วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 22:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 20:15
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


ญาณทัศนะ, ญาณทัสสนะ การเห็นแจ้ง, การเห็นที่เป็นญาณ หรือ เห็นด้วยญาณ อย่างต่ำสุด หมายถึง วิปัสสนาญาณ นอกนั้นในที่หลายแห่งหมายถึง ทิพพจักขุญาณ บ้าง มรรคญาณ บ้าง และในบางกรณีหมายถึง ผลญาณ บ้าง ปัจจเวกขณญาณ บ้าง สัพพัญญุตญาณ บ้าง ก็มี ทั้งนี้สุดแต่ข้อความแวดล้อมในที่นั้น ๆ


การรู้ด้วยญาณ อะไรเป็นผู้รู้ ?

คำถามนี้ก็เหมือนกับที่เราพูดกันว่า "เห็นด้วยตา" ซึ่งคำถามเช่นนี้จะไม่มีใครสงสัยว่าใครเป็นคนเห็น หรือเห็นด้วยอะไร แต่ถ้าคิดกันให้ลึกซึ้งแล้ว มันก็น่าสงสัย เพราะความเป็นจริงแม้เราจะยอมรับกันว่า เราเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยตา แต่ความเป็นจริง ไม่ใช่ตาเป็นผู้เห็น ลำพังตาอย่างเดียวซึ่งเป็นรูปธรรม หรือเป็นวัตถุนั้นจะเห็นอะไรไม่ได้ ตาเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเห็นเท่านั้น ผู้ที่เห็นคือใจไม่ใช่ตา แต่ใจจะเห็นอะไรได้ ต้องอาศัยตา ถ้าตาบอดก็จะไม่เห็นอะไร



ในทำนองเดียวกัน เมื่อพูดว่า "รู้ด้วยญาณ" ก็หมายความว่า "ใจเป็นผู้รู้ ใจเป็นผู้เห็น" แต่ใจจะรู้เห็นอะไรได้ ก็ต้องอาศัยญาณ ญาณเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของใจ เช่นเดียวกับความโง่หรือความไม่รู้ซึ่งเรียกว่า "อวิชชา" นั้น ก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในจิตใจของปุถุชนทั่วไป คนที่มีอวิชชาครอบงำก็เหมือนกับคนที่อยู่ในที่มืด จะมองไม่เห็นอะไร ส่วนคนที่มีญาณ คือมีความรู้ที่เกิดจากการพิจารณา หรือเกิดจากสมาธิและวิปัสสนา คนที่มีญาณก็เปรียบเหมือนกับคนที่อยู่ในที่สว่างย่อมจะเห็นอะไรได้ชัด ฉะนั้นคำว่า รู้ด้วยญาณ จึงหมายถึง จิตใจที่มีความรู้ในสิ่งต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากการพิจารณาในขั้นสมาธิและวิปัสสนา เป็นต้น และอย่าลืมว่าญาณเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้เป็นขึ้นได้ ญาณนั้นถ้ายังไม่ถึงขั้นโลกุตตระ ก็มีทางที่จะเสื่อมหรือเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเป็นญาณในขั้นโลกุตตระแล้ว จะไม่มีวันเสื่อมเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2008, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การเจริญภาวนาจำเป็นจะต้องผ่านนิมิตหรือไม่


ต้องผ่านฌานทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่บางกรณีมันผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเรารู้ไม่ทัน
สังเกตุไม่ทัน

หลวงพ่อชาเปรียบว่า เหมือนตกจากต้นไม้
เราอาจดูไม่ทันหรอกว่าผ่านอะไรบ้าง

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2010, 00:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


อืมม์มมมมมม... :b6:
อ่านเอาดูย้อนตนกันเอาเอง :b9: :b32: :b9:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 29 มี.ค. 2010, 00:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร