วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 19:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


การเจริญภาวนาจำเป็นจะต้องผ่านนิมิตหรือไม่


ก่อนที่จะได้กล่าวถึงปัญหาเรื่องนิมิต ขอทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า “นิมิต” ที่ว่านี้คืออย่างไร หมายถึงอะไร

คำว่า “นิมิต” มีความหมายตามที่ปรากฏในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า “นิรมิต, สร้าง, แปลง, ทำ”


และในความหมายของคำว่า “นิรมิต” นั้น ยังหมายถึง “บันดานให้มีขึ้น” อีกด้วย นี้เป็นความหมายที่ ๑

สำหรับความหมายที่ ๒ ของคำว่า “นิมิต” ก็หมายถึง “เครื่องหมาย, ลาง, เหตุ, เค้ามูล” เป็นต้น



โดยความหมายหลายอย่างต่างๆ กันนี้เอง ที่มีผู้ใช้คำว่า “นิมิต” ในหลายสถาน เช่นว่า

ความฝัน ที่เวลาบุคคลนอนหลับแล้วฝันไป ก็เรียกว่า สุบินนิมิต

การแสดงนัยให้ทราบ อย่างเช่น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงนัยให้พระอานนท์ทราบถึงวาระที่พระพุทธองค์จะทรงปลงสังขารแล้ว อย่างนี้ก็เรียกว่า พระพุทธองค์ได้ทรง “แสดงนิมิต”


--->> หรือการกำหนดเครื่องหมายใด ๆ ขึ้นในใจ คือนึกให้เห็นเครื่องหมายนั้นด้วยใจ ก็เรียกว่า บริกรรมนิมิต บริกรรม แปลว่า กำหนดในใจ, ถ้านึกเห็นนิมิตด้วยใจได้ชัดเจนเพียงชั่วขณะ ก็เรียกว่าเกิด “อุคหนิมิต” และถ้าเห็นเครื่องหมายได้ชัดเจน นาน ติดตา จะนึกขยายให้โตใหญ่ หรือย่อให้เล็กลงด้วยใจก็ทำได้ อย่างนี้เรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต”


คำว่า “นิมิต” ที่ใช้เรียกกันในหมู่ผู้ปฏิบัติภาวนานั้น มุ่งหมายถึง “นิมิต” หรือ “เครื่องหมายที่กำหนดขึ้นที่ใจ” ซึ่งเรียกว่า บริกรรมนิมิต หรืออุคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต “เครื่องหมายที่กำหนดขึ้นในใจ หรือที่ปรากฏขึ้นในใจ” อันได้แก่ บริกรรมนิมิต ซึ่งเป็นอุบายวิธีที่จะรวมใจอันได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือ ความเห็น ความจำ ความคิด และความรู้ ให้มารวมอยู่ในอารมณ์เดียว แนบแน่นเป็นสมาธิดี เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า ก็จะเห็น อุคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต ตามลำดับของใจที่หยุดนิ่ง เป็นสมาธิที่แนบแน่นดี


ในการให้กำหนดเครื่องหมายขึ้นที่ใจ หรือที่เรียกว่า บริกรรมนิมิต เพื่อให้ใจมารวมหยุดอยู่ในอารมณ์เดียวนั้น อาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยประคองใจให้หยุดให้นิ่งได้โดยง่าย จึงมักให้กำหนด “บริกรรมภาวนา” คือให้นุกว่าในใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น “สัมมาอะระหัง ๆ ๆ” หรือ “พุทโธ ๆ ๆ” ก็แล้วแต่ เพื่อให้ใจช่วยประคองนิมิตนั้นไว้ แปลว่าการที่จะตะล่อมใจให้เข้ามารวมอยู่ที่บริกรรมนิมิตนั้น อาจจะไม่พอที่จะขังใจ ที่มีสภาพเบา กวัดแกว่งง่าย ฟุ้งซ่านได้ง่าย ให้หยุดให้นิ่งได้ ก็จึงหางานให้ใจเขาทำอีกด้วยโสดหนึ่ง คือให้นึกว่าในใจที่เรียกว่า บริกรรมภาวนา เพื่อให้ใจประคองนิมิตนั้นยิ่งขึ้นจะได้ไม่ซัดส่ายออกไปข้างนอกนิมิตนั้น


เมื่อใจถูกประคองให้มารวมอยู่เสียกับบริกรรมนิมิต และบริกรรมภาวนาคู่กันหนักเข้า ก็จะค่อยๆ เชื่อง แล้วก็ค่อยๆ รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน ที่เรียกว่า “อารมณ์เดียว” หรือ เอกัคคตารมณ์ กล่าวคือ “ใจ” อันประกอบด้วย ความเห็นนิมิต, ความจำนิมิต, ความคิดและความรู้ในนิมิต มารวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน ก็จะเห็นนิมิตนั่นชัดขึ้น เรียกว่า อุคหนิมิต หรือ ปฏิภาคนิมิต ตามระดับของใจที่รวมหยุดเป็นสมาธิที่แนบแน่นดี


ในขณะที่ผู้ปฏิบัติภาวนาเพิ่งกำหนดบริกรรมนิมิตนั้น ใจเพิ่งจะเริ่มเป็นสมาธิ คืออยู่ในอารมณ์เดียว สมาธิในระดับนี้เรียกว่า อุปจาระสมาธิ, แต่พอเห็นนิมิตชัดเจนได้เพียงชั่วขณะ ที่เรียกว่า อุคหนิมิตนั้น ใจที่เป็นสมาธิระดับนี้เรียกว่า สมาธิในระดับขณิกสมาธิ แต่เมื่อเห็นปฏิภาคนิมิต คือเห็นนิมิตได้ชัดเจน นาน ติดตา และสามารถจะนึกขยายให้ใหญ่หรือย่อให้เล็กลงได้ เรียกว่าจิตเป็นสมาธิระดับ อัปนาสมาธิ อันเป็นเบื้องต้นของปฐมฌาณ


กล่าวคือเมื่อจิตประกอบด้วยอารมณ์วิตก วิจาร คือยังมีความตรึกตรองประคองนิมิตอยู่, และมีอารมณ์ปีติยินดีที่ได้พบเห็นสิ่งที่เย็นตาเย็นใจ ก่อให้เกิดความสุขอย่างละเอียดๆ เช่นนั้น และจิตอยู่ในอารมณ์เดียวได้แนบแน่นดีเช่นนี้ ก็จัดว่าจิตเป็นสมาธิในขั้น ปฐมฌาณ


สมาธิตั้งแต่ระดับปฐมฌาณขึ้นไปนี้เอง ที่เป็นจิตที่ปราศจากนิวรณ์ธรรมแล้ว เพราะมีองค์ฌาณ เครื่องประหาณนิวรณ์ครบถ้วน จึงจัดเป็นจิตที่ควรแก่งานวิปัสสนา เพื่อเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวะธรรมชาติที่เป็นจริง เพราะสามารถเห็นอรรถเห็นธรรมได้ชัดแจ้งพอสมควร

เพราะฉะนั้น “นิมิต” จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เป็นอุบายวิธี ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์วิตก วิจาร เครื่องประหานนิวรณ์ และเพื่อทำใจให้หยุดให้นิ่ง เป็นสมาธิที่แนบแน่นดีกว่าอย่างอื่น และเมื่อจิตเจริญภาวนาจนเป็นสมาธิระดับฌาณต่างๆ นั้น ก็จะต้องมีนิมิตหรือผ่านนิมิตทั้งสิ้น แม้แต่จะเป็นอรูปฌาณ ที่ว่าไม่กำหนดรูปเป็นอารมณ์ อย่างเช่น กำหนดยึดหน่วงเอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ เมื่อจิตละเอียดหนักเข้า ก็เห็นนิมิต คืออากาศนั้นแหละ หรือในกรณีที่กำหนดวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ หรือกำหนดยึดหน่วงเอาความว่างเปล่าไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ ก็เห็นวิญญาณ หรือความว่างเปล่านั้นแหละ ที่เห็นนั่นแหละคือนิมิตล่ะ, แม้เมื่อจิตเป็นอุเบกขา ที่เรียกว่า อุเบกขินทรีย์ ก็ยังต้องมีนิมิต ดังพระพุทธดำรัสมีมาในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวรรค อุปปฏิกสูตร ข้อ ๙๑ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ หน้า ๒๖๙ ความว่า



“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่ประมาท มีความ

เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อุเบกขินทรีย์เกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า

อุเบกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้วแก่เรา และอุเบกขินทรีย์นั้น มีนิมิต มีเหตุ

มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย แต่จะอนุมานเอาว่า อุเบกขินทรีย์นั้น ไม่

ต้องมีนิมิต ไม่มีเหตุ ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัย จักเกิดขึ้นได้

ดังนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้



ในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน อย่างเช่น พิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องอาศัยนิมิต นึกเห็นนิมิตจึงจะพิจารณาสภาวะธรรมได้ จึงจะเห็นสภาวะที่แท้จริงตามธรรมชาติที่เป็นจริงได้ อย่างเช่น


การเจริญอสุภกัมมัฏฐานอันนับเนื่องอยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น มิใช่ว่า จะต้องไปพิจารณาดูแต่ที่ซากศพ หรือจะต้องนำศพไปพิจารณาด้วย หรือจะต้องสาวไส้สาวพุงของใครมาดูจึงจะเรียกว่า อสุภกัมมัฏฐานหาใช่เช่นนั้นไม่


--->>> ในทางปฏิบัตินั้น เมื่อได้เคยเห็นซากศพหรืออวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลายในหลายๆ ลักษณะ ก็จำภาพนั้นหรืออารมณ์นั้น แล้วน้อมเอาอารมณ์นั้นหรือภาพนั้นมาพิจารณาด้วยใจ การพิจารณาก็จะต้องนึกเห็นทั้งลักษณะและสภาพที่เป็นจริง ว่าเป็นแต่สิ่งปฏิกูล โสโครก น่าเกลียด และเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาเหล่านี้เป็นต้น จึงจะเรียกว่ารู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะของธรรมชาติตามที่เป็นจริง ถ้านึกไม่เห็นแล้วทำไมจึงจะอ้างได้ว่า เห็นแจ้งตามสภาวะจริงของธรรมชาติที่เป็นจริงได้เล่า


การเห็นของจริงด้วยตาเนื้อนั้นเป็นแต่เพียงเริ่มต้นของเรื่องที่จะนำมาพิจารณาเท่านั้น แต่การเจริญสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้นเป็นกิจทางใจ แม้จะเห็นธรรม ณ เบื้องหน้าซากศพ ก็เป็นการเห็นด้วย “ใจ” หาใช่เห็นธรรมด้วยตาเนื้อไม่ และการเห็นสิ่งที่น้อมนำมาพิจารณาสภาวะธรรมด้วยใจนั้น ก็คือนิมิตนั่นเอง


-->> เรียกว่าหนีนิมิตไม่พ้น ในทางปฏิบัติแล้วจะต้องผ่านนิมิตเสมอไป ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ได้เห็น ถ้าไม่ได้เห็น ก็จะอ้างว่าเห็นแจ้งในสภาวะจริงของธรรมชาติที่เป็นจริงไม่ได้ ก็มีแต่ท่องจำเอาจากตำราเท่านั้น พระพุทธองค์ก็มิได้ปฏิเสธนิมิตในการเจริญภาวนาธรรม และยังแถมประทานพระบรมพุทโธวาท มีมาในพระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวรรค ข้อ ๕๓๓ พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ ความว่า


“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์
ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์, ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมาธินิมิต อัพยัคคนิมิต(คิอนิมิตแห่งจิตอันมีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน) มีอยู่
การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้
สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์



จากตัวอย่างที่ยกมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ท่านได้พิจารณาดูว่า การเจริญภาวนาโดยไม่ใช้ ไม่อาศัย หรือไม่ผ่านนิมิตนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ เพียงใด และถ้าหากยังไม่แน่แก่ใจ ก็ขอยกเอาพระพุทธภาษิต มีมาใน ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ หน้า ๔๗๑ ข้อ ๓๓๙ แปลความว่า


“ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้ที่พอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ยินดี
ในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ตามประกอบในความพอใจในความ
คลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ เป็นผู้พอใจในหมู่ ยินดีในหมู่ ตามประกอบ
ความพอใจในหมู่ อยู่แล้วหนอ, เธอนั้น จักมาเป็นผู้โดดเดี่ยว ยินดี
ในความสงัดเงียบนั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้

เมื่อไม่เป็นผู้โดดเดี่ยว ยินดียิ่งในความสงัดเงียบแล้ว จักถือเอา
นิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิต ได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้

เมื่อไม่ได้ถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตแล้ว จักยัง
สัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้

เมื่อไม่ทำสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์แล้ว จักยังสัมมา
สมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้

เมื่อไม่ทำสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์แล้ว จักละ
สังโยชน์ทั้งหลายนั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้

เมื่อไม่ละสังโยชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งนั้น
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เลย

ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุผู้ที่ไม่พอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ
ไม่ยินดีในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ไม่ตามประกอบในความ
พอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ไม่เป็นผู้พอใจในหมู่ ไม่ยินดี
ในหมู่ ไม่ตามประกอบความพอใจในหมู่ อยู่แล้วหนอ, เธอนั้น
จักมาเป็นผู้โดดเดี่ยว ยินดีในความสงัดเงียบนั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้

เมื่อเป็นผู้โดดเดี่ยว ยินดียิ่งในความสงัดเงียบแล้ว จักถือเอา
นิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิต ได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

เมื่อถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตได้แล้ว จักยัง
สัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

เมื่อทำสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์แล้ว จักยังสัมมา
สมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์ได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

เมื่อทำสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์แล้ว จักละ
สังโยชน์ทั้งหลายได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

เมื่อละสังโยชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งนั้น
ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้ แล”


*************************************************************************

จะเห็นได้ว่า การเจริญภาวนาจะต้องผ่านนิมิต อาศัยนิมิตแน่นอน และก็ใคร่จะให้สังเกตไว้ว่า


ประการที่ ๑ ที่ว่าการเห็น นั้นมีอยู่สองอย่าง คือ การเห็นรูปด้วยตาเนื้อ และด้วยตาใน สำหรับท่านที่เจริญวิชชาหรือมีทิพยจักขุนี้อย่างหนึ่ง กับการเห็นนิมิต คือเครื่องหมายที่กำหนดให้เห็นขึ้นที่ใจเพื่อเจริญสมาธิ นั่นอีกอย่างหนึ่ง

และสำหรับสิ่งที่เห็นด้วยใจนั้นจึงมีทั้ง นิมิต ที่นึกหรือคิดให้เห็นในใจ เพื่อเจริญสมาธิ หรือน้อมเข้ามาพิจารณาสภาวะธรรมเพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้ง ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น บริกรรมนิมิต อุคหนิมิต หรือ ปฏิภาคนิมิต ก็ตาม นี้อย่างหนึ่ง, กับทั้งเห็น รูป หรือ ธาตุธรรมละเอียด ที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ ด้วยความสามารถของทิพยจักขุเสมือนหนึ่งตาเนื้อเห็นรูปฉะนั้น นี้อีกอย่างหนึ่ง อย่าปนกัน


*************************************************************************


ประการที่ ๒ การเห็นนิมิต มิได้หมายความว่า ติดนิมิต หากแต่เป็นเพียงอาศัยการกำหนด บริกรรมนิมิต ขึ้นเพื่อเจริญสมาธิ จึงพัฒนาการเห็นนิมิตนั้นขึ้นไปเป็น อุคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิต ตามระดับสมาธิที่สูงขึ้น และเป็นความความจำที่จะต้องน้อมนำเอานิมิต คือสิ่งที่จะนำมาพิจารณาให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสภาวะจริงของธรรมชาติตามที่เป็นจริง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว


ด้วยเหตุนี้ในสติปัฏฐานสูตรจึงอธิบาย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน, เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน, จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน, และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ว่าคือการเจริญสติสัมปชัญญะ พิจารณาเห็นกายในกาย, เห็นเวทนาในเวทนา, เห็นจิตในจิต, และเห็นธรรมในธรรม


สำหรับท่านผู้เจริญภาวนาได้ถูกวิธี สามารถเจริญวิชชา และมีอภิญญา เป็นต้นว่า เกิดอายตนะทิพย์ ให้สามารถรู้เห็นสิ่งที่ละเอียด ประณีต หรืออยู่ห่างไกล ลี้ลับได้ กว่าอายตนะของกายเนื้ออย่างเช่น ตา หู ของกายเนื้อ จึงสามารถเห็นสัตว์ในภูมิต่างๆ ที่ละเอียด อย่างเช่น นรก สวรรค์ และแม้แต่เห็นอายตนนิพพานนั้น ก็เป็นเรื่องความสามารถพิเศษของท่าน และก็เป็นการเห็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้วเหมือนกับตาเนื้อเห็นรูปทั้งหลายนั่นเอง


ก็เหมือนกับเราผ่านไปทางไหนก็ได้พบได้เห็นบ้านเมือง ผู้คน หรือสัตว์ทั้งหลายตามปกติธรรมดา แม้จะเจตนาที่จะพิจารณาดูความเป็นไปในอายตนะทั้งหลายเหล่านั้น ก็เพื่อเป็นการศึกษาค้นคว้าความรู้ เพื่อให้เกิดปัญญาจากการที่ได้ทั้งรู้และทั้งเห็น เป็นการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์จากการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล ให้รู้แจ้งเห็นจริงว่า นรก สวรรค์ นิพพานนั้น มีจริงหรือเปล่า ถ้ามี มีอย่างไร มีความเป็นไปในนรก สวรรค์ ตลอดทั้งอายตนะนิพพานอย่างไร ด้วยผลบุญและผลบาปอะไร จึงต้องไปเสวยวิบากอยู่ในนรกหรือสวรรค์


และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรู้จักความเป็นไปในนิพพานนั้น เป็นยอดของความรู้ เป็นยอดของปัญญาทีเดียว และประการสำคัญที่สุด ผู้ที่สามารถเจริญภาวนาได้ถึงธรรมกายอันเป็นธรรมขันธ์ที่พ้นโลกแล้ว สามารถให้เข้าถึงอายตนนิพพานได้นั้น ทำให้เกิดปัญญาจากการที่ได้ทั้งรู้และทั้งเห็นโดยชัดแจ้งตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานบรมพุทโธวาท มีปรากฏในปาฎลิคามิวัคคอุทาน นิพพานสูตร ว่า



“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อายตนะนั้น(คืออายตนนิพพานนั้น)มีอยู่…” และว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว(คือพระนิพพาน)นั้น มีอยู่…”



จึงทำให้สามารถเห็นอรรถ เห็นธรรม ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วนี้โดยชัดแจ้ง



**************************************************************************


ประการที่ ๓การเจริญภาวนาแต่เพียงขั้นต่ำ หรือการปฏิเสธสมถกัมมัฏฐาน แล้วมุ่งเน้นแต่การพิจารณาสภาวะธรรมเพื่อให้เกิดปัญญานั้น เสี่ยงต่อการเกิดวิปัสสนูปกิเลสอย่างมาก


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติภาวนามีสติปรากฏยิ่งจนเกินไป กล่าวคือมีสติพิจารณาสภาวะธรรมแก่กล้าเกินไป แต่ปัญญาอันเห็นแจ้งที่แท้จริงยังเกิดขึ้นไม่ทัน จิตจะปล่อยวางอารมณ์วิปัสสนาที่เคยยกขึ้นพิจารณาอยู่เสมอนั้นไม่ได้ แม้แต่จะได้รับคำแนะนำให้ปล่อยหรือให้ปฏิเสธนิมิต ก็ปฏิเสธไม่ออก เป็นเหตุให้เกิดนิมิตลวงขึ้นในใจโดยที่เจ้าตัวมิได้ตั้งใจจะรู้จะเห็น เรียกว่าเกิด วิปัสสนูปกิเลสข้ออุปัฏฐานัง อันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตได้


--->>> จึงใคร่จะกล่าวถึงคุณค่าของการเจริญภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายว่า เป็นกัมมัฏฐานที่มีทั้งสมถะและวิปัสสนาคู่กันเป็นการเจริญภาวนาที่มีมหาสติปัฏฐาน โดยครบถ้วนอยู่ในตัวเสร็จ คือมีการพิจารณาเห็นกายในกาย, เวทนาในเวทนา, จิตในจิต, และเห็นธรรมในธรรมอยู่ในตัวเสร็จ มีอุบายวิธีที่ทำให้สมาธิเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และให้สามารถเจริญปัญญารู้แจ้งในสัจธรรมจากการได้ทั้งรู้และทั้งเห็น เมื่อยกสภาวะธรรมใดขึ้นพิจารณาให้เกิดปัญญาแล้ว ก็มีวิธีให้พิสดารกาย พิสดารธาตุธรรมไปสู่สุดละเอียด ให้ใจของทุกกายรวมหยุดอยู่ ณ ศูนย์กลางธรรมกายที่สุดละเอียดอยู่เสมอ จิตก็ละวางนิมิตที่ยกขึ้นพิจารณานั้นไปเองโดยอัตโนมัติ วิปัสสนูปกิเลสดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้นสำหรับผู้เจริญภาวนาตามแนวนี้แต่ประการใด และยิ่งสำหรับผู้เจริญภาวนาได้ถึงธรรมกายแล้ว ยิ่งเห็นอรรถเห็นธรรม ทั้งที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ที่เรียกว่า สังขตธาตุ สังขตธรรม กับที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่งที่เรียกว่า อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ได้โดยชัดแจ้ง ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัย...



***************************************************

ข้อมูลในการเรียบเรียบ : หนังสือธรรมปฏิบัติของวัดปากน้ำ

**************************************************


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ย. 2008, 11:39
โพสต์: 316

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
คิดดี พูดดี ทำดี มองเเต่ดีเถิด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


---->>> อย่างไรก็ตาม นิมิตที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเกิดของสมาธินั้น ไม่ใช่นิมิตในความหมายที่กล่าวข้างต้น แต่เป็นนิมิตที่หมายถึงภาพที่เห็นในใจ ซึ่งมีความหมายกว้างมาก กล่าวคือ เป็นภาวะจิตหนึ่งที่ไม่ตื่นตัวเต็มที่ คนที่อยู่ในภาวะจิตเช่นนี้จึงอาจจะเห็นภาพในใจซึ่งเกิดจากการปรุงแต่งของจิตได้ หรือไม่ก็เป็นภาพที่เกิดจากสัญญา (สัญญาในที่นี้หมายถึงภาพของสิ่งเก่าๆ ที่จิตเคยกำหนดหมายจำไว้) คือ อาจเป็นภาพที่เกิดจากสัญญาเก่าหรือภาพที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ซึ่งโดยทั่วไปจะได้ประสบมากที่สุด ก็คือในภาวะหลับที่ไม่สนิท จะมีนิมิตปรากฏขึ้นมาที่เรียกเต็มๆ ว่า สุบินนิมิต แปลว่า ภาพในฝันต สุบินนิมิตนี้จะเกิดในลักษณะที่เรียกว่าตื่นอยู่ก็ไม่ใช่ หลับอยู่ก็ไม่เชิง หรือจะเรียกว่า ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ได้ กล่าวคือเป็นภาวะจิตที่ไม่ถึงกับหลับ แต่เป็นภาวะอีกอย่างหนึ่งที่ไม่อยู่ในภาวะตื่นเต็มที่


คนที่ฝึกสมาธิก็สามารถจะเกิดนิมิตดังกล่าวนี้ได้เช่นกัน คือเกิดภาพในใจขึ้น ถ้าหากเป็นภาพนิมิตที่เป็นปกติธรรมดา ก็คือภาพที่เกิดจากสิ่งที่ตนกำหนด เพื่อทำจิตให้เป็นสมาธินั้น (คือเป็นบริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต หรือปฏิภาคนิมิต อย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวข้างต้น) หรือเกิดจากการที่ตนเอาจิตไปจดจ่อกับมันกลายเป็นสัญญากำหนดหมายจำเกิดเป็นนิมิต เป็นภาพในใจ แต่ทีนี้มันไม่ใช่เท่านั้น คือมันมีการปรุงแต่งต่อ หรือว่าจิตไม่ได้อยู่กับสิ่งที่กำหนดนั้น เกิดภาพอื่นเข้ามา เช่น ภาพที่ตนไปพบไปเห็นไว้เป็นความจำเก่าๆ ผุดขึ้นมาในจิตใจ ลักษณะเช่นนี้แสดงว่า ขณะนี้จิตเริ่มจะเขว คือ จิตไม่จดจ่ออยู่กับอารมณ์ที่กำหนดหรืออารมณ์กรรมฐาน แต่กลับมีภาพของสิ่งอื่นเกิดขึ้นมาเป็นนิมิต เรียกว่า นิมิตนอกตัวกรรมฐาน จึงอาจเห็นภาพต่างๆ ภาพเหล่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคในการฝึกสมาธิ


ภาพนิมิตเหล่านี้อาจเป็นภาพสวยๆ งามๆ เป็นแสงสีอะไรต่างๆ ที่ถูกใจ พอใจ ชื่นชม อาจจะเป็นสีที่สดใสสวยงาม ชวนให้เพลิดเพลินเจริญใจ ติดใจ หรือเป็นภาพของสถานที่ บุคคล สิ่งที่น่ารักน่าชมก็ได้ จิตใจก็จะไปติดเพลินอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เมื่อจิตใจไปติดเพลินก็คือการที่ออกจากการฝึกสมาธิแล้ว จิตเวลานั้นก็จะไม่เป็นสมาธิ จะไปหลงเพลิดเพลินอยู่กับภาพนิมิตนั้นในลักษณะนี้จึงเรียกว่า ปัญหา เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการฝึกสมาธิ


ในทางตรงข้าม ถ้าภาพที่เห็นนั้น ไม่ได้เป็นภาพที่สวยงาม แต่กลับเป็นภาพของสิ่งน่าเกลียดน่ากลัว เพราะว่าตนเคยมีความทรงจำอะไรบางอย่างหรือจิตผูกพันกับอะไรบางอย่างที่ตนปรุงแต่ง เป็นภาพที่น่ากลัว เป็นต้นว่าเห็นเป็นงูจะมากัด เป็นภาพผีสางอะไรต่างๆ สุดแล้วแต่จะเกิดขึ้นก็ทำให้ตกใจด้วยคิดว่าเป็นความจริง ถ้าร้ายแรงก็อาจจะทำให้สติวิปลาสหรือเสียจริตไปก็ได้ นี้ก็เป็นปัญหาแก่การฝึกสมาธิ เพราะฉะนั้นจะต้องรู้เท่าทันว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพนิมิตและหันกลับมากำหนดสิ่งที่เป็นอารมณ์กรรมฐานต่อไป...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียน ท่าน จขกท


ก็ คุยกันในกระทู้เก่า ก็ได้นี่ครับ :b6:

viewtopic.php?f=1&t=19241





มองต่างมุมน่ะครับ

อ้างคำพูด:
เมื่อใจถูกประคองให้มารวมอยู่เสียกับบริกรรมนิมิต และบริกรรมภาวนาคู่กันหนักเข้า ก็จะค่อยๆ เชื่อง แล้วก็ค่อยๆ รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน ที่เรียกว่า “อารมณ์เดียว” หรือ เอกัคคตารมณ์



เอกัคคตารมณ์ นั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญแห่งคำว่า ฌาน
เมื่อใด ปรากฏเอกัคคตารมณ์ เมื่อนั้น เรียกว่า จิตทรงฌาน

แต่
เอกัคคตารมณ์นี้ มีทั้งในฌานแบบของพระฤาษี เช่น ของ ท่านอดีตอาจารย์ดาบสทั้งสอง(อาฬารดาบส-อุทกดาบส).... และ มีทั้งในสัมมาสมาธิ(โลกุตรฌาน)


เอกัคคตารมณ์ ในแบบของฌานฤาษี นั้นบังเกิดจากจิตไปเพ่งอยู่ในอารมณ์เดียว หรือ จุดๆเดียว เช่น เพ่งกสิณๆ

เอกัคคตารมณ์ ในแบบสัมมาสมาธินั้น เป็นภาวะที่จิตมีอารมณ์เดียว ด้วยว่า ตั้งมั่นไม่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ ....


ลองพิจารณา พระพุทธพจน์

พระพุทธพจน์

ยสฺส เสลุปมํ จิตฺตํ ฐิตํ นานุปกมฺปติ
วิรตฺตํ รชนีเยสุ โกปเนยฺเย น กุปฺปติ
ยสฺเสวํ ภาวิตํ จิตฺตํ กุโต ตํ ทุกฺขเมสฺสตีติ

จิตของผู้ใดเปรียบด้วยภูเขาหิน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
ไม่กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ไม่โกรธเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการโกรธเคือง

จิตของผู้ใดอบรมแล้วอย่างนี้ ทุกข์จักถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน

ขุททกนิกาย อุทาน




เป็น พระพุทธพจน์ที่ไพเราะมาก


อาการ ที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่โกรธเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการโกรธเคือง
นี่คือ สภาะที่เรียกว่า เอกัคคตารมณ์ หรือ สมถะ(สัมมาสมาธิ) นั่นเอง

จิต ที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่โกรธเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการโกรธเคือง
นี่คือ สภาะที่เรียกว่า เอกัคคตาจิต นั่นเอง

สภาวะจิตที่เป็นหนึ่ง เช่นนี้ จึงจะเป็นสภาวะจิตที่ปัญญาญาณสามารถเจริญงอกงามได้



ท่านผู้รู้ กล่าวว่า การสงบ-ตั้งมั่น-รู้ตามจริง นี่คือ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่แท้จริงของเอกัคคตารมณ์ในแบบของพระพุทธเจ้า... ซึ่ง นำไปสู่การเกิดปัญญาพ้นทุกข์

หาใช่ การเข้าไปสงบ-แน่นิ่ง-ไม่ไหวติง ไม่เกิดปัญญา แบบ ฌานฤาษีทั่วๆไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สมาธิตั้งแต่ระดับปฐมฌาณขึ้นไปนี้เอง ที่เป็นจิตที่ปราศจากนิวรณ์ธรรมแล้ว เพราะมีองค์ฌาณ เครื่องประหาณนิวรณ์ครบถ้วน จึงจัดเป็นจิตที่ควรแก่งานวิปัสสนา เพื่อเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวะธรรมชาติที่เป็นจริง เพราะสามารถเห็นอรรถเห็นธรรมได้ชัดแจ้งพอสมควร


มันก็มีส่วนถูกอยู่ครับ

แม้น ฌานนั้น จะเป็น โลกียฌาน ก็เป็นมหากุศล เพราะนิวรณ์ระงับ... แต่ มันเป็นลักษณะ หินทับหญ้า.... คือ เอาหญ้าออกเมื่อใด หินก็งอกใหม่เมื่อนั้น

ดังนั้น โลกียฌานใดๆก็ตาม จะต้องนำมาเจริญวิปัสสนา เพื่อให้จิตไม่ยึดติดในภพ ชาติ อันละเอียดนั้นๆ เช่น ใน ฌานสูตร

ฌานสูตร นว. อํ. (๒๐๔)
ตบ. ๒๓ : ๔๓๘-๔๓๙ ตท. ๒๓ : ๓๙๐-๓๙๑


“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ

เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาหาร เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา

เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น

ครั้นแล้วเธอย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุ นั้นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละ คือ อุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้นย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย....”


ที่ พระพุทธเจ้าท่านสอน ว่า ฌานเป็น สิ่งที่ไม่พึงยึดมั่นถือมั่นนี้ หมายเอา โลกียฌานน่ะครับ... ไม่ใช่ หมายถึง โลกุตรฌาน(สัมมาสมาธิ)

โลกียฌาน ถึงแม้นจะเป็นมหากุศลจิต และ สงัดจาก บาป กาม อกุศล ต่างๆเช่นกัน... แต่ ถ้าผู้สำเร็จฌานไปยึดติตในภพอันละเอียดนั้นๆ ก็จะไม่ก้าวเข้าสู่โลกุตรภูมิได้เลย

สังเกตุว่า....ในขณะ ที่โลกุตรฌาน(สัมมาสมาธิ)ที่เป็นองค์แห่งอริยมรรค ที่มีพุทธจน์ว่า "มรรค พึงเจริญ"


ดังนั้น เวลา กล่าวถึง ฌาน ซึ่งเป็นความหมายที่กว้าง ความหมายรวมๆ จึงพึงดูดีๆ คำว่า ฌาน นั้น อยู่ในความหมายใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ของ ฌาน นอกเหนือจาก การที่จิตสงัดจากบาป กาม อกุศลกรรม

ก็คือ สภาวะจิตที่ ตั้งมั่น นุ่มนวล ควรแก่การงาน(สมาหิโต)


ดังปรากฏ ในหนังสือ พุทธธรรม

ประโยชน์ของสมาธิและฌานในทางพุทธธรรม ก็คือ ภาวะจิตที่เรียกว่า "นุ่มนวล ควรแก่งาน"

ซึ่งจะนำมาใช้เป็นที่ปฏิบัติของปัญญา



ดังนั้น สมถะ ที่ถึงแม้นอาจจะยังไม่ถึงระดับสัมมาสมาธิเต็มขั้น แต่ ก็มีประโยชน์ในการสนับสนุนการเจริญวิปัสสนา ... ถ้า ไม่ไปติดตันยินดี เพลิดเพลิน อยู่เพียงแค่นั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เพราะฉะนั้น “นิมิต” จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เป็นอุบายวิธี ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์วิตก วิจาร เครื่องประหานนิวรณ์ และเพื่อทำใจให้หยุดให้นิ่ง เป็นสมาธิที่แนบแน่นดีกว่าอย่างอื่น และเมื่อจิตเจริญภาวนาจนเป็นสมาธิระดับฌาณต่างๆ นั้น ก็จะต้องมีนิมิตหรือผ่านนิมิตทั้งสิ้น แม้แต่จะเป็นอรูปฌาณ ที่ว่าไม่กำหนดรูปเป็นอารมณ์ อย่างเช่น กำหนดยึดหน่วงเอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ เมื่อจิตละเอียดหนักเข้า ก็เห็นนิมิต คืออากาศนั้นแหละ หรือในกรณีที่กำหนดวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ หรือกำหนดยึดหน่วงเอาความว่างเปล่าไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ ก็เห็นวิญญาณ หรือความว่างเปล่านั้นแหละ ที่เห็นนั่นแหละคือนิมิตล่ะ, แม้เมื่อจิตเป็นอุเบกขา ที่เรียกว่า อุเบกขินทรีย์ ก็ยังต้องมีนิมิต ดังพระพุทธดำรัสมีมาในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวรรค อุปปฏิกสูตร ข้อ ๙๑ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ หน้า ๒๖๙ ความว่า



“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่ประมาท มีความ

เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อุเบกขินทรีย์เกิดขึ้น เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า

อุเบกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้วแก่เรา และอุเบกขินทรีย์นั้น มีนิมิต มีเหตุ

มีเครื่องปรุงแต่ง มีปัจจัย แต่จะอนุมานเอาว่า อุเบกขินทรีย์นั้น ไม่

ต้องมีนิมิต ไม่มีเหตุ ไม่มีเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัย จักเกิดขึ้นได้

ดังนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้…”




ประเด็น นี้ คงต้องคุยกันยาวครับ

บ่ายๆ จะมาร่วมวิเคระห์ด้วย
ขอตัวไปทำธุระก่อน


ระหว่างนี้ ขอ เพื่อนสมาชิก อ่าน ต้น ฉบับ อุปฏฏิกสูตร ไปก่อน

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 605&Z=5668



และ อ่าน คำจำกัดความของคำว่า อินทรีย์ ในความหมายที่หลากหลาย

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อินทรีย์&detail=on




ลองพิจารณาดูไปพลางๆกันก่อน ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสคำว่า นิมิต ในพระสูตรนี้ ..สื่อหมายถึง บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต เช่นเดียวกับในคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาล หรือไม่ อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อยากให้ ศึกษา กรณี มือปืนตลาดไท(เด็กวัยรุ่นที่ฝึกสมาธิโดยเน้นนิมิต) แล้ว เกิดประสาทหลอน จนเกิดเหตุสยองขึ้น

จิตเขาสร้างภาพขึ้นเอง อาจเป็นภาวะSENSORY DEPRIVATION จากการทำกรรมฐานผิดวิธีก็ได้

เจ้าตัวเอง ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า สิ่งที่ตนประจักษ์ไม่ใช่ของจริง.... ใครบอกอย่างไร เขาก็จะไม่เชื่อ.... เขาเรียกว่า HALLUCINATION หรือ ประสาทหลอน.... และ ถ้าเป็นเช่นนี้ อาจจะมีอาการ หลงผิด หรือ DELUSION เช่น เชื่อว่าตนเป็นผู้วิเศษ มีญาณ ต่างๆ และ อาจระแวง สร้างเหตุรุนแรง




แต่ ถ้าภาวนาในหลักการแห่งมหาสติปัฏฐาน(ที่มีทั้ง สมถะ และ วิปัสสสนา พร้อมอยู่แล้วในตัว) จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับนิมิตสักเท่าใด

นอกจาก จะไม่เพี้ยนแล้ว ...การ เจริญสติปัฏฐาน ยังอาจช่วยให้หายเพี้ยนได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนทุกท่านที่แสดงความคิดเห็นนะครับ ไม่ทราบว่าท่านมีเจตนาอย่างไร ท่านไปเข้าใจสมถะแบบไหน สมถะเป็นฐานของวิปัสสนา และสมถะในพระพุทธศาสนาก็สามารถพ้นทุกข์ได้

ผมจะแสดงเหตุผลข้อมูลในเรื่องสมถะและวิปัสสนาให้ท่านพิจารณาใน ๒ ประเด็นนี้ คือ...

๑.เรื่องสมถะกรรมฐานและการพ้นทุกข์

๒.เรื่องการเห็น(ญาณทัสสนะ)กับวิปัสสนากรรมฐาน


การอ่านทำความเข้าใจนั้น ขอให้ท่านวางความยึดมั่นในความรู้เดิมลงก่อนแล้วท่านจะเข้าใจได้โดยตลอดนะครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


๑.เรื่องสมถะกรรมฐานและการพ้นทุกข์


ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องสมถกรรมฐานและการพ้นทุกข์...

การทำสมาธิในพุทธศาสนาที่สอนกันอยู่ทั่วไปในเมืองไทยรวมถึงกลุ่มประเทศตะวันตกในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดเลยก็ว่าได้ มีวิธีทำอยู่อย่างเดียว คือ วิปัสสนากรรมฐาน และสำนักปฏิบัติทั้งหลายเหล่านั้นก็จะตั้งชื่อให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติว่า สำนักวิปัสสนากรรมฐาน และเรียกพระผู้สอนวิปัสสนากรรมฐานนั้นว่า พระวิปัสสนาจารย์ โดยในเมืองไทยทั้งหมดจะนิยมทำวิปัสสนากรรมฐานกันมากจนไม่เคยได้ยินวัดใดสอนสมถกรรมฐานเลย


เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะ(พระวิปัสสนาจารย์)เกือบทั้งหมดให้เหตุผลว่าวิปัสสนาเป็นการรู้แจ้งแทงตลอดสามารถตัดกิเลสได้เป็นการสิ้นภพสิ้นชาติได้ ส่วนสมถกรรมฐานนั้นไม่สามารถตัดกิเลสได้เป็นเพียงการใช้สมาธิกดทับกิเลสไว้เท่านั้นเหมือนเอาหินทับหญ้าไว้เวลานำเอาหินออกหญ้าก็กลับงอกงามเหมือนเดิม ด้วยเหตุผลเหล่านี้พระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายจึงมุ่งสอนวิปัสสนากันมากเพื่อละกิเลสเพื่อนิพพานกันทั้งหมด


เวลาสอนกรรมฐานวิปัสสนาจารย์จะเน้นหนักเสมอว่า อย่ากำหนดอย่างเดียวนะเดี๋ยวจะถูกสมถะไม่ใช่วิปัสสนา ต้องกำหนดรู้ทันขณะจิตกำหนดรูปกำหนดนามอย่าให้สติขาด ใช้สติเป็นเชือกดึงจิตใช้ปัญญาตัดกิเลสให้ขาดไป ๆ เกิดมาเท่าไรตัดให้ขาดไปเท่านั้นๆ ดังนี้


สมถกรรมฐานซึ่งท่านจะเน้นเสมอว่า อย่าไปเล่นนะสมถะไปไม่ถึงไหนหรอก ตัดกิเลสไม่ขาด ไม่ถึงนิพพาน ไม่สิ้นภพสิ้นชาติ ยังอยู่ในวัฏฏสงสารต่อไป ไปได้สูงแค่พรหมโลกแล้วก็เวียนกลับมาอีก ส่วนวิปัสสนาทำให้กิเลสขาดนิพพานได้เป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนา ส่วนสมถะเป็นของพวกฤาษีเขาเล่นกัน อย่าไปเล่นเลย และทั่วไปจะปฏิเสธการทำสมาธิแบบสมถะนี้เป็นส่วนใหญ่


แต่มีพระธุดงค์ไปตามป่าตามชายทุ่ง พักอาศัยตามป่าช้าบ้าง ป่าทึบบ้าง (มิใช่พระธุดงค์ที่มาปักกลดข้างตึกหรือหลังบ้านของโยมในเมืองกรุงนะ) พระเหล่านี้จะฝึกสมาธิต่อๆ กันมาจากปากของอาจารย์จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง มักจะไม่มีเขียนเป็นตำราไว้จะเรียนกันแบบรับมาจากครูอาจารย์ผู้สอนและที่สำคัญยิ่งก็คือ พระเหล่านี้มักจะเป็นผู้มีบารมีเดิมอยู่แล้วปฏิบัติกรรมฐานไปด้วยความมุ่งหวังมรรคผลเป็นสำคัญด้วยพลังจิตอันมุ่งมั่นไม่หวังลาภสักการะเป็นเครื่องตอบแทน ท่านมักจะไม่ตั้งสำนักกรรมฐานเป็นจริงเป็นจังมากนัก(ในขณะปฏิบัติ)



ท่านเหล่านี้ส่วนมากจะฝึกกสิณสมาธิทำฌานได้สูงสุดถึงฌาน ๘ ดังนั้นท่านเหล่านั้นจึงไม่ปฏิเสธวิธีการของสมถกรรมฐาน เพราะสมถกรรมฐานทั้งหมด คือ บ่อเกิดแห่งฌานและสมาบัติทั้งหมด อำนาจที่เกินเลยประสาทสัมผัสของมนุษย์ธรรมดาเกิดจาก สมถกรรมฐานทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่ ฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ นิโรธสมาบัติ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ล้วนเกิดต่อจากการฝึกสมาธิด้วยวิธีการของสมถะทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่ง คือ สมถกรรมฐานนี้พระพุทธองค์ยกขึ้นมาแสดงก่อนวิปัสสนากรรมฐาน เวลาตรัสเรื่องการทำสมาธิจะตรัสว่า สมถะและวิปัสสนา



ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ ตรัสว่าผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตให้นิ่งบริสุทธิ์ได้ที่เสียก่อนจะไปเจริญวิปัสสนาโดยตรงเป็นอฐานะ แปลว่า เป็นไปไม่ได้ เหมือนคนตาดีนั่งมองน้ำขุ่นย่อมไม่เห็นวัตถุใต้น้ำ หรือเหมือนคนคิดจะสร้างตึกสัก ๑๐ ชั้น แต่คิดว่า ตัวเองจะอยู่ชั้นที่ ๑๐ ชั้นเดียว ดังนั้นจะสร้างเฉพาะชั้นที่ ๑๐ อย่างเดียวโดยไม่สร้างอีก ๙ ชั้น มาเป็นฐานให้เสียก่อนก็เป็นอฐานะเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ที่เมืองไทยมีสำนักวิปัสสนากรรมฐานเต็มไปหมด พระวิปัสสนาจารย์ก็เดินกันเต็มเมือง แต่ผู้ที่ประกาศว่าบรรลุรู้แจ้งความจริงแล้วด้วยวิปัสสนาญาณจึงหาแทบไม่มีเลย ถ้าเป็นการลงทุนก็ขาดทั้งทุนขาดทั้งกำไร



แต่อย่างไรก็ตามวิปัสสนาก็ยังมีคนปฏิบัติต่อไปได้ด้วยศรัทธาในพระพุทธองค์เป็นหลัก ไม่ใช่เพราะรู้แจ้งตามชื่อของสำนักวิปัสสนา



ปัญหาเรื่องสมถกรรมฐานถูกปฏิเสธไม่นำมาสอนกันในปัจจุบันนี้ อาจเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้การฝึกย่ำอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เวลาเห็นคนนั่งวิปัสสนาครั้งใด สิ่งที่หนีไม่พ้นและเป็นภาพที่ชินตาของผู้พบเห็นมาก ก็คือ การนั่งหลับทั้งผู้สอนและผู้ปฏิบัติตาม



การปฏิบัติโดยมุ่งหวังเพื่อตัดกิเลสรู้เท่าทันกิเลสเป็นสำคัญโดยที่สภาพจิตของตนเองยังไม่มีพลังเข้มแข็งพอ จึงมีผลออกมาในลักษณะเช่นนี้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้จะแสดงพระพุทธพจน์ที่ตรัสแสดงเรื่องการเจริญวิปัสสนาโดยไม่ผ่านการฝึกจิตมาก่อนย่อมไม่อาจสำเร็จผลได้ ดังนี้



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ห้วงน้ำที่ขุ่นมัว ไม่ใสสะอาด
เป็นโคลนตม บุคคลผู้มีตาดี ยืนอยู่บนฝั่งมองไม่เห็นหอยโข่ง
และหอยกาบบ้าง ก้อนกรวดและถ้วยกระเบื้องบ้าง ฝูงปลาที่
ว่ายไปและหยุดอยู่ในห้วงน้ำนั้นบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะน้ำขุ่นมัว แม้ฉันใด ภิกษุรูปนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เป็นไปไม่ได้เลยที่จักรู้จักประโยชน์ตน รู้ประโยชน์ผู้อื่น
รู้ประโยชน์ทั้งสองหรือจักทำให้แจ้งซึ่งญาณทัสสนะ(วิปัสส-
นาญาณ)ที่ประเสริฐอันสามารถ อันวิเศษยิ่งกว่าธรรมของ
มนุษย์ด้วยจิตที่ขุ่นมัว (ข้อนี้เป็นอฐานะคือเป็นไปไม่ได้)
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตขุ่นมัว


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ห้วงน้ำใสที่ไม่ขุ่นมัวใสสะอาด
บุคคลผู้มีตาดียืนอยู่บนฝั่งพึงมองเห็นหอยโข่งและหอยกาบบ้าง
ก้อนกรวดและถ้วยกระเบื้องบ้าง ฝูงปลาที่ว่ายไปและหยุดอยู่
ในห้วงน้ำนั้นบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะน้ำใสไม่ขุ่นมัว
แม้ฉันใดภิกษุรูปนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นไปได้ที่จักรู้ประ-
โยชน์ตน รู้ประโยชน์ผู้อื่น รู้ประโยชน์ทั้งสองหรือจักทำให้แจ้ง
ซึ่งญาณทัสสนะ(วิปัสสนาญาณ)ที่ประเสริฐอันสามารถอันวิเศษ
ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ด้วยจิตที่ไม่ขุ่นมัว (ข้อนี้เป็นฐานะ คือ เป็น
ไปได้) ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตไม่ขุ่นมัว



บัณฑิตกล่าวว่า ต้นจันทน์เป็นไม้ที่เลิศกว่าต้นไม้ทุกชนิด เพราะ
เป็นของอ่อนและใช้งานได้ดี แม้ฉันใด เราไม่เห็นสิ่งอื่นแม้สักอย่าง
ที่ได้เจริญทำให้มากแล้ว เป็นของอ่อนและควรแก่การใช้งานเหมือน
จิตนี้ จิตที่ได้เจริญทำให้มากแล้วย่อมเป็นของอ่อนและควรแก่การ
ใช้งาน (อํ.เอก. ๒๐ /๔๕-๔๗/ ๘-๙)


แก้ไขล่าสุดโดย ปราชญ์ขยะ เมื่อ 29 พ.ย. 2008, 10:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


๑.เรื่องสมถะกรรมฐานและการพ้นทุกข์(ต่อ)

นอกจากนี้พระวิปัสสนาจารย์และผู้ปฏิบัติจำนวนมากได้ปฏิเสธการฝึกจิตด้วยวิธีสมถะ(วิธีฝึกให้จิตสงบ)นี้ในหลายลักษณะด้วยกัน ซึ่งในที่นี้ได้แบ่งลักษณะของการปฏิเสธออกเป็น ๔ ลักษณะ คือ



๑. ลักษณะที่บอกว่า วิปัสสนาทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดปัญญารู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นแต่ละขณะแล้วตัดได้อย่างฉับพลัน กิเลสที่เกิดขึ้นมาในขณะใดผู้เจริญวิปัสสนาก็กำหนดตัดได้ในขณะนั้นๆ ไม่หลงไปตามกิเลสนั้น

ส่วนสมถะ(เช่นการเพ่งกสิณ)นั้น ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดพลังสมาธิแล้วใช้สมาธินั้นกดทับกิเลสนิวรณ์ไว้เหมือนหินทับหญ้า เมื่อสมาธิอ่อนกำลังกิเลสก็จะกลับงอกงามเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวตัดกิเลสไม่ขาด


มีพระพุทธพจน์ในฌานสูตร ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงการทำสมาธิแบบสมถะที่ทำให้ได้ฌาณสมาธิแล้วใช้ฌานนั้นกดทับนิวรณ์ไว้แล้วทำให้ปัญญาผุดขึ้นมาพิจารณาขันธ์ ๕ ของตนและผู้อื่นให้เห็นความเป็นไปต่างๆ จนสามารถเห็นความจริงแล้วนำไปสู่การสิ้นกิเลสตัณหาและอาสวะทั้งปวงได้ ถ้าหากยังไม่สามารถสิ้นกิเลสได้ในชาตินี้ก็จะสิ้นได้ในภพที่ไปเกิดใหม่ได้แน่นอน




พระไตรปิฎกเล่ม ๒๓ ข้อ ๒๔๐ หน้า ๔๑๓ (ฌานสูตร) ได้กล่าวถึงฌานทั้งหลายว่า สามารถทำให้สิ้นกิเลสได้


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลายมีได้เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง
ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตตุถฌานบ้าง อากาสา
นัญจายตนะ
บ้าง วิญญานัญจายตนะบ้าง อากิญจัญจา
ยตนะ
บ้าง เนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง


ก็ข้อที่เรากล่าวนั้น เราอาศัยอะไรกล่าวไว้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ประพฤติ
ตนสงบจากความกำหนัดทั้งหลายแล้ว บรรลุถึงปฐมฌาน
เธอย่อมพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณอันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยมีความเปลี่ยน
แปลงอยู่ตลอดเวลา(ไม่เที่ยง) มีความเป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นดังหัวฝีเป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น
เป็นของชำรุดว่างเปล่า มิใช่ตัวตนเป็นอมตะ(อนัตตา)


เธอย่อมทำจิตหยุดนิ่งสงบอยู่กับการพิจารณาขันธ์ ๕
เหล่านั้น ครั้นนั้น(อมตธาตุ)ว่า การดับขันธ์ ๕ นั่นเป็นที่สงบ
ประณีต คือเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละ
กิเลสทั้งปวงทิ้ง เป็นความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความสิ้น
ความกำหนัดเป็นที่ดับสนิท (นิพพาน)


เธออยู่ในภาวะปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้น
ไปแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย ถ้ายังไม่อาจทำอาสวะ
ทั้งหลายให้สิ้นทั้งหมดได้ เธอจะได้ไปเกิดเป็นพรหม
(อุปปาติกะ) แล้วจักดับสนิท(นิพพาน)ได้ เพราะสังโยชน์
เบื้องต่ำสิ้นไปแล้ว ไม่กลับมาจากโลกนั้นอีก ด้วยความ
ยินดีเพลิดเพลินในปฐมฌานนั้นๆ


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนนักยิงธนู
หรือผู้ช่วยนักยิงธนูเพียรพยายามฝึกยิงหุ่นฟางหรือ
ก้อนดิน(จนชำนาญ) ต่อมาเป็นผู้ยิงได้ไกล
ยิงไม่พลาดและยิงทำลายสิ่งใหญ่ๆ ได้แม้ฉันใด


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือน
กันนั่นเอง สงบระงับจากกามทั้งหลายแล้ว...บรรลุถึง
ปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาดูขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ(ของตนเอง) อันมีอยู่ในขณะ
ปฐมฌานนั้น โดยเป็นของที่ไม่เที่ยง (เปลี่ยนแปลง)
เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตน


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลายมีได้เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง
ดังนี้นั้นเราอาศัยข้อนี้กล่าวไว้



ก็ข้อที่เรากล่าวว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลายมีได้ เพราะอาศัยทุติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะ
อาศัยตติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยตติยฌานบ้าง ฯลฯ
เพราะอาศัยจตุตถฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยอากาสา-
นัญจายตนะบ้าง ฯลฯเพราะอาศัยวิญญานัญจายตนะ
บ้าง ฯลฯ เพราะอาศัยอากิญจัญจายตนะบ้าง ดังนี้นั้น
เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว


…ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เพราะล่วงเลยวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้ง
ปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยคำนึงถึงว่าอะไรๆ
หน่อยหนึ่งก็ไม่มีเป็นอารมณ์ เธอย่อมพิจารณาดูขันธ์ ๔
คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตนเองอันมีอยู่
ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานนั้นโดยความเป็น
ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า เป็นอนัตตา


เธอทำจิตให้หยุดนิ่งสงบอยู่กับการพิจารณา
ขันธ์ทั้ง ๔ เหล่านั้น ครั้นแล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อความ
ดับขันธ์ ๔ เหล่านั้น(อมตธาตุ)ว่า การดับขันธ์ ๔ นั้น
เป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละกิเลส
ทั้งปวงทิ้ง เป็นความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความสิ้น
ความกำหนัดเป็นที่ดับสนิท (นิพพาน)


เธออยู่ในภาวะอากิญจัญญายตนะฌานนั้น
ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย ถ้ายัง
ไม่อาจทำอาสวะทั้งหลายให้สิ้นไปได้ทั้งหมด เธอ
จะได้เกิดเป็นพรหม(อุปปาติกะ) จักดับสนิทได้(ปริ
นิพพาน)ในภพนั้น ไม่ต้องกลับมาจากโลกนั้นอีก
เพราะกิเลสสังโยชน์เบื้องต่ำสูญสิ้นไปแล้วด้วยความ
เพลิดเพลินยินดีในอากิญจัญญายตนฌานนั้นๆ...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายด้วยประการดังนี้แล ฌานสมาบัติ
มีอยู่เท่าใด การบรรลุธรรมก็มีได้เท่านั้น




--->>> พระพุทธพจน์ทั้งหมดเหล่านี้ เป็นคำตอบได้ชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่า ฌานสมาบัติสามารถบรรลุธรรมสิ้นกิเลสได้หรือไม่ จะเห็นได้ว่าผู้ได้รูปฌานจะใช้ฌานนั้นเป็นฐานให้ปัญญาพิจารณาขันธ์ ๕ ส่วนผู้ได้อรูปฌานจะใช้อรูปฌานนั้นเป็นฐานใช้ปัญญาพิจารณาขันธ์ ๔ ของตนเองที่มีอยู่ในขณะนั้นเพื่อเห็นแจ้งรู้จริงสามารถสิ้นกิเลสได้แน่นอน ดังนั้น พระพุทธพจน์เหล่านี้จึงเป็นคำตอบของฝ่ายที่ปฏิเสธการทำสมาธิด้วยวิธีสมถะได้อย่างกระจ่างทีเดียวคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


๑.เรื่องสมถะกรรมฐานและการพ้นทุกข์(ต่อ)

๒. ลักษณะที่บอกว่า วิปัสสนาทำให้เกิดญาณเกิดปัญญา กำหนดรูปนามในปัจจุบันขณะทำให้เห็นรูปนามเป็นปัจจุบันตลอดไปจนถึงได้ญาณ ๑๖ คือ มรรคญาณ ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ อันสุดท้าย ทำให้สิ้นกิเลสได้ สิ้นภพ สิ้นชาติได้



ส่วนสมถะ(เช่นการเพ่งกสิณ)นั้นทำให้เกิดฌาน แต่ไม่เกิดปัญญา คือ ญาณ ไปติดอยู่แค่ฌาณสมาธิไปได้แค่พรหมโลก ไม่ถึงนิพพาน



ทัศนะนี้ปฏิเสธสมถะว่าทำให้ได้ฌานแต่ไม่ได้ปัญญา มีภพที่ไปได้แค่พรหมโลก ไม่ถึงนิพพาน มีพระพุทธพจน์บทหนึ่งที่ตอบปัญหาเรื่องนี้ได้ดี คือ พุทธพจน์ว่า



นัตถิ ฌานัง อะปัญญัสสะ นัตถิ ปัญญา อะฌายิโน
แปลว่า ฌานย่อมไม่มีกับคนที่ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีกับคนที่ไม่มีฌาน



หรือแปลโดยสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ว่า
เมื่อมีฌานปัญญาจึงจะเกิด ปัญญาจะไม่เกิดถ้าไม่มีฌาน หรือจะแปลว่า สมาธิไม่เกิดกับคนที่ไม่มีปัญญา และปัญญาก็ไม่เกิดกับคนที่ไม่มีสมาธิดังนี้ ก็ได้



พระพุทธพจน์นี้ก็บ่งบอกชัดๆ อยู่แล้วว่า เมื่อฝึกจิตจนเกิดฌานแล้วปัญญาจึงจะเกิดตามมา และนอกจากนี้แล้ว ยังมีพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ว่า



เธอย่อมทำจิตหยุดนิ่งสงบอยู่กับการพิจารณา
ขันธ์ ๕ เหล่านั้น
ครั้นแล้วต่อจากนั้นเธอย่อมโน้มจิต
ไปเพื่อความดับขันธ์ ๕ เหล่านั้น(อมตธาตุ)ว่าการดับ
ขันธ์ ๕ นั่นเป็นที่สงบ ประณีต คือ เป็นที่สงบระงับ
แห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละกิเลสทั้งปวงทิ้ง เป็น
ความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความสิ้นความกำหนัด
เป็นที่ดับ(นิพพาน)


เธออยู่ในภาวะปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้น
ไปแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย ถ้ายังไม่อาจทำอาสวะ
ทั้งหลายให้สิ้นทั้งหมดได้ เธอก็จะได้ไปเกิดเป็นพรหม
(อุปปาติกะ) แล้วจักดับสนิท(นิพพาน)ได้ เพราะสังโยชน์
เบื้องต่ำสิ้นไปแล้ว ไม่กลับมาจากโลกนั้นอีก
(เล่ม ๒๓/๒๔๐/๔๑๓)



--->>> ในข้อนี้พระพุทธพจน์ที่แสดงไว้ทั้งหมดแสดงว่า สมถกรรมฐานที่ทำให้ได้ฌานสมาบัติ สามารถทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งความจริงได้ และทำให้สิ้นกิเลส สิ้นตัณหาได้ และสามารถนิพพานได้ แม้บางท่านอาจยังไม่สามารถนิพพานในชาตินี้ได้ แต่ถ้าได้ฌาณสมาบัติแล้วตายไปก็จะนิพพานได้ในภพที่ไปเกิดไม่ต้องเวียนกลับมาเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป ดังนั้นทัศนะที่สองที่ปฏิเสธสมถกรรมฐานนี้ก็เป็นความเห็นผิดๆ ไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


๑.เรื่องสมถะกรรมฐานและการพ้นทุกข์(ต่อ)

๓. ลักษณะที่บอกว่า วิปัสสนาเป็นสายที่ตรงที่สุด และเร็วกว่า ส่วนสมถะนั้นเป็นสายอ้อมและช้ามาก และส่วนมากจะบอกว่าวิปัสสนาดีกว่า อย่าไปเล่นเลยสมถะดีไม่ดีอาจทำให้เสียสติเป็นบ้าได้อันตรายอย่าไปเล่น วิปัสสนาดีกว่า ตัดกิเลสได้และเกิดปัญญา


ข้อนี้ฝ่ายวิปัสสนาบอกว่า วิปัสสนาดีกว่า ตรงกว่า เร็วกว่า แสดงว่า สำนักวิปัสสนาที่มีอยู่ในประเทศไทยเวลานี้ได้ผลิตพระอริยบุคคลคือผู้จบวิปัสสนาเป็นจำนวนมากแล้วนะซิ ? เพราะวิปัสสนาแปลว่า รู้แจ้งแทงตลอดมรรคผลนิพพาน หรือแปลง่ายๆ ว่า ผู้บรรลุธรรมนั่นเอง ถ้าเร็วกว่า ตรงกว่าจริงทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสว่า การเจริญวิปัสสนาโดยตรงเป็นอฐานะ คือ เป็นไปไม่ได้ ส่วนที่ตำหนิฝ่ายสมถกรรมฐานว่า จะทำให้เสียสติเป็นบ้าได้นั้น ได้สถิติมาจากที่ไหน เพราะที่ไหนๆ ก็มีแต่สำนักวิปัสสนาแล้วคนที่บ้ารู้ได้อย่างไรว่าบ้าเพราะสมถะ ไม่ใช่บ้าเพราะวิปัสสนาหรือว่าบ้าเพราะความไม่เข้าใจ



--->> ประการสำคัญที่สุด คือ สมถกรรมฐานนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นวิธีการแรกที่ยกขึ้นมาสอนในการฝึกจิตเพื่อรู้ธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน (ส่วนวิปัสสนานั้นเป็นขั้นที่สองที่สอนต่อจากสมถะ) ซึ่งวิธีการเหล่านี้พระพุทธองค์ก็ทรงปฏิบัติมาทั้งนั้นจึงนำมาสอนพระสาวก ถ้าเช่นนั้นพระพุทธองค์ก็คงเป็นคนบ้าไปแล้วซิ ? และคำสอนเรื่องกรรมฐานนี้ก็เป็นคำสอนของคนบ้าไปแล้วนะซิ ? ตกลงว่าระหว่างผู้ปฏิเสธกับพระพุทธองค์ใครเป็นบ้ากันแน่ ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


๑.เรื่องสมถะกรรมฐานและการพ้นทุกข์(ต่อ)

๔. ลักษณะที่บอกว่า วิปัสสนาเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา ส่วนสมถะเป็นเรื่องของฮินดูหรือเป็นของพวกฤาษีไม่ใช่ของพุทธศาสนา



คำสอนเรื่องสมถกรรมฐานนี้เป็นที่มาทางเดียวที่จะพิสูจน์คำสอนของพระพุทธองค์ได้ว่า ฌานสมาบัติ นิโรธสมาบัติ วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยสมถกรรมฐาน คำสอนของพระพุทธองค์จึงจะได้ชื่อว่า เอหิปัสสิโก ท้าให้มาพิสูจน์ สันทิฏฐิโก จะเห็นประจักษ์ด้วยตัวของท่านเอง และปัจจัตตัง วิญญูชนจะรู้ได้เฉพาะตน เป็นต้น



แล้วเพราะเหตุอะไรจึงโยนคำสอนของพระพุทธเจ้าไปให้ศาสนาอื่นที่เขาไม่เคยมีในคำสอนของเขาเลยบอกว่า สมถะเป็นของฮินดู ความจริงนั้นศาสนาฮินดูเขาสอนเรื่องโยคะ โดยแบ่งออกเป็น ชฺญานโยคะ กับภักติโยคะ เพื่อบรรลุโมกษะจะได้เข้าไปรวมอยู่กับปรมาตมัน จงเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ว่า สมถะเป็นศัพท์ภาษาบาลี ที่ใช้ในพระพุทธศาสนา ส่วนศาสนาฮินดูเขาจะใช้ภาษาสันสกฤต หรือฮินดี


--->>> คำสอนเรื่องสมถกรรมฐานและเรื่องฌานสมาบัตินี้มีมากมายหลายแห่งมากที่แสดงไว้ในที่ต่างๆ อันแสดงว่า เป็นหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาซึ่งมีสอนตั้งแต่หลักสูตรนักธรรมชั้นตรีเป็นต้นมา เป็นที่น่าแปลกใจผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อจุดประสงค์นิพพานกับไม่รู้ว่า สิ่งนี้เป็นของพระพุทธศาสนา เวลาแสดงธรรมปาฐกถาท่านจะพูดเสมอว่า การทำสมาธิในทางพระพุทธศาสนามี ๒ อย่างคือสมถะและวิปัสสนา สมถกรรมฐานมีอารมณ์ ๔๐ อย่าง คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อรูปกรรมฐาน ๔ จตุธาตุววัฏฐาน ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ รวมเป็น ๔๐ อย่างเป็นต้น คำสอนเหล่านี้ได้ยินจนชินหู แต่แปลกใจว่า เวลาพูดถึงสมถะโดยตรงกับถูกปฏิเสธว่า สมถะ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นชาวบ้านตามชายแดนพูดเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่กลับเป็นคำพูดของนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาพูดเสียเองจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย


ความเห็นต่างๆ ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ เป็นความเห็นที่มีคนพูดกันมากและจะได้ยินจนชินหูเลยก็ว่าได้ คนที่มีทัศนะเช่นว่านี้มิใช่จะมีจำนวนเพียงนิดหน่อย แต่มีเป็นจำนวนมากทีเดียว



มีสำนักวิปัสสนากรรมฐานแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่มีชื่อเสียงมาก ในการสอนวิปัสสนาถึงกับเขียนคำภาษิตในเชิงปฏิเสธสมถกรรมฐาน ติดหน้าวัดไว้เลย ว่า



อัปปนาสมาธิ จิตสงบนิ่ง ดิ่งถึงฌาน
ไม่เกิดญาณ ได้อภิญญา พาหลงใหล
อุปจารสมาธิ มีนิมิต หลงติดใจ
ล้วนทำให้ หลงผิด ติดอัตตา
ขณิกสมาธิ คือสมาธิ ชั่วขณะขณะ
ดุจวัชระ สายฟ้าแลบ แพลบแพลบหนา
เพียรกำหนด รูป-นามหนอ ต่อเนื่องมา
ญาณปัญญา เห็นเกิด-ดับซึ้ง ถึงนิพพาน



คำภาษิตนี้ไม่ใช่พุทธพจน์ แต่เป็นคำกลอนของคนที่ไม่เข้าใจถึงวิธีการทำสมาธิในพระพุทธศาสนาได้แต่งไว้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนข้อ ๒ เรื่องการเห็น(ญาณทัสสนะ)กับวิปัสสนากรรมฐาน

ผมจะนำข้อมูลสาระมาให้พิจารณากันอีกที เฉพาะข้อมูลแรกนี้ ขอให้ท่านอ่านอย่างพินิจพิจารณาให้ดีนะครับ ช่วงยุคฟุ้งอ้างแต่วิปัสสนาแต่ไม่เข้าใจความโดยรอบด้านนั้นคือช่วงยุคนี้ สมถะและวิปัสนนาเป็นบาทฐานซึ่งกันและกันเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อย่าได้หลงไปกับกระแสอินเทรนของยุคสมัยที่มักมีแต่การโฆษณาชวนเชื่อจนไม่ได้เหลียวหน้ามองหลังถึงความจริงใดๆ นะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร