วันเวลาปัจจุบัน 21 ธ.ค. 2025, 23:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: วันนี้, 06:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5439


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เอาทุกข์ ไม่เอาสุข

คำแนะนำ ๔ ประการของพระพุทธเจ้า
ไม่ว่าจะเป็น ‘ไม่หาทุกข์มาทับถมตน’ ...
‘ไม่ปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรม หรือ
ไม่มองข้ามความสุขที่ชอบธรรม’ ...
‘ไม่สยบมัวเมาในความสุขนั้น หรือไม่ยึดติด
ในความสุข แม้ชอบธรรมก็ตาม’ รวมทั้ง
‘รู้จักขจัดเหตุแห่งทุกข์’ ...

ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยสติเป็นตัวนำ เพราะถ้า
ไม่มีสติเป็นตัวนำ สิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำมา
ทั้ง ๔ ประการนี้ แม้เราจะเห็นว่าดี ก็ทำไม่ได้
มันก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลงไปตามอารมณ์ หลงไป
ตามกิเลส เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเรื่องสุข
และทุกข์ให้ดี และปฏิบัติกับทุกข์อย่างไร
ปฏิบัติอย่างไรกับสุขให้ถูกต้อง เราจะรู้เลยว่า
สตินี้สำคัญมาก มันจะทำให้เราสามารถปฏิบัติ
กับสุขและทุกข์ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะ
ถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่ทุกข์ไม่เอาอย่างเดียว
สุขก็ไม่เอาด้วย เรียกว่าอยู่เหนือสุข
อยู่เหนือทุกข์เลยทีเดียว นั่นคือสิ่งที่จะพา
ให้จิตใจเป็นอิสระอย่างแท้จริง ...
...
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต
แสดงธรรม ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖





.

#ชักชวนคนทำบุญ

หลวงพ่อ : อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าสมัยพระพุทธกัสสป ท่านเทศน์ไว้อย่างนี้ คือ

"บุคคลใดทำบุญด้วยตนเอง ไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไป จะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อนขาดบริวารสมบัติ"

"ถ้าดีแต่ชักชวนเขา ไม่ทำเอง ชาติต่อไปมีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจน"

"ถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย"

นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะ
ถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ
ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี่ก็ลำบากนะ ถ้าชวนเขาทำบุญด้วย ก็อย่าหวังว่าเขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ก็เป็นเรื่ิองของเขา คือแนะนำเขาว่าเวลานี้เราทำโน่นทำนี่ จะทำบุญร่วมด้วยไหม

ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยก็อย่าไปโกรธเราถือว่าเราชวนเขาทำความดี
ถ้าเราโกรธเขาเข้า บุญเราจะด้อยลงไป เพราะตัวโกรธเข้ามาตัด

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
_________
จาก "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔๐๕ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗ หน้า ๑๐๔




..ผู้ที่ได้บริจาคสิ่งของตามกำลังความสามารถของตนก็ดี บริจาคเงินก็ดีสิ่งของก็ดี อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เราจะได้ประกันตัวของเราว่าได้ถวายทานสิ่งของต่างๆ การได้ถวายเงินทองก็ดีปัจจัยเงินทองเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเราได้ถวายไปแล้วจะซื้อเครื่องนุ่งเครื่องห่มก็ได้ จะซื้ออาหารการกินบริโภคให้ร่างกายแข็งแรงมีความสุขก็ได้ จะซื้อยานพาหนะรถเรือไปที่นั่นที่นี่ ซื้อบ้านซื้อช่องก็ได้ เวลามีโรคภัยไข้เจ็บจะไปซื้อหยูกซื้อยามารักษาตนเองให้ระงับดับทุกข์ ให้หายจากเวทนาได้รับความสุขก็ต้องอาศัยปัจจัยเงินทอง ก็เหมือนเราได้ถวายปัจจัยทั้ง 4 อย่าง เราก็ไม่ต้องน้อยใจว่าได้ถวายมากถวายน้อย เราได้ถวายไปตามกำลังความสามารถของตน เป็นการฝากฝังเอาไว้ในพระพุทธศาสนาฝากฝังไว้ที่ไหน ก็ฝากฝังไว้ที่ใจของพวกเรา ว่าใจของเรานั้นได้ทำคุณงามความดีนึกถึงคุณงามความดีก็เป็นบุญเป็นกุศลก็นับว่าเราโชคดีที่ได้ทำคุณงามความดี ได้ทำบุญทำทานการกุศล ได้สร้างสมอบรมเอาไว้..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..




"งานของนักบวชนักปฏิบัติ”

พอเรามีเวลาปลีกวิเวกเราก็จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายไปกับเรื่องราวต่างๆ เรื่องของการทำมาหากิน เรื่องของการทำอะไรตามความอยากต่างๆ เพราะเราจะควบคุมจิตใจของเรา ควบคุมการกระทำการพูดของเราให้มีน้อยลงไป โดยเฉพาะการกระทำตามความอยากต่างๆ หลังจากที่เรารักษาศีล ๕ ข้อ เราก็เพิ่มเป็น ๘ ข้อ ข้อที่ ๓ เราก็ถือศีลพรหมจรรย์ คือเราจะไม่หาความสุขตามความอยากด้วยการร่วมหลับนอนกับผู้อื่น ข้อ ๖ เราก็จะไม่หาความสุขจากความอยากรับประทานอาหารแบบไม่มีขอบมีเขตไม่มีเหตุไม่มีผล เราจะไม่รับประทานอาหารตามความอยาก เราจะรับประทานอาหารตามเหตุตามผล ตามเวลา ตามความต้องการของร่างกาย ไม่ใช่ตามความต้องการของใจของตัณหาความอยาก และเราก็จะควบคุมการหาความสุขจากการบันเทิงต่างๆ ซึ่งเป็นความอยากในกาม กามตัณหา ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ไม่หาไม่ดูไม่ฟังไม่ร้องรำทำเพลง หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องบันเทิงทั้งหลาย เกี่ยวข้องกับเรื่องของสวยๆ งามๆ เช่นเสื้อผ้าอาภรณ์ น้ำหอมน้ำมันเครื่องสำอางต่างๆ อันนี้เป็นการเสียเวลา เป็นความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าวไม่เป็นความสุขจริงเป็นความสุขปลอม สู้เอาเวลาที่หมดไปกับการเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้มาเจริญสติ มาควบคุมความคิดต่างๆ ไม่ให้คิดปรุงเเต่ง ไปในทางความอยาก เพื่อใจจะได้เข้าสู่ความสงบได้ แล้วก็จะพักผ่อนหลับนอนตามความต้องการของร่างกาย จะไม่พักผ่อนหลับนอนตามความอยากของกิเลสตัณหา

วิธีพักผ่อนตามความอยากของกิเลสตัณหาก็คือต้องหลับนอนบนฟูกหนาๆ สบายๆ เวลาร่างกายได้พักผ่อนพอแล้ว ตื่นขึ้นมาก็จะไม่อยากจะลุก เพราะที่นอนมันนุ่มมันสบายก็จะหลับต่ออีก ๔-๕ ชั่วโมง แทนที่จะหลับเพียง ๔ -๕ ชั่วโมงก็จะกลายเป็น ๘-๙ชั่วโมงไป ก็จะเสียเวลาอันมีค่า ที่จะเอามาใช้ในการบำเพ็ญคือมาเดินจงกรมนั่งสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้นักบวชนักปฏิบัติทั้งหลายบำเพ็ญ คือตั้งแต่เวลา หกโมงเย็นถึงสี่ทุ่มก็ให้เจริญสติด้วยการเดินจงกรมนั่งสมาธิกัน จากสี่ทุ่มถึงตีสองก็ให้พักผ่อน ถ้าพักผ่อนบนพื้นไม้บนพื้นแข็งที่ไม่นุ่มก็ร่างกายก็จะพักไม่เกิน ๔-๕ ชั่วโมง พอได้พักพอตื่นขึ้นมาก็จะไม่อยากนอนต่อเพราะมันไม่นุ่มไม่สบายก็จะลุกขึ้นมาเดินจงกรมนั่งสมาธิต่อ จากตีสองถึงหกโมงเช้า หลังจากหกโมงเช้าก็ไปทำภารกิจเกี่ยวกับทางด้านร่างกาย เป็นพระก็ออกไปบิณฑบาตไปหาอาหารมาขบมาฉันจนกว่าจะเสร็จภารกิจทางด้านร่างกายแล้วก็กลับมาเดินจงกรมนั่งสมาธิต่อ จนถึงยามบ่ายก็พัก ก็ทำหน้าที่ในการทำความสะอาดสถานที่พักกวาดถู ปัดกวาดลานวัดอะไรต่างๆ เหล่านี้ แล้วถ้ามีน้ำปานะอยากจะดื่มน้ำปานะให้แก่ร่างกายก็ดื่มได้ น้ำปานะคือน้ำที่คั้นมาจากผลไม้ ที่มีขนาดไม่เกินกำปั้น น้ำผลไม้อะไรที่ใหญ่กว่ากำปั้นก็ไม่สามารถเอามาใช้เป็นน้ำปานะได้ เช่นสัปะรดนี้ถือว่าใหญ่กว่า แต่ส้มนี้ถือว่าขนาดพอๆกับกำปั้นก็สามารถที่จะเอามาบีบเอาน้ำของผลไม้มาดื่มแต่ต้องเป็นน้ำล้วน ๆ ไม่ให้มีกากไม่ให้มีเนื้อ ต้องใช้ผ้ากรองออกไป เพราะไม่ต้องการให้รับประทานเป็นอาหาร ให้รับประทานเป็นเภสัช คือน้ำปานะนี้ถือว่าเป็นเภชสัชอย่างหนึ่ง ช่วยรักษาเยียวยาร่างกาย

หลังจากที่ได้ดื่มน้ำปานะเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมา ถ้ามีกิจส่วนตัวต้องทำอะไรก็ทำไป จนถึงเวลาอาบน้ำอาบท่าสรงน้ำ พอถึงเวลาหกโมงเย็นก็เดินจงกรม นั่งสมาธิต่อ อันนี้คือกิจของผู้ที่ปลีกวิเวกของผู้ที่เจริญจิตตภาวนา ผู้ที่ต้องการความสงบทางใจ ผู้ที่ต้องการความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าความสุขทั้งหลายในโลกนี้ อันนี้แหละคือกิจของผู้บำเพ็ญ ตั้งแต่ตื่นจนหลับให้เจริญสติเป็นหลักเสมอ ทางด้านจิตใจ ส่วนทางด้านร่างกายก็ทำอะไรไปตามความเหมาะสม ถ้านั่งนานไปเมื่อยก็ลุกขึ้นมาเดิน ถ้าเดินเมื่อยก็กลับมานั่ง ถ้ามีภารกิจทำก็ทำไป แต่ในขณะที่ทำก็ให้มีสติจดจ่ออยู่กับการกระทำอยู่ตลอดเวลา

การเจริญสตินี้ไม่เปลี่ยนไปไม่ว่ากำลังจะทำอะไรก็ตาม จะเดินจงกรม จะนั่งสมาธิ จะปัดกวาด เดินบิณฑบาต จะทำกับข้าวกับปลา จะขบฉัน จะอาบน้ำอาบท่า ทำอะไรก็เจริญสติต่อไปอยู่ตลอดเวลา ถ้าใช้พุทโธก็บริกรรมพุทโธไปเป็นหลักไป ถ้าใช้การเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกายก็ดูไป เป้าหมายก็คือไม่ให้ไปคิดเรื่องต่างๆ นานาให้อยู่กับปัจจุบัน ให้อยู่กับเรื่องเดียวให้สักแต่ว่ารู้ เช่นถ้าเราใช้ร่างกายก็ให้สักแต่ว่ารู้ รู้ว่าขณะนี้ร่างกายกำลังทำอะไรอยู่ เท่านี้ก็พอ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้หยุดความคิด เพราะความคิดนี้ส่วนใหญ่ทำให้ใจเราไม่สงบ ทำให้ใจของเราวุ่นวายฟุ้งซ่าน เราต้องควบคุมความคิดนี้ให้ได้ ถ้าควบคุมความคิดได้ใจก็จะรวมลงเข้าสู่ความสงบได้ พอเข้าสู่ความสงบแล้วเราก็จะได้เข้าสู่ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งต่างๆในโลกนี้มาเป็นเครื่องไม้เครื่องมือไม่เหมือนกับความสุขที่พวกเรากำลังหากันอยู่ทุกวันนี้ เราต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือต้องมีร่างกาย ต้องมีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะให้เสพสัมผัส ถ้าส่วนมดส่วนหนึ่งมันบกพร่องไปความสุขส่วนนั้นก็จะหายไป ถ้าตาไม่ดีความสุขทางตาก็จะหายไป หรือตาดีแต่ของที่ดูไม่ดีก็เป็นความทุกข์ขึ้นมาได้ เห็นภาพที่ไม่ถูกอกถูกใจเห็นภาพที่ทำให้เกิดความทุกข์ใจก็เป็นไปได้ เพราะรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้ก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ใช่ว่าจะให้ความสุขกับเราเสมอไป เป็นความทุกข์ของเราก็เกิดจากการได้เสพสัมผัสรูปเสียงกลิ่นโผฏฐัพพะเหมือนกัน

บางครั้งก็เสพกับรูปที่ถูกอกถูกใจก็มีความสุข บางครั้งไปเสพกับรูปที่ไม่ถูกอกถูกใจก็มีความทุกข์ เวลาได้ยินเสียงสรรเสริญก็มีความสุข เวลาไปได้รับเสียงนินทาว่ากล่าวติเตียนก็มีความทุกข์ขึ้นมา นี่คือความสุขที่พวกเราเเสวงหากัน เป็นความสุขที่ไม่นอนและเป็นความสุขที่ไม่ถาวร เพราะร่างกายที่เป็นเครื่องมือในการหาความสุขเหล่านี้ย่อมมีความเสื่อมลงไปตามลำดับ ตาหูจมูกลิ้นกายย่อมเสื่อมสมรรถภาพลงไปตามลำดับ แล้วต่อไปก็อาจจะไม่สามารถใช้ตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นเครื่องมือหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายได้ เวลานั้นก็จะมีแต่ความเศร้าสร้อยหงอยเหงามีความเบื่อหน่าย บางครั้งก็คิดอยากจะฆ่าตัวตายไป โดยเฉพาะเวลาที่ต้องสัมผัสกับโผฏฐัพพะที่ไม่พึงปรารถนา เช่นความเจ็บปวดต่างๆ ทางร่างกายที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่รักษาไม่หาย แต่ถ้าเรารู้จักวิธีหาความสุขภายในใจได้ ความสุขภายในใจนี้จะทำให้ไม่เดือดร้อนกับความเจ็บ ความปวดของทางร่างกาย แล้วก็ไม่เดือดร้อนกับความเสื่อมของตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะการหาความสุขทางใจนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ตาหูจมูกลิ้นกายนั่นเอง เช่นเวลาเรานั่งสมาธิเราก็หลับตาหลับหูหลับอะไรต่างๆ ทวารทั้ง๕เราก็ปิดมันไม่ไปสนใจรับรู้ ให้เราเกาะติดอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เช่นการบริกรรมพุทโธๆ ไป ใจของเราก็จะเข้าสู่ความสงบเข้าสู่ความสุขได้ แล้วถ้าเราทำบ่อยๆ ต่อไป เราก็สามารถเข้าได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับการขับรถ เวลาขับรถใหม่ๆนี้รู้สึกว่าเราจะต้องคอยทำอะไรหลายอย่าง ต้องคอยเหยียบน้ำมันคอยเหยียบเบรคคอยเข้าเกียร์ คอยจับพวงมาลัย รู้สึกว่าเป็นงานที่ยุ่งยากมากมาย แต่หลังจากที่เราทำบ่อยๆ เข้ามันก็กลายเป็นความเคยชิน ก็จะเป็นความง่ายดายขึ้นมา ฉันใดตอนต้นเวลาที่เรานั่งสมาธิใหม่ๆ เราก็จะรู้สึกว่ายากเหลือเกิน การที่จะต้องคอยบริกรรมพุทโธๆ แล้วก็มีอุปสรรคต่างๆมามากมาย บางทีนั่งแล้วก็หลับก็มี บางทีนั่งแล้วก็ไม่สงบฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องนั้นคิดเเต่เรื่องนี้ บางทีนั่งแล้วก็เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ก็ไม่อยากจะนั่ง อันนี้ก็เป็นเพราะว่าสติไม่ต่อเนื่อง ถ้าสติต่อเนื่องแล้วอาการต่างๆ จะไม่มารบกวนใจ ใจจะเกาะติดอยู่กับพุทโธนี้แล้วจะไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน จะไม่รู้สึกรำคาญกับอาการเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ของร่างกาย จะไม่มีความคิดฟุ้งซ่านตามมา ใจก็จะดิ่งเข้าสู่ความสงบได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้นการที่จะนั่งสมาธิให้เกิดผลขึ้นมาจึงต้องอาศัยการเจริญสติเป็นจุดเริ่มต้นก่อน ต้องให้จิตของเรานี้มีสติอย่างต่อเนื่อง ไม่เผลอไปกับเรื่องอื่นไม่คิดไปกับเรื่องอื่น ให้คิดอยู่กับพุทโธๆ เพียงอย่างเดียวหรือให้อยู่ในปัจจุบันอยู่กับการเฝ้าดูร่างกายอย่างไม่คลาดสายตาทุกเวลานาที อันนี้คือเรื่องของการบำเพ็ญจิตตภาวนาเพื่อให้จิตเข้าสู่ความสงบที่ความสุขที่เลิศที่สุดที่ดีกว่าความสุขทั้งหลายในโลกนี้เพราะเป็นความสุขที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งต่างๆ ในโลกนี้เป็นเครื่อมือ ร่างกายจะแก่ จะเจ็บ จะตายไป ก็ยังสามารถผลิตความสุขอันนี้ได้ เพราะเป็นความสุขของใจผลิตโดยใจ ไม่ได้ใช้ร่างกายเป็นผู้ผลิตขึ้นมา และพอเราได้ความสุขนี้เราก็ต้องรักษาความสุขนี้ให้ได้ เพราะว่าความสุขนี้จะจางไปเวลาที่ออกจากสมาธิ เวลาออกจากสมาธิถ้าไม่เจริญสติต่อความสุขนี้ก็จะหายไปได้ ถ้าอยากจะรักษาความสุขต่อ ก็ต้องอย่างน้อยก็ต้องเจริญสติ แต่การเจริญสตินี้ก็มีขอบเขตของความจำกัดก็คือ ต้องเจริญอยู่เรื่อยๆ ถึงจะไม่หายไป ถ้าเวลาใดเผลอหรือหยุดเจริญสติขึ้นมา มันก็หายไปได้ เพราะเวลาเผลอสติก็มีตัณหาความอยากโผล่ขึ้นมามาทำลายความสงบอันนี้ได้ ถ้าอยากจะไม่ให้ความสงบนี้หายไปอย่างถาวรโดยที่ไม่ต้องเจริญสติ ไม่ต้องใช้พุทโธต่อไปเรื่องก็ต้องใช้ปัญญา

ปัญญานี้จะเป็นผู้ที่จะมาทำลายความอยาก ปัญญาก็คือการมีเหตุมีผลการดูสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุด้วยผล ถ้าจิตสงบแล้วเวลาออกมาจิตไม่สงบเพราะอะไรก็จะรู้ อ๋อ เพราะความอยาก พอความอยากแล้วความสงบที่ได้จากสมาธิมันก็จะหายไป ถ้าอยากจะให้ความสงบกลับคืนมาก็หยุด ความอยากเท่านั้นเอง และการจะหยุดความอยากได้ก็ต้องสอนให้ใจ ชี้ให้ใจเห็นเลยว่า สิ่งที่อยากได้นี้ มันเป็นงูพิษมันไม่ใช่เป็นของเล่นของดี มันเป็นพิษเป็นอันตรายเพราะอะไร เพราะว่ามันไม่เที่ยง เพราะเราไม่ควบคุมบังคับให้มันให้ความสุขกับเราไปตลอดไม่ได้ เราเห็นอะไรเราชอบเราคิดว่า ได้มาแล้วเราจะมีความสุข เราก็ไปเอามา เราก็ได้ความสุขจากสิ่งนั้น แต่วันดีคืนดีสิ่งนั้นก็เปลี่ยนไปได้ พอเปลี่ยนไปแล้วการที่จะเคยให้ความสุขก็กลายเป็นให้ความทุกข์กับเรา เช่นเรารักใคร เราชอบใคร เราคิดว่าเราได้เขามาแล้วเขาจะให้ความสุขกับเราไปตลอด เเต่พอมาอยู่กับเขาได้สักพักหนึ่งเขาเปลี่ยนไป ตอนนั้นเราก็จะเสียใจเราจะทุกข์ใจ เพราะเขาไม่ให้ความสุขกับเราเหมือนกับที่เราคิดว่าเขาจะให้เราไปตลอดนั่นเอง

เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีความไม่แน่นอน มีความไม่เที่ยงเเท้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ไปตามเหตุตามปัจจัยต่างๆ หรือเขาอาจจะดีกับเราไปตลอดแต่เขามีโรคภัยไข้เจ็บมีอุบัติเหตุ ทำให้เขาต้องจากเราไปก่อน อันนี้ก็เป็นอนิจจังเหมือนกัน เป็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นอนัตตาก็คือเราไม่สามารถที่จะไปควบคุมบังคับไปสั่งให้เขาเป็นไปตามความอยากของเราได้ พอเรามีความอยากก็จะเกิดทุกขัง ความทุกข์ขึ้นมาในใจ พอเราเห็นว่าสิ่งที่เราอยากได้นั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราก็จะหยุดความอยากได้สิ่งต่างๆ ได้ พอเราไม่มีความอยากได้ในสิ่งต่างๆ จิตก็กลับเข้าสู่ความสงบได้เหมือนเดิมเหมือนตอนที่ออกจากสมาธิมาใหม่ๆ แล้วก็จะสงบไปอย่างถาวรเพราะว่าเหตุที่จะทำให้ใจไม่สงบนี้จะถูกทำลายไปหมดด้วยปัญญาด้วยไตรลักษณ์ ด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยอริยสัจ ๔ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่แหละคือปัญญาของทางพระพุทธศาสนา

ปัญญาของทางพระพุทธศาสนานี้ไม่กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนกับปัญญาความรู้ทางโลก ความรู้ทางโลกนี้แตกแยกเป็นหลายสิบหลายหมื่นหลายพันสาขาด้วยกัน แต่เป็นความรู้แบบท่วมหัวเอาตัวไม่รอด คือไม่รอดพ้นจากความทุกข์นั่นเอง ไม่ว่าเรียนรู้วิชาอันใดถึงระดับขั้นปริญญาเอกก็จะไม่สามารถที่จะมาดับความทุกข์ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่จิตใจได้เหมือนกับปัญญาทางพระพุทธศาสนาที่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เห็นว่าความทุกข์ของใจนี้เกิดจากความอยาก และการจะดับความทุกข์ของใจก็ต้องเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่านั้นเอง

อันนี้แหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน เป็นความรู้แบบเรียกว่าเส้นผมบังภูเขา เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆ ที่มีอยู่ในใจตลอดเวลาแต่ไม่มีใครมองกัน แทนที่จะหาวิธีบำบัดทุกข์บำรุงสุข ที่มีอยู่ภายในใจ คำตอบมีอยู่แล้วภายในใจ กลับไม่หาคำตอบภายในใจกัน กลับไปหาคำตอบข้างนอกใจ ไปศึกษาเกี่ยวกับเรื่องวิชาการต่างๆ จนมีวิชาการแทบจะนับไม่ถ้วนแล้วว่ามีกี่วิชาด้วยกัน แต่วิชาความรู้ต่างๆ ภายนอกนี้ไม่สามารถที่จะมาดับความทุกข์ภายในใจได้ ดังนั้นผู้ที่จะเข้าถึงความรู้อันนี้ ได้ก็ต้องปฏิบัติอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติ คือทำทาน สละราชสมบัติเพื่อจะได้มีเวลาออกบำเพ็ญรักษาศีล บำเพ็ญจิตตภาวนาได้อย่างเต็มที่ ถ้ายังต้องยุ่งเกี่ยวอยู่กับพระราชทรัพย์ ต้องยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของผู้ครองเรือนอยู่ ก็จะไม่มีเวลาพอ ก็จะเป็นจะต้องสละทุกอย่าง ทำทาน แบบเต็มที่เลย มีอะไรเท่าไรก็ยกให้ผู้อื่นไปหมด ไม่มายุ่งไม่มากังวลด้วย เพื่อจะได้เอาเวลามาทุ่มเทให้กับการรักษาศีล และเจริญจิตตภาวนา จนในที่สุดก็ได้พบกับอริยสัจ ๔ ได้พบกับไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงได้พบกับความสิ้นสุดของความทุกข์ทั้งหลาย ได้พบกับการสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิด คำตอบอยู่ภายในใจของเราไม่ได้อยู่ภายนอก ถ้าเรายังไปหาคำตอบอยู่ภายนอกอยู่ก็แสดงว่าเรายังหลงทางอยู่ เช่นเดินทางไปหาพระพุทธเจ้าที่ประเทศอินเดียนี้ก็หลงทางกันไป ไปผิดทาง มองป้ายผิดไป ป้ายชี้บอกให้เข้าข้างในกลับไปข้างนอกกัน ไปทางตา หู จมูก ลิ้น กายกัน

ท่านบอกให้ปิดทวารทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าอยากจะเห็นพุทธะให้เข้าข้างในให้บำเพ็ญปฏิบัติ จนเห็นธรรมะ พอเห็นธรรมแล้วก็จะเห็นพุทธะ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ไม่ใช่ผู้ใดไปอินเดียผู้นั้น จะเห็นเราตถาคต พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสสอนอย่างนั้น สอนแต่ว่าให้เข้าข้างในสำรวมอินทรีย์ตาหูจมูกลิ้นกาย เจริญสติ ดึงใจให้เข้าข้างในให้ได้ด้วยการบริกรรมพุทโธๆ อันนี้แหละการเข้าหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ดึงเข้ามาข้างใน พอดึงเข้ามาข้างในจิตก็จะสงบจิตก็จะเห็นธรรมะ เห็นอริยสัจ ๔ พอเห็นอริยสัจ๔ ก็จะเห็นพระพุทธเจ้า อ๋อ นี่หรือ คือพระพุทธเจ้า ก็จะเห็นพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เอง จิตของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร จิตที่มีธรรมก็เป็นอย่างนี้ คือจิตที่สงบ ผู้ที่มีจิตสงบก็คือผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ยายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน ก็อยู่ตรงนี้อยู่ที่การบำเพ็ญจิตตภาวนา อยู่ที่การรักษาศีล อยู่ที่ทำทานนี่เอง ไม่ได้อยู่ที่ไหน อย่าไปที่อินเดียให้เสียเวลา หลวงปู่มั่น ไม่ได้ไป หลวงตามหาบัวไม่ได้ไป ผู้ที่ไปแล้วเจอพระพุทธเจ้ากันหรือยัง

อันนี้ก็ขอให้นำเอาไปคิดว่าแนวทางการบำเพ็ญของเรานั้นไปในทิศางไหนกันแน่ ทางของพระพุทธเจ้าหรือ ทางของโมหะอวิชชาความหลงความมืดบอด ถ้าไปทางตาหูจมูกลิ้นกายไปทางข้างนอกก็ถือว่า ไปตามทางของโมหะ อวิชชา ถ้าไปสู่การสำรวมตาหูจมูกลิ้นกาย ไปสู่ทางศีล ๘ สู่ทางจิตตภาวนา อันนี้แหละเป็นทางไปที่พระพุทธเจ้าได้ทรงไป ทรงดำเนินไป และทรงสอนให้พวกเราบำเพ็ญตามกัน ดังนั้นขอให้พวกเราจงพยายามตะเกียกตะกาย ต่อสู้กับความหลงที่จะหลอกให้เราไปหาสิ่งต่างๆ ภายนอกให้ดึงใจของเราให้เข้ามาสู่ภายในให้ได้แล้วเราจะได้พบกับสรณะที่พึ่งที่ประเสริฐ ที่แท้จริงต่อไป.

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
“ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี




“สมาธินั้น จะไม่สูญสลาย นั่งทีไร ก็ได้พลังจิต ทีนั้น พลังจิตก็แทรกซึม อยู่ในจิตของเรา

เมื่อแทรกซึม อยู่ในจิต ของเราแล้ว ก็ไม่สูญหายไป เราทำสมาธิอีก พลังจิต ก็เพิ่มขึ้นมาอีก เราทำสมาธิ ใหม่อีกก็ พลังจิตก็เพิ่มขึ้น มาใหม่อีก

เรียกว่า เพิ่มพูนขึ้น มาเรื่อย ๆ เมื่อเพิ่มพูน ขึ้นมาเรื่อย ๆ พลังจิตนี้ ก็กลายเป็นวาสนา กลายเป็น บารมีของเรา

ในชีวิตของเรา ก็จะกลายเป็นชีวิต ที่มีค่า เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่า การที่ทำจิตนั้น จากชั้นสมาธิ ธรรมดา ไปหาชั้นสมาธิ ชั้นกลาง

จากสมาธิ ชั้นกลาง ไปถึงสมาธิ ชั้นสูง มันจะเลื่อนระดับ ตัวของมันเอง”

ธรรมะรุ่งอรุณ เล่ม ๒ หน้า ๔๗

สมเด็จพระญาณวชิโรดม พุทธาคมวิศิษฐ์ จิตตานุภาพ พัฒนดิลก สาธกธรรมวิจิตร วิเทศศาสนกิจไพศาล วิปัสสนาญาณธุราทร ธรรมยุตติกคณิสสรบวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี​ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)









#คติเตือนใจจากท่านพ่อลี

"เรื่องราวต่างๆ ที่คนเราคิดกันไปนั้น บางทีก็เป็นไปได้ตามที่คิด บางทีก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ถึงจะคิดไปก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ที่ไม่ได้อะไรเลยก็ยังอุตส่าห์ไปคิด คือเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ก็ยังไม่ยึดอยู่ในสิ่งที่ไม่ได้นั้น แล้วก็เกิดความเสียใจ น้อยใจ เรื่องมันไม่ได้แล้วก็ยังจะให้ได้รับผลอยู่อีก

สิ่งใดที่ปรารถนาเมื่อไม่ได้มาสมหวังก็ยึด เมื่อได้มาสมหวังก็ยึด แล้วก็เกิดความชอบไม่ชอบ ยึดทั้งสัญญาข้างหน้า ยึดทั้งสัญญาข้างหลัง

คนธรรมดาเรานั้น อะไรได้มาก็ยึดดีใจ ถ้าไม่ได้มาก็ยึดเสียใจ บางทีก็ยึดความดี แต่ยึดความดีก็ยังพอมี หนทางที่จะคลุกคลานไปได้บ้าง บางทีชั่วแท้ๆ ก็ยังไปยึดเข้าไว้นี่แหละพระพุทธเจ้าทรงเห็นเช่นนี้ จึงได้เกิดความสงสาร

ท่านสงสารอะไร สงสารเพราะความโง่เขลาของคนเราที่ไม่รู้จักว่าอะไรมันเป็นความทุกข์ รู้ว่ามดแดงนั้นมันกัดคันและทำให้กลายเป็นพิษ แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปเอารังมดแดงมาเคาะใส่หัวของตัวเอง แล้วก็ต้องมานั่งปวดแสบปวดร้อนอยู่ มันได้ผลอะไรบ้าง"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร