้อีกด้วยเชื้อไฟคือฟืนหมดไฟก็จึงมอดดับลงสนิท


- จะเห็นว่าคำพูดกล่าวไม่ต่างจากเดิมแต่อธิบายตามความต้องการของผู้ถามได้ครบดังนี้ เหมือนที่น้องแมไปนักท่องจำวิถีจิตเจตสิกเลยใช่มั้ยครับ แต่ของพี่คือการปฏิบัติให้เห็นจริง ต่างกันแค่นั้น

.......................................................................

..จะเห็นว่าความรู้แบบเดียวกัน แต่รายละเอียดไรๆการเข้าถึงต่างกัน อธิบายได้ กับอธิบายไม่ได้ แต่ก็กล่าวถึงไฟดับเหมือนกัน ย่อมให้ความแตกต่าง

.. เหมือนดั่งพระอริยะสาวกผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ หรือ พระสารีบุตรเถระผู้มีปัญญามาก หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา ก็ได้จำแนกและตรัสแสดงธรรมแก่ผู้ที่ยังไม่ศรัทธา ให้ศรัทธาด้วยการจำแนกให้เห็นได้ละเอียด เมื่อศาสนาอื่นมากล่าวว่าเราก็มีสอนเหมือนกันว่าฟืนหมดไฟดับ พระบรมศาสดาก็ทรงแจำแนกเด่นชัดมีเห็นมีผลเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันตามจริงให้ลึกซึ้งยิ่งกว่า เขาเหล่านั้นก็จึงเห็นว่าศาสนาของพระศาสดานี้แจ้งจริงบรรลุอรหันต์รู้เห็นตามจริงดังที่ประกาศไว้ เหมือนที่ท่านเห็นมามายในหลายๆพระสูตรนั่นเอง

:b1: :b1: :b1:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต


เจตนามองเห็นได้ด้วยหรือครับ หรือเห็นได้เฉพาะในการกระทำครับท่าน สังคมมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นถูกมั้ยครับ ผมไม่มีอภิญญาอ่านใจคนได้จะรู้ก็แค่ที่ท่านโพสท์อยู่ทำอยู่ด้วยตาเท่านั้น นั่นแหละครับจึงแนะนำท่านให้ระวังเรื่องนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ประโยชน์นะครับ ท่านต่างหากที่ได้ประโยชน์ครับ :b1: :b1: :b1:

ผมถึงบอกไงครับไม่มีใครแปรเจตนาท่านไปมั่ว แต่การกระทำของท่านต่างหากให้เขาเห็นไปในทิศทางนั้น แม้ในตอนนี้

ดังนั้นควรแล้วหรือที่ท่านจะยังคงสภาวะการกระทำแบบนี้ๆไว้ หรือควรทำให้หมดจรดครับ ท่านมักจะมองคนอื่นผิด เป็นอกุศล เพี้ยนเสมอๆ เพราะท่านแปรความสิ่งที่เขาทำหรือเป็นอยู่อย่างนั้น จึงมองเขาแบบนั้นโดยที่ยังไม่รู้จริง :b1: :b1: :b1:


ก็เอาเรื่องที่เขาลงมาให้ดูว่าทำจนเพี้ยนไป ถึงกับต้องไปพบแพทย์กินยา เขาบอกเองกรัชกายแปรความเองสะที่ไหน

แค่อากาศไปอ่านให้จบ


http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

แต่เชื่อว่า คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะอะไรจึงพูดอย่างนั้น ? เพราะคุณแค่นั่งแยกจิตแยกเจตสิกเอา นี่ก็สังขาร อันนี้กรัชกายว่าจริงๆ :b1: ถ้าถามต่อว่าแยกอย่างนี้มีโอกาสเพี้ยนไหม ตอบไม่มี อย่างมากก็แค่ฟุ้งซ่าน นี่เคยพูดแล้ว พูดจริงๆ หรือคุณว่า่ไม่จริง




..ดีแล้วท่าน สาธุครับ สิ่งที่ท่านโพสท์กระทู้อยู่ทุกวันมันก็คือการจำแนกธรรมนั้นแหละ แต่สิ่งท่านโพสท์ยังไม่ถึงคราวที่ล่วงลึกจำแนกแยกออกเท่านั้นเอง ซึ่งท่านก็คงหลงลืมสิ่งที่ท่านทำอยู่ไป แต่ก็ไม่เป็นไรมันปรกติของท่านอยู่แล้วที่เป็นแบบนั้น

..ทีนี้ก็เหลือเพียงส่วนที่เราทำความเข้าใจให้สอดคล้องกันเท่านั้นเองครับ ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ หากไปถูกตรงจะอยู่ท่ามกลางไม่เอนเอียง เราก็จะคุยกันได้ดีขึ้นครับ :b1: :b1: :b12: :b12:

.......................................................................

ซึ่งท่านและผมไม่ได้มีจุดยืนที่ต่างกันมากมายเพียงแต่ ท่านเป็นผู้ใช้ปัญญา จึงเร่งรวบรัดตัดตอน ไม่ใส่ใจรายละเอียด พูดถึงผลเป็นหลัก
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ท่านนั่งดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แล้วท่านก็ละจากกองไฟไป
.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับอย่างไร ท่านก็พูดเพียงไม่มีเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ จบแค่นั้น นั่นคือสิ่งที่ท่านเป็นอยู่
.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดับอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ ท่านก็จะย้ำที่เดิมเพียงแค่ว่าก็ไม่มีเชื้อไฟไง ไฟมันมอด ไม่มีฟืนให้ไหม้ต่อ มันก็ดับ ถูก ตรง ดีแล้ว

.......................................................................

ส่วนที่ผมเป็น คือ เรียนรู้ทุกอย่างที่ทำได้ สะสมเหตุปฏิภาณ ปัญญารู้แจ้ง การใช้สติสัมปะชัญญ คือ สติปัญญานั่นเอง สัมปะชัญญาความหมายหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเข้าถึงความเป็นปัญญา สัมโพธายะ เพื่อที่ผมจะสามารถมีความรู้ได้ไม่มีสิ้นสุด แก้ไขปัญญา แนะนำ ช่วยเหลือ ตอบไขข้อข้องใจได้ไม่มีสิ้นสุด เหมือนพระเจ้ามิลินมีปัญญามากไม่มีผู้ใดไขปัญหาได้ มีเพียงแค่พระนาคเสนเถระเท่านั้นที่จะไขปัญหานั้นได้พร้อมยังประกาศพระพุทธศาสนาให้ขจรไกลยั่งยืนได้ถึง 5000 ปี ปัญญาของผมสะสมเหตุเพื่อมีไว้อย่างนี้เป็นต้น
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ผมนั่งมองดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แต่ผมก็นั่งดูความเป็นไปขอกองฟืนที่เผาไหม้ กองไฟที่ลุกโชนนั้นไป เห็นทุกการเคลื่อนไหว เห็นทุกความเป็นไป จนมันดับสิ้นไม่มีเหลือ

.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับได้อย่างไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เพราะเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ

.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดัยบอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ
.. ผมก็จะตอบว่า.. นั่นเพราะฟืนที่มีไฟลูกโชนอยู่ เกิดการเผาไหม้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สภาพแวดล้อมเมื่อมีลมมากเป็นเหมือนการเร่งไฟให้แรงขึ้น ฟืนบางส่วนถูกไฟไหม้ลุกโชนแรง ยิ่งท่อนไหนเล็กมาก แห้งมาก ก็จะติดไฟง่ายเป็นเชื้อไฟได้ดี ทำให้ส่วนที่ติดไฟได้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าเร็ว ยิ่งท่อนเล็กยิ่งไหม้หมดเร็ว ส่วนท่อนใหญ่ก็ใช้เวลาหน่อย เพราะมีพื้นที่การเผาไหม้กว้างใหญ่กว่าท่อนเล็ก เมื่อส้วนที่ติดไฟได้ไหม้หมดเป็นเถ้า ไฟก็จึงดับไป

.. เมื่อเขาถามอีกว่า มีจำเพาะลมเท่านั้นหรือที่เร่งไฟให้มอดไหม้ แล้วหากไม่มีลมไฟจะมอดไปอย่างไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เมื่อไม่มีลมหรือฟืนท่อนใดที่ไม่ถูกไฟโหมไหม้แรงมาก มันก็จะค่อยๆเผาไหม้ไปทีละนิดๆ จนจุดที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าในขณะที่ไฟนั้นลามไปลุกไหม้ในส่วนอื่นๆต่อจนหมด

.. เมื่อเขาถามอีกว่า หากมีลมพัดมาช่วงที่ไฟกำลังมอดดับลงอยู่นั้นเล่า จะทำให้ไฟลุกโชนแรงขึ้นมาอีกได้ไหม
.. ผมก็จะตอบว่า..ไม่ได้

.. เมื่อเขาอีกถามว่า เพราะอะไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เมื่อไฟที่ลุกโชนมีกำลังเผาไหม้น้อยลง ลดลงเรื่อยๆ ไม่มีเชื้อไฟให้เผาไหม้ได้อีก แล้วมีลมพัดแรงผ่านมาบ้าง ก็ดับเปลวไฟที่มีกำลังน้อยที่ไม่อาจเผาไหม้เพิ่มได้อีกนั้นบ้าง มีเศษผงเศษเถ้าปลิวมากลบปิดบางส่วนไม่ให้ไฟลุกไหม้เพิ่มเติมได้บ้าง ไฟจึงดับไป

.. เมื่อเขาอีกถามว่า มีอะไรที่มายืนยันได้ว่าที่ผมพูดถูกต้องทั้งหมด
.. ผมก็จะตอบว่า.. ก็ที่เรามองเห็นได้ว่า ฟืนบางส่วนไหม้หมดเป็นเถ้าไว โดยเฉพาะท่อนเล็กๆน้อยๆหรือที่แห้งๆ บางส่วนไหม้ไม่หมดแต่ไฟดับก่อนโดยเฉพาะท่อนใหญ่ ยาว หรือท่อนที่มีบางส่วนที่ถูกเถ้ากลบไว้
- ด้วยประการฉะนี้ เราเอาขี้เถ้ากลบไฟและท่อนฟืนให้มิดก็ดับไฟได้ มีลมแรงมากก็ดับไฟได้ เมื่อไฟไม่สามารถเผาไหม้เพิ่มเติมได้อีกด้วยเชื้อไฟคือฟืนหมดไฟก็จึงมอดดับลงสนิท


.......................................................................

..ท่านจะเห็นว่าความละเอียดไรๆมันต่างกัน อธิบายได้ กับอธิบายไม่ได้ แต่ก็กล่าวถึงไฟดับเหมือนกัน เหมือนดั่งพระอริยะสาวกผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ผู้มีปัญญามาก และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงธรรมแก่ผู้ที่ยังไม่ศรัทธา ให้ศรัทธาด้วยการจำแนกได้ ให้เห็นละเอียด เมื่อศาสนาอื่นมากล่าวว่าเราก็มีสอนเหมือนกันว่าฟืนหมดไฟดับ พระบรมศาสดาก็ทรงแจำแนกเด่นชัดมีเห็นมีผลเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันตามจริงให้ลึกซึ้งยิ่งกว่า เขาเหล่านั้นก็จึงเห็นว่าศาสนาของพระศาสดานี้แจ้งจริงบรรลุอรหันต์รู้เห็นตามจริงดังที่ประกาศไว้ เหมือนที่ท่านเห็นมามายในหลายๆพระสูตรนั่นเอง

:b1: :b1: :b1:


คนจะบ้าอยู่แล้วยังจะไปนั่งจำแนกอะไรอีกเล่า พาหาไปหาหมอดิ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คนจะบ้าอยู่แล้วยังจะไปนั่งจำแนกอะไรอีกเล่า พาหาไปหาหมอดิ :b32:


555 อันนี้กล่าวถึง การปฏิบัติธรรมครับ ที่ถามว่าทำไมผมถึงต้องรู้ครบ เห็นจริง จำแนกได้ ไม่ได้กล่าวถึง การแก้ปัญหาคนบ้าที่ท่านกรัซกายยกมาครับ 555

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คนจะบ้าอยู่แล้วยังจะไปนั่งจำแนกอะไรอีกเล่า พาหาไปหาหมอดิ :b32:


555 อันนี้กล่าวถึง การปฏิบัติธรรมครับ ที่ถามว่าทำไมผมถึงต้องรู้ครบ เห็นจริง จำแนกได้ ไม่ได้กล่าวถึง การแก้ปัญหาคนบ้าที่ท่านกรัซกายยกมาครับ 555


นี่ก็สังขารปรุงแต่งให้ทำให้เป็นไป :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คนจะบ้าอยู่แล้วยังจะไปนั่งจำแนกอะไรอีกเล่า พาหาไปหาหมอดิ :b32:


555 อันนี้กล่าวถึง การปฏิบัติธรรมครับ ที่ถามว่าทำไมผมถึงต้องรู้ครบ เห็นจริง จำแนกได้ ไม่ได้กล่าวถึง การแก้ปัญหาคนบ้าที่ท่านกรัซกายยกมาครับ 555



จำแนกตัวอย่างนี้หน่อย

ผมเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ ก็นั่งมาเรื่อยครับ จนปัจจุบันอายุ 40 ปี ลองศึกษาหลายๆ แนวทาง จนรู้สึกแนวอานาปานสติ น่าจะเหมาะกับตัวเรา ก็เลยปฏิบัติแนวนี้มาตลอดครับ

เคยมีอยู่ครั้งนึง ผมนั่งสมาธิไปได้ประมาณ 30 นาที จิตนิ่งจนหูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น อยู่ดีๆ ก็เห็นตัวเองออกมายืนดัวเราที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ผมก็มองดูเอ..หรือเราตายแล้ว ก็ยังกลัวๆครับ แต่ก็ตกใจสุด ตอนดูตัวเองนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ผิวหนังมันถูกถลกออกครับ จะเห็นเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด แล้วก็โดนถลกออกอีก จนเห็นเป็นโครงกระดูก แล้วค่อยๆ หายไป
แล้วเหมือนใครเอาน้ำเย็นมากๆ มาสาด แล้วก็ประกอบร่างใหม่กลับมาเป็นตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ แล้วก็โดนถลกออกอีกครับ หนัง เนื้อ กระดูก ภาพมันซ้ำๆแบบนี้ จนนั่งไป 3 ชม.
พอดีนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมเลยลืมตาออกจากสมาธิ ใจนึงก็กลัว
แต่ใจนึงก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาในกายสังขารนี้
เพื่อนๆ เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มั้ยครับ มันคืออะไรครับ
เราควรจะปฏิบัติเช่นไรต่อเพื่อให้เกิดปัญญา ตามแนวทางวิปัสสนากรรมฐานครับ
รบกวนขอคำแนะนำ ชี้แนะจากเพื่อน พี่ น้อง ที่ปฏิบัติธรรมด้วยครับ...

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกแนวหนึ่ง :b16:


นั่งสมาธิแล้วเห็นตัวเองเป็นผู้ชาย

คือ ฝึกสมาธิเองมาตลอด มีหลายครั้งมากที่เกิดอาการแปลกๆกับตัวเอง เคยนั่งบริกรรมพุธ-โธไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ดีๆก็รู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่มาก...และอีกอย่างที่สำคัญ เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากบริกรรม ไปเรื่อยๆ จนรู้สึกนิ่งมาก เห็นตัวเองไม่ใช่ตัวเองคะ เห็นตัวเองเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ตัดผมสั้น ใส่ชุดขาวทั้งชุด ภาพมันจะสลับกันไป คะ ระหว่างดิฉันกับผู้ชายคนนั้น และเห็นหลายวันมาก ทุกวันเป็นคนคนเดิมและคนเดียวกัน พอจะทราบไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น ดิฉันพยายามไม่สนใจคะ แต่ก็เห็นอยู่ดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2220

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นั่นก็สังขารปรุงแต่ง :b1: ให้แปรเจตนาบิดเบือนไป :b13: เป็นอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลเจตนา เป็นอกุศลจิต


เจตนามองเห็นได้ด้วยหรือครับ หรือเห็นได้เฉพาะในการกระทำครับท่าน สังคมมนุษย์ย่อมเป็นเช่นนั้นถูกมั้ยครับ ผมไม่มีอภิญญาอ่านใจคนได้จะรู้ก็แค่ที่ท่านโพสท์อยู่ทำอยู่ด้วยตาเท่านั้น นั่นแหละครับจึงแนะนำท่านให้ระวังเรื่องนี้เสมอๆ ผมไม่ได้ประโยชน์นะครับ ท่านต่างหากที่ได้ประโยชน์ครับ :b1: :b1: :b1:

ผมถึงบอกไงครับไม่มีใครแปรเจตนาท่านไปมั่ว แต่การกระทำของท่านต่างหากให้เขาเห็นไปในทิศทางนั้น แม้ในตอนนี้

ดังนั้นควรแล้วหรือที่ท่านจะยังคงสภาวะการกระทำแบบนี้ๆไว้ หรือควรทำให้หมดจรดครับ ท่านมักจะมองคนอื่นผิด เป็นอกุศล เพี้ยนเสมอๆ เพราะท่านแปรความสิ่งที่เขาทำหรือเป็นอยู่อย่างนั้น จึงมองเขาแบบนั้นโดยที่ยังไม่รู้จริง :b1: :b1: :b1:


ก็เอาเรื่องที่เขาลงมาให้ดูว่าทำจนเพี้ยนไป ถึงกับต้องไปพบแพทย์กินยา เขาบอกเองกรัชกายแปรความเองสะที่ไหน

แค่อากาศไปอ่านให้จบ


http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

แต่เชื่อว่า คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะอะไรจึงพูดอย่างนั้น ? เพราะคุณแค่นั่งแยกจิตแยกเจตสิกเอา นี่ก็สังขาร อันนี้กรัชกายว่าจริงๆ :b1: ถ้าถามต่อว่าแยกอย่างนี้มีโอกาสเพี้ยนไหม ตอบไม่มี อย่างมากก็แค่ฟุ้งซ่าน นี่เคยพูดแล้ว พูดจริงๆ หรือคุณว่า่ไม่จริง




..ดีแล้วท่าน สาธุครับ สิ่งที่ท่านโพสท์กระทู้อยู่ทุกวันมันก็คือการจำแนกธรรมนั้นแหละ แต่สิ่งท่านโพสท์ยังไม่ถึงคราวที่ล่วงลึกจำแนกแยกออกเท่านั้นเอง ซึ่งท่านก็คงหลงลืมสิ่งที่ท่านทำอยู่ไป แต่ก็ไม่เป็นไรมันปรกติของท่านอยู่แล้วที่เป็นแบบนั้น

..ทีนี้ก็เหลือเพียงส่วนที่เราทำความเข้าใจให้สอดคล้องกันเท่านั้นเองครับ ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ หากไปถูกตรงจะอยู่ท่ามกลางไม่เอนเอียง เราก็จะคุยกันได้ดีขึ้นครับ :b1: :b1: :b12: :b12:

.......................................................................

ซึ่งท่านและผมไม่ได้มีจุดยืนที่ต่างกันมากมายเพียงแต่ ท่านเป็นผู้ใช้ปัญญา จึงเร่งรวบรัดตัดตอน ไม่ใส่ใจรายละเอียด พูดถึงผลเป็นหลัก
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ท่านนั่งดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แล้วท่านก็ละจากกองไฟไป
.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับอย่างไร ท่านก็พูดเพียงไม่มีเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ จบแค่นั้น นั่นคือสิ่งที่ท่านเป็นอยู่
.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดับอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ ท่านก็จะย้ำที่เดิมเพียงแค่ว่าก็ไม่มีเชื้อไฟไง ไฟมันมอด ไม่มีฟืนให้ไหม้ต่อ มันก็ดับ ถูก ตรง ดีแล้ว

.......................................................................

ส่วนที่ผมเป็น คือ เรียนรู้ทุกอย่างที่ทำได้ สะสมเหตุปฏิภาณ ปัญญารู้แจ้ง การใช้สติสัมปะชัญญ คือ สติปัญญานั่นเอง สัมปะชัญญาความหมายหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเข้าถึงความเป็นปัญญา สัมโพธายะ เพื่อที่ผมจะสามารถมีความรู้ได้ไม่มีสิ้นสุด แก้ไขปัญญา แนะนำ ช่วยเหลือ ตอบไขข้อข้องใจได้ไม่มีสิ้นสุด เหมือนพระเจ้ามิลินมีปัญญามากไม่มีผู้ใดไขปัญหาได้ มีเพียงแค่พระนาคเสนเถระเท่านั้นที่จะไขปัญหานั้นได้พร้อมยังประกาศพระพุทธศาสนาให้ขจรไกลยั่งยืนได้ถึง 5000 ปี ปัญญาของผมสะสมเหตุเพื่อมีไว้อย่างนี้เป็นต้น
.. อุปมาเหมือนจุดกองไฟ ผมนั่งมองดูกองไฟ สักพักก็รู้ว่าหากไม่เติมฟืนมันต้องดับ แต่ผมก็นั่งดูความเป็นไปขอกองฟืนที่เผาไหม้ กองไฟที่ลุกโชนนั้นไป เห็นทุกการเคลื่อนไหว เห็นทุกความเป็นไป จนมันดับสิ้นไม่มีเหลือ
.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับได้อย่างไร ผมก็จะตอบว่าเพราะเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ
.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดัยบอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ ผมก็จะตอบว่า..
- นั่นเพราะฟืนที่มีไฟลูกโชนอยู่ เกิดการเผาไหม้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สภาพแวดล้อมเมื่อมีลมมากเป็นเหมือนการเร่งไฟให้แรงขึ้น ฟืนบางส่วนถูกไฟไหม้ลุกโชนแรง ยิ่งท่อนไหนเล็กมาก แห้งมาก ก็จะติดไฟง่ายเป็นเชื้อไฟได้ดี ทำให้ส่วนที่ติดไฟได้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าเร็ว ยิ่งท่อนเล็กยิ่งไหม้หมดเร็ว ส่วนท่อนใหญ่ก็ใช้เวลาหน่อย เพราะมีพื้นที่การเผาไหม้กว้างใหญ่กว่าท่อนเล็ก
- เมื่อไม่มีลมหรือฟืนท่อนใดที่ไม่ถูกไฟโหมไหม้แรงมาก มันก็จะค่อยๆเผาไหม้ไปทีละนิดๆ จนจุดที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าในขณะที่ไฟนั้นลามไปลุกไหม้ในส่วนอื่นๆต่อจนหมด
- เมื่อไฟที่ลุกโชนมีกำลังเผาไหม้น้อยลง ลดลงเรื่อยๆ แล้วมีลมพัดแรงผ่านมาบ้าง ก็ดับเปลวไฟบางส่วนนั้นบ้าง มีเศษผงเศษเถ้าปลิวมากลบปิดบางส่วนไม่ให้ไฟลุกไหม้เพิ่มเติมได้บ้าง ไฟจึงดับไป
- เราจึงเห็นได้ว่าฟืนบางส่วนไหม้หมดเป็นเถ้าไว โดยเฉพาะท่อนเล็กๆน้อยๆหรือที่แห้งๆ บางส่วนไหม้ไม่หมดแต่ไฟดับก่อนโดยเฉพาะท่อนใหญ่ ยาว หรือท่อนที่มีบางส่วนที่ถูกเถ้ากลบไว้
- ดังนั้นเอาขี้เถ้ากลบไฟและท่อนฟืนให้มิดก็ดับไฟได้ มีลมแรงมากก็ดับไฟได้ เชื้อไฟคือฟืนหมดไฟก็จึงมอดดับลงสนิท


.......................................................................

..ท่านจะเห็นว่าความละเอียดไรๆมันต่างกัน อธิบายได้ กับอธิบายไม่ได้ แต่ก็กล่าวถึงไฟดับเหมือนกัน :b1: :b1: :b1:


คริคริ

ไฟไหม้บ้านวอดวายไปทั้งหลัง
เพราะอธิบาย ยังไม่จบ
คอยรอเก็บขี้เถ้า ไปกลบควัน แระกานค่ะ

ไฟเกิดที่ไหนก้อดับลงซะที่นั่น ทันทีทันใด

ไม่ใช่ออกมานั่งคิดนอนคิด หากรรมวิธี แบบน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
หาวิธีดับไฟ จนบ้านไหม้วอดวายไปทั้งหลัง

คิดไม่ออก ก็เรยสรุป

ไฟลัดวงจร
ดับไปแล้วเหมือนกาน อิอิ


ขอบคุณน้องเมที่แนะนำครับ ทำให้มีโอกาสอธิบายละเอียดขึ้นได้อีกว่าทำไมต้องรู้ชัดอย่างนั้น เห็นตั้งแต่ไฟไหม้ไปเรื่อยๆ จนไฟดับ เพราะอะไร มันจำเป็นแค่ไหน เพราะเหตุใด

มันก็เหมือนที่น้องเมอ่านอธิธรรมจำวิถีจิต ซึ่งที่จริงแค่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิด ความรู้สึกนี้ดับ ก็เพียงพอแล้ว แต่ทำไมต้องไปแยกว่าอาศัยวิถีจิตใด เจตสิกตัวไหน อาศัยอะไรเกิดขึ้น เกิดร่วมกัยสิ่งใด จึงออกมาเป็นจิตดวงนี้ๆนั้นแหละครับ

ดังนั้นที่พี่อธิบายไปก็จึงเป็นเหมือนการ วิธีของไฟ สิ่งปรุงแต่ง สิ่งสงเคราะห์ร่วมกัน สิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มี เหมือนที่น้องเมเรียนอภิธรรมนั่นแหละครับ


...............................................................................

.. ทำไมพี่ต้องรู้ครบหมดเห็นหมดตามจริงนั้น และต้องจำแนกอธิบายได้ตามจริงนั้น ด้วยเหตุเหมือนดั่งที่เราเห็นผู้ที่ยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนามาถามปัญหาพระอริยะสาวก พระอรหันตสาวก หรือพระบรมศาสดา เพื่อจะเอาชนะ ทำลายพระพุทธศาสนา การถามเป็นอย่างไร การตอบสนทนาเป็นอย่างไร นั่นคือปัญญาล้วนๆจากความเห็นจริงทั้งหมดของพระพุทธศาสดาและพระอริยะสาวก

ยกตัวอย่าง สืบต่อจากข้อความที่น้องเมก๊อปปี้มานะครับ แล้วเกิดเหตุการณ์นี้ๆขึ้น


.. เมื่อมีคนมาถามว่าไฟดับได้อย่างไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เพราะเชื้อ คือ ฟืนต่อไฟหมด ไฟจึงดับ

.. เมื่อเขาถามอีกว่า ไฟดับมันดัยบอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ไฟนั้นดับ
.. ผมก็จะตอบว่า.. นั่นเพราะฟืนที่มีไฟลูกโชนอยู่ เกิดการเผาไหม้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สภาพแวดล้อมเมื่อมีลมมากเป็นเหมือนการเร่งไฟให้แรงขึ้น ฟืนบางส่วนถูกไฟไหม้ลุกโชนแรง ยิ่งท่อนไหนเล็กมาก แห้งมาก ก็จะติดไฟง่ายเป็นเชื้อไฟได้ดี ทำให้ส่วนที่ติดไฟได้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าเร็ว ยิ่งท่อนเล็กยิ่งไหม้หมดเร็ว ส่วนท่อนใหญ่ก็ใช้เวลาหน่อย เพราะมีพื้นที่การเผาไหม้กว้างใหญ่กว่าท่อนเล็ก เมื่อส้วนที่ติดไฟได้ไหม้หมดเป็นเถ้า ไฟก็จึงดับไป

.. เมื่อเขาถามอีกว่า มีจำเพาะลมเท่านั้นหรือที่เร่งไฟให้มอดไหม้ แล้วหากไม่มีลมไฟจะมอดไปอย่างไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เมื่อไม่มีลมหรือฟืนท่อนใดที่ไม่ถูกไฟโหมไหม้แรงมาก มันก็จะค่อยๆเผาไหม้ไปทีละนิดๆ จนจุดที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าในขณะที่ไฟนั้นลามไปลุกไหม้ในส่วนอื่นๆต่อจนหมด

.. เมื่อเขาถามอีกว่า หากมีลมพัดมาช่วงที่ไฟกำลังมอดดับลงอยู่นั้นเล่า จะทำให้ไฟลุกโชนแรงขึ้นมาอีกได้ไหม
.. ผมก็จะตอบว่า..ไม่ได้

.. เมื่อเขาอีกถามว่า เพราะอะไร
.. ผมก็จะตอบว่า.. เมื่อไฟที่ลุกโชนมีกำลังเผาไหม้น้อยลง ลดลงเรื่อยๆ ไม่มีเชื้อไฟให้เผาไหม้ได้อีก แล้วมีลมพัดแรงผ่านมาบ้าง ก็ดับเปลวไฟที่มีกำลังน้อยที่ไม่อาจเผาไหม้เพิ่มได้อีกนั้นบ้าง มีเศษผงเศษเถ้าปลิวมากลบปิดบางส่วนไม่ให้ไฟลุกไหม้เพิ่มเติมได้บ้าง ไฟจึงดับไป

.. เมื่อเขาอีกถามว่า มีอะไรที่มายืนยันได้ว่าที่ผมพูดถูกต้องทั้งหมด
.. ผมก็จะตอบว่า.. ก็ที่เรามองเห็นได้ว่า ฟืนบางส่วนไหม้หมดเป็นเถ้าไว โดยเฉพาะท่อนเล็กๆน้อยๆหรือที่แห้งๆ บางส่วนไหม้ไม่หมดแต่ไฟดับก่อนโดยเฉพาะท่อนใหญ่ ยาว หรือท่อนที่มีบางส่วนที่ถูกเถ้ากลบไว้

- ด้วยประการฉะนี้ เราเอาขี้เถ้ากลบไฟและท่อนฟืนให้มิดก็ดับไฟได้ มีลมแรงมากก็ดับไฟได้ เมื่อไฟไม่สามารถเผาไหม้เพิ่มเติมได้อีกด้วยเชื้อไฟคือฟืนหมดไฟก็จึงมอดดับลงสนิท


- จะเห็นว่าคำพูดกล่าวไม่ต่างจากเดิมแต่อธิบายตามความต้องการของผู้ถามได้ครบดังนี้ เหมือนที่น้องแมไปนักท่องจำวิถีจิตเจตสิกเลยใช่มั้ยครับ แต่ของพี่คือการปฏิบัติให้เห็นจริง ต่างกันแค่นั้น

.......................................................................

..จะเห็นว่าความรู้แบบเดียวกัน แต่รายละเอียดไรๆการเข้าถึงต่างกัน อธิบายได้ กับอธิบายไม่ได้ แต่ก็กล่าวถึงไฟดับเหมือนกัน ย่อมให้ความแตกต่าง

.. เหมือนดั่งพระอริยะสาวกผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ หรือ พระสารีบุตรเถระผู้มีปัญญามาก หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา ก็ได้จำแนกและตรัสแสดงธรรมแก่ผู้ที่ยังไม่ศรัทธา ให้ศรัทธาด้วยการจำแนกให้เห็นได้ละเอียด เมื่อศาสนาอื่นมากล่าวว่าเราก็มีสอนเหมือนกันว่าฟืนหมดไฟดับ พระบรมศาสดาก็ทรงแจำแนกเด่นชัดมีเห็นมีผลเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันตามจริงให้ลึกซึ้งยิ่งกว่า เขาเหล่านั้นก็จึงเห็นว่าศาสนาของพระศาสดานี้แจ้งจริงบรรลุอรหันต์รู้เห็นตามจริงดังที่ประกาศไว้ เหมือนที่ท่านเห็นมามายในหลายๆพระสูตรนั่นเอง

:b1: :b1: :b1:


คริคริ

คุณแค่อากาศปัญญาดี ฉลาดหลักแหลม
แยกรายละเอียดน้ำท่วมทุ่งกะกอผักบุ้งโหรงเหรง ได้ชัดเจนค่ะ

ไฟเอ๋ยทำไมจึงดับ
เพราะว่าฝนมันตก
ฝนเอ๋ยทำไมจึงตก
เพราะว่าอึ่งอ่างมันร้อง....

ภาษาเพลง เค้าเรียกท่อนฮุก อ่ะค่ะ 555

อนุโมทนาสาธุ๊ๆๆค่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 20 ก.พ. 2019, 22:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 22:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:

คริคริ

คุณแค่อากาศปัญญาดี ฉลาดหลักแหลม
แยกรายละเอียดน้ำท่วมทุ่งกะกอผักบุ้งโหรงเหรง ได้ชัดเจนค่ะ

ไฟเอ๋ยทำไมจึงดับ
เพราะว่าฝนมันตก
ฝนเอ๋ยทำไมจึงตก
เพราะว่าอึ่งอ่างมันร้อง....

อนุโมทนาสาธุ๊ๆๆค่ะ



5555 จ้าน้ำท่วมทุ่งก็ท่วมจ้า ยอมแล้วๆๆๆๆ ยังมีเพลงย่างเข้าเดือนหกไฟก็ดับพลึบๆ อีก 555 น่ารักดี

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2220

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:

คริคริ

คุณแค่อากาศปัญญาดี ฉลาดหลักแหลม
แยกรายละเอียดน้ำท่วมทุ่งกะกอผักบุ้งโหรงเหรง ได้ชัดเจนค่ะ

ไฟเอ๋ยทำไมจึงดับ
เพราะว่าฝนมันตก
ฝนเอ๋ยทำไมจึงตก
เพราะว่าอึ่งอ่างมันร้อง....

อนุโมทนาสาธุ๊ๆๆค่ะ



5555 จ้าน้ำท่วมทุ่งก็ท่วมจ้า ยอมแล้วๆๆๆๆ ยังมีเพลงย่างเข้าเดือนหกไฟก็ดับพลึบๆ อีก 555 น่ารักดี



ปิดไฟไส่กลอน จะเข้ามุ้งนอน ...ไฟ มันก็ดับเหมือนกัน

ต้องอธิบายมั๊ยคะว่า
ปั่นไฟมาจากแม่เมาะ เดินสายมาตามทุ่ง ตามถนน
กว่าจะดับไฟได้ สว่างพอดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2220

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ไฟมีกี่ประเภทคะ กี่ชนิดคะ มีอะไรบ้าง ?

ตัวอย่าง

อย่างไฟ จากภูเขาไฟ ดับยังไงคะ ?
จากการเสียดสีบรรยากาศ จะดับยังไงคะ?

ให้คุณแค่อากาศ ฉลาดแสนรู้ ปัญญาเลิศ ช่วยบอกช่วยอธิบายด้วยนะคะ

คริคริ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ไฟมีกี่ประเภทคะ กี่ชนิดคะ มีอะไรบ้าง ?

ตัวอย่าง

อย่างไฟ จากภูเขาไฟ ดับยังไงคะ ?
จากการเสียดสีบรรยากาศ จะดับยังไงคะ?

ให้คุณแค่อากาศ ฉลาดแสนรู้ ปัญญาเลิศ ช่วยบอกช่วยอธิบายด้วยนะคะ

คริคริ


ว่าแต่ไม่ได้ฉลาดนะครับ ไม่เหลิงตาม แต่ที่คุยสนุกสนานด้วยได้เพราะน้องเม มีวาจาที่งามขึ้นครับ :b1: :b1: :b1:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2220

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
โลกสวย เขียน:
ไฟมีกี่ประเภทคะ กี่ชนิดคะ มีอะไรบ้าง ?

ตัวอย่าง

อย่างไฟ จากภูเขาไฟ ดับยังไงคะ ?
จากการเสียดสีบรรยากาศ จะดับยังไงคะ?

ให้คุณแค่อากาศ ฉลาดแสนรู้ ปัญญาเลิศ ช่วยบอกช่วยอธิบายด้วยนะคะ

คริคริ


ว่าแต่ไม่ได้ฉลาดนะครับ ไม่เหลิงตาม แต่ที่คุยสนุกสนานด้วยได้เพราะน้องเม มีวาจาที่งามขึ้นครับ :b1: :b1: :b1:



เม ฝึกสัตว์ ฝึกม้า ก็ต้องลงปฎักบ้างเป็นครั้งคราว

ลงหนัก เดียวตายก่อนค่ะ

ก็ต้องผ่อนหนักเบา

บางครั้ง ต้องลูบหัวบ้างค่ะ

ชอบมั๊ยๆๆ


คริคริ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร