วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 21:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2020, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




budda.png
budda.png [ 205.53 KiB | เปิดดู 3990 ครั้ง ]
เมื่อเข้าใจทางพ้นทุกข์ก็มีทางเดียว
ทางที่เร็วที่สุดก็ยังคงเป็นทางเดียวอยู่นั่นเอง คือ
การฟังธรรมต่อไป จะไม่มีทางอื่นเลย จะเห็นได้ว่า
พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงข้อปฏิบัติอื่น

เช่น ให้ไปนั่งนานๆ หรือให้ไปยืน เดินนานๆ
หรือให้ไปทำอะไรเป็นชั่วโมง ๆ แต่ว่าข้อความทั้งหมด
จะแสดงว่า การตั้งอยู่ในอรหัตผลย่อมมีได้ ด้วยการศึกษา
โดยลำดับ และการศึกษาโดยลำดับ

ไม่ใช่ว่าให้ทำอย่างอื่น นอกจากเกิดศรัทธา
แล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ ย่อมนั่งใกล้
เมื่อนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสตลง เป็นเรื่องของการฟัง
และการพิจารณา และธรรมที่ได้ฟังก็ทนต่อการพิสูจน์

แต่ บุคคลใดก็ตาม ศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี
การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงสดับก็ดี การฟังธรรมก็ดี
การพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี
ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดี การไตร่ตรองก็ดี การตั้งความเพียรก็ดี
นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว

เพราะฉะนั้น บางท่านขอปฏิบัติ แต่ไม่ขอฟังพระธรรมเพราะ
ฉะนั้น จะเห็นได้ ถ้าไม่ได้มีแล้วอย่างนั้นๆ เธอทั้งหลาย
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
โมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ ไกลเพียงไร

เพราะฉะนั้น ก็มีหนทางเดียวจริงๆ คือฟังไปเรื่อยๆ
พร้อมกับสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่มีหนทางอื่น เพราะเหตุว่า
การฟังเหมือนกับเครื่องมือ หรือเครื่องประกอบ

ในการที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามต้องมีอุปกรณ์ เครื่องใช้
เครื่องมือต่างๆ แม้แต่ในการที่จะทำอาหาร ปรุงอาหาร
ก็ต้องมีอาหารต่างๆ พร้อมจึงจะทำได้ ฉันใด การที่สติระลึก

แล้วปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งประจักษ์ในลักษณะของสภาธรรม
ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนจริงๆ ก็จะต้องอาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรม
จนเข้าใจขึ้น จนสติระลึกเมื่อไร ปัญญาที่เคยสะสมอบรมมามากพร้อมแล้ว
ก็ย่อมจะทำให้ประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 00:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
เมื่อเข้าใจทางพ้นทุกข์ก็มีทางเดียว
ทางที่เร็วที่สุดก็ยังคงเป็นทางเดียวอยู่นั่นเอง คือ
การฟังธรรมต่อไป จะไม่มีทางอื่นเลย จะเห็นได้ว่า
พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงข้อปฏิบัติอื่น

เช่น ให้ไปนั่งนานๆ หรือให้ไปยืน เดินนานๆ
หรือให้ไปทำอะไรเป็นชั่วโมง ๆ
แต่ว่าข้อความทั้งหมด
จะแสดงว่า การตั้งอยู่ในอรหัตผลย่อมมีได้ ด้วยการศึกษา
โดยลำดับ และการศึกษาโดยลำดับ

ไม่ใช่ว่าให้ทำอย่างอื่น นอกจากเกิดศรัทธา
แล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ ย่อมนั่งใกล้
เมื่อนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสตลง เป็นเรื่องของการฟัง
และการพิจารณา และธรรมที่ได้ฟังก็ทนต่อการพิสูจน์

แต่ บุคคลใดก็ตาม ศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี
การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงสดับก็ดี การฟังธรรมก็ดี
การพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี
ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดี การไตร่ตรองก็ดี การตั้งความเพียรก็ดี
นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว

เพราะฉะนั้น บางท่านขอปฏิบัติ แต่ไม่ขอฟังพระธรรมเพราะ
ฉะนั้น จะเห็นได้ ถ้าไม่ได้มีแล้วอย่างนั้นๆ เธอทั้งหลาย
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
โมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ ไกลเพียงไร

เพราะฉะนั้น ก็มีหนทางเดียวจริงๆ คือฟังไปเรื่อยๆ
พร้อมกับสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่มีหนทางอื่น เพราะเหตุว่า
การฟังเหมือนกับเครื่องมือ หรือเครื่องประกอบ

ในการที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามต้องมีอุปกรณ์ เครื่องใช้
เครื่องมือต่างๆ แม้แต่ในการที่จะทำอาหาร ปรุงอาหาร
ก็ต้องมีอาหารต่างๆ พร้อมจึงจะทำได้ ฉันใด การที่สติระลึก

แล้วปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งประจักษ์ในลักษณะของสภาธรรม
ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนจริงๆ ก็จะต้องอาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรม
จนเข้าใจขึ้น จนสติระลึกเมื่อไร ปัญญาที่เคยสะสมอบรมมามากพร้อมแล้ว
ก็ย่อมจะทำให้ประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆได้



นั่นแสดงว่า ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปยืนทำอะไร นั่งทำอะไร :b32: ในใจเขาว่ายังไง คิดยังไง เห็นแต่รูปกายภายนอกว่าเขาไปยืน ไปนั่ง :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ดูแบบพื้นๆ ที่คุณโรสกับลุงหมาน มองไม่เห็น อีกทั้งไม่เข้าใจด้วย :b12:

ดู

อ้างคำพูด:
ฉันเลยได้แต่ปลูกต้นไม้เล่นไปวันๆ ความเงียบสงบ ทำให้ฉันทำสมาธิได้สำเร็จ ซึ่งเมื่ออยู่เมืองไทย พยายามทำแล้วไม่สำเร็จ
เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ผู้ใหญ่ให้เราไปเรียนวิปัสสนา โดยมีแม่ชีมาสอน นั่งเรียงแถวจ้องเทียน ยุบหนอพองหนอ กำหนดลมหายใจ พอตกกลางคืน ฉันร้องกรี๊ดเอะอะโวยวายขึ้นมาขณะนอนหลับ
ฉันรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าผ่าลงบนหัว เสียงเหมือนระเบิดดังเปรี๊ยะ พร้อมกับเหมือนมีแสงสว่างแวบเข้ามาอย่างน่ากลัว ฉันผวาลุกขึ้น ตัวสั่นเหงื่อแตกด้วยความกลัว


ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ยอมไปนั่งวิปัสสนาอีกเลย
คงเป็นเพราะฉันยังเป็นคนมีบาป ไม่มีบารมีพอที่จะรับบุญนี้ จึงบันดาลให้เกิดอาการประหลาดนี้ขึ้น

แต่พอมาอยู่อเมริกาคนเดียวในที่สงบ ก็ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำสมาธิ

ฉันเริ่มจากการเพ่งจุดที่เพดาน ขณะที่นอน จุดอะไรก็ได้ ให้จิตรวมเป็นจุดเดียว
ขณะที่นั่งก็จะหาจุดอะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้า จนรู้สึกว่า จิตเกือบจะรวมได้แล้ว ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ

จนวันหนึ่ง มีญาติมาจากเมืองไทย ฉันพาเขาไปซื้อของที่ห้าง ฉันขี้เกียจเดินขอนั่งรอในรถ
ขณะที่รอ ฉันก็ใช้เวลาที่รอเพ่งจุดขี้ผึ้ง นานเป็นชั่วโมง ฉันรู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้ มันเบาหวิว ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นอะไรเลย มันว่างเปล่า ฉันจึงรู้ว่าฉันทำได้แล้ว มันเป็นความสบายโล่งอย่างบอกไม่ถูก บุญกุศลคงจะสนองฉัน ฉันดีใจมากที่ทำสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา ฉันอยากจะทำสมาธิเมื่อไหร่ก็ทำได้ แม้เพียงนั่งอยู่แค่ไม่กี่นาทีก็ทำได้

ทุกครั้งที่ฉันเหนื่อย เครียด ฉันก็จะหยุดจิตนั่งสมาธิแค่ ๑๕ นาทีก็หายเหนื่อย
ใครจะนำวิธีของฉันไปใช้บ้างก็ได้ จะได้เป็นกุศลมาถึงฉันด้วย คุณไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกที่วัด แค่เพียง ทำจิตให้นิ่งได้ สักวันหนึ่ง คุณก็จะพบความสุขที่แท้จริง


จาก กท. นิทาน

viewtopic.php?f=1&t=57705&start=30

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ดูอีกตัวอย่างหนึ่ง

แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!

จาก กท. นี้

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=47937&start=15

ตัวอย่างมีเยอะแยะ แต่ว่าบอร์ดที่เก็บตัวอย่างไว้ ล่มหมด ป่านนี้ยังไม่ฟื้น :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
เมื่อเข้าใจทางพ้นทุกข์ก็มีทางเดียว
ทางที่เร็วที่สุดก็ยังคงเป็นทางเดียวอยู่นั่นเอง คือ
การฟังธรรมต่อไป จะไม่มีทางอื่นเลย จะเห็นได้ว่า
พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงแสดงข้อปฏิบัติอื่น

เช่น ให้ไปนั่งนานๆ หรือให้ไปยืน เดินนานๆ
หรือให้ไปทำอะไรเป็นชั่วโมง ๆ
แต่ว่าข้อความทั้งหมด
จะแสดงว่า การตั้งอยู่ในอรหัตผลย่อมมีได้ ด้วยการศึกษา
โดยลำดับ และการศึกษาโดยลำดับ

ไม่ใช่ว่าให้ทำอย่างอื่น นอกจากเกิดศรัทธา
แล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ ย่อมนั่งใกล้
เมื่อนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสตลง เป็นเรื่องของการฟัง
และการพิจารณา และธรรมที่ได้ฟังก็ทนต่อการพิสูจน์

แต่ บุคคลใดก็ตาม ศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี
การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงสดับก็ดี การฟังธรรมก็ดี
การพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันทนได้ซึ่งความพินิจก็ดี
ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดี การไตร่ตรองก็ดี การตั้งความเพียรก็ดี
นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว

เพราะฉะนั้น บางท่านขอปฏิบัติ แต่ไม่ขอฟังพระธรรมเพราะ
ฉะนั้น จะเห็นได้ ถ้าไม่ได้มีแล้วอย่างนั้นๆ เธอทั้งหลาย
ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
โมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ ไกลเพียงไร

เพราะฉะนั้น ก็มีหนทางเดียวจริงๆ คือฟังไปเรื่อยๆ
พร้อมกับสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่มีหนทางอื่น เพราะเหตุว่า
การฟังเหมือนกับเครื่องมือ หรือเครื่องประกอบ

ในการที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามต้องมีอุปกรณ์ เครื่องใช้
เครื่องมือต่างๆ แม้แต่ในการที่จะทำอาหาร ปรุงอาหาร
ก็ต้องมีอาหารต่างๆ พร้อมจึงจะทำได้ ฉันใด การที่สติระลึก

แล้วปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งประจักษ์ในลักษณะของสภาธรรม
ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนจริงๆ ก็จะต้องอาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรม
จนเข้าใจขึ้น จนสติระลึกเมื่อไร ปัญญาที่เคยสะสมอบรมมามากพร้อมแล้ว
ก็ย่อมจะทำให้ประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆได้



นั่นแสดงว่า ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปยืนทำอะไร นั่งทำอะไร :b32: ในใจเขาว่ายังไง คิดยังไง เห็นแต่รูปกายภายนอกว่าเขาไปยืน ไปนั่ง :b13:

cool
พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา
ทรงตรัสแต่คำสัจจะตรงจริง
ตรงไปตรงมาเห็นเป็นเห็นไม่เป็นอื่น
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งใดๆที่เรียกชื่อแล้วเป็นนิมิต
นิมิตคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงส่วนตัวเองยึดอัตตาตัวตนว่ามีจริงๆลืมไปแล้วว่า " ไม่มีเรา "
เห็นเป็นเห็นเป็นจิต+สีเป็นสีเป็นรูป+มีปสาทรูปตรงกลางตาที่ไม่พิการ=จึงเกิดจิตเห็น
จิตแต่ละทางไม่เกิดร่วมกันเกิดทีละ1ทาง ก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนคิดไม่มีคิด ดับแล้วไม่มี คิดมีตัวตน=มีอวิชชา
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา
ทรงตรัสแต่คำสัจจะตรงจริง
ตรงไปตรงมาเห็นเป็นเห็นไม่เป็นอื่น
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งใดๆที่เรียกชื่อแล้วเป็นนิมิต
นิมิตคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงส่วนตัวเองยึดอัตตาตัวตนว่ามีจริงๆลืมไปแล้วว่า " ไม่มีเรา "
เห็นเป็นเห็นเป็นจิต+สีเป็นสีเป็นรูป+มีปสาทรูปตรงกลางตาที่ไม่พิการ=จึงเกิดจิตเห็น
จิตแต่ละทางไม่เกิดร่วมกันเกิดทีละ1ทาง ก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนคิดไม่มีคิด ดับแล้วไม่มี คิดมีตัวตน=มีอวิชชา


มาอีกแระไม่มีเรา คิกๆๆ คุณโรสเอ้ย ตัวเองยังแยก "เรา" แยก "ไม่มีเรา" ไม่ออกเบย ถึงได้บอกหลายเทื่อแร้วว่า คุณโรสไปอำเภอทำบัตรประชาชนไม่ได้ ทำไมล่ะ (เล่าอีกที) พอไปถึงเขตถึงที่ว่าการ จนท.ถามว่า

จนท.พี่มาทำอะไรคะ ?
คุณโรส. อึอึ
จนท.อ๋อปวดหนัก :b13: (ปวดขี้) หรือคะ ห้องน้ำทางด้านหลังค่ะ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไป เลี้ยวขวาอีกที :b32: ก็จะเจอห้องน้ำ ถ่ายแล้วกดชักโครกด้วยนะคะ :b13:
คุณโรส. หึ สั่นหน้า
จนท.แล้วคุณพี่จะให้ช่วยทำอะไรคะ ?
คุณโรส. พี่ไม่มี เราไม่มี ไม่มีอะไรเบย :b12:
จนท. ?

ตกลงวันนั้น เสียค่าน้ำรถไปเปล่าๆ

ถึงบ้านน้องถาม พี่โรสทำบัตรได้ไหม

อยู่บ้านคุณโรสพูดแบบชาวบ้านได้ ตอบว่า ไม่ได้ ? พี่พูดแล้ว จนท. ไม่เข้าใจ (เล่าให้น้องฟังว่าพูดยังไง) น้องตอบว่า พี่โรสบ้า พี่บ้าไปแล้ว คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




สรุปแล้วเลอะเทอะ เสียเวลาเปล่า ธรรมะบ้าบอคอแตก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


สรุปแล้วเลอะเทอะ เสียเวลาเปล่า ธรรมะบ้าบอคอแตก



มันอึดอัดอะไรนักหนา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 12:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ค. 2020, 07:10
โพสต์: 465

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา
ทรงตรัสแต่คำสัจจะตรงจริง
ตรงไปตรงมาเห็นเป็นเห็นไม่เป็นอื่น
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งใดๆที่เรียกชื่อแล้วเป็นนิมิต
นิมิตคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงส่วนตัวเองยึดอัตตาตัวตนว่ามีจริงๆลืมไปแล้วว่า " ไม่มีเรา "
เห็นเป็นเห็นเป็นจิต+สีเป็นสีเป็นรูป+มีปสาทรูปตรงกลางตาที่ไม่พิการ=จึงเกิดจิตเห็น
จิตแต่ละทางไม่เกิดร่วมกันเกิดทีละ1ทาง ก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนคิดไม่มีคิด ดับแล้วไม่มี คิดมีตัวตน=มีอวิชชา


มาอีกแระไม่มีเรา คิกๆๆ คุณโรสเอ้ย ตัวเองยังแยก "เรา" แยก "ไม่มีเรา" ไม่ออกเบย ถึงได้บอกหลายเทื่อแร้วว่า คุณโรสไปอำเภอทำบัตรประชาชนไม่ได้ ทำไมล่ะ (เล่าอีกที) พอไปถึงเขตถึงที่ว่าการ จนท.ถามว่า

จนท.พี่มาทำอะไรคะ ?
คุณโรส. อึอึ
จนท.อ๋อปวดหนัก :b13: (ปวดขี้) หรือคะ ห้องน้ำทางด้านหลังค่ะ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไป เลี้ยวขวาอีกที :b32: ก็จะเจอห้องน้ำ ถ่ายแล้วกดชักโครกด้วยนะคะ :b13:
คุณโรส. หึ สั่นหน้า
จนท.แล้วคุณพี่จะให้ช่วยทำอะไรคะ ?
คุณโรส. พี่ไม่มี เราไม่มี ไม่มีอะไรเบย :b12:
จนท. ?

ตกลงวันนั้น เสียค่าน้ำรถไปเปล่าๆ

ถึงบ้านน้องถาม พี่โรสทำบัตรได้ไหม

อยู่บ้านคุณโรสพูดแบบชาวบ้านได้ ตอบว่า ไม่ได้ ? พี่พูดแล้ว จนท. ไม่เข้าใจ (เล่าให้น้องฟังว่าพูดยังไง) น้องตอบว่า พี่โรสบ้า พี่บ้าไปแล้ว คิกๆๆ

:b32:
ไม่เคยจำถูกตามคำสอนว่าไม่มีเรา...เอ้าคิดไม่ออกใช่ไหมว่ากำลังมีเราเต็มไปหมด
ที่มีเราเป็นตัวตนทำทุกอย่างก็คือมีตัวกูของกูยึดความคิดกูว่าถูกต้องแล้วไม่รู้จักคิดตามสอน
คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีเรา=ไม่มีกู แล้วเอาตัวกูไปทำทุกอย่างน่ะคือมีอุปาทานขันธ์เป็นตัวตน
ขันธ์แปลว่าเกิด-ดับ โลกแปลว่าสิ่งที่เกิดดับ ตอนนี้กำลังมีกูยึดถือขันธ์และโลกที่กำลังเกิดดับเป็นตัวกูของกู
กำลังมีอัตตานุทิฏฐิยึดถือว่ามีคนสัตว์วัตถุเต็มโลกและมีสักกายทิฏฐิยึดถือขันธ์5ผิดๆรวมกันเป็นตัวกูของกู
จะรู้และเข้าใจถูกว่าตัวกูของกูที่กำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นมันไม่มีอยู่จริงได้ตอนที่กำลังคิดถูกตามได้ตอนฟัง
ตอนลืมฟังทั้งๆที่กำลังฟังอยู่ก็คิดแย้งเหยงๆไปเรื่อยเปื่อยโดยลืมคิดตามเสียงที่กำลังได้ยินคือคิดฟุ้งซ่านแล้ว
เอาอะไรมาคิดถูกด้วยตัวเองเพราะตัวเองมีปัญญาน้อยถึงยังเกิดมาเนี่ยแล้ววันนี้ไม่เคยทำปัญญาตามคำสอน
จะไปคิดถูกตามได้ตอนไหนคะเอาแต่ทำตามกิเลสคือความอยากทำสิ่งที่อยากทำลืมพึ่งการคิดตรงตามสัจจะ
ลืมหลักการคิดถูกตรงตามคำสอนตามหลักกาลามสูตรสิบคือพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อพระองค์แต่ให้ฟัง
เพื่อไตร่ตรองถูกตรงตามคำของพระองค์แล้วเกิดปัญญาคิดเห็นถูกตามคำของพระองค์คือเปลี่ยนที่ความคิด
ไม่ใช่เอาสันดานดิบตนเองที่มีตั้งแต่เกิดไปคิดเองปรุงแต่งเองไม่เข้าใจเหรอว่าสังขารปรุงแต่งถูกตอนฟัง555
ถ้าตัวเองฟังไม่เข้าใจก็กิเลสตัวเองพาคิดอะไรนอกกรอบของเสียงที่กำลังได้ยินฟังเข้าซ้ายออกขวา=อวิชชา
ก็ตัวเองฟังไม่เข้าใจ=ไม่มีปัญญาคิดถูก เออในเมื่อคิดตามอยู่เนี่ยไม่เคยคิดถูกเนี่ยจะไปทำอะไรก็คิดไม่ถูกนะ
เก็ตไหมเนี่ย...คิดให้ถูกตัวเดี๋ยวนี้...ไม่ใช่คิดเทียบตามความจำเดิมๆที่ยึดตำรานั่นมันอดีตสัญญาไม่ใช่ปัญญา
สัญญาเจตสิกคือสัญญาขันธ์คนละขันธ์กับปัญญา ปัญญาเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงความคิดถูกตามคำสอน
คุณไม่ใส่ใจการปรุงแต่งความคิดให้ถูกตามคำสอนแต่คุณเพียรไปคิดทำตามใจกิเลสตัวเองลืมพึ่งศาสดาค่ะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2020, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarina เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา
ทรงตรัสแต่คำสัจจะตรงจริง
ตรงไปตรงมาเห็นเป็นเห็นไม่เป็นอื่น
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งใดๆที่เรียกชื่อแล้วเป็นนิมิต
นิมิตคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงส่วนตัวเองยึดอัตตาตัวตนว่ามีจริงๆลืมไปแล้วว่า " ไม่มีเรา "
เห็นเป็นเห็นเป็นจิต+สีเป็นสีเป็นรูป+มีปสาทรูปตรงกลางตาที่ไม่พิการ=จึงเกิดจิตเห็น
จิตแต่ละทางไม่เกิดร่วมกันเกิดทีละ1ทาง ก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนคิดไม่มีคิด ดับแล้วไม่มี คิดมีตัวตน=มีอวิชชา


มาอีกแระไม่มีเรา คิกๆๆ คุณโรสเอ้ย ตัวเองยังแยก "เรา" แยก "ไม่มีเรา" ไม่ออกเบย ถึงได้บอกหลายเทื่อแร้วว่า คุณโรสไปอำเภอทำบัตรประชาชนไม่ได้ ทำไมล่ะ (เล่าอีกที) พอไปถึงเขตถึงที่ว่าการ จนท.ถามว่า

จนท.พี่มาทำอะไรคะ ?
คุณโรส. อึอึ
จนท.อ๋อปวดหนัก :b13: (ปวดขี้) หรือคะ ห้องน้ำทางด้านหลังค่ะ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไป เลี้ยวขวาอีกที :b32: ก็จะเจอห้องน้ำ ถ่ายแล้วกดชักโครกด้วยนะคะ :b13:
คุณโรส. หึ สั่นหน้า
จนท.แล้วคุณพี่จะให้ช่วยทำอะไรคะ ?
คุณโรส. พี่ไม่มี เราไม่มี ไม่มีอะไรเบย :b12:
จนท. ?

ตกลงวันนั้น เสียค่าน้ำรถไปเปล่าๆ

ถึงบ้านน้องถาม พี่โรสทำบัตรได้ไหม

อยู่บ้านคุณโรสพูดแบบชาวบ้านได้ ตอบว่า ไม่ได้ ? พี่พูดแล้ว จนท. ไม่เข้าใจ (เล่าให้น้องฟังว่าพูดยังไง) น้องตอบว่า พี่โรสบ้า พี่บ้าไปแล้ว คิกๆๆ

:b32:
ไม่เคยจำถูกตามคำสอนว่าไม่มีเรา...เอ้าคิดไม่ออกใช่ไหมว่ากำลังมีเราเต็มไปหมด
ที่มีเราเป็นตัวตนทำทุกอย่างก็คือมีตัวกูของกูยึดความคิดกูว่าถูกต้องแล้วไม่รู้จักคิดตามสอน
คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีเรา=ไม่มีกู แล้วเอาตัวกูไปทำทุกอย่างน่ะคือมีอุปาทานขันธ์เป็นตัวตน
ขันธ์แปลว่าเกิด-ดับ โลกแปลว่าสิ่งที่เกิดดับ ตอนนี้กำลังมีกูยึดถือขันธ์และโลกที่กำลังเกิดดับเป็นตัวกูของกู
กำลังมีอัตตานุทิฏฐิยึดถือว่ามีคนสัตว์วัตถุเต็มโลกและมีสักกายทิฏฐิยึดถือขันธ์5ผิดๆรวมกันเป็นตัวกูของกู
จะรู้และเข้าใจถูกว่าตัวกูของกูที่กำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นมันไม่มีอยู่จริงได้ตอนที่กำลังคิดถูกตามได้ตอนฟัง
ตอนลืมฟังทั้งๆที่กำลังฟังอยู่ก็คิดแย้งเหยงๆไปเรื่อยเปื่อยโดยลืมคิดตามเสียงที่กำลังได้ยินคือคิดฟุ้งซ่านแล้ว
เอาอะไรมาคิดถูกด้วยตัวเองเพราะตัวเองมีปัญญาน้อยถึงยังเกิดมาเนี่ยแล้ววันนี้ไม่เคยทำปัญญาตามคำสอน
จะไปคิดถูกตามได้ตอนไหนคะเอาแต่ทำตามกิเลสคือความอยากทำสิ่งที่อยากทำลืมพึ่งการคิดตรงตามสัจจะ
ลืมหลักการคิดถูกตรงตามคำสอนตามหลักกาลามสูตรสิบคือพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อพระองค์แต่ให้ฟัง
เพื่อไตร่ตรองถูกตรงตามคำของพระองค์แล้วเกิดปัญญาคิดเห็นถูกตามคำของพระองค์คือเปลี่ยนที่ความคิด
ไม่ใช่เอาสันดานดิบตนเองที่มีตั้งแต่เกิดไปคิดเองปรุงแต่งเองไม่เข้าใจเหรอว่าสังขารปรุงแต่งถูกตอนฟัง555
ถ้าตัวเองฟังไม่เข้าใจก็กิเลสตัวเองพาคิดอะไรนอกกรอบของเสียงที่กำลังได้ยินฟังเข้าซ้ายออกขวา=อวิชชา
ก็ตัวเองฟังไม่เข้าใจ=ไม่มีปัญญาคิดถูก เออในเมื่อคิดตามอยู่เนี่ยไม่เคยคิดถูกเนี่ยจะไปทำอะไรก็คิดไม่ถูกนะ
เก็ตไหมเนี่ย...คิดให้ถูกตัวเดี๋ยวนี้...ไม่ใช่คิดเทียบตามความจำเดิมๆที่ยึดตำรานั่นมันอดีตสัญญาไม่ใช่ปัญญา
สัญญาเจตสิกคือสัญญาขันธ์คนละขันธ์กับปัญญา ปัญญาเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงความคิดถูกตามคำสอน
คุณไม่ใส่ใจการปรุงแต่งความคิดให้ถูกตามคำสอนแต่คุณเพียรไปคิดทำตามใจกิเลสตัวเองลืมพึ่งศาสดาค่ะ


หากจะตั้งคำถามวิธีทำจากคุณโรสว่าทำยังไง ไม่ให้มีเรา ในขณะดำเนินชีวิตดังพระอรหันต์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น คุณโรสจะตอบว่ายังไง

ไหนบอกมาสิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2020, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarina เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีเรา
ทรงตรัสแต่คำสัจจะตรงจริง
ตรงไปตรงมาเห็นเป็นเห็นไม่เป็นอื่น
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นสิ่งใดๆที่เรียกชื่อแล้วเป็นนิมิต
นิมิตคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงส่วนตัวเองยึดอัตตาตัวตนว่ามีจริงๆลืมไปแล้วว่า " ไม่มีเรา "
เห็นเป็นเห็นเป็นจิต+สีเป็นสีเป็นรูป+มีปสาทรูปตรงกลางตาที่ไม่พิการ=จึงเกิดจิตเห็น
จิตแต่ละทางไม่เกิดร่วมกันเกิดทีละ1ทาง ก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนคิดไม่มีคิด ดับแล้วไม่มี คิดมีตัวตน=มีอวิชชา


มาอีกแระไม่มีเรา คิกๆๆ คุณโรสเอ้ย ตัวเองยังแยก "เรา" แยก "ไม่มีเรา" ไม่ออกเบย ถึงได้บอกหลายเทื่อแร้วว่า คุณโรสไปอำเภอทำบัตรประชาชนไม่ได้ ทำไมล่ะ (เล่าอีกที) พอไปถึงเขตถึงที่ว่าการ จนท.ถามว่า

จนท.พี่มาทำอะไรคะ ?
คุณโรส. อึอึ
จนท.อ๋อปวดหนัก :b13: (ปวดขี้) หรือคะ ห้องน้ำทางด้านหลังค่ะ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไป เลี้ยวขวาอีกที :b32: ก็จะเจอห้องน้ำ ถ่ายแล้วกดชักโครกด้วยนะคะ :b13:
คุณโรส. หึ สั่นหน้า
จนท.แล้วคุณพี่จะให้ช่วยทำอะไรคะ ?
คุณโรส. พี่ไม่มี เราไม่มี ไม่มีอะไรเบย :b12:
จนท. ?

ตกลงวันนั้น เสียค่าน้ำรถไปเปล่าๆ

ถึงบ้านน้องถาม พี่โรสทำบัตรได้ไหม

อยู่บ้านคุณโรสพูดแบบชาวบ้านได้ ตอบว่า ไม่ได้ ? พี่พูดแล้ว จนท. ไม่เข้าใจ (เล่าให้น้องฟังว่าพูดยังไง) น้องตอบว่า พี่โรสบ้า พี่บ้าไปแล้ว คิกๆๆ

:b32:
ไม่เคยจำถูกตามคำสอนว่าไม่มีเรา...เอ้าคิดไม่ออกใช่ไหมว่ากำลังมีเราเต็มไปหมด
ที่มีเราเป็นตัวตนทำทุกอย่างก็คือมีตัวกูของกูยึดความคิดกูว่าถูกต้องแล้วไม่รู้จักคิดตามสอน
คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีเรา=ไม่มีกู แล้วเอาตัวกูไปทำทุกอย่างน่ะคือมีอุปาทานขันธ์เป็นตัวตน
ขันธ์แปลว่าเกิด-ดับ โลกแปลว่าสิ่งที่เกิดดับ ตอนนี้กำลังมีกูยึดถือขันธ์และโลกที่กำลังเกิดดับเป็นตัวกูของกู
กำลังมีอัตตานุทิฏฐิยึดถือว่ามีคนสัตว์วัตถุเต็มโลกและมีสักกายทิฏฐิยึดถือขันธ์5ผิดๆรวมกันเป็นตัวกูของกู
จะรู้และเข้าใจถูกว่าตัวกูของกูที่กำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นมันไม่มีอยู่จริงได้ตอนที่กำลังคิดถูกตามได้ตอนฟัง
ตอนลืมฟังทั้งๆที่กำลังฟังอยู่ก็คิดแย้งเหยงๆไปเรื่อยเปื่อยโดยลืมคิดตามเสียงที่กำลังได้ยินคือคิดฟุ้งซ่านแล้ว
เอาอะไรมาคิดถูกด้วยตัวเองเพราะตัวเองมีปัญญาน้อยถึงยังเกิดมาเนี่ยแล้ววันนี้ไม่เคยทำปัญญาตามคำสอน
จะไปคิดถูกตามได้ตอนไหนคะเอาแต่ทำตามกิเลสคือความอยากทำสิ่งที่อยากทำลืมพึ่งการคิดตรงตามสัจจะ
ลืมหลักการคิดถูกตรงตามคำสอนตามหลักกาลามสูตรสิบคือพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อพระองค์แต่ให้ฟัง
เพื่อไตร่ตรองถูกตรงตามคำของพระองค์แล้วเกิดปัญญาคิดเห็นถูกตามคำของพระองค์คือเปลี่ยนที่ความคิด
ไม่ใช่เอาสันดานดิบตนเองที่มีตั้งแต่เกิดไปคิดเองปรุงแต่งเองไม่เข้าใจเหรอว่าสังขารปรุงแต่งถูกตอนฟัง555
ถ้าตัวเองฟังไม่เข้าใจก็กิเลสตัวเองพาคิดอะไรนอกกรอบของเสียงที่กำลังได้ยินฟังเข้าซ้ายออกขวา=อวิชชา
ก็ตัวเองฟังไม่เข้าใจ=ไม่มีปัญญาคิดถูก เออในเมื่อคิดตามอยู่เนี่ยไม่เคยคิดถูกเนี่ยจะไปทำอะไรก็คิดไม่ถูกนะ
เก็ตไหมเนี่ย...คิดให้ถูกตัวเดี๋ยวนี้...ไม่ใช่คิดเทียบตามความจำเดิมๆที่ยึดตำรานั่นมันอดีตสัญญาไม่ใช่ปัญญา
สัญญาเจตสิกคือสัญญาขันธ์คนละขันธ์กับปัญญา ปัญญาเจตสิกคือสังขารขันธ์ปรุงความคิดถูกตามคำสอน
คุณไม่ใส่ใจการปรุงแต่งความคิดให้ถูกตามคำสอนแต่คุณเพียรไปคิดทำตามใจกิเลสตัวเองลืมพึ่งศาสดาค่ะ


หากจะตั้งคำถามวิธีทำจากคุณโรสว่าทำยังไง ไม่ให้มีเรา ในขณะดำเนินชีวิตดังพระอรหันต์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น คุณโรสจะตอบว่ายังไง

ไหนบอกมาสิ


:b32:
จั๊กสิให้เว้าแนวใด๋อิ๊กน้อ555 = ไม่รู้จะให้ว่ายังไงอีกหนอ ขำ

บ่ฮู้จักคิดติ๊หว๊าฟังให้เข้าใจท่อนั่น เฮ็ดแบบด๋ายยยย = ไม่รู้จักคิดรึว่าฟังให้มันเข้าใจเท่านั้น ทำแบบหน๋ายยย

กะบอกแล่วบอกอีกวาให้ฟังให้มันคึดเข่าจัยถืกโต=ก็บอกแล้วบอกอีกว่าให้ฟังให้มันคิดเข้าใจถูกตัว
:b12:
ก็ไม่เคยฟังว่าใครพูดถูกตรงตามคำสอนเพราะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าว่าตรงอย่างไรอย่าอ้างว่าตถาคตตายแล้ว
ตถาคต(ศาสดา) ยก คำสอน(ศาสนา) ขึ้นแทนตถาคต คำสอนไม่เคยตายแต่มีคนที่ไม่ทำตามพระธรรมวินัย
ไปแอบอ้างยกเอาคำของศาสดามาพูดแบบไม่รู้ไม่เข้าใจพูดเพื่อเงินทองลาภสักการะโดยไม่มีหิริ-โอตัปปะ
เพราะคำสอนคือความจริงตรงสัจจะตรงปัจจุบันขณะทุกคำคือคำไม่ตายเป็นจริงทุกเวลาทุกสถานที่และ
ไม่ได้ทำมีแล้วพระองค์ตรัสรู้และทรงบัญญัติทุกคำไว้เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจถูกตามได้ไม่ได้บอกให้ไปทำ
:b32: :b32:
คนที่จะพูดว่าใครเป็นพระอรหันต์แสดงว่าตัวคนพูดมีปัญญาจริงๆถึงอรหันต์คิดสิตัวเองเป็นใครมีปัญญาถึงรึ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2020, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

จั๊กสิให้เว้าแนวใด๋อิ๊กน้อ555 = ไม่รู้จะให้ว่ายังไงอีกหนอ ขำ

บ่ฮู้จักคิดติ๊หว๊าฟังให้เข้าใจท่อนั่น เฮ็ดแบบด๋ายยยย = ไม่รู้จักคิดรึว่าฟังให้มันเข้าใจเท่านั้น ทำแบบหน๋ายยย

กะบอกแล่วบอกอีกวาให้ฟังให้มันคึดเข่าจัยถืกโต=ก็บอกแล้วบอกอีกว่าให้ฟังให้มันคิดเข้าใจถูกตัว
:b12:
ก็ไม่เคยฟังว่าใครพูดถูกตรงตามคำสอนเพราะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าว่าตรงอย่างไรอย่าอ้างว่าตถาคตตายแล้ว
ตถาคต(ศาสดา) ยก คำสอน(ศาสนา) ขึ้นแทนตถาคต คำสอนไม่เคยตายแต่มีคนที่ไม่ทำตามพระธรรมวินัย
ไปแอบอ้างยกเอาคำของศาสดามาพูดแบบไม่รู้ไม่เข้าใจพูดเพื่อเงินทองลาภสักการะโดยไม่มีหิริ-โอตัปปะ
เพราะคำสอนคือความจริงตรงสัจจะตรงปัจจุบันขณะทุกคำคือคำไม่ตายเป็นจริงทุกเวลาทุกสถานที่และ
ไม่ได้ทำมีแล้วพระองค์ตรัสรู้และทรงบัญญัติทุกคำไว้เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจถูกตามได้ไม่ได้บอกให้ไปทำ
:b32: :b32:
คนที่จะพูดว่าใครเป็นพระอรหันต์แสดงว่าตัวคนพูดมีปัญญาจริงๆถึงอรหันต์คิดสิตัวเองเป็นใครมีปัญญาถึงรึ


นั่นก็แสดงว่า สำนักแม่สุจินมีปัญญาถึงระดับพระอรหันต์แล้ว แม่นก่อ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2020, 10:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ค. 2020, 07:10
โพสต์: 465

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

จั๊กสิให้เว้าแนวใด๋อิ๊กน้อ555 = ไม่รู้จะให้ว่ายังไงอีกหนอ ขำ

บ่ฮู้จักคิดติ๊หว๊าฟังให้เข้าใจท่อนั่น เฮ็ดแบบด๋ายยยย = ไม่รู้จักคิดรึว่าฟังให้มันเข้าใจเท่านั้น ทำแบบหน๋ายยย

กะบอกแล่วบอกอีกวาให้ฟังให้มันคึดเข่าจัยถืกโต=ก็บอกแล้วบอกอีกว่าให้ฟังให้มันคิดเข้าใจถูกตัว
:b12:
ก็ไม่เคยฟังว่าใครพูดถูกตรงตามคำสอนเพราะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าว่าตรงอย่างไรอย่าอ้างว่าตถาคตตายแล้ว
ตถาคต(ศาสดา) ยก คำสอน(ศาสนา) ขึ้นแทนตถาคต คำสอนไม่เคยตายแต่มีคนที่ไม่ทำตามพระธรรมวินัย
ไปแอบอ้างยกเอาคำของศาสดามาพูดแบบไม่รู้ไม่เข้าใจพูดเพื่อเงินทองลาภสักการะโดยไม่มีหิริ-โอตัปปะ
เพราะคำสอนคือความจริงตรงสัจจะตรงปัจจุบันขณะทุกคำคือคำไม่ตายเป็นจริงทุกเวลาทุกสถานที่และ
ไม่ได้ทำมีแล้วพระองค์ตรัสรู้และทรงบัญญัติทุกคำไว้เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจถูกตามได้ไม่ได้บอกให้ไปทำ
:b32: :b32:
คนที่จะพูดว่าใครเป็นพระอรหันต์แสดงว่าตัวคนพูดมีปัญญาจริงๆถึงอรหันต์คิดสิตัวเองเป็นใครมีปัญญาถึงรึ


นั่นก็แสดงว่า สำนักแม่สุจินมีปัญญาถึงระดับพระอรหันต์แล้ว แม่นก่อ :b32:

Kiss
การกล่าวถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว
คือการกล่าวตามคำวาจาสัจจะผิดตรงไหนหรือ
การบอกสิ่งที่พระพุทธเจ้ายืนยันว่าใครเป็นแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นอริยบุคคลระดับไหนนั่นคือสัจจะแล้ว
แต่คนที่ออกมาพูดว่าคนนั้นในยุคนี้คืออรหันต์ผิดแน่ๆ
การบำเพ็ญบารมีล้วนแต่มีผู้ต้องการเกิดพบตถาคต
เพื่อได้ฟังคำสอนและได้รับคำยืนยันว่าตนพ้นแล้ว
ไม่ใช่การคิดด้นเดาเอาเองของคนยุคนี้พูดไม่จริง
ตถาคตระบุไว้ในพระไตรปิฏกพันปีที่3ไม่มีอรหันต์
ชาวบ้านสามารถบรรลุอนาคามีได้โดยไม่ต้องบวช
ส่วนบวชรับเงินมีอาบัติปิดสวรรค์มรรคผลนิพพาน
เชื่อไหมหรือเชื่อแต่ว่านั่งหลับตาสมาธิไปพรหมโลก
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2020, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarina เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

จั๊กสิให้เว้าแนวใด๋อิ๊กน้อ555 = ไม่รู้จะให้ว่ายังไงอีกหนอ ขำ

บ่ฮู้จักคิดติ๊หว๊าฟังให้เข้าใจท่อนั่น เฮ็ดแบบด๋ายยยย = ไม่รู้จักคิดรึว่าฟังให้มันเข้าใจเท่านั้น ทำแบบหน๋ายยย

กะบอกแล่วบอกอีกวาให้ฟังให้มันคึดเข่าจัยถืกโต=ก็บอกแล้วบอกอีกว่าให้ฟังให้มันคิดเข้าใจถูกตัว
:b12:
ก็ไม่เคยฟังว่าใครพูดถูกตรงตามคำสอนเพราะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าว่าตรงอย่างไรอย่าอ้างว่าตถาคตตายแล้ว
ตถาคต(ศาสดา) ยก คำสอน(ศาสนา) ขึ้นแทนตถาคต คำสอนไม่เคยตายแต่มีคนที่ไม่ทำตามพระธรรมวินัย
ไปแอบอ้างยกเอาคำของศาสดามาพูดแบบไม่รู้ไม่เข้าใจพูดเพื่อเงินทองลาภสักการะโดยไม่มีหิริ-โอตัปปะ
เพราะคำสอนคือความจริงตรงสัจจะตรงปัจจุบันขณะทุกคำคือคำไม่ตายเป็นจริงทุกเวลาทุกสถานที่และ
ไม่ได้ทำมีแล้วพระองค์ตรัสรู้และทรงบัญญัติทุกคำไว้เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจถูกตามได้ไม่ได้บอกให้ไปทำ
:b32: :b32:
คนที่จะพูดว่าใครเป็นพระอรหันต์แสดงว่าตัวคนพูดมีปัญญาจริงๆถึงอรหันต์คิดสิตัวเองเป็นใครมีปัญญาถึงรึ


นั่นก็แสดงว่า สำนักแม่สุจินมีปัญญาถึงระดับพระอรหันต์แล้ว แม่นก่อ :b32:

Kiss
การกล่าวถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว
คือการกล่าวตามคำวาจาสัจจะผิดตรงไหนหรือ

การบอกสิ่งที่พระพุทธเจ้ายืนยันว่าใครเป็นแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นอริยบุคคลระดับไหนนั่นคือสัจจะแล้ว
แต่คนที่ออกมาพูดว่าคนนั้นในยุคนี้คืออรหันต์ผิดแน่ๆ
การบำเพ็ญบารมีล้วนแต่มีผู้ต้องการเกิดพบตถาคต
เพื่อได้ฟังคำสอนและได้รับคำยืนยันว่าตนพ้นแล้ว
ไม่ใช่การคิดด้นเดาเอาเองของคนยุคนี้พูดไม่จริง
ตถาคตระบุไว้ในพระไตรปิฏกพันปีที่3ไม่มีอรหันต์
ชาวบ้านสามารถบรรลุอนาคามีได้โดยไม่ต้องบวช
ส่วนบวชรับเงินมีอาบัติปิดสวรรค์มรรคผลนิพพาน
เชื่อไหมหรือเชื่อแต่ว่านั่งหลับตาสมาธิไปพรหมโลก


มันไม่ผิดกฎหมายดอก ตำหนวดไม่จับ เหมือนคนพูดถึงนิพพานนั่นแหละ
แต่เราเองคนพูดเองยังไม่รู้ไม่เห็นยังเข้าไม่ถึงนิพพาน :b32: พูดได้ พูดได้ ไม่มีใครห้าม ไม่ผิดกฎหมาย

แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า เมื่อไม่รู้ไม่เห็นเข้าไม่ถึงพูดๆไป ก็ออกแนวๆ คนตาบอดคลำช้าง เคยได้ยินไหม คนตาบอดคลำช้าง คลำถูกหางช้าง ก็คิดว่าช้างเหมือนไม้กวาด
คลำถูกหูช้าง ก็คิดว่า ช้างเหมือนกระโด้งฟัดข้าว
คลำถูกขาช้าง ก็คิดว่า ช้างเหมือนเสาเรือน ฯลฯ :b32: นี่มันเป็นยังงั้น

เรื่องที่คุณโรสพูดปะติดปะต่อโยงไปนั่นมานี่ ยิ่งกว่าคนตาบอดคลำช้างอีก มันปนกันมั่วยุ่งเหยิงเหมือนฝอยขัดหม้อ เละยิ่งกว่าเต้าหู้ตกตึกอีก :b32: นี่มันเป็นยังงี้ ดูสินั่นพันกันนุงนัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร